คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : แ ค่ กู รั ก มึ ง | ยั ง ซึ้ ง ไ ม่ พ อ : 01
- ฟิคชั่นเรื่องนี้มีหลายคู่จัด ทั้ง ชานไค ไคเทา ไคหมิน ลู่หมิน ฮุนแบค แบคโด้ แต่หลัก ๆ คือ “ไคฮุน” มันอาจจะมีจงอินเป็นเคะ แต่ก็แค่ส่วนประกอบนะคะ ;_ ;
_________________________________________
เหมือนเขียนไดอารี่เลยนะว่าไหม
และที่ผมจะบ่นวันนี้คือ...
“จงอิน...อยากดูหนังอะ เลี้ยงหน่อยดิ”
ใช่ครับ วันนี้ผมกับเทาเรามาเดทกัน... อันที่จริงจะเรียกว่าเดทเต็มปากก็ไม่ได้เพราะเราไม่ได้ตกลงเป็นอะไรกันอย่างเป็นทางการ แต่ก็นั่นล่ะ...เพราะว่าพวกเรามีอะไรกันแล้วผมจึงขอเรียกการออกมาเที่ยวกันสองต่อสองครั้งนี้ว่า ‘เดท’
“อือ..อยากดูเรื่องไรล่ะ”
ผมพยักหน้าส่ง ๆ ให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เทาที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ทำตาโตเท่าไข่ห่าน ก่อนจะอุทานเบา ๆ ว่าจริงหรอ แล้วยื่นโทรศัพท์ที่เปิดโปรแกรมหนังของห้างที่เรามาเที่ยวให้ผมดู
“หนังผีนี่หว่า” ผมอุทานเบา ๆ
“ก็ใช่อะดิ อยากดูอะ เลี้ยงหน่อยนะ ๆ”
เลี้ยงหน่อยนะ? ผมมองเทาที่นั่งยิ้มหน้าแป้นอยู่ตรงข้าม ก็ไม่หน่อยนะ ได้ข่าวว่าข้าวที่กินอยู่ผมก็เพิ่งออกตังจ่ายไปให้ อย่าหาว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัวคิดเล็กคิดน้อยเลยครับ แต่ลำพังจะออกมาจากบ้านก็ต้องขอเงินจากแม่แล้วก็โดนบ่นมันทุกที ไม่หนำใจเงินเก็บที่เอามาเลี้ยงมันตั้งแต่เริ่มกิ๊กกันนี่ก็หมดไปไม่ใช่น้อยแล้วนะ
“โอเคก็ได้”
แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้ตามใจไง ผมเลยตอบไปส่ง ๆ อย่างนั้น เห็นเทาทำสีหน้าดีใจแล้วมันก็พูดอะไรไม่ออก ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้น ผมรู้ว่าคุณก็เป็น ไอ้อาการป๋ากับคนที่กิ๊กกั๊กอยู่ด้วยเนี่ย มันเป็นธรรมดาของมนุษย์โลกมากๆ
เป็นอันว่าวันนี้ผมตกลงจะดูหนังผีกับเทาทั้ง ๆ ที่เราแค่จะออกมาหาอะไรกินกัน พอกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ดเสร็จเทาก็พาผมตรงดิ่งไปชั้นโรงหนังที่อยู่บนสุดทันที หมอนั่นเลือกที่นั่งสวีทเองเสร็จสรรพ ก่อนจะหันมาแบมือขอเงินจากผมที่กำลังจะควักกระเป๋าตังขึ้นมา...
ห่าราก...จ่ายค่าตั๋วไปสองใบตอนนี้ก็เหลือเงินแค่พอดีค่ารถเมล์กลับบ้าน
ตอนนั้นได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนหยิบเงินส่งไปให้ ได้แต่ภาวนาในใจว่า สาธุ๊...วันนี้แม่งขออย่าหลับเลยป้ายรถเมล์เลยนะ ไม่งั้นกูต้องเดินกลับบ้านแน่ ๆ แต่พอเห็นเทาอมยิ้มส่งมาให้ก็ เฮ้อ....เอาไงก็เอากันวะ ไหน ๆ ก็ป๋าแล้วก็ป๋ามันไปให้สุด ๆ เลยนั่นล่ะ
“อ้าว แล้วทำไมมึงไม่บอกมันไปว่าไม่มีตังวะ”
น้ำเสียงติดจะรำคาญของคนปลายสายทำให้ผมถึงกับชะงักมือที่กำลังแกะเงาะกระป๋องลง ก็อย่างที่เคยบอก เซฮุนแม่งเป็นคนที่รู้ดีเกี่ยวกับตัวผมยิ่งกว่าใคร พอเจอเหตุการณ์ทำร้ายจิตใจเลยต้องโทรไปรายงานมันเสียหน่อย
“มึงก็รู้ว่าเทามันเป็นคนยังไง กูไม่อยากขัดใจมันอะ”
พูดพลางตักเงาะใส่ปาก จะว่าก็ว่าเหอะ ตั้งแต่ผมเริ่มกิ๊กกับเทามาก็ดูเหมือนจะใกล้กับเซฮุนมากยิ่งขึ้น จากเมื่อก่อนที่เราเคยโทรคุยกันแค่เวลาเดียวคือช่วงเย็นก่อนนอน ตอนนี้มันเพิ่มมาอีกสอง คือหลังกินข้าวและตอนเช้าด้วย
“ป๋านักหรอมึงอะ...ตังจะจ่ายค่าตัดชุดยังไม่มีเลย”
เซฮุนมันรู้ครับว่าบ้านผมขายน้ำเต้าหู้ แล้วตังทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการยอมทำงานเป็นลูกจ้างแม่เนี่ย ก็คือจะเอามาจ่ายค่าตัดชุดเต้นคัฟเวอร์กับพวกมันเนี่ยแหละ
“ไม่ได้ป๋า แต่ถ้าไม่ให้มันก็งอแง...มึงก็รู้”
“ไม่รู้เว้ย ไม่เคยมีแฟน” เสียงของเซฮุนฟังดูกระฟัดกระเฟียดยิ่งขึ้น “คบกับมันแล้วอึดอัดใจกันอย่างนี้ จะคบทำไมวะถามจริง”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ยกช้อนขึ้นดูดน้ำเชื่อมพลางใช้ความคิด
“อันที่จริง...ก็ยังไม่ได้ตกลงจะคบกันนะ”
“อ้าว แล้วมีอะไรกันแล้วแต่ไม่ได้คบกันเนี่ยนะ?” เซฮุนแหว
“ก็เออ...” พูดไปก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ผมกับเทาเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนี้ “ก็ชอบหน้าตากันเฉยๆนี่หว่า ไม่ได้ชอบนิสัยจริงจัง ตอนนี้ก็คือศึกษากันอยู่...”
“กูแม่งไม่เข้าใจพวกมึงเลยว่ะ ทำไมมีอะไรกันได้ทั้งที่ยังไม่คบกันวะ” ปลายสายเงียบไปซักพัก ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วใครเป็นรุก ใครเป็นรับ”
เออกูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผมอยากจะตอบอย่างนี้ แต่ในสายตาเซฮุนคือผมแม่งกร้านโลกมาก ทั้งที่จริง ๆ แล้วจื่อเทาแม่งเป็นคนแรกของผมเลย เป็นคนสอนให้ผมรู้จักเรื่องอะไรอย่างนี้แท้ ๆ
“กูเป็นรุกว่ะ” ผมขมวดคิ้ว “เทามันรับอะ”
“ห๊ะ”
“แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสอดใส่อะไรนะ ก็แค่จูบ ๆ ลูบ ๆ อยู่ข้างนอกอะ”
สาบานได้เลยว่าที่ตอบไปเป็นความสัตย์จริงทั้งมวล และแน่นอนเพราะเซฮุนเป็นเพื่อนผมจึงไม่ต้องมียางอายอะไรทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนปลายสายมันจะคิดหนักแล้ว ผมได้ยินเสียงเซฮุนหายใจฟึดฟัด ท่าทางมันจะคิดมากจริง ๆ นะนั่น
“พวกมึงแม่ง....” มันพูดมาแค่นั้น
“อะไร”
“มึงแม่งหื่นกามว่ะจงอิน มึงแม่งไม่ใสอะ”
ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ทันทีที่ฟังมันพูดจนจบ เดาได้เลยว่าตอนนี้มันกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่
“ก็ผู้ชายด้วยกัน จะเสียหายอะไรล่ะ” ที่ตอบไปไม่ใช่ว่าจะเสือหรืออะไรนะครับ แต่คิดอย่างนั้นจริง ๆ เอ้า! ก็ผู้ชายด้วยกันแท้ ๆ จะกลัวเสียอะไรล่ะ ก็มีความสุขด้วยกันทั้งคู่ไม่ใช่หรอ อีกอย่างก็แค่สนองความอยากรู้อยากลอง ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนซะเมื่อไหร่
“เสียดิ...กูเนี่ยเสีย” เซฮุนตอบกลับมา “เสียเพื่อนซิงไปแล้วคนนึง”
จากที่หัวเราะน้อย ๆ ตอนนี้กลายเป็นขำก๊ากเลยครับ ก็เข้าใจนะว่าทำไมคนที่ดูเถื่อน ๆ ห้วน ๆ ท่าทางจะมากประสบการณ์อย่างเซฮุนถึงพูดอะไรอย่างนี้ออกมาได้...ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าใจว่ามันด่าแหละ แต่เพราะเป็นผม เลยมีคำตอบให้ตัวเองแบบง่าย ๆ แบบคิดง่าย ๆ โง่ ๆ เลยนะ...
เพราะมันไม่เคยมีความรัก...
เพราะมันไม่เคยมีแฟน ถึงไม่เคยรู้ว่า ‘มนุษย์’ ก็เป็นสัตว์ที่มีความต้องการทางเพศเหมือนกัน
พอได้ยินเสียงหัวเราะยาวของผมมันก็ด่าไม่หยุดเลยทีนี้ ยอมรับก็ได้ว่าชอบเซฮุนจริงๆเพราะหน้าตา แต่พอเวลาผ่านมาก็คิดนะว่าแค่หน้าตาหรือเปล่า ตอนนี้เลยไม่ได้ใส่ใจจะคิดอะไรจริงจัง ยังไงตัวผมตอนนี้ก็มีเทาอยู่แล้ว แถมยังมีชนักติดหลังอีกอัน...อันเบ้อเริ่มเลยล่ะคนนี้
“แล้วแฟนนักเขียนของมึงล่ะ”
เซฮุนถามขึ้นมาหลังจากเสียงหัวเราะของผมเงียบไปแล้ว แหม พอบทจะขยี้กันก็ถูกจุดเลยนะครับเพื่อน ถ้าให้พูดถึง ‘แฟนนักเขียน’ มันคงหมายถึง ปาร์คชานยอล แฟนที่เพิ่งเลิกกันไปของผมนั่นล่ะครับ ไม่มีใครอื่นเลย
“ไม่รู้แม่ง”
ผมตอบออกไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ ครับ ตอนนี้ไม่ได้สนใจใส่ใจอะไรแม่งเท่าไหร่แล้ว รู้แค่ว่าเจ็บมาพอแล้ว เหนื่อยด้วย แม่งอยากจะไปมีใครอีกกี่คนก็ตามใจมันเถอะ
“ไม่รู้แม่งอะไร วันก่อนยังเห็นมึงคุยโทรศัพท์กับมันอยู่เลย”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แม่งโทรมาให้ช่วยคิดพล็อตเฉย ๆ”
ความสัมพันธ์ออกจะงง ๆ นะว่าไหม? แต่ก็เป็นงั้นจริง ๆ ครับ พวกเราเลิกกันแล้วแต่ก็ยังมีโทรหากันบ้างปะปราย คือเลิกกันด้วยดีไง เลยยังติดต่อกันอยู่เพราะแม่งชอบโทรมาเล่าพล็อตนิยายใหม่ให้ผมฟัง คือคุยกันแค่เรื่องนิยายจริง ๆ ไม่มีอัพเดตเรื่องคนใหม่ ไม่มีความหวานอะไรในบทสนทนานั้นเลยแม้แต่น้อย
“อ๋อ...”
เซฮุนตอบมาแค่นั้นครับ จะว่าไปทำไมวันนี้เราถึงได้คุยกันแต่เรื่องของผมล่ะ
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เสียงสัญญาณเตือนสายซ้อนก็ดังขึ้น ผมวางช้อนพลาสติกลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ
‘ชานยอล’
ไม่รู้ว่านี่เรียกว่า ‘ตายยาก’ ได้ไหม ถ้าเรียกได้ก็ขอเรียกแล้วกันนะ... ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นโทรมาเวลานี้ แต่พอพูดถึงหน่อยแม่งก็ต่อสายตรงมาหากูเลย
“มึง...ชานยอลโทรมา กูไปรับสายมันแป๊บนะ”
“เออตามสบายเหอะ เดี๋ยวกูจะนอนแล้ว ฝันดี”
ผมพยักหน้าให้กับโทรศัพท์ เซฮุนตัดสายไปแล้ว น้ำเสียงของมันดูไม่พอใจนิดหน่อยที่รู้ว่าชานยอลโทรมาหา แต่อย่าได้คิดเข้าข้างผมนะครับว่ามันหึงหรืออะไร มันก็แค่ขัดใจเท่านั้นแหละที่มีคนโทรมารบกวนการคุยโทรศัพท์รอบดึกของพวกเรา
“ว่าไง”
“ก็ไม่ว่าไง ไม่มีธุระโทรหาไม่ได้หรอ?”
พอวางสายจากเซฮุนเสร็จก็รีบกดรับสายมันเลยครับ แต่คำถามในใจคือ กูรีบมารับสายมึงแล้วต้องเจอคำถามไร้สาระแบบนี้หรอ? ผมได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ จนลมเป่าดังฟู่
“ไม่พอใจอะไร โทรมาขัดขวางการคุยกับใครหรือไง”
คำถามนี่ก็กวนตีนเหลือเกิน แล้วจะให้กูปฏิเสธว่ายังไง “ใช่ โทรคุยกับเซฮุนอยู่ มึงมีอะไรก็รีบพูดมาเลยดีกว่าพี่ชานยอล อีกเดี๋ยวกูจะไปกินข้าวแล้ว”
ใช่ครับ พี่ชานยอลมันอายุมากกว่าผม 2 ปี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เรียกมันว่า ‘พี่’ ทุกครั้งหรอก อาจจะมี ‘เหี้ย’ บ้าง ‘ไอ้’ บ้าง ตามอารมณ์นั่นแหละ
“อืม...มีดิ” ปลายสายตอบกลับมาเสียงเบา “เซฮุนอะไรนี่เป็นแฟนใหม่มึงหรอจงอิน?”
อ้าว...วันนี้มาแปลกครับ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นพูดถึงแฟนใหม่ แล้วนี่นึกอะไรขึ้นมาถึงได้ถามอย่างนี้ ผมขมวดคิ้วเข้ากันแน่น แล้วเอื้อมมือไปกดเปิดปุ่มรีโมททีวี
“เซฮุนอะไม่ใช่หรอก”
“ไม่ใช่หรอกนี่...แสดงว่ามีแฟนใหม่แล้วดิ?”
อ้าวครั้งที่สองครับ ยอมรับว่าเซอร์ไพรส์มากที่คนอย่างปาร์คชานยอลนักเขียนนิยายสืบสวนชื่อดังลุกขึ้นมาถามอะไรอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ตอนคบกันมันก็เชียร์ให้ผมมีกิ๊กได้ (เพราะตัวมันก็มีไปทั่ว) ทั้ง ๆ ที่มึงเองไม่ใช่หรอที่เป็นคนทิ้งกู แต่อยู่ ๆ ก็มาถามอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?
“เออมี” ผมตอบออกไปก่อนจะแกล้งลองใจมันด้วยประโยคถัดมา “มีอะไรกันแล้วด้วย...ฟินสุด ๆ อย่างที่มึงเคยเล่าให้กูฟังเลย”
ใช่ครับ...ก่อนหน้าจะมากิ๊กกะจื่อเทาผมเคยเป็นแฟนปาร์คชานยอลมาก่อน ปาร์คชานยอลคนที่กร้านโลกแบบสุด ๆ ลองเอามาหมดแล้วทั้งผู้ชายผู้หญิง แต่กับผมมันไม่เคยแม้แต่จะจูบปากสอดลิ้น อย่างมากสุดแม่งก็แค่เอาปากชนปากเท่านั้น
“...จ...จริงหรอวะ”
“เออ”
“มึงโกหกกูทำไมจงอิน”
“กูไม่ได้โกหกเลยสัด”
เออไม่ได้โกหกอะไรเลย แล้วทำไมมึงต้องทำเสียงสั่นอย่างนั้นด้วย
“...ได้ไงวะ”
มันพูดออกมาแค่นั้น ก่อนจะเงียบหายไปพักใหญ่ มันปล่อยให้ผมถือสายรอจนโฆษณาจบไปตัวนึงแล้วก็กลับมากรอกเสียงใส่ด้วยอารมณ์แบบคุกรุ่นสุด ๆ
“มึงทำงี้ได้ไงวะจงอิน”
ชิบหาย...สาบานได้ว่าตอนนี้งงมากว่ากูผิดอะไร ทำไมมันถึงทำเสียงเหมือนกับจะตะคอกผมตลอดเวลา
“เดี๋ยว...กูงงไปหมดแล้วชานยอล มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย”
ตอนนี้ถึงกับลุกขึ้นยืนเลยครับ ยืนแล้วเดิน เดินแล้วนั่ง เดินขึ้นเดินลงบันไดเพราะรอปลายสายตอบกลับมา คืองงกับท่าทีกับการกระทำมันมาก ทั้ง ๆ ที่จะได้คำตอบประมาณว่า ‘ก็ดีแล้วนี่’ หรือ ‘ฟินใช่ไหมล่ะ’ จากมัน แต่พอเป็นอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าผิดคาดไปมาก
“ทำไมมึงทำแบบนี้....”
“...”
“ทั้ง ๆ ที่กูทะนุถนอมมึงมาแท้ ๆ”
อ้าว...
อึ้งสิครับ รอบที่ร้อยของวัน... พอได้ยินชานยอลพูดอะไรแบบนี้ออกมาผมนี่ขมวดคิ้วเลย คือมึงจะบอกว่าที่มึงไม่แตะเนื้อต้องตัวกู ไม่ทำอะไรกูเพราะมึงทะนุถนอมกูเนี่ยนะ
“มึงสมองกลับหรอชานยอล?...มึงบอกทะนุถนอมกูแต่ก็ทิ้งกูเนี่ยนะ...มึงบ้าหรือเปล่าวะ?”
ผมถามออกไปอย่างนั้น จากเฉย ๆ นี่เริ่มจะรู้สึกโมโหแล้วครับ ทำไมคำพูดกับการกระทำแม่งขัดกันไปหมดเลย
“ไม่ได้บ้า...แปบนึง ขอเวลากูทำใจก่อน...” ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ ส่วนผมนี่ลุกจากโซฟาแล้วเดินขึ้นบันไดไปทิ้งตัวนอนบนห้องเลยครับ นอนกลั้นใจฟังเสียงลมหายใจของมันซักพักก็ตัดสินใจว่าจะกดวางสาย รู้สึกว่าแม่งเปล่าประโยชน์และสมองกำลังจะระเบิดถ้าต้องรอให้ความอึดอัดเข้าครอบงำทั้ง ๆที่ เราก็เลิกกันไปตั้งหลายเดือนแล้ว
แต่ไม่ทันที่นิ้วจะได้กดไอ้ปุ่มสีแดง เสียงทุ้มนั่นก็เรียกชื่อผมขึ้นมาในความเงียบ
“จงอิน...”
“....”
“กลับมาคบกัน...”
“....”
“ทั้งหมดนั่นน่ะ...กูจะทำให้มึงเอง”
_______________________________________
TBC – 2
เออนั่นแหละ เหมือนเอาจงอินมาบ่นๆไรไม่รู้
เขียนไปงานตามประสบการณ์ที่มี เหมือนเขียนไดอารี่เนอะ
ขอให้สนุกจ้ะ ♥
เปลี่ยนแท็กนะ คนอื่นแม่งชอบมาติดแท็กเราเป็นแท็กเสี่ยวเฉยเลย
จะสกรีมมาหาก็แท็กอันนี้แล้วกัน จะรออ่านนะ
#แค่กูรักมึงKH
ความคิดเห็น