ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BIG BOSS | ボス (sekai kaihun chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #3 : - { B I G B O S S } ★ 02 ; บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 57



     


    ไอ้เรื่องต่อยตีมันเป็นธรรมดาของลูกผู้ชาย

    แต่ที่ไม่น่าไว้ลาย คือ ...

     

    ผู้ชายถูกกระทืบ

     

     

    BIG BOSS | ボス

    TWO | บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ

     

     

    ซ่า !

     

    เปลือกตาบางกระพริบถี่ ก่อนจะค่อยลืมขึ้นอย่างช้าๆเมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำเย็นเกือบจะติดลบองศาฯที่สาดหน้าเขาจนเปียกไปถึงลำคอ คิมจงอินสะบัดหัวสองสามที เงยหน้ามองเพดานห้องที่เมื่อคืนเคยเป็นสมรภูมิรักอันเร่าร้อนระหว่างเขากับแบคฮยอน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว เนื่องจากชายชุดดำสามสี่คนที่ถือถังน้ำชะโงกหน้าเข้ามามองนั่นล่ะ.... 

     

    พวกมันนั่นล่ะที่ทำให้ห้องนี้กลายเป็นสมรภูมิรบซะแทน

     

    “มันตื่นแล้วครับบอส!” เสียงทุ้มหนาของหนึ่งในนั้นตะโกนลั่น ก่อนตัวเขาจะถูกฉุดให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง หลังจากโดนซ้อมจนสลบเหมือดไปเมื่อสิบกว่านาทีก่อน 

     

    คิมจงอินไม่เคยเห็นนรก แต่วันนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่าการที่มีมนุษย์ชื่อโอเซฮุนอยู่บนโลกใบนี้นั้น มันก็ไม่ต่างอะไรจากการเอากระทะทองแดงมาคว่ำไว้บนทางสามแพร่งหน้าแยกเข้าหอเขาดีๆนี่เอง

     

    “ซ้อมมันต่อ”

     

    สิ้นเสียงทรงอำนาจจากคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาเดี่ยวสีแดงสด หมัดลุ่นๆ กับลูกเตะสะท้านโลกาก็กระแทกใส่ตัวเขาไม่ยั้ง ทั้งมือทั้งตีนใครต่อใครก็ไม่รู้ฟาดเข้าทั้งเบ้าหน้าทั้งลำตัวเขาอย่างแรง พวกมันรุมกระหน่ำยำทึ้งเขาอย่างกับกำลังแย่งซื้อของลดแลกแจกแถมในโลตัสตอน 2 ทุ่มยังไงอย่างงั้น 

     

    มาถึงตรงนี้คิมจงอินถึงกับตาพร่าอีกรอบ มันไม่เจ็บเท่าตอนโดนกระทืบใหม่ๆหรอก แต่ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะมันชาไปหมดทั้งตัวแล้วน่ะสิ อยากจะลุกขึ้นมาขอร้องไม่ให้พวกมันกระทืบหน้าก็ไม่ได้ เพราะใบหน้ากับจมูกบี้ๆของเขาน่ะไว้ทำมาหากิน แต่เห็นอย่างนี้แล้วคงจะลำบาก พวกมันไม่เปิดช่องให้เขาอ้าปากพูดอะไรได้เลยแม้แต่น้อย

     

    “บอสครับ ! มันทำท่าจะสลบอีกแล้ว”  ได้ยินเสียงของผู้ชายคนเดิมร้องขึ้นมาแล้วรู้สึกรำคาญแปลกๆ เป็นอีลูกช่างฟ้องหรือไงวะ จะให้สลบไปเฉยๆเหมือนคนหมดแรงนี่ไม่ได้เลยใช่ไหม พูดแบบนี้เดี๋ยวไอ้มาเฟียใจโฉดก็สั่งลูกน้องเอาน้ำมาสาดหน้าเขาอีกรอบ...

     

    “หยุด”

     

    แต่ผิดคาด...  จากที่คิดว่าจะสั่งให้ซ้อมต่อ กลับเป็นเสียงแหบทุ้มของคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาดังขึ้นห้ามแทน คิมจงอินในสภาพคุกเข่าอยู่กับพื้นถูกกระชากผมให้เงยขึ้นสบตากับเจ้าของเรียวขายาวที่เพิ่งจะก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวตัดกับผมสีน้ำตาลเข้มนั่นมองลงมาที่เขาเหมือนกับเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เหมือนกับเป็นอะไรซักอย่างที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

     

    “เจ็บไหม?” พ่อง! สั่งลูกน้องกระทืบจนเขาแทบจะขาดใจตายยังมีหน้ามาถามแบบนี้อีกหรอ คิมจงอินไม่แม้แต่จะตอบคำถามนั้น เขาส่งสายตาแบบด่าพ่อล่อแม่อีกฝ่ายไปแทน

     

     “ไม่ตอบแสดงว่าไม่เจ็บ” เท่านั้นแหละคิมจงอินถลึงตาโต ตั้งท่าจะส่ายหัวยิกๆแต่คงไม่ทันซะแล้ว เพราะโอเซฮุนคนนั้นกำลังกวักมือเรียกลูกน้องเป็นเชิงให้พยุงเขาขึ้นจากพื้น

     

    “ดูเหมือนท้องแกนี่...จะยังไม่เจ็บนะ” พูดจบมือเรียวยาวนั่นก็แบออก ลูกน้องในสูทชุดดำก็ดูเหมือนจะรู้หน้าที่ของตัวเองเหลือเกิน มันวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับวางไม้เบสบอลอันโปรดของแบคฮยอนไว้บนมือเจ้านายเสร็จสรรพ 

     

    ตุบ!

     

    อั่ก!!!” 

     

    แรงเหวี่ยงของไม้เบสบอลสีแดงที่ปะทะเข้ากับหน้าท้องของคิมจงอินนั่นทำให้ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังโดนฝ่ามือพิฆาตมารของจอมยุทธตัวร้ายในหนังจีนกำลังภายในก็ไม่ปาน ความปวดมวนที่หมุนวนอยู่ภายในทำให้เขารู้สึกคล้ายกับคนจะกระอักเลือด....

     

    เคร้ง!!

     

    เมื่อหมดหน้าที่ ไม้เบสบอลสีแดงก็ถูกทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี คิมจงอินก็เช่นเดียวกัน เขาทรุดลงกับพื้นทันทีที่ลูกน้องของมาเฟียใจเหี้ยมปล่อยมือที่เคยพยุงไว้ออกจากต้นแขน ตอนนี้ดวงตาของคิมจงอินมันมัวไปหมด เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากรองเท้าหนังมันปลาบนับสิบคู่ที่ค่อยๆเดินไปรวมอยู่ด้านหลังของคนที่ยืนออกคำสั่งอยู่บนหัวตัวเอง

     

    “กลับ”

     

    __________________________________

     

    “เฮ้! คุณมือขวา!!!!” 

     

    ปาร์ค ชานยอลเงยขึ้นจากสมุดโน้ตเล่มเก่าในมือทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนจาก ‘คุณบยอน’ ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แม้ร่างบางจะกำลังยืนเท้าสะเอวทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ก็ตาม

     

    “คุณมือขวา!

     

    “......” ร่างสูงยังคงนั่งนิ่ง เขาปรายตามองแล้วยกแก้วน้ำขึ้นจิบ

     

    “บอกว่าให้กลับไปได้แล้ว”

     

    มาถึงตรงนี้ร่างสูงคิดว่าคุณบยอนคงจะเริ่มหน่ายกับการคิดหาทางไล่เขาไปให้พ้นซะแล้ว เพราะนอกจากมือเล็กนั่นจะยกแก้วน้ำแก้วที่เขาเพิ่งวางขึ้นกระดก ร่างบางยังเลิกเท้าสะเอว แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิที่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับส่งสายตากดดันมาแทน 

     

    “ขอโทษด้วยครับคุณบยอน ผมฟังเฉพาะคำสั่งของบอสเท่านั้น”

     

    นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากพูดกับร่างบางเกินสามคำ ไม่ใช่ว่าโรคจิตอยากจะขัดขวางหรือกวนใจอะไรแฟนของเจ้านายคนนี้นักหรอก เพราะอย่างนั้นถึงต้องบอกให้รู้ จุดประสงค์ที่เขายังต้องนั่งอยู่ในห้องๆนี้ ทั้งๆที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากอยู่นานๆซักเท่าไหร่

     

    “เฮ่อ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกรอบ “แล้วรู้ไหม ว่าเมื่อไหร่เขาจะยกเลิกคำสั่ง” 

     

    ตอนนี้คุณบยอนเริ่มเกลือกกลิ้งกับพื้นแล้ว ร่างบางยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะนอนตะแคงหันมามองทางเขา ใบหน้าน่ารักนั่นฉายแววสงสัยเต็มที่

     

    “ไม่ทราบครับ” 

     

    คุยได้ไม่กี่คำก็เป็นอันต้องกลับไปอีหรอบเดิม อันที่จริงมีหลายครั้งที่ชานยอลเคยนึกอยากจะเกิดใหม่เป็นคนพูดมาก เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์แย่ แต่พอได้มาเจอกับคนมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างคุณบยอนแล้ว เขาก็คิดว่าการเป็นคนพูดน้อยมันก็คงไม่แย่ซักเท่าไหร่หรอก

     

    “ไม่ทราบๆๆๆๆ  คุณนี่พูดเป็นแต่คำนี้หรือไง แล้วคราวนี้บอสโอของคุณจะเอายังไง จะกักบริเวณผมไปถึงเดือนไหนไม่ทราบ ผมจะได้ไปโทรยกเลิกนัดกับเพื่อน แล้วเลื่อนให้มันถูกวัน” 

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณบยอนถูกกักบริเวณ แต่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมอบหมายให้มาดูแลร่างบางเป็นพิเศษกว่าทุกครั้ง ชานยอลนับครั้งที่ตัวเองกระพริบตา มันยังช้ากว่าที่ร่างบางร่ายมายาวเมื่อครู่เสียอีก เป็นเรื่องจริงที่เขาเอาแต่พูดว่าไม่ทราบ มันคงจะน่าเบื่อสำหรับร่างบาง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบอะไรมากกว่านี้ แต่ที่ตอบแบบนี้ก็เพราะว่าเขาไม่ทราบจริงๆ...

     

    “ไม่ทราบครับ”

     

    คุณบยอนกลอกตาขึ้นมองเพดานทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ร่างบางพลิกตัวไปอีกฝั่งแล้วถอนหายใจหนักๆ  เดาได้เลยว่าคงไม่อยากจะมองหน้ากันให้อารมณ์เสีย เพราะไม่ว่าจะถามอะไร ชานยอลก็ให้คำตอบได้แค่คำว่า 'ไม่ทราบ

     

    ท่าทางของคนที่นอนอยู่ดูเบื่อหนาย หลังจากหันหลังให้เขาแล้ว เราทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ชานยอลปล่อยเวลาเปล่าๆทิ้งไปกับการนั่งมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายนิ่ง จนเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอดังขึ้นเท่านั้นล่ะ ก็เป็นอันรู้กันว่าคุณบยอนนั่นหมดแรงพยศแล้ว

     

    ชานยอลลุกจากโซฟาพร้อมหมอนอิงเมื่อเห็นอีกฝ่ายผล็อยหลับไป เขาทรุดตัวลงข้างๆ คนตัวเล็กแล้วสอดมือยกศีรษะขึ้นเพื่อวางหมอนรองให้ และในตอนนั้นเองที่แก้มใสนั่นแนบลงกับเนื้อผ้า สองมือที่ตกอยู่ข้างลำตัวก็ยกขึ้นกอดตัวเองทันที

     

    “หนาว”

     

    ร่างสูงตัดสินใจถอดสูทตัวนอกของตนออก ก่อนจะค่อยๆบรรจงห่มลงบนลำตัวของร่างบางอย่างเบามือที่สุด สมุดโน้ตในตอนแรกไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของมันอีกเลย เมื่อดวงตาคมยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าขาวนั่น....

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปาร์คชานยอลได้เห็นคุณบยอนตอนกำลังหลับ

    แต่เป็นครั้งแรกที่ปาร์คชานยอลได้มองมัน นานเท่าที่อยากจะมอง

     

     __________________________________

    TBC-50%

     

    “อาม่า!” 

     

    เสียงตะโกนลั่นพร้อมทุบกระจกดังไปทั่วห้องนิติบุคคลชั้นล่างสุด ถ้าถามว่านี่เป็นรอบที่เท่าไหร่ จงอินคงตอบได้ว่านี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาพยายามปลุกอาม่าเจ้าของหอที่กำลังนอนอ้าปากหวอรอแมลงวันบินเข้าไปไข่ ทั้งตะโกน ทั้งเคาะจนสันมือระบมไปหมด อาม่าก็ยังนอนหลับสบายอยู่อย่างนั้นไม่มีท่าว่าจะกระดิกซักนิด

     

    แต่ยังไม่ถอดใจ ใช่...เขาบอกตัวเองอย่างนั้น เพราะงั้นในรอบที่สามหลังจากตะโกนเรียกเสร็จ ราวกับว่าพระเจ้าเห็นใจในความพยายาม อยู่ๆร่างเล็กๆนั่นก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเบาะแบบเอนนอนจริงๆ ถ้าให้เดาที่อาม่าตื่นคงจะเพราะแมลงวันบินเข้าปากนั่นล่ะ เขาถึงได้เห็นหญิงชราลุกขึ้นมาปัดรำคาญรอบๆข้างตัวเองพัลวัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น พอเห็นว่าอาม่ายังไม่ได้ไหลตายเขาถึงรีบทุบประตูกระจกทันที

     

    “ว่ายังไงอาจงอิน” อาม่าทักขึ้นหลังจากเดินงัวเงียมาเปิดประตูกระจกอันเล็กออก

     

    “ว่ายังไงอะไรครับอาม่า ทำไมห้องผมถึงได้ล็อกแบบนั้น” จงอินพยายามสูดลมหายใจ แล้วทำให้จิตใจแจ่มใสที่สุดเท่าที่จะทำได้... เวลาแบบนี้เขาไม่ควรจะไปตึงตังใส่คนแก่ ถ้าถามออกไปดีๆบางทีแกอาจจะเห็นใจเปิดห้องให้เขาก็ได้

     

    “เอ้า...ก็ลื้อไม่ได้จ่ายค่าหอมาตั้งสามสี่เดือนแล้ว นี่อั๊วะจะให้คนเช่าใหม่เข้ามาดูห้องลื้อแล้วนะนี่” อาม่ายกบิลค่าห้องสามสี่เดือนที่เพิ่งดึงออกมาจากลิ้นชักอันเล็กๆข้างโต๊ะให้เขาดู “อั๊วะนึกว่าลื้อตายไปแล้วซะอีก เห็นหายหัวไปเลย...แล้วนี่ไปทำอะไรมาล่ะ ยุงกัดหรือไง”

     

    จงอินเบ้ปาก ก้มลงมองสภาพตัวเอง ยุงกัดงั้นหรออาม่า! ยุงกัดบ้าอะไรนี่มันหมาฟัดแล้ว! ร่างโปร่งคิดในใจเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มให้อาม่า “โธ่อาม่า เปิดประตูให้ผมก่อนนะครับนะ อย่าเพิ่งไล่ผมออกเลย” 

     

    หญิงชราถอนหายใจพรืดใหญ่ “ไม่ได้แล้วอาจงอิน เอางี้ ถ้าลื้อหาเงินมาจ่ายค่าหอที่ค้างไว้ได้เมื่อไหร่ก็ค่อยมาคุยกัน”

     

    “โธ่อาม่า”

     

    “อั๊วะให้เวลาถึงสิ้นเดือนนี้”

     

    “สิ้นเดือนนี้มันก็อีกสี่วันเองนะอาม่า....” เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยกสองมือขึ้นพนมกลางอกทันที “นะนะอาม่า ผมขอร้องๆ”

     

    “ไม่ได้ แค่นี้อั๊วะก็ปราณีลื้อมากแล้วนะ ให้ค้างตั้งหลายเดือนแล้วยังใจดีให้จ่ายรวบสิ้นเดือนนี้อีก”

     

    “โธ่อาม่าผมหาเงินไม่ทันหรอก นะอาม่าถือว่าสงสารเด็กตาดำๆนะครับ ถ้าอาม่าไล่ผมออกแล้วผมจะไปอยู่ไหน” 

     

    จงอินยังคงพนมมืออยู่อย่างนั้น ด้วยหวังว่าอาม่าจะใจอ่อนบ้าง แต่ไม่เลย หญิงชราทำหน้าเบื่อโลก กลอกตาเหมือนกำลังฟังละครวิทยุเรื่องเดิมที่กรอซ้ำๆ แล้วเลื่อนบิลค่าใช้จ่ายทั้งหมดผ่านช่องเล็กๆนั้นมาให้ 

     

    “จะไปอยู่ที่ไหนมันก็เรื่องของลื้อ ตอนนี้ที่ลื้อต้องทำคือจ่ายให้ครบก่อน ถึงจะได้เข้าห้อง” 

     

     

     

     

     

    “เรื่องมันก็เป็นอย่างงั้นแหละ”   

     

    “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” 

     

    เสียงหัวเราะแบบที่สะใจโคตรๆตอนนี้พ่นแตกกระจายเป็นฟองปะทะหน้าคิมจงอินผู้อาภัพจนแทบจะต้องมุดดินเพราะความอาย เพื่อนเอกเดียวกันอย่างลู่หาน แทนที่ฟังแล้วจะรู้สึกสงสาร มันกลับทำเหมือนเรื่องของเขาเป็นเรื่องสนุกสนาน จงอินเบ้ปากก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะเลคเชอร์ เห็นอย่างงั้นแล้วบอกได้คำเดียวว่าเซ็ง

     

    จะให้พูดก็พูดเหอะ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะฉะดะกะอาม่าเจ้าของหอ คิมจงอินก็ไม่ได้กลับเข้าไปที่ห้องตัวเองวันนี้ก็นับเป็นวันที่สามแล้ว นั่นหมายความว่าเขาเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวที่จะไม่โดนไสหัวออกจากห้องตัวเองไป... จะทำยังไงตอนนี้เงินติดตัวจะกินข้าวยังแทบไม่มี

     

    “หัวเราะอะไรนักหนาวะ นี่จะมาขอความช่วยเหลือ ไม่ได้เล่าเพื่อให้มึงฟังแล้วมาหัวเราะเยาะกู”

     

    “ฮ่าๆๆ โอ้ย ก็มันขำ” ลู่หานยังไม่หยุดหัวเราะซักที จนเขาที่นอนเลื้อยหน้ากับโต๊ะเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ เลยหยิบปากกาปาใส่หน้ามันไปที “โอ้ย...เจ็บไอ้เหี้ยจงอินนี่ ฮ่าฮ่าฮ่า....สมน้ำหน้ามึงชิบหาย นี่ไงที่เขาเรียกว่าอะไรนะ ตามทันกรรมใช่ไหม”

     

    “กรรมตามทันไอ้เจ๊กตื่นไฟ” กลอกตามองเพดานแล้วถอนลมหายใจออกมา คนจีนนี่มันคนจีนจริงๆ... ลู่หานเป็นเพื่อนชาวจีนที่สอบชิงทุนมาเรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่นี่ ด้วยความที่เป็นนักท่องราตรีเลยทำให้หนุ่มหน้าหวานคนนี้ไม่ค่อยมีเพื่อนซักเท่าไหร่ ก็มีแต่เขานี่ล่ะที่ยอมเป็นเพื่อนกับมัน

     

    ก็อย่างว่าละนะ ไอ้สันดานขี้แซะชาวบ้านทั้งๆที่ยังพูดภาษาเกาหลีไม่ถูกหลักไวยกรณ์มันก็น่าคบอยู่หรอก!

     

    “อ่อ กรรมตามทัน...เออ นั่นล่ะ แล้วจะเอายังไง จะยืมเท่าไหร่”

     

    พูดถึงเรื่องเงิน...อันที่จริง ที่เขายอมเล่าเรื่องน่าขายหน้าทั้งหมดให้ลู่หานฟังวันนี้ก็เพราะเดือดร้อนเรื่องทุนทรัพย์เนี่ยแหละ จงอินเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนจะส่งสายตาประมาณว่า จะพูดดีไหมวะ ให้อีกฝ่าย นั่งกันอยู่นิ่งๆโดยไม่พูดอะไรซักคำอย่างนั้น นานจนคนจีนทนไม่ได้นั่นแหละ ถึงได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา

     

    “สองแสนวอนพอไหม” 

     

    “......เอ่อ เกรงว่าจะไม่พอ”  จงอินทำหน้าลำบากใจ ใช่ว่าเขาอยากจะยืมไอ้เจ๊กมันซะที่ไหน ก็พอจะรู้ว่าตัวมันก็มีค่าใช้จ่ายเยอะ แต่เพื่อนคนอื่นๆที่พอจะสนิทกันเขาก็บากหน้าไปขอยืมมาหมดแล้ว และก็ได้คำตอบว่าช่วงนี้ใกล้ๆจะสิ้นเดือนเกือบเหมือนสิ้นใจ ค่าใช้จ่ายพวกมันบานล้นมือเหมือนเห็ดนางฟ้าบานตอนเอาไปทอด คงไม่มีให้ยืมถึงขนาดที่เขาต้องการหรอก....

     

    “....ถ้ามากกว่านี้กูก็ไม่พอแล้วเหมือนกันว่ะ” ลู่หานทำหน้าเครียด หน้าหวานก้มลงแหวกกระเป๋าตังค์ตัวเองให้เพื่อนดู “ให้ยืมได้แค่นี้...” 

     

    “....เอาไงดีวะ หรือว่าจะขายซิงตูดดี” มาถึงตรงนี้จิตใจจงอินเริ่มฟุ้งซ่าน เนื่องจากไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่พอจะขายเป็นเงินได้จึงทำให้เขาคิดไปถึงเรื่องประมูลประตูหลัง เคยได้ยินพวกเพื่อนๆที่เที่ยวบาร์เกย์ย่านใจกลางเมืองพูดเอาบ่อยๆ แต่ก็นั่นอีก ก้นคนดำๆคล้ำ ตอบๆ เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างเขา ใครจะมาอยากซื้อวะ.... 

     

    “มึงนี่เครียดแล้วเพ้อเจ้อนะ” ลู่หานว่า อยากจะช่วยเพื่อนเหมือนกันแต่ก็อดขำไมได้ คิมจงอินนี่มันเป็นอะไรนักหนา เห็นอยู่ว่ามันเครียด แต่ถึงอย่างนั้นอารมณ์แบบนี้ก็ยังมีหน้ามาตบมุกอีก “งั้นเอางี้ไหมล่ะ...ไปทำงานร้านพี่ที่กูรู้จัก”   

     

    “ร้านอะไร...”

     

    “ร้านเหล้า”  คนตัวดำยืดตัวขึ้นจากโต๊ะทันที สายตาบ่งบอกความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดซะจนลู่หานถึงกับหลุดขำออกมา “สนไหมทิปเยอะด้วยนะ” 

     

    “จริงอะ” ร่างโปร่งแบมือนับนิ้ว คำนวณรายได้ขั้นต่ำต่อวันของตัวเองที่สมควรจะได้รับทันที “วันละหมื่นวอนถึงไหม”

     

    “มากกว่านั้น” ลู่หานว่าพลางกลั้นขำ

     

    “จริงอะ....ทิปก็เยอะดิ.....แล้วทำไมมึงต้องขำ ชักไม่น่าไว้ใจละ” พูดพลางเบ้หน้า เวลาเห็นลู่หานมันยิ้มแบบนั้นทีไร ทำไมถึงได้รู้สึกว่าจะมีแต่เรื่องไม่ดี

     

    “เออน่า ไว้ใจเหอะ กูไม่พามึงไปทำเรื่องไม่ดีหรอก”

     

    “จริงอะ” จงอินพ่นลมหายใจออกมา ไอ้คำว่า ไม่พาไปทำเรื่องไม่ดี ที่หลุดออกมาจากปากคนอย่างลู่หานนี่เขาจะเชื่อได้จริงแค่ไหน แต่ก็เอาเถอะ ยังไงชีวิตมันก็คงไม่ตกต่ำเกินไปกว่านี้อีกละ เดินมาถึงจุดนี้ยังไงซะเรือเล็กก็ควรออกจากฝั่ง!

     

    “....จริงของจริง จะเอาไง ทำไม่ทำ? จะได้โทรไปบอกเขา เขากำลังขาดคนพอดี” 

     

    จงอินมองโทรศัพท์มือถือในมือเพื่อนชาวจีนนิ่ง... เอาวะเป็นไงก็เป็นกัน 

     

    “โอเคกูทำ”  

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    “ทำกับเหี้ยอะไรเนี่ย!

     

    เสียงบ่นพึมพำดังขึ้นเบาๆจากซอกหนึ่งของเงามืด ชายหนุ่มในชุดเด็กเสิร์ฟนุ่งน้อยห่มน้อยกำลังยืนด่าคนในโทรศัพท์พลางดึงผ้ากันเปื้อนตัวเองให้ลงต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แสงไฟวิบวับน้อยนิดที่สาดไปทั่วฟลอเต้นรำไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย พวกเด็กเสิร์ฟคนอื่นๆก็ด้วย! พวกนั้นเดินถือถาดอันกลมสีดำกวักไกว่ไปมาเหมือนกับว่าชุดที่ใส่นี่มันก็แค่ชุดไปรเวท!

     

    “นี่มันเหี้ยอะไรวะเนี่ย มึงหลอกกูชัดๆเลย ไอ้เจ๊กสถุน!

     

    [“หลอกเหี้ยอะไร ก็เห็นมึงร้อนเงินไงเลยช่วย”]

     

    คิมจงอินอยากจะร้องไห้ตอนที่ได้ยินเสียงพูดปนขำดังมาจากปลายสาย  กว่าจะรู้ตัวเขาก็พลาดไปดอกใหญ่ ไม่น่าเชื่อคำมันเลยที่บอกว่าจะช่วย ได้เรื่องเลยไหมล่ะ 

     

    นึกไปถึงตอนหัวค่ำที่พอเพื่อนชาวจีนโทรมาคอนเฟิร์มว่าทำงานได้ ให้รีบเข้าไปที่ร้าน เขาก็เชื่อคำมัน รีบบึ่งไปถึงที่ ในใจนี่นึกว่าจะได้ทำงานด้วยได้เหล่สาวสวยๆหนุ่มน่ารักๆเป็นอาหารตาไปด้วย แต่พอเข้ามาถึง ขายังไม่ทันพ้นขอบประตู ก็โดนมือดีลากไปทึ้งเสื้อผ้าออกจนกลายเป็นน้องชายหูกระต่ายเปลือยท่อนบนแบบนี้.... 

     

    แล้วแถม... มาถึงตอนนี้ก็ทำงานไปได้สี่ชั่วโมงกว่าๆ ไอ้ลูกค้าที่เข้ามาแต่ละคนก็หัวล้านพุงโล พกปืนอันโตๆ ถือแบงค์หมื่นยังกับแบงค์กาโม่จ่ายสดเป็นฟ่อนๆ ไม่ต้องถามใครอีก เขารู้ได้ด้วยตัวเองตอนนี้เลยว่าพลาดอย่างแรงที่ยอมเชื่อใจลู่หานเข้ามาทำงานที่นี่....

     

    ใช่...ที่นี่แหละที่เขาเรียกว่า “บาร์เกย์” 

    แถมไม่ใช่เกย์ธรรมดา เป็นเจ้าพ่อมาเฟียเกย์อีกด้วย.... 

     

    “ฮ่าฮ่าฮ่า เขยิบเข้ามาอีกนิดสิ ป๋าจะได้ใส่ทิปให้ถนัดๆ”

     

    “อ๊ะ ป๋า....อย่าสิฮะ” 

     

    พูดไม่ทันขาดคำเรื่องบัดสีบัดเถลิงก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเลย ร่างโปร่งหันไปมองต้นเสียงที่ยืนทำเสียงอิ๊อร๊างค่างแว่นอยู่ที่โซนวีไอพี หนอย ปากก็บอกว่าอย่าครับ แต่ก็ยื่นผ้ากันเปื้อนแบบเตี่ยน้อยไปให้เขาใส่ทิปเป็นฟ่อนๆ   

     

    ตั้งแต่เกิดมาแล้วรู้ว่าตัวเองเป็นไบฯ ก็ไม่เคยคิดว่าจะมาทำอะไรแบบนี้นะ ถึงเขาจะชอบทำตัวเหมือนเลือกได้ ใจดีกับคนอื่นไปทั่ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมให้ใครมาล้วงมาควักของสงวนกันง่ายๆอะไรแบบนี้...

     

    พระเจ้าครับ....ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง คิมจงอินอยากถามว่ายังมีความปราณีเหลือให้ลูกช้างคนนี้อยู่ไหม? 

    ถ้ามีล่ะก็ ขอให้ส่ง EMS เข้ามาให้ด่วนๆเลยนะครับ....

     

    [“มึงก็ทนๆไปก่อน ขายดริ๊งให้ได้ ทำวันนี้วันเดียวก็ได้ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือแล้ว”]

     

    “ทนเหี้ยอะไรของมึงล่ะ ทั้งล้วงทั้งควักกันโจ่งแจ้งแดงแจ๋ขนาดนี้ ถ้ากูเสียพรหมจรรย์ทางก้นขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ ถ้ากูเป็นริดสีดวงขึ้นมาก่อนวัยอันควรมึงจะทำยังไง!

     

    [“มึงก็ซีเรียสไปได้ ตัวเองก็เคยมีอะไรกับผู้ชาย ก็รู้ไม่ใช่หรอวะว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น”] โอโห ดูเพื่อนชาวจีนมันพูด...มาถึงตรงนี้น้ำตาจงอินแทบจะนองเป็นคลองแสนแสบ ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งพิงผนังในมุมมืด

     

    “เห็นแบบนี้กูก็เลือก ไอ้เชี่ย....แล้วกูก็เลือกเสียบเท่านั้น...” ถึงจะด่าว่าเพื่อนยังไง แต่น้ำเสียงตอนนี้ก็ไม่ใช่กระโชกโฮกฮากแล้ว ยอมรับว่าเขาชักจะหมดแรง ถึงได้ทำเสียงเศร้าๆออกไป

     

    [“เอาน่า ทนหน่อย...เอางี้ไง มึงก็ยืนหลบๆมุมอยู่ที่มืดๆ ใช้ตัวดำๆของมึงให้เป็นประโยชน์หน่อย พวกมาเฟียมันจะได้ไม่เห็น แล้วก็ไม่เรียกมึงเข้าไป.....”]

     

    “เฮ้ยน้องตรงนั้นอะ !

     

    พูดไม่ทันขาดคำ น้ำเสียงทรงพลังก็ตะโกนดังขึ้น จงอินยืนหันซ้ายหันขวาหา น้องคนนั้นทั้งๆที่มือยังจับโทรศัพท์แนบแก้มตัวเองอยู่ ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่พอเสียงนั่นเงียบไปก็อุ่นใจขึ้นมานิด จนกระทั่ง....

     

    “เรียกน้องนั่นแหละ จะหันไปหาใครอะไรนักหนา” 

     

    ร่างโปรงลดโทรศัพท์ลงข้างตัวพร้อมคลำปุ่มกดตัดสายทันที ตอนนี้ชายในเสื้อลายดอกแบบที่มาเฟียบ้านนอกชอบใส่กันกำลังย่างสามขุมมาหาเขา.... 

     

    “ม....มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ?”  ถามออกไปเสียงสั่น... คำอวยพรของลู่หานนี่มันสาปส่งกันทางอ้อมชัดๆ พูดไม่ทนจบก็โดนเรียกเลย...

     

    “เฮียโต๊ะโน้นเค้าอยากซื้อดริ้งน้อง....รีบไปหาเขาด่วนๆเลย อย่าปล่อยให้เขารอนาน ถ้าเฮียอารมณ์เสียขึ้นมาเดี๋ยวจะพาลซวยกันไปหมด” 

     

     จงอินมองตามมืออวบของคนพูดไปทาง เฮีย ชายหนุ่มวัยกลางคน หัวล้าน คางเฟิ้มไปด้วยเคราโต๊ะถัดจากที่เขายืนเยื้องไปด้านขวากำลังนั่งยกแก้วทักทายอยู่ยิ้มๆ นี่มันซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนชัดๆ ขนาดยืนดำมืดเป็นเงาเคาน์เตอร์มึงยังเห็นกูได้อีกหรอ!

     

    ยังไม่ทันจะได้นึกอะไรต่อ ชายร่างอวบในชุดลายดอกก็ดันตัวเขาให้เดินไปข้างหน้าหาโต๊ะของเฮียทันที ตอนนี้จงอินกำลังคิดหาวิธีที่จะออกไปจากโต๊ะนี้จนหัวแทบหมุน แต่ก่อนจะได้วุ่นกับข้ออ้างที่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ตัวทั้งตัวก็ถูกกระชากให้นั่งลงบนตักของเฮียซะแล้ว

     

    “ว่าไงจ้ะ ชื่ออะไรน่ะเรา”

     

    ร่างโปร่งแทบอ้วกเมื่อริมฝีปากใต้เครานั่นส่งยิ้มหวานมาให้ จงอินพยายามสุดฤทธิ์ที่จะดันสีข้างตัวเองให้ออกห่างจากพุงหลามๆนั่น จะบ้าตาย นอกจากสายตาแพรวพราวที่ชวนให้คลื่นเหียนแล้ว กลิ่นปากกับตัวของมันยังทำให้เขารู้สึกเหมือนกับยืนอยู่หน้ารถดูดส้วมอีกด้วย....

     

    อยากจะร้องไห้....

     

     “....ช...ชื่อจงอิน...ครับ” ตอบตะกุกตะกักออกไป แต่มือก็ยังพยายามดันอกอีกฝ่ายไม่ให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม

     

    “หรอ....จงอินใช่ไหม....อืม...เราน่ะถูกสเป็คเฮียมากเลยนะ” เฮียไม่ได้แค่พูดอย่างเดียว แต่เฮียยังใช้นิ้วชี้น่าขยะแขยงลากจากไหล่ลาดลงมาถึงต้นแขนของเขาอีกด้วย “ผิวสีน้ำผึ้งด้วย เซ็กซี่สุดๆไปเลยนะ” 

     

    “....ผม...ผมว่าผมไปนั่งข้างๆเฮียดีกว่าไหมครับ เฮียจะได้ไม่เมื่อย” ในเมื่อพยายามดันตัวออกห่างมากไปกว่านี้ไม่สำเร็จ ร่างโปร่งจึงยื่นข้อเสนออื่นแทน

     

    “จะไปนั่งตรงอื่นทำไม ตักเฮียไม่ดีหรอเขยิบเข้ามาหาเฮียสิเดี๋ยวเฮียให้ทิป” ไม่พูดเปล่า แต่มันยังรั้งแขนเขาเอาไว้ ทำให้จากที่ตั้งใจว่าจะได้ลุกออกไปแน่ๆ กลายเป็นต้องทรุดลงมานั่งตักมันใหม่ แถมใกล้ซะยิ่งกว่าเดิมอีก!

     

    “อ...อย่าดีกว่าครับ” จงอินพยายามฝืนยิ้มพลางปัดมือปลาหมึกที่ทำท่าจะล้วงแคะแกะเกาน้องชายเขาไปด้วย

     

    “อายใหญ่ๆๆ น่ารักมาก เขยิบมาๆๆ นี่ไงเงิน...ไม่อยากได้หรอจ้ะ” ไอ้เฮียพูดพร้อมกับควักแบงค์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แบงค์เป็นฟ่อนๆสะบัดไปมาตรงจงอินเหมือนตั้งใจจะสะกดจิต ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้ตังนะ แต่ให้มาทำอะไรแบบนี้แลกกับตังนี่มันเสียสุขภาพจิตชิบหาย แล้วไอ้มืออ้วนๆนี่ก็อีก พยายามจะล้วงจะควักเข้ามาให้ได้ ทั้งๆที่เขาก็ดันออกอย่างสุภาพแล้วแท้ๆ

     

    “ให้ผมไปนั่งข้างๆเถอะครับ” จงอินยิ้มแหย พูดปฏิเสธเสียงเบาพลางเบี่ยงตัวให้ออกจากการเกาะกุม

     

    “.....อย่าเล่นตัวนักจะได้ไหม” แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะเริ่มหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน ไอ้เฮียเคราเฟิ้มออกแรงดึงกางเกงตัวน้อยให้ร่นออกเพื่องานต่อการลวนลาม ทว่าถ้าคิมจงอินเป็นเคะน้อยตัวเล็กน่ารักมันคงจะเป็นอะไรที่ได้กำไรมากกว่านี้.... 

     

    ก็เผอิญว่าไม่ใช่....

    เล่นกับใครให้มันรู้ซะมั่ง!

     

    “เอะไอ้เหี้ยนี่!ก็บอกว่าไม่ไง!

     

    ผลั่วะ!

     

    คิมจงอินปล่อยหมัดลุ่นๆตรงเข้ากระแทกหน้าอาเฮียหนวดเฟิ้มเต็มรัก ร่างอ้วนโสโครกนั่นกลิ้งลงจากโซฟากำมะหยี่สีดำทันที

     

    “ม....มันต่อยเฮีย”  ไอ้เฮียพูดเสียงสั่น ลูกน้องที่เคยยืนเฝ้าอยู่รอบๆโต๊ะปรี่เข้ามาพยุงร่างอ้วนนั่นให้ลุกขึ้น หน้าเฮียเหมือนจะร้องไห้แล้วตอนนี้ แต่จงอินไม่สน เขาเบี่ยงตัวหลบหมัดของลูกน้องที่วิ่งเข้ามาใส่เพราะทนเห็นความอัปยศของเจ้านายตัวเองไม่ได้ ก่อนจะสวนหมัดซ้ายเข้าให้ ฝากไว้ที่กลางท้องของมัน  

     

    “....เลวเอ้ย ถ้าหื่นนักก็กลับไปควักของเมียแก่ที่บ้านมึงสิวะ!” ร่างโปร่งที่ยังไม่รู้ชะตากรรมต่อจากนี้ของตัวเองตะโกนขึ้นมาอย่างได้ใจ ในขณะที่บรรยากาศรอบๆเริ่มจะมาคุลง การ์ดชุดดำนับสิบที่ไม่ได้เผยตัวออกมาปกป้องเจ้านายแต่แรกค่อยๆก้าวออกมาจากเงามืดเรื่อยๆ....

     

    ทำไมเหตุการณ์มันคุ้นๆชอบกล จำได้ว่าเมื่อสามวันก่อนคิมจงอินก็เจอแบบนี้ แบบที่มีชายชุดดำยืนล้อมเขาเป็นวง ทำเหมือนเขากำลังเป็นผู้ปลดปล่อยที่กำลังจะต่อสู้กับลูกสมุนของเอเจ้นท์สมิธก็ไม่ปาน

     

    “มันทำเฮียกวง!...อย่าให้มันตายดี!!” 

     

    ไม่ทันได้คิดอะไร แม้แต่การ์ดก็ยังไม่ได้ตั้งด้วยซ้ำ พอสิ้นเสียงตะโกนสร้างความฮึกเหิม ร่างโปร่งก็ล้มลงพื้นทันที ไม้หน้าสามสี่ห้าอันรุมตีอยู่บนตัวเขาจนแทบจะไม่มีที่ว่างให้ลงได้อีก นี่เขาล้มลงมาได้ยังไงวะ เมื่อกี้ยังยืนกำชัยชนะอยู่ตรงหน้าไอ้เฮียเลยแท้ๆ....

     

    “โอ้ย โอ้ย เบาๆ”

     

    นานไม่รู้กี่สิบนาทีที่จงอินนอนงอตัวอยู่ท่ามกลางดงตีนนี่ แม้จะตะโกนขอร้องความช่วยเหลือให้ดังเท่าไหร่แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้ายุ่งเลยซักคน เป็นอันรู้กันว่าเฮียกวงเป็นมาเฟียรายใหญ่ของแถบนี้ ถึงอยากจะเข้าไปช่วยแค่ไหนแต่ก็ไม่คุ้มที่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยง...

     

    จะตายแล้ว...ม้ามจะพังแล้ว...

     

    ร่างโปร่งได้แต่นอนคิดอยู่อย่างนั้น ในขณะที่เหล่าลูกน้องของเฮียกวงก็ควงสเต็ปเตะอัดเขาให้แรงมากยิ่งขึ้น พวกมันรุมเขาอย่างเมามันส์เหมือนกับว่าหน้าชู้ของเมียมันซ้อนทับลงกับหน้าของเขา คิมจงอินในเวลานี้ใกล้จะหมดสติแล้ว ทั้งร่างของเขามันช้ำระบมจนแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป....

     

    ปัง!

     

    เสียงปืนลั่นไกดังชะงักทุกอย่างแม้แต่ลูกน้องของเฮียกวงที่กำลังจะกระทืบเท้าลงมาบนท้องของร่างโปร่งอีกรอบ มันค้างเท้าไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะรีบถอยไปหลบอีกทาง ตอนนี้แสงที่สาดเข้ามามันริบหรี่เหลือเกิน ดวงตาของจงอินพร่าไปหมด ร่างโปร่งไม่มีแรงแม้แต่จะยกหน้าขึ้นไปเสือกได้ว่าใครกันที่เป็นคนขัดจังหวะการรุมสะกำตัวเองตอนนี้

     

    “นึกว่ารุมกระทืบใคร....ไอ้มดดำไร้ประโยชน์นี่เอง” 

     

    เสียงแหบทุ้มแต่คุ้นหูดังขึ้นจากที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้มีรองเท้าหนังสีดำมันขลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าห่างจากตาของเขาไปแค่เซ็นต์เดียวเท่านั้น....

     

     “ไอ้หมอนี่เป็นของฉัน”

     

    “.........”

     

    “ใครก็ห้ามกระทืบมัน” 

     

    “...............”

     

    “เพราะฉันจะจัดการมันเอง”  

     

    __________________________________

    TBC -3

     

    โอโห รู้เลยว่าเขียนไม่รู้เรื่องง่ะ (เดี๋ยวจะมาตามอีดิทให้น้า)

    น้องโต้รุ่งยันเช้า การบ้านเยอะมากจริงๆๆ

    มาเขียนให้อ่านตามสัญญาค่ะ

    อย่าเพิ่งลืมเรื่องนี้นะ รักบอสโอให้มากๆน้า จุ้บๆๆๆๆ

     

    ขอบคุณที่ชอบเรื่องนี้นะคะ ติดแท็ก #ficbigboss ได้ในทวิตเลยนะ <3








    ’ cactus
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×