ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silver Times [WonHyuk]

    ลำดับตอนที่ #2 : Gray to Silver

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ค. 55




        เอาแล้วไง! นี่มันความจำเสื่อมหรือบ้ากันแน่เนี่ย?! ลักษณะท่าทางการแต่งตัวไม่น่าจะใช่คนบ้าพเนจรตามข้างถนน  นี่หรือว่าความจำเสื่อม ...... ความจำเสื่อมจริงๆน่ะเหรอ?

    “เฮ่..ถามจริง อย่าล้อเล่นนะ นาย..จำชื่อตัวเองไม่ได้จริงดิ?”

         พอกระตุ้นถาม อีกฝ่ายก็ทำท่าทางพยายามนึก  แต่สุดท้าย...

    “ไม่เลย...”

    “เฮ้ยย!  แล้ว... แล้ว...”

    “หิว...”

    “..............................................”

     “หิวมาก เอาอะไรมากินหน่อย”

        ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำสั้นๆจะทำเอาเจ้าของฉายาหมาบ้าชะงักค้างไปทันที ท่าทางซื่อๆไร้เดียงสาในตอนแรกดูยังไงก็น่ารักกว่าไอ้แววตาอวดดีหยิ่งผยองนี่หลายเท่า เขาภาวนาให้ไอ้อย่างหลังนี่เป็นเพียงภาพลวงตาด้วยเถิด..แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่เข้าข้างชเว ชีวอน....

    “นี่  ได้ยินรึเปล่า ฉันหิว!” ร่างเล็กเริ่มส่งเสียงดูแถมทำหน้าเคร่ง ปากบางเบ้คล้ายจะขู่คนที่นั่งหน้านิ่งอึ้งตะลึงไปกับพฤติกรรมเกินคาดของเด็กหนุ่มตรงหน้า

    “ถ้าปากดีอย่างงี้ออกไปจากห้องฉันเลยไป!” ชีวอนตวาด อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัว  

     “อะไร?! ทำไมต้องไล่ด้วย! แค่ขออะไรกินแค่นี้ถึงกับต้องไล่เลยหรอไง บ้านนายจนนักเหรอห๊ะ!”

    “นั่นมันคำพูดขอคนที่ขอความช่วยเหลือเหรอไงล่ะ!!”

    “ก็ฉัน....อะ.....”   ขึ้นเสียงได้ไม่เท่าไหร่ เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ถึงกับวูบไปกลางอากาศ ชีวอนที่ควันออกหูอยู่เมื่อครู่ถึงกับตกใจรีบเข้าไปประคองไว้ให้นั่งบนโซฟาอีกครั้ง

        เขาถอนใจ มองสภาพของไอ้เด็กปากดีตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยอมลดราวาศอกด้วยความสงสาร

    “เห็นแก่ไอ้ความน่าสมเพชของนายนะ ” พูดจบก็เดินดิ่งไปคว้าบะหมี่สำเร็จรูปมากล่องหนึ่ง จัดแจงใส่น้ำร้อนเรียบร้อยแล้วมาวางตรงหน้า คนที่สลบเหมือนเมื่อครู่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการจัดการกับมันจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำสักหยดเดียว

    .....ชีวอนที่นั่งเท้าทางมองอยู่ทุกความเคลื่อนไหวอดที่จะกลืนน้ำลายลงคอเบาๆไม่ได้  เห็นดังนั้นดวงตาโตของคนผมบลอนด์ก็เหลือบมองขึ้น ก่อนจะยื่นถ้วยว่างเปล่าส่งให้

    “กินมั้ยล่ะ?”

    “ไม่ต้องมายุ่ง” ร่างสูงแยกเขี้ยวขาว อีกคนเลิกคิ้วพลางยักไหล่

    “ก็เห็นทำท่าอยากกิน เลยลองชวนดู”

       ชีวอนทำหน้าดุอีกครั้ง เขาโยนขวดน้ำส่งให้อีกฝ่ายที่เปิดดื่มด้วยความรวดเร็ว

    “แล้วนี่ตกลงนายความจำเสื่อมเหรอไง?”

        ร่างบางยกหลังมือเช็ดปาก

    “ไม่รู้สิ  นายจะเรียกอย่างงั้นก็แล้วแต่นาย”

        ตำรวจหนุ่มถอนใจเพื่อข่มอารมณ์  ไอ้เด็กเวรนี่ถ้าไม่ถือว่าเป็นคนป่วยล่ะก็โดนเค้าตั๊นหน้าไปนานแล้ว

    “แล้วจำอะไรได้บ้างมั้ยล่ะ? แบบว่ามาจากไหน  เคยอยู่กับใครที่ไหนเมื่อไหร่?”

    “จำได้แค่ว่าตื่นมาก็โดนล็อคกุญแจมืออยู่ตรงนั้น” ว่าพลางพยัดเพยิดไปยังโต๊ะที่ชีวอนเคยผูกกุญแจมือคล้องไว้ตรงนั้น เสียงตอบเรื่อยๆของอีกฝ่ายทำเอาชีวอนได้แต่กุมขมับ  เขามองนาฬิกาที่เริ่มบอกเวลาใกล้ไปทำงานเต็มที ก่อนจะลุกขึ้น

    “จะไปไหน?” คนบนโซฟาเอ่ยถาม 

    “ฉันมีการมีงานต้องทำ”

     “ฉันยังไม่อิ่ม”

          ร่างสง่ากัดฟันข่มโทสะ แต่ก็ยังไม่วายหันมาชี้หน้าใส่คนปากดี

    “นี่ถ้านายเป็นผู้หญิงล่ะก็ โดนฉันปล้ำแต่เช้าแน่”

           ไม่น่าเชื่อว่าโดนมุขนี้เข้า ร่างเล็กที่เคยโผงผางจะยอมเงียบไป  ชีวอนหันหลังเดินเข้าห้อง ลอบยิ้มน้อยๆด้วยความประหลาดใจ....สงสัยใช้มุขสัปดนแบบนี้น่าจะเอาอยู่แฮะ....เจอจุดอ่อนจนได้นะไอ้....ไอ้....

           ฝีเท้าของชีวอนหยุดกึก เขาหันกลับมาอีกครั้ง

    “จะว่าไป  ฉันควรจะเรียกนายว่าอะไรดี? ”

           ดวงตาคมหรี่น้อยๆ กวาดมองร่างเล็กหัวจรดเท้า...เสื้อผ้ามอมแมม คำพูดซื่อๆกับดวงตาโตที่เดาความคิดไม่ออก

    “เจ้าเหมียว”

            อีกฝ่ายที่เอาแต่ดูดนิ้วที่เปื้อนซอสจากอะไรสักอย่างทำตาแป๋ว ไม่มีท่าทางโต้ตอบกลับ

    “ งั้นก็ดี เจ้าเหมียว!  แหม..มันให้ความรู้สึกเหมือนเจ้าของตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยงเลยว่ะ ฮ่ะๆๆ”

    “หมายถึงนายจะเป็นเจ้าของฉัน ? ”

    “..............”

           ไม่รู้เพราะอะไรแต่ชีวอนหมดคำพูดไปโดยปริยาย ใบหน้างงๆของ ‘เจ้าเหมียว’ ที่มองมายิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนท้องไส้ปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก  

    “ ไอ้บ้าเอ๊ย! ”   เขาสบถ  แล้วเดินกลับห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก และหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ เขาก็ออกมากำชับกับคนผมบลอนด์ที่เริ่มนั่งแทะแอปเปิ้ลบนโต๊ะอีกครั้ง 

    “อยู่แต่ในนี้นะ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด”

           เจ้าเหมียวของเขาพยักหน้า พลางชี้มือไปทางโทรทัศน์ที่มุมห้อง  

    “ขอดูนั่นนะ”

    “อืม”   ชีวอนตอบรับ และผลักประตูเปิดออกไปทำงานในที่สุด









         วันนี้ชีวอนมีงานต้องทำนอกสถานที่ตั้งแต่เช้ายันบ่ายแก่ๆ เขาเข้าไปเก็บเอกสารที่สั่งให้ลูกน้องหามาให้ที่โต๊ะช่วงเที่ยงเพื่อเอากลับสะสางต่อที่บ้าน แต่ก่อนจะออกไปลงพื้นที่ต่อในตอนบ่าย ...... 

    “ซองแท!” เสียงห้าวตะโกนลั่นเรียกเอาลูกน้องคนสนิทรีบผลักประตูเข้ามาแทบไม่ทัน 

    “ครับๆ!”

    “ไปที่บ้านฉันหน่อย ”   ชีวอนว่า โยนแฟ้มเอกสารใส่มือซองแทที่รับไว้อย่างรวดเร็วด้วยความเคยชิน

    “เอาเอกสารนี่ไปเก็บให้ที  อ่อ...แล้วก็  ซื้อของกินอะไรก็ได้ไปไว้ที่บ้านด้วย”

       ซองแทเลิกคิ้วสูง ...ปกติชีวอนไม่ชอบให้ใครเข้าไปวุ่นวายกับที่พักของเขาสุมสี่สุ่มห้า ขนาดซองแททำงานเป็นลูกน้องคนสนิทมาเกือบห้าหกปี เขายังเคยเข้าห้องชีวอนไปไม่ถึงสามครั้ง...นี่มันแปลกๆแฮะ?

    “ของกิน?  ของกินของใครครับ? ของลูกพี่เหรอ?”

      ชีวอนที่กำลังควานหาซองปืนบนโต๊ะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

    “ของไอ้เหมียวบ้าที่บ้าน”

    “โฮ่!  นี่ลูกพี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอครับ!”  พูดพลางนึกภาพเจ้านายผู้มีนิสัยราวกับอสูรกายของตนกำลังอุ้มลูกแมวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน...ยิ่งคิดยิ่งทำให้อดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้

    “อืม...งั้นก็คงต้องเป็นอาหารกระป๋องสินะ เอายี่ห้อดีๆเลยละกันนะครับ แล้ว..ดีเลย! เดี๋ยวผมซื้อกระดิ่งน่ารักๆให้เป็นของขวัญเลยดีกว่า  เอ้อ...จะว่าไป  เป็นตัวผู้หรือตัวเมียครับ?”

    “ตัวผู้”

    “ตัวผู้ซะด้วย!  แบบนี้ต้องกินเยอะหน่อย เออ..แล้วเขามีกระบะทรายรึยังครับ แล้วแชมพูล่ะ ที่แปรงขนอีก อ๊ะ  ..  รึว่า......แว๊กกก!!!”  ปากกระบอกปืนจ่อมาทางซองแทที่กำลังเพ้อฝันถึงลูกแมวตัวน้อย คนเป็นลูกน้องสะดุ้งเฮือก รีบหุบปากลงไปโดยปริยาย

           ชีวอนตาขวาง  ลดปากกระบอกปืนลงแล้วเหวี่ยงเสื้อขึ้นคลุมไหล่

    “ไม่ต้องอาหารกระป๋องอะไรทั้งนั้นล่ะ แกหาของกินของคนธรรมดาๆ ข้าว น้ำ ขนม ซื้อไปเยอะๆเป็นพอ”

    “หะ...เห?  แต่..แมว....?..”

       มือแกร่งจับไปที่ปืนอีกครั้ง

    “อะ...โอเคครับ ลูกพี่!!! โอเคครับ!!”   ซองแทวิ่งหัวซุกหัวซุนออกไป ชีวอนล็อคลิ้นชักแล้วเตรียมออกจากห้อง 
         
           แต่จังหวะนั้น  ..... หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินดุ่มๆเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของเขา
        
        สัญชาตญาณระแวดระวังทำให้ร่างสูงเลือกที่จะถอยไปก้าวหนึ่ง หญิงสาวรายนั้นอมยิ้มนิดๆขณะพ่นควันบุหรี่พลางแย้มยิ้มนิดๆทันทีที่เห็นหน้าเขา ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยใดๆเจ้าหน้าที่สองคนก็วิ่งเข้ามาแล้วชาร์ตตัวเธอไว้

    “ใครอนุญาตให้เข้ามาในนี้ห๊ะ!!”

       หญิงสาวไม่มีท่าทีเกรงกลัว เธอกลอกดวงตาคู่สวยมาทางชีวอน

    “เขาอยากพบฉันนี่ ใช่มั้ยคะชีวอน?”

    “เธอเป็นใคร?”  ชีวอนถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในนั้น

    “เรนารี่ เม ผู้ต้องสงสัยคดีค้ายาเสพติดครับ”

         สาวต่างชาติ บุคลิกดูหัวรุนแรง ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่ชนชั้นธรรมดาในเกาหลี....

    “ให้เธออยู่นี่ พวกนายออกไป”  เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองมีท่าทีงงๆไม่เข้าใจอยู่สักพัก แต่พอหันไปสบตาชีวอนที่ยืนปั้นหน้าขมึงทึงอยู่ทั้งคู่จึงไม่เหลือความลังเลที่จะรีบกุลีกุจอออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

         หญิงสาวในชุดสีม่วงรัดรูปหัวเราะคิกคัก เธอเดินมานั่งลงตรงข้ามกับโต๊ะของชีวอนด้วยท่าทีสบายๆ  เจ้าของห้องมองเธอ ดันที่เขี่ยบุหรี่ส่งให้เป็นความหมายให้หยุดสูบซะ  สาวเจ้ามองหน้าเขา กระดกมุมปากน้อยๆแล้วทำตามที่ชีวอนต้องการโดยไม่ต้องเอ่ยปากสั่ง

    “คนของออสการ์สินะ”  ร่างสูงเปรยขึ้น พลางเดินกลับมาหย่อนตัวลงนั่งที่โต๊ะ เรนารี่ขยับยิ้มหวานบางๆ...รอยยิ้มนั้น สำหรับเขามันช่างเป็นรอยยิ้มที่ราวกับการเผยอคมเขี้ยวของอสรพิษ...ไม่น่ามองเลยสักนิด

     “พูดดีๆหน่อยสิคะ  ฉันเป็นคนของคุณ ที่ถูกส่งไปอยู่กับออสการ์ต่างหาก”

      สรุปว่าเธอคือสายตำรวจที่ชีวอนเรียกให้มาพบวันนี้นั่นเอง

    “ช้อมูลครั้งล่าสุดของเธอทำให้ตำรวจคว้าน้ำเหลว  สองครั้งแล้วนะที่เป็นแบบนี้ คิดว่าฉันจะเล่นกับเด็กเลี้ยงแกะอีกต่อไปได้นานแค่ไหนกัน”

    “แหม..สมกับเป็นชีวอนของฉันจริงๆ  ไม่คิดจะถามสารทุกข์สุขดิบกันก่อนเลยหรือไงกันคะ”

    “.......”  ดวงหน้าคมคายจ้องเขม็งบอกแววว่าไม่มีเวลาให้มานั่งลองทีเล่นทีจริงอีกต่อไป เรนารี่ถึงแม้จะเก่งเรื่องยั่วประสาทขนาดไหน แต่เมื่อสบตาคมที่ดูท่าจะไม่ไว้หน้าหากต้องเหนี่ยวไกลงกลางหน้าผากสวยๆของเธอด้วยโทสะก็อดที่จะต้องยอมออ่อนข้อไม่ได้ สาวเจ้าจึงจำต้องยอมลดละ นิ้วมือที่ทาเล็บสีสดเลื่อนมาเท้าคางบนโต๊ะ ยื่นหน้ายื่นตาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม

    “ข้อมูลที่ฉันให้น่ะถูกแล้วค่ะ สถานที่ที่บอกไปจะมีการตกลงเจรจาธุรกิจของพวกมันกันที่นั่น แต่ก็นะ...มันมีเรื่องเกิดขึ้นในแก๊งค์นิดหน่อย”

         นัยน์ตาคมกริบหรี่ลง ตั้งใจมองเรียวปากสีแดงสดขยับช้าๆ

    “ลูกชายของหัวหน้าแก๊งค์หายตัวไป ”

    “ลูกชาย?”

    “อื้ม  ลูกชายของลี ออสการ์ที่เป็นหัวหน้าแก๊งค์หายไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่พวกตำรวจจะตามไปที่สถานที่นั้น ออสการ์เลยยกเลิกการเจรจาเพราะคิดว่าโดนทางอีกฝ่ายดัดหลังลักพาตัวลูกชายไปเพื่อต่อรองราคา”

        ชีวอนถูคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด

    “แล้วตกลงโดนหักหลังจริงๆรึเปล่า?”

           เรนารี่ไหวไหล่

    “ไม่ทราบเหมือนกัน  แต่ฝั่งทางนั้นบอกไม่ได้ทำ  พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าออสการ์มีลูกชาย  แต่เราจะเชื่อคนพวกนี้ได้แค่ไหนเชียว”

    “งั้นเอาประวัติไอ้ลูกชายที่ว่าให้ฉันหน่อย”

    “ยากหน่อยนะคะ เพราะฉันเองก็เพิ่งทราบว่าออสการ์มีลูกชายกับเขาด้วย ไม่มีคนในแก๊งค์เคยเห็นเด็กคนนั้นหรอก แต่เท่าที่ทราบกันเห็นว่าน่าจะเป็นแค่ลูกบุญธรรม เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในเกาหลีนี่ล่ะ”

    “ลูกบุญธรรม? เป็นคนต่างชาติหรือว่าเกาหลี?”

    “ไม่ทราบค่ะ”

         ชีวอนสบถหยาบอย่างใจร้อน เขาตะโกนขึ้นมากลางคัน

    “ซองแท!!!!”     เสียงเรียกของลูกพี่ทำให้ซองแทพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

    “คร๊าบบบบบบบบบ!!!  อ๊ะ! เรนารี่?!!”  ซองแทชะงักเมื่อเห็นเรนารี่ ทั้งสองคนรู้จักกันเพราะซองแทเป็นคนดูแลเรื่องเกี่ยวกับสายลับในคดีนี้ แต่ที่เขาแปลกใจคือทำไมหญิงสาวถึงเข้ามานั่งอยู่ในนี้ได้

    “ผม...ผมโทรนัดให้คุณมาพบผมก่อนนี่ครับ?”

        เรนารี่ขยิบตาทะเล้น  ชีวอนที่โดนเมินตบโต๊ะปังคั่นบทสนทนา  ซองแทผู้น่าสงสารสะดุ้งตัวโยน

    “ครับๆ!! ลูกพี่!!”

    “ไปตรวจสอบเรื่องลูกบ้าบออะไรของไอ้ออสการ์มันมาซะ”

    “ลูก??”

    “หาไปก็ไม่พบหรอกค่ะ ขนาดคนในอย่างฉันยังไม่ทราบ เรื่องสืบโดยคนนอกคงเสียเวลาเปล่า”

    “งั้นไปตรวจสอบว่ามีใครเจอศพพวกเด็กวัยรุ่นฝรั่งหรือไม่ก็ชาติไหนก็ได้โดนฆ่าทิ้งที่ไหนบ้าง”

    “อ่อ  ครับๆ”  ซองแทวิ่งกลับออกไป 

    “มีเรื่องอะไรอีกมั้ย?”  ตำรวจหนุ่มถามเรนารี่  เธอเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะคิกคักอีกครั้ง

    “อะไรล่ะคะ  คุณเรียกฉันมานะ จะมาถามแบบนี้มันไม่ค่อยถูกน่า”

         ชีวอนพยายามข่มโทสะ จะว่าไปทักษะนี้เขาคงดีขึ้นตั้งแต่เก็บไอ้เจ้าเหมียวพเนจรนั่นมาได้ หน้าซื่อๆตาใสๆนั่นถึงจะกวนประสาทยังไงก็ดูเหมือนจะทำให้เขารู้สึกว่ามันป่วยการที่จะโกรธยังไงไม่รู้...

     “ข้อมูลของสถานที่นัดพบครั้งใหม่?”  เขาว่าเสียงเรียบ

    “ยังค่ะ ตอนนี้ภายในยังมีเรื่องวุ่นวายอยู่หลายเรื่อง คิดว่าอีกสักพัก...”  ได้ยินดังนั้นร่างสูงจึงไม่ลังเลที่จะลุกขึ้น  คว้ากุญแจรถและเดินดิ่งไปที่ประตู

    “หมดธุระก็กลับไปได้แล้ว อ่อ...แล้วคราวหน้าพยายามอย่าส่งข่าวพลาดอีก สองครั้งที่ผ่านมาฉันขึ้นบัญชีดำไว้แล้ว...”

    “แหม  อย่าไปถือโทษที่ผ่านมาเลย  ไหนๆก็ผ่านไปแล้ว เอาเป็นว่าฉันขอโทษแทนเขาละกันค่ะ”

    “...คนส่งข่าวนั้นไม่ใช่เธอหรอกเหรอ?”

    “ไม่ใช่ค่ะ เป็นอีกคนนึง”

          เรนารี่ลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินไปยืนพิงขวางประตูไว้พลางโปรยรอยยิ้มอสรพิษอีกครั้ง

    “พวกนั้นจับได้ว่าเขาเป็นสายตำรวจ ตอนนี้โดนตัดแขนตัดขาโยนลงทะเลไปแล้วล่ะค่ะ” ว่าพลางเลื่อนมือไปที่สะโพก หยิบรูปใบหนึ่งออกมาแล้วดันใส่อกชีวอนอย่างนิ่มนวล

    “ยังไงก็รบกวนหาศพของเขามาทำให้สมเกียรติด้วยนะคะ อย่างน้อย..เขาก็ยังไม่ได้บอกลาภรรยาคนนี้ก่อนตายเลยสักคำ”

        ชีวอนรู้สึกว่าหน้าชาวูบขึ้นมาอยู่วินาทีหนึ่ง ...คนรักของเรนารี่ถูกฆ่าเพราะเป็นสายตำรวจ สองครั้งที่ให้ข่าวพลาดเพราะถูกจับได้  ครั้งแรกพวกนั้นคงแค่ลองของดู  และครั้งที่สองคงจะรอให้จับได้คาหนังคาเขา...

         ตั้งแต่ทำงานตำแหน่งนี้มา ความรักมักเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องวุ่นวายและคดีมากมายหลายครั้งหลายครา ชีวอนไม่เคยคิดเลยว่า ในกรณีของเรนารี่นี้จะทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจได้ถึงขนาดนี้...เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการลาจากของคนที่รักกันนั้น จะทำรอยยิ้มที่เคยสวยงามของหญิงสาวคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือเค้าของความสุขในรอยยิ้มนั้นได้ถึงเพียงนี้....  หญิงสาวมองตาชายหนุ่ม  เธอเลื่อนรูปมาใส่มือชีวอน ..ในรูป  ชายหนุ่มร่างใหญ่ท่าทางเคร่งขรึมยืนแย้มยิ้มคู่กับสาวคนรักคนเดียวกับที่แต่งตัวฉูดฉาดตรงหน้าชีวอนคนนี้  ในรูปเธอดูไม่เหมือนเรนารี่คนปัจจุบัน คนทั้งสองในรูปรักกัน และรักกันมากจนคนหัวใจเย็นชาอย่างชีวอนยังรู้สึกได้....

    “...ฉัน..จะจัดการให้”  ท่าทีแข็งกร้าวที่อ่อนลงของตำรวจหนุ่มทำให้เรนารี่หัวเราะเบาๆออกมา  เธอดูออกว่าชายตรงหน้ารู้สึกเช่นใด

    “มันผิดที่เราสองคนเองล่ะ ที่มาเลือกเส้นทางนี้ตั้งแต่แรก...”  เธอว่า  ก่อนจะยกนิ้วขึ้นแตะแก้มชายหนุ่มด้วยท่าทีขี้เล่น แล้วหันหลังหมุนตัวผลักประตูไปด้านนอก

    “ถ้าคิดจะมีความรักบนเส้นทางนี้ ก็เตรียมใจไว้ว่าจะต้องจากตั้งแต่เนิ่นๆละกันค่ะ ”

    “.................”

         ริมฝีปากสีแดงสดส่งจูบมาเป็นการทิ้งท้าย

    “อย่าซีเรียสๆๆ  แล้วเจอกันนะคะ พ่อหนุ่ม  บาย...”

        ไม่มีการตอบรับคำหวานนั่น ชีวอนยืนมองรูปภาพในมือนิ่ง ก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋า แล้วเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบงัน


               
            ...ถ้าคิดจะมีความรักบนเส้นทางนี้ ก็เตรียมใจไว้ว่าจะต้องจากตั้งแต่เนิ่นๆละกัน.....


         ผู้หญิงนี่  ไร้สาระที่สุดในโลกเลยจริงๆ....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×