คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : แ ค่ กู รั ก มึ ง | ยั ง ซึ้ ง ไ ม่ พ อ : 00
ถ้าถามว่าผมชอบ ‘เขา’ ที่อะไร?
ผมบอกได้อย่างไม่อายเลยว่า ‘หน้าตา’
“ไหนขอดูหน่อยว่าเต้นได้แค่ไหน?”
เสียงของใครบางคนในกลุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าตะโกนขึ้น แน่นอนว่ามันสร้างความตึงเครียดให้กับผมที่ยืนจังก้าอยู่หน้าลำโพงมาก ผมกับคนในวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ในขณะที่ ‘พวกเขา’ สาวเท้าเข้ามาใกล้อย่างคนที่ดูเหนือกว่า
“เร็วสิ เต้นให้ดูหน่อย จะได้รู้ว่าเต้นได้ถึงไหนกันบ้าง”
ใครบางคนในกลุ่มนั้นยังคงตะโกนสั่งให้พวกเราเต้น... ใช่! วันนี้เป็นวันแรกที่ผมกับคนในวงตัดสินใจว่าจะเจอหน้ากับวงที่ตั้งใจจะยุบรวมกัน(ซึ่งพวกเราต่างก็ตั้งกระทู้ลงในเน็ต) แล้วถ้าถามว่าเรามาทำอะไรที่ดูเหมือนจะยกพวกตีกันอย่างนี้ ขอตอบเลยว่าพวกเรามา ‘เต้น’
เออ...เต้นที่หมายถึงการเคลื่อนไหวให้เข้าจังหวะกับเพลงนั่นล่ะ
“เอาวะ สู้ๆ”
เสียงนี้เป็นของใครซักคนในวงผมเอง พวกเรา 6 คนมองหน้ากันแล้วทำท่าไฟท์ติ้งก่อนจะแยกย้ายกันไปประจำตำแหน่งตัวเอง ถามว่าทำไมต้องทำท่าทางให้มันดูฮึกเหิมขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วพวกเราเต้นโคตรห่วยเลย ให้ตายเหอะ...ทั้ง ๆ ที่นัดมาเจอกันที่สนามกีฬาเกือบทุกอาทิตย์แท้ ๆ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรให้กลับไปซ้อมที่บ้านได้เลยซักครั้ง
แล้วสิ่งที่ทำให้พวกเรากดดันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั้น ก็เพราะก่อนหน้าที่พวกเราจะต้องมายืนอยู่ตรงนี้ พวกเขาเต้นมาแล้ว... ใช่! พวกเขาเต้นให้เราดู แล้วสุดยอดตรงไหนรู้ไหม ก็ตรงที่พวกเขาทั้งเต้นพร้อมและดูมั่นใจ มันแตกต่างจากพวกเราที่ไม่มีอะไรเลยซักอย่าง...
ถูก... ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ลำโพงของเรากำลังแหกปากร้องเพลง U ของ วง SJ ดังกระหึ่ม แต่ผมนี่ไม่มีอะไรอยู่ในหัวสมองเลย
มันว่างเปล่าไปหมด...ว่างเปล่าจนผมนึกท่าเต้นไม่ออกซักท่า...
“กูว่าที่ใช้ได้มีอยู่สามคน”
หลังจากที่พวกผมโชว์การเต้นแสนห่วย ยื้อได้จนจบเพลง พวกเราทั้งสองวงก็แยกกัน สาบานได้ว่ามีน้องคนนึงในวงของผมร้องไห้ ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าจะปลอบเขาท่าไหนยังไงดี ก็ในเมื่อวันนี้วงเรามันเต้นได้ห่วยแตกจริงๆ ทั้งที่อีกวงเขาเต้นกันโคตรพร้อม.... ผมได้แต่เอื้อมมือไปลูบหลังน้องคนนั้นเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่หูก็ได้ยินว่าในวงของผมมีสามคนที่พอใช้ได้...
ผมดีใจนะ...ที่อย่างน้อยก็ยังมีคนพอใช้ได้บ้างในสายตาของพวกเขา แต่ก็คงไม่ใช่ผมหรอก เพราะผมแม่งยืนอยู่นิ่ง ๆ ตั้งแต่ตนจนจบเพลงทั้ง ๆ ที่เขาบอกให้มาเต้นให้ดูแท้ ๆ
“จงอิน มินโฮ แทมิน”
แต่แล้วปฏิหารย์ก็เกิดขึ้น เมื่อวันถัดมาหนึ่งในสามคนนั้นที่ ‘พวกเขา’ เรียกมาพบมีผมรวมอยู่ด้วย จะว่างงก็งง จะว่าเอ๋อก็เอ๋อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใจง่ายมาตามที่เขานัดอยู่ดี
“พวกเราคุยกันแล้วว่าอยากได้แค่พวกนายสามคนเท่านั้น...” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าวงพูดขึ้น เขากอดอกและถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เข้าใจนะว่าอยากอยู่ด้วยกันทั้งหมด แต่ว่าคนที่เหลือดูไม่กระตือรือร้นกับการรับท่าใหม่ที่พวกเราสอนไปเมื่อวานเลย”
“มีแต่พวกนายนี่แหละที่ดูมีใจอยากจะเต้น...พวกเราจริงจังนะ”
“ใช่...แล้วก็มนุษย์สัมพันธ์ดีกว่าคนอื่นๆ ที่เหลือด้วย”
บอกเลยว่าใจผมไม่ได้อยากจะทิ้งน้องคนอื่น ๆ แต่มันก็เป็นอย่างที่พวกเขาว่าจริง ๆ เมื่อวานหลังจากที่เราเต้นเสร็จ ดูเหมือนว่าอีกวงจะผิดหวังมากกับการเต้นของพวกเรา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังใจเย็นสอนท่าที่พวกเขาแกะมาให้ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่แรก และให้โอกาสพวกเราได้เต้นไปพร้อม ๆ กับพวกเขา
ซึ่ง... จะว่ายังไงดี ผมแม่งไม่มีศักดิ์ศรีอะไรนักหรอก ก็มาเต้นหาเพื่อน เต้นเพื่อหาความสนุกนี่? จะวางท่าไปทำไม? เขาสอนอะไรมาผมก็เต้นตาม ทำตาม สนุกสนาน เฮฮาปาร์ตี้ไปกับพวกเขา ซึ่งมันไม่ใช่เลยสำหรับน้อง ๆ อีกสามคนที่อยู่ด้านหลัง
พวกเขาไม่ได้อยากยุบวงรวมกับวงนี้...
เพราะวงนี้เก่งเกินไป...
“จะเอายังไงก็ได้นะ มันเป็นสิทธิ์ของพวกนาย พวกนายเลือกได้อยู่แล้ว”
หนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนจะหน้าตายที่สุดเดินเข้ามาตบบ่าผมปุ ๆ ผมยังจำชื่อเขาไม่ค่อยได้หรอก รู้สึกว่าจะชื่อ เซ...อะไรซักอย่าง แต่ให้ตายเหอะ หน้าตาของเขาโคตรโมเอ้เลย ทำไมเมื่อวานผมถึงไม่ได้สนใจเขาเลยนะ...แต่พอมานึก ๆ ดูก็ต้องร้องอ๋อ เพราะเมื่อวานเขาไม่ได้ใส่แว่นตามานี่หว่า...
แล้วจะบอกอะไรให้นะ ผมแม่งโคตรบ้าคนใส่แว่นตาเลย ยิ่งเขาที่หน้าตาโมเอ้ ใส่แว่นมายืนน่ารักอยู่ตรงนี้ มันทำให้ผมนึกอยากจะจำชื่อเขาได้อย่างที่แทมินจำได้ขึ้นมาเลย
แต่ก็เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ทัน หมอนั่นจุดยิ้มมุมปากทั้งที่หน้ายังนิ่ง ก่อนจะยื่นมาทำท่าจะเช็คแฮนด์กับผม
“สวัสดีกูชื่อโอเซฮุน ขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้แนะนำตัว”
_______________________________________
“แล้วตอนนั้นจงอินแม่งห่วยสุด เต้นไม่ได้แต่เสือกยืนซะหน้าเลย โคตรเหี้ย!”
เสียงพูดคุยของพวกเราดังไม่หยุดตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกมาจากสนามกีฬา ซึ่งประเด็นที่กำลังร้อนฉ่าอยู่ตอนนี้คือเรื่องสมัยที่ผมยังเต้นไม่เป็นท่าด้วยซ้ำ จะว่านานก็นาน เพราะนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็เกือบ 4 เดือนแล้วที่ผมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวง ‘Phantom’ พวกเราซ้อมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น เย็นจรดค่ำ เต้นทั้งวันจนทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดันไม่รู้สึกเหนื่อยเลยซักนิด ยิ่งได้มาใช้เวลาร่วมกับพวกเขามากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนตัวผมจะมีรอยยิ้มมากขึ้นเท่านั้น
ผมไม่ชอบอยู่บ้าน... ข้อนี้ทุกคนในวงรู้ดี แต่คนที่รู้มากกว่าคนอื่นดูเหมือนจะเป็นเซฮุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และตอนนี้หมอนั่นกำลังหลับหัวซบกับไหล่ผม ทั้ง ๆ ที่ในรถแท็กซี่อึดอัดเพราะบรรจุคนไว้ตั้ง 7 คน แต่เขาก็ยังหลับได้ ให้ตายเหอะ !
“เฮ้ย แต่มันหน้าตาดีสุดในนั้นเลยนะ ถึงตอนนี้จะหน้าตาไม่ดีเท่ากูก็เหอะ”
นั่นเป็นเสียงของจื่อเทา หมอนั่นโน้มตัวไปพูดแข่งกับคนอื่นทั้งที่ยังนั่งทับอยู่บนตักผม คนตัวสูงเกือบเท่ากันยุกยิกไปมาซะจนอดไม่ได้ต้องเลื่อนมือไปกอดเอวบาง ๆ ของมันเอาไว้ จื่อเทาหันหน้ามามองผมด้วยสายตาแบบคนรู้กัน ก่อนจะหันกลับไปจ้อกับคนอื่น ๆ โดยที่มืออีกข้างประสานไว้กับมือของผม
“ใกล้ถึงยังวะ” เซฮุนที่หลับไปนานผงกหัวขึ้นมาถาม มันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอกตาปรือ
“ใกล้แล้วล่ะ อีกนิด”
ผมตอบก่อนจะดันหัวมันให้ซบลงมาที่ไหล่เหมือนเดิม ถ้าให้ลำดับความสำคัญของคนในวงขึ้นมาจริง ๆ ไม่นับมินโฮกับแทมินที่รู้จักกันมาก่อนหน้านั้น ก็เซฮุนนี่ล่ะที่ผมสนิทด้วยที่สุดในตอนนี้
อาจจะเพราะพวกเรามีอะไรที่ชอบเหมือนกันเยอะ เช่น การดูหนัง จะว่าสไตล์เหมือนกันทั้งหมดก็ไม่ใช่ เพราะหมอนั่นชอบดูหนังผี ส่วนผมชอบดูหนังไซไฟ เพียงแต่ว่าพอดูเสร็จพวกเราก็จะเอาความรู้สึกหลังดูจบมาแชร์กันต่ออย่างออกรส ในขณะที่คนอื่น ๆ ดูจบแล้วก็จบ ไม่ได้เก็บอะไรมาคิดต่อ...
นั่นทำให้พวกเราพัฒนาความสัมพันธ์จาก ‘เพื่อนเผินๆ’ เป็น ‘เพื่อนสนิท’ ได้ไวมากขึ้น ช่วงนึงพวกเราโทรหากันตลอด แชร์พล็อตจากหนังด้วยกันตั้งแต่หัวค่ำยันเที่ยงคืน โทรหากันทุกวันชนิดที่เรียกได้ว่าแฟนกันยังทำไม่ได้เท่านี้...
‘ถ้าเซฮุนรู้ จงอินก็ต้องรู้’ หรือ ‘ถ้าจงอินรู้ เซฮุนก็ต้องรู้’ นั่นทำเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับคนอื่น ๆ ในวง พวกผมสนิทจนรู้กันหมดไส้หมดพุง ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะไม่มีอะไรมาทำให้พวกเราห่างกันได้แล้วแท้ๆ...
แต่ก็เพราะว่าพวกเราสนิทกันมากไปนั่นล่ะ ที่ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนจะมีระยะห่างขึ้นมา...
‘พวกกูสงสัยว่าเซฮุนจะชอบมึงนะจงอิน’
พี่ยุนโฮที่เป็นหัวหน้าวงพูดขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากลับบ้านด้วยกันในวันหนึ่ง นั่นเป็นอีกครั้งที่พวกเราค่อนวงโดยสารแท็กซี่จนเต็มลิมิต เพียงแต่ว่าในรถคันนั้นไม่มีเซฮุนนั่งข้าง ๆ ผมเหมือนทุกครั้ง และนั่นทำให้คนอื่นในวงที่นั่งมาด้วยกัน ‘กล้า’ ที่จะพูดอะไรต่อมิอะไรออกมา
‘เฮ้ย...ไม่มั้งพี่...มันก็โทรหาผมปกติเหมือนโทรหาพวกพี่ ๆ นั่นล่ะ’
‘อย่าโกหก พวกมึงมีซัมติงกันแน่ ๆ กูสังเกตมานานแล้ว กูเห็นพวกมึงโทรหากันตลอดเวลาเลย ขนาดกูเป็นเพื่อนมันมาตั้งนาน มันยังไม่โทรหากูเท่าโทรหามึงเลย...จงอิน’
ผมได้แต่ส่ายหัว... รู้ไหมสิ่งที่ผมคิดออกอยู่อย่างเดียวในตอนนั้นคือ ‘จริงหรอวะ’ ทั้ง ๆ ที่เซฮุนก็ดูออกจะนิ่งขนาดนั้น ไม่ได้มีท่าทีว่าจะชอบผมอย่างที่คนอื่นบอกเลยซักนิด ทั้ง ๆ ที่เราก็คุยกันอยู่ทุกวัน แต่มันก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรซักอย่าง แล้วผมจะเชื่อใครดีระหว่างตัวเองกับพี่ในวงคนอื่น ๆ ? ผมควรจะมีความรู้สึกยังไงดีถ้าหากว่ามันเสือกชอบผมขึ้นมาจริงๆ...
เชื่อเถอะว่าถึงแม้ผมจะเป็นคนที่รู้ข้อมูลนี้ก่อน แต่คนที่เลือกจะคิดมากและปฏิเสธอย่างเต็มปากนั่นกลับไม่ใช่ผม... หลังจากซักไซ้ไล่เลียงเอาที่ผมแล้วไม่ได้ความ หนึ่งในบรรดาพี่ ๆ ที่นั่งรถกลับบ้านด้วยกันวันนั้นก็ไปซักเซฮุนต่อจนสะอาด...
‘กูเนี่ยนะชอบจงอิน?..ประสาทหรือเปล่าพวกมึง คิดออกมาได้ยังไง จะอ้วก’
ประโยคนั้นของเซฮุนเหมือนวิ่งเข้ามากระโดดถีบยอดที่หน้าของผมอย่างแรงจนล้มลงไปทั้งยืน ทั้ง ๆ ที่คนรอบ ๆ ตัวกำลังหัวเราะกับสิ่งที่มันพูดแต่ผมกลับยิ้มไม่ออก... ทำไมวะ ก็ดีแล้วนี่ที่มันไม่ได้ชอบผมอย่างนั้น เพราะผมก็ไม่ได้คิดจะคิดอะไรกับมันเกินเพื่อนเหมือนกัน... แต่ทำไมวะ ทำไม...
ทำไมถึงรู้สึกหน้าชาได้ขนาดนี้...
“จงอินหยิบกระเป๋ากูที่อยู่ใต้ขามึงมาให้หน่อย”
เสียงแหบพร่าของคนที่กำลังขยี้ตาอยู่ข้าง ๆ สะกิดให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมเอื้อมมือไปยีหัวยุ่ง ๆ ของมันให้กลับเข้าทรงก่อนจะก้มลงแล้วหยิบกระเป๋าที่ว่านั่นขึ้นมาให้
“ใกล้ถึงบ้านกูแล้ว...เดี๋ยวกูไปก่อนนะ เจอกันอีกทีวันเสาร์” เซฮุนพูดพลางชะโงกหน้ามองไปที่หน้าต่างคนขับ ผมกับคนอื่น ๆ ได้แต่พยักหน้ารับแล้วมองมันเปิดประตูออกไป แต่ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวมันก็ดันทิ้งท้ายบางอย่างเอาไว้...
“จงอิน...วันนี้นอนกับเทาก็เบา ๆ กันหน่อยนะ รอยยังไม่หายจากคอพวกมึงเลย”
เล่นเอาผมหน้าชาไปทั้งแถบ...
_______________________________________
TBC – 1
ไม่รู้จะพูดอะไรทั้งนั้น เหมือนเอาจงอินมาบ่น ๆ อะไรให้ฟัง
อยากอ่านก็เขียนให้อ่านแล้วนะจ๊ะ จุ๊บ <3
ชอบก็แท็ก #แค่กูรักมึงยังซึ้งไม่พอ นะจ้ะ
ความคิดเห็น