คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : realise : 2
หลังจากผ่านสถานการณ์เฉียดตายมาได้หวุดหวิด รถสีแดงคันสวยก็จอดเทียบเข้าที่หน้าโบสถ์หลังใหญ่สีขาวบริสุทธิ์หลังหนึ่ง สภาพของมันดูทรุดโทรมพอสมควร แต่ด้วยความที่สีขาวที่เกิดจากการทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็งของคนภายในโบสถ์นั้นทำให้มันดูไม่ค่อยเก่าแก่เท่าที่ควร
ซีต์และเคนท์ลงจากรถ เขาทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า ซีต์รอให้เคนท์ไขกุญแจดอกใหญ่ที่ควักออกมาจากกระเป๋ากับประตู แล้วเปิดออก
ทั้งคู่เดินเข้าไปด้านใน
“...ขอบใจ กลับเลยเถอะ เดี๋ยวดึกแล้วแม่นายจะมาถล่มโบสถ์ฉันซะเปล่าๆ”
เคนท์เอ่ยขึ้น ขณะมองไปยังประตูเล็กๆภายในโบสถ์ มันเปิดออก และเด็กผู้หญิงตัวเล็กและเด็กชายที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนก็วิ่งถลากันออกมา
ซีต์มองตาม แล้วส่ายหน้าปฎิเสธคำพูดของเคนท์
“ใครจะกลับ....แฝดมาหาผมแล้วเห็นมั้ย”
จริงๆแล้วเด็กทั้งสองไม่ได้ตั้งใจจะออกมาหาซีต์ แต่พวกเขาจะออกมารับเคนท์ทุกวันหลังกลับจากโรงเรียนมากกว่า
โบสถ์เก่าแก่หลังนี้เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่เกือบร้างก่อนหน้าที่เคนท์จะมาอยู่ เคนท์เป็นเด็กหนุ่มที่ย้ายเข้ามาจากอีกเมืองหนึ่ง พ่อและแม่ของเขาตอนนี้ต่างก็เป็นนักบวชในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองนี้ เคนท์ย้ายเข้ามา เมื่ออายุได้ 7 ปี พ่อของเขาได้ฝากให้เขามาอยู่ในโบสถ์ที่มีผู้ปกครองเป็นซิสเตอร์หญิงชรานาม เชลร่า ซึ่งเคนท์นับถือเป็นแม่คนที่สองของเขา โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จึงเป็นบ้านของเคนท์นับตั้งแต่นั้นมา
จนกระทั่งเขาอายุราวๆ 11 ปี ในคืนที่ฝนฟ้าตกกระหน่ำ หน้าโบสถ์ของเขามีตระกร้าใบขนาดพอเหมาะพอเจาะวางอยู่บนพื้น เมื่อเคนท์เปิดดูด้วยความสงสัย เขาก็พบเข้ากับเด็กทารก ฝาแฝดชายหญิง นอนซุกหาไออุ่นซึ่งกันและกันอยู่ พร้อมกับจดหมายแผ่นเล็กที่แนบติดมา
‘ ขอฝากเด็กสองคนนี้กับพระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดกรุณาขัดเกลา ความชั่วร้ายและปิศาจในตัวพวกเขาแทนฉันที
ได้โปรดรับชีวิตปิศาจทั้งสองไว้ด้วย ’
ซิสเตอร์เก็บแฝดทั้งสองมาเลี้ยงไว้ในโบสถ์พร้อมกับปริศนาที่ทั้งเคนท์และตัวท่านเองก็ไม่เข้าใจ
แต่หลังจากนั้น เคนท์ก็ได้อ่านข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นข่าวเกี่ยวกับครอบครัวๆหนึ่งที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุทางถนนเสียชีวิต พวกเขามีลูกสาวคนโต และน้องหญิงชายฝาแฝดที่ยังเป็นทารก ซึ่งทั้งสามรอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้น และการที่ฝาแฝดมาปรากฏตัวที่นี่ก็คงเป็นฝีมือของพี่สาววัยรุ่นที่เสียสติจากอุบัติเหตุ และโทษว่าการตายทั้งหมดเป็นเพราะตัวเธอและน้องทั้งสอง เพราะข่าวถัดจากวันที่ฝาแฝดถูกส่งมาที่นี่ไม่กี่วัน พี่สาวคนนั้นก็ฆ่าตัวตาย
ซิสเตอร์ตั้งชื่อให้กับเด็กหญิงว่า ราฟิน ส่วนเด็กชายเคนท์ให้ชื่อว่า วาโย
“พี่เคนท์กลับมาแล้ว!! อ๊ะ!! พี่ซีต์ก็มาล่ะ!!” ราฟินเอ่ยเสียงใสขณะเขย่ามือวาโยที่ยิ้มร่าให้เคนท์ที่กอดเขาเบาๆ
“
พี่เคนท์ คิดถึงจะแย่”
เคนท์เอียงคองงๆ
“ ...พี่ก็เพิ่งออกไปเมื่อเช้าเองนะ”
“ผมปวดฟันล่ะ กินไอศครีมไม่ได้แล้ว ซิสเตอร์บอก”
“ราฟินก็ด้วยค่ะ ปวดฟัน แต่ไม่ไปหาหมอหรอกนะ ราฟินเคยดูในทีวี มีคนบอกว่าคุณหมอถอนฟันเจ็บมากๆ”
“แต่ต้องอดกินขนมหวานนะ”
“ไม่ได้หรอก ก็วาโยชอบมากไม่ใช่เหรอไง”
เด็กหนุ่มมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะสบตาเคนท์ แล้วโผเข้าหาทันที
“งั้นผมจะให้พี่เคนท์จัดการให้ พี่เคนท์ไม่ทำให้ผมเจ็บแน่นอน เนอะ”
เคนท์ก้มลงมองเด็กชายที่เต้นดุ๊กดิ๊กอยู่ด้านล่างเขา ราฟินเหลือบมองซีต์ที่กำลังนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามโดยอัติโนมัติ
เธอมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะโผเข้ากอดซีต์เหมือนที่วาโยทำกับเคนท์จนซีต์ที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตกใจตัวโยน
“อ๊ะ!! อ้าว~!!...ร...ราฟิน”
ดวงตากลมโตของเด็กสาวช้อนขึ้นมอง ซีต์กระพริบตาถี่ๆ
“พี่ซีต์ พี่ถอนฟันให้ราฟินนะคะ อย่าให้เจ็บนะ ”
ซีต์มอง เคนท์ที่ฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนเพื่อนชายจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับเขา ดวงตาสีทองของเคนท์กำลังก้มมองสำรวจฟันในปากเล็กๆของวาโยที่อ้ากว้างนำเสนอพี่ชาย
ซีต์หัวเราะ ก่อนจะจับแก้มเด็กหญิงทั้งสองข้าง ดวงตากลมใสมองตอบเขา
“บอกผมซิ ปวดข้างไหนเอ่ย”
ราฟินไม่อ้าปาก แต่เธอจิ้มไปที่แก้มด้านซ้าย
“อ่อ...ข้างนี้เอง” พูดจบเด็กหนุ่มก็โน้มหน้าลง จูบเบาๆไปที่ข้างแก้มนั้น
ราฟินหัวเราะคิกคักหน้าแดง ขณะมองหน้าพี่ชายที่ละออกมาพร้อมรอยยิ้มน่ารัก
“หายปวดบ้างมั้ย”
ราฟินขยับลิ้นดันข้างแก้มด้วยสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนมาเป็นประหลาดใจนิดๆ
“เอ๊ะ~!! ห...หายปวดแล้วค่ะ”
ซีต์หัวเราะบ้าง
“ก็แน่สิ พี่ใช้เวทย์มนตร์นี่นะ
”
สักพักประตูที่ฝาแฝดวิ่งออกมาก่อนหน้านี้ก็เปิดออก ซิสเตอร์คนหนึ่งเดินออกมา
“อา...ซีต์ก็มาด้วยเหรอจ้ะ”
ทุกคนหันมอง ซิสเตอร์เชลร่า เดินตรงเข้ามา เธอดูแข็งแรงมากถ้าเทียบกับหญิงชราอายุห้าสิบเกือบๆหกสิบคนอื่นๆ
แฝดทั้งสองรีบวิ่งไปหาเธอทันที เด็กๆขนาบซ้ายขวา และประคองเธอเดินมาทางซีต์และเคนท์ที่ลุกขึ้น
“สวัสดีครับซิสเตอร์ ยังไม่นอนอีกเหรอครับ มันดึกแล้วนา” ซีต์เอ่ยทัก ซิสเตอร์เชลร่าสนิทกันกับเขา เหมือนที่เขาสนิทกับเคนท์และแฝดตัวน้อย
“ซีต์นั่นแหละลูก ยังไม่กลับบ้านอีกนะ”
“แหม...ไล่กันเหรอครับ เคนท์ก็ไล่ผมไปทีแล้วนะ ”
ซิสเตอร์ยิ้มอบอุ่น
“เปล่าสักหน่อยนะลูก แต่พอดีฉันเห็นว่ามันดึกแล้ว เดี๋ยวทางบ้านเป็นห่วงแย่เลย” พูดจบเธอก็ก้มลงมองวาโยที่หาวปากกว้าง ในขณะเดียวกันราฟีก็ยืนตาปรือขึ้นทีละนิด
“อา...งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวพาเด็กๆไปนอนก่อนนะจ้ะ เคนท์รอส่งเพื่อนดีๆนะลูก”
“ครับ”
ซิสเตอร์พาแฝดเข้าไปนอนยังตึกพักด้านหลังโบสถ์ ซีต์ตัดสินใจกลับหลังจากนั้น เคนท์ออกไปส่งเพื่อนชายที่รถ รอดูรถหรูสีแดงสดเคลื่อนตัวออกไป ก่อนจะปิดโบสถ์เรียบร้อยและเดินกลับไปยังห้องพักของเขา
ลำพังค่าเลี้ยงดูของเคนท์นั้น พ่อของเขามักจะส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ แต่ด้วยความที่การเป็นนักบวชนั้นไม่ได้มีรายได้อะไรมากมายนัก การได้รับเงินจากพ่อก็จะขาดๆบ้างในบางครั้ง อีกทั้งเงินนั้นเคนท์เองก็ต้องแบ่งเพื่อมาเป็นค่าเลี้ยงดูราฟินและวาโยด้วยแล้ว ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องรับทำงานภารโรงที่โรงเรียนหลังเลิกเรียนทั้งๆที่ก็เป็นนักเรียนโรงเรียนนั้น ซึ่งซีต์มักจะถามเขาอยู่เรื่อยว่าคิดได้ยังไงกันที่ทำแบบนี้
ชีวิตของเคนท์ผิดกับซีต์ที่เป็นเพื่อนสนิท ซีต์เป็นลูกชายของมหาเศรษฐีชื่อดังของคนในย่านนี้ ซีต์อาศัยอยู่กับแม่ที่บ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์ พ่อของเขาอยู่ต่างประเทศ ทำธุรกิจอยู่ในที่ไกลโพ้นและไม่เคยกลับมาให้ลูกชายได้เห็นหน้าเลยสักครั้งตั้งแต่ซีต์อายุได้หกขวบ แต่ถึงกระนั้นซีต์ก็ไม่เคยแสดงออกถึงความเศร้าสลดให้ใครได้เห็น เขาเป็นคนร่าเริงแจ่มใสเสมอ มักจะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไปกับการชื้อรถยนต์และเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาเล่นและอวดเคนท์ เป็นกิจวัตร
แต่นิสัยของซีต์ที่เคนท์ไม่ชอบเลยคือ......เขามักจะเอาของที่ซื้อมา ยกให้เคนท์เสมอ
อย่างเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์จอสัมผัสรุ่นล่าสุดที่วางอยู่ตรงหน้านี่ เคนท์จำได้ว่ามันไม่เคยมีของราคาน่าหนักใจแบบนี้อยู่ในห้องเขามาก่อน
เจ้าเพื่อนบ้านั่นคงให้คนเอามาส่งไว้ที่ห้องฉันเป็นแน่....
เคนท์ส่ายหัว
‘ ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ ซีต์....’
เบนซ์คันหรูจอดเทียบเข้าลานกว้างของคฤหาสน์สีขาวนวลบริสุทธิ์ ชายหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มสีดำเนี้ยบเดินตรงเข้ามา คนหนึ่งดึงประตูด้านคนขับเปิดออก อีกสองคนยืนสังเกตการร์อยู่รอบๆ
ทางด้านคนขับ เด็กหนุ่มร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีทองและดวงตาสีฟ้ากลมใสกระโดดดึ๋งลงมา
“อัล ว๋าว!! วันนี้ทำผมเท่ห์จังครับ ทำให้ผมมั่งสิ”
หนุ่มนายนั้นค้อมศรีษะต่ำและยิ้มฝืนๆ เขาเปิดประตูรถด้านหลังและดึงกระเป๋านักเรียนใบย่อมออกมา ซีต์รีบแย่งมาถือเอง
“ของผมๆถือเองน่า ของอัลถุงข้างๆนะ เครื่องเล่นเพลงอันใหม่ สีมันเหมาะกับพี่ผมเลยซื้อมาฝาก”
“ค...คุณหนู”
ซีต์ไม่สนใจ เขาเดินแกมวิ่งจากลานกว้างตรงไปยังประตูบานใหญ่สีทอง ที่มี
บอรดี้การ์ดสาวคนสนิทของซีต์ยืนรออยู่
“ไง เฟรน่า ...แหม หน้าหงิกเชียวนะ”
สาวร่างสูงผมสั้นมีสไตล์ในชุดสูทสีดำสมาร์ทผายมือเชิญคุณชายน้อยเข้าภายในบ้านหลังใหญ่ ซีต์เอียงคอยิ้มร่า เอื้อมมือไปตีแก้มสาวเท่ห์รายนั้นเบาๆ
“บอกมาก่อนผมผิดอะไร”
เฟรน่าหลับตาตอบอย่างสุภาพ
“ฉันไม่ตำหนิคุณหนูค่ะ”
ซีต์ตีหน้าบูดแล้วยื่นกระเป๋านักเรียนส่งให้งอนๆ
“งั้นตามมาที่ห้องเลย เฟรน่านี่ชอบทำให้ผมหงุดหงิดอยู่เรื่อย”
เธอถือกระเป๋าและโค้งนิดๆ
“
ค่ะ ฉัน...ขอโทษ”
“ชิ..!!”
ซีต์เดินปึงปังไปถึงห้องนอนของตนที่ชั้นสองของบ้าน เขากดรหัสประตูอิเล็คทรอนิคที่มีอยู่แค่บานเดียวในบ้าน (ถ้าไม่นับรวมตู้เซฟกับห้องทำงานของแม่ที่ชั้นสาม) แล้วเดินเลี่ยงเครื่องเสียง โทรทัศน์ เครื่องมือทันสมัยนานาชนิดที่วางระเกะระกะเหมือนห้องรวมเศษเหล็ก ไปกระโดขึ้นเตียงกว้างสีขาว เฟรน่าเดินตามเข้ามา เธอดูเกร็งๆขณะเดินผ่านกองขยะราคาแพงนั่น
“เฟรน่า ผมชอบพี่นะ”
เฟรน่ารับคำอย่างสงบ
“ขอบคุณค่ะ”
แต่ดูเหมือนซีต์จะไม่ชอบใจในกริยานิ่งสงบนั่น เขาหน้าบูดแล้วกวักมือเรียกสาวชุดดำเข้ามา เฟรน่าเดินเข้าไปใกล้ๆเตียง และยังไม่ทันได้ตั้งตัว คุณชายน้อยก็คว้าเธอเข้ามากอด
แต่สาวเจ้าก็ไม่ได้มีท่าทีจะตกใจแต่อย่างใด
เธอพึมพำสีหน้านิ่งๆ
“ปล่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวปากกาที่กระเป๋าเสื้อจะบาดคุณหนูเข้า”
ซีต์อมยิ้ม ระหว่างนั้นเอง เขาลอบถอดต่างหูข้างซ้ายอันเก่าของเฟรน่าออก และเอาต่างหูอัญมณีลายผีเสื้อสีดำชิ้นเล็กๆใส่ให้เธอแทน
เฟรน่ายกมือขึ้นจับ จังหวะนั้น ซีต์ก็หยิบแหวนสีแดงอีกอัน สวมเข้ากับนิ้วนางเรียวๆของเธอ
ซึ่งวินาทีนั้น ซีต์สาบานได้ว่าเป็นอีกครั้งที่เขาสามารถทำให้สาวน้อยจอมขรึมบอร์ดี้การ์ดประจำตัวคนนี้แอบหน้าแดงออกมาได้
ซีต์ปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดแล้วชี้หน้าที่นิ่งๆนั่น
“พี่เป็นของผมนะ”
“...ไม่ได้หมายถึงรักใช่มั้ยคะ?”
เฟรน่าชอบพูดตรงๆแบบนี้เสมอ ซีต์ยิ้มชอบใจ
“ครับ~ แค่ทำให้พี่รู้ว่าพี่เป็นของผมเท่านั้นแหละ ”
ซีต์ว่า เอนตัวนอนลงบนเตียงนุ่มที่ร่างทั้งร่างเกือบจะจมหายไปในพื้นขาวๆนั่น และพูดขึ้น
“เฟรน่า...พี่คิดว่า ผมจะรักใครสักคนได้มั้ยครับ”
อีกฝ่ายยืนนิ่งที่ปลายเตียง เธอไม่ขยับ ขณะที่ดวงตาสีนิลสวยเหลือบมองแหวนวงเล็กในมือตน
“
ผมเอง...ก็อยากลอง ไม่สิ...มันเหมือนกับว่า ผมเคย...แต่...ตอนนี้ ความรู้สึกนั้นมันหายไปนานมากแล้ว”
ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กหนุ่มเหลือบมองเฟรน่า รอยยิ้มที่มักปรากฏบนดวงน้าหวานนั้นจู่ๆก็หายไป
“เฟรน่า ผมเคยรักใครใช่มั้ย?”
“
” สาวร่างสูงหลบตา ไม่ยอมเอ่ยอะไร
“
.ใช่มั้ยครับ...พี่บอกผมใช่ หรือว่าไม่...”
“
นอกเหนือหน้าที่ของฉันค่ะ”
“เฟรน่า?”
ซีต์เริ่มส่งเสียงอ้อน แต่เฟรน่ายังคงใจแข็งตามประสา
“ท่านเซเรย์เองก็สั่งห้ามเอ่ยถึงเรื่องอดีตทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนู
”
“อดีต? แม่เนี่ยนะ?”
“ค่ะ....”
ซีต์ลุกขึ้นนั่ง จ้องเฟรน่าตาไม่กระพริบ
“พูดต่อสิ...จนกว่าผมจะเข้าใจ”
เฟรน่าค้อมศรีษะนิดๆ
“ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ”
ซีต์กัดฟัน เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เอาเสียเลย
“ผมจะไม่เถียงกับพี่เรื่องนี้อีกแล้วนะ แค่พี่บอกผมมา
”
“
”
“ผมเคยมีคนรักใช่มั้ย”
เฟรน่าเงียบไปพักใหญ่ เธอยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นที่ถูกนำมาตั้งไว้ ดวงตาสีดำจ้องตอบดวงตาแสนสงสัยของเด็กหนุ่มบน
...และไม่นาน เธอก็เอ่ยเสียงต่ำ
“แค่บอกใช่มั้ยคะ?”
ซีต์กลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้รับการยืนยันจากใครสักคนว่าหัวใจของเขาก็เคยมีบางสิ่งที่เรียกว่าความรักพัดผ่านเข้ามา
แต่....
“ไม่ค่ะ...ไม่เคย...”
ความหวังของซีต์พังทลายลงในบัดดล เขาแค่อยากได้ยินจากใครสักคนว่าเขาเองนั้นก็เคยมีความรัก รัก...สิ่งที่ซีต์พยายามจะทำให้เกิดกับทุกคนรอบๆตัวเขา หากแต่ เขาเองกลับพบว่า ตนเองนั้นไม่เคยเปิดรับใครด้วยความจริงใจเลยสักครั้ง...
...แม้กระทั่ง เซเรย์ ซาเอล มารดาแท้ๆของเขาเอง...
ทั้งรอยยิ้มที่มีให้ ข้าวของมากมายที่เสนอให้ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความจริงใจที่จะมอบให้ คำพูดไพเราะที่หลายๆคนชื่นชม รวมถึงบุคลิกที่เหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พร้อมที่จะมอบความสุขให้กับใครหลายๆคนได้ตลอดเวลานั้น
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ...ทั้งหมดนั้น เป็นเพียงภาพฉากที่ซีต์ ซาเอลจัดขึ้น เพื่อเติมเต็มความเย็นชาสุดขั้วที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของตน
ความรัก...ที่ซีต์คิดอยู่เสมอว่ามันเคยเกิดขึ้นกับเขา และตอนนี้ มันกลับหายไปในแบบที่ยากจะเก็บกู้คืนมาได้...
....เพียงแต่สิ่งที่เขาคิดนั้น...เป็นเรื่องจริง
ความคิดเห็น