ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    =Skull MeMorial=

    ลำดับตอนที่ #2 : realise : 2

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 51


        หลังจากผ่านสถานการณ์เฉียดตายมาได้หวุดหวิด รถสีแดงคันสวยก็จอดเทียบเข้าที่หน้าโบสถ์หลังใหญ่สีขาวบริสุทธิ์หลังหนึ่ง  สภาพของมันดูทรุดโทรมพอสมควร แต่ด้วยความที่สีขาวที่เกิดจากการทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็งของคนภายในโบสถ์นั้นทำให้มันดูไม่ค่อยเก่าแก่เท่าที่ควร
        ซีต์และเคนท์ลงจากรถ เขาทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า ซีต์รอให้เคนท์ไขกุญแจดอกใหญ่ที่ควักออกมาจากกระเป๋ากับประตู แล้วเปิดออก
       ทั้งคู่เดินเข้าไปด้านใน
    “...ขอบใจ  กลับเลยเถอะ เดี๋ยวดึกแล้วแม่นายจะมาถล่มโบสถ์ฉันซะเปล่าๆ”
         เคนท์เอ่ยขึ้น ขณะมองไปยังประตูเล็กๆภายในโบสถ์ มันเปิดออก   และเด็กผู้หญิงตัวเล็กและเด็กชายที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนก็วิ่งถลากันออกมา
       ซีต์มองตาม แล้วส่ายหน้าปฎิเสธคำพูดของเคนท์
    “ใครจะกลับ....แฝดมาหาผมแล้วเห็นมั้ย”
         จริงๆแล้วเด็กทั้งสองไม่ได้ตั้งใจจะออกมาหาซีต์ แต่พวกเขาจะออกมารับเคนท์ทุกวันหลังกลับจากโรงเรียนมากกว่า
        โบสถ์เก่าแก่หลังนี้เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่เกือบร้างก่อนหน้าที่เคนท์จะมาอยู่  เคนท์เป็นเด็กหนุ่มที่ย้ายเข้ามาจากอีกเมืองหนึ่ง พ่อและแม่ของเขาตอนนี้ต่างก็เป็นนักบวชในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองนี้ เคนท์ย้ายเข้ามา เมื่ออายุได้ 7 ปี พ่อของเขาได้ฝากให้เขามาอยู่ในโบสถ์ที่มีผู้ปกครองเป็นซิสเตอร์หญิงชรานาม เชลร่า ซึ่งเคนท์นับถือเป็นแม่คนที่สองของเขา โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จึงเป็นบ้านของเคนท์นับตั้งแต่นั้นมา
       จนกระทั่งเขาอายุราวๆ 11 ปี ในคืนที่ฝนฟ้าตกกระหน่ำ  หน้าโบสถ์ของเขามีตระกร้าใบขนาดพอเหมาะพอเจาะวางอยู่บนพื้น เมื่อเคนท์เปิดดูด้วยความสงสัย เขาก็พบเข้ากับเด็กทารก ฝาแฝดชายหญิง นอนซุกหาไออุ่นซึ่งกันและกันอยู่ พร้อมกับจดหมายแผ่นเล็กที่แนบติดมา
      ‘ ขอฝากเด็กสองคนนี้กับพระผู้เป็นเจ้า  ได้โปรดกรุณาขัดเกลา ความชั่วร้ายและปิศาจในตัวพวกเขาแทนฉันที
                                                              ได้โปรดรับชีวิตปิศาจทั้งสองไว้ด้วย     ’ 
           
      ซิสเตอร์เก็บแฝดทั้งสองมาเลี้ยงไว้ในโบสถ์พร้อมกับปริศนาที่ทั้งเคนท์และตัวท่านเองก็ไม่เข้าใจ
                แต่หลังจากนั้น เคนท์ก็ได้อ่านข่าวหน้าหนังสือพิมพ์  ซึ่งเป็นข่าวเกี่ยวกับครอบครัวๆหนึ่งที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุทางถนนเสียชีวิต พวกเขามีลูกสาวคนโต และน้องหญิงชายฝาแฝดที่ยังเป็นทารก ซึ่งทั้งสามรอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้น  และการที่ฝาแฝดมาปรากฏตัวที่นี่ก็คงเป็นฝีมือของพี่สาววัยรุ่นที่เสียสติจากอุบัติเหตุ และโทษว่าการตายทั้งหมดเป็นเพราะตัวเธอและน้องทั้งสอง  เพราะข่าวถัดจากวันที่ฝาแฝดถูกส่งมาที่นี่ไม่กี่วัน พี่สาวคนนั้นก็ฆ่าตัวตาย
           ซิสเตอร์ตั้งชื่อให้กับเด็กหญิงว่า  ราฟิน  ส่วนเด็กชายเคนท์ให้ชื่อว่า  วาโย
    “พี่เคนท์กลับมาแล้ว!!  อ๊ะ!! พี่ซีต์ก็มาล่ะ!!”  ราฟินเอ่ยเสียงใสขณะเขย่ามือวาโยที่ยิ้มร่าให้เคนท์ที่กอดเขาเบาๆ
    “…พี่เคนท์    คิดถึงจะแย่”
       เคนท์เอียงคองงๆ
    “ ...พี่ก็เพิ่งออกไปเมื่อเช้าเองนะ”
    “ผมปวดฟันล่ะ  กินไอศครีมไม่ได้แล้ว ซิสเตอร์บอก”
    “ราฟินก็ด้วยค่ะ ปวดฟัน แต่ไม่ไปหาหมอหรอกนะ ราฟินเคยดูในทีวี มีคนบอกว่าคุณหมอถอนฟันเจ็บมากๆ”
    “แต่ต้องอดกินขนมหวานนะ”
    “ไม่ได้หรอก   ก็วาโยชอบมากไม่ใช่เหรอไง”
       เด็กหนุ่มมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะสบตาเคนท์ แล้วโผเข้าหาทันที
    “งั้นผมจะให้พี่เคนท์จัดการให้  พี่เคนท์ไม่ทำให้ผมเจ็บแน่นอน เนอะ”
       เคนท์ก้มลงมองเด็กชายที่เต้นดุ๊กดิ๊กอยู่ด้านล่างเขา  ราฟินเหลือบมองซีต์ที่กำลังนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามโดยอัติโนมัติ
         เธอมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะโผเข้ากอดซีต์เหมือนที่วาโยทำกับเคนท์จนซีต์ที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตกใจตัวโยน
    “อ๊ะ!!  อ้าว~!!...ร...ราฟิน”
       ดวงตากลมโตของเด็กสาวช้อนขึ้นมอง ซีต์กระพริบตาถี่ๆ
    “พี่ซีต์  พี่ถอนฟันให้ราฟินนะคะ อย่าให้เจ็บนะ ”
        ซีต์มอง เคนท์ที่ฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนเพื่อนชายจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับเขา  ดวงตาสีทองของเคนท์กำลังก้มมองสำรวจฟันในปากเล็กๆของวาโยที่อ้ากว้างนำเสนอพี่ชาย
     ซีต์หัวเราะ ก่อนจะจับแก้มเด็กหญิงทั้งสองข้าง  ดวงตากลมใสมองตอบเขา
    “บอกผมซิ ปวดข้างไหนเอ่ย”
       ราฟินไม่อ้าปาก แต่เธอจิ้มไปที่แก้มด้านซ้าย
    “อ่อ...ข้างนี้เอง”   พูดจบเด็กหนุ่มก็โน้มหน้าลง จูบเบาๆไปที่ข้างแก้มนั้น
        ราฟินหัวเราะคิกคักหน้าแดง ขณะมองหน้าพี่ชายที่ละออกมาพร้อมรอยยิ้มน่ารัก
    “หายปวดบ้างมั้ย”
      ราฟินขยับลิ้นดันข้างแก้มด้วยสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนมาเป็นประหลาดใจนิดๆ
    “เอ๊ะ~!!  ห...หายปวดแล้วค่ะ”
       ซีต์หัวเราะบ้าง
    “ก็แน่สิ   พี่ใช้เวทย์มนตร์นี่นะ…”
        สักพักประตูที่ฝาแฝดวิ่งออกมาก่อนหน้านี้ก็เปิดออก ซิสเตอร์คนหนึ่งเดินออกมา
    “อา...ซีต์ก็มาด้วยเหรอจ้ะ”
         ทุกคนหันมอง ซิสเตอร์เชลร่า เดินตรงเข้ามา เธอดูแข็งแรงมากถ้าเทียบกับหญิงชราอายุห้าสิบเกือบๆหกสิบคนอื่นๆ
       แฝดทั้งสองรีบวิ่งไปหาเธอทันที เด็กๆขนาบซ้ายขวา และประคองเธอเดินมาทางซีต์และเคนท์ที่ลุกขึ้น
    “สวัสดีครับซิสเตอร์  ยังไม่นอนอีกเหรอครับ มันดึกแล้วนา”   ซีต์เอ่ยทัก  ซิสเตอร์เชลร่าสนิทกันกับเขา เหมือนที่เขาสนิทกับเคนท์และแฝดตัวน้อย
    “ซีต์นั่นแหละลูก ยังไม่กลับบ้านอีกนะ”
    “แหม...ไล่กันเหรอครับ  เคนท์ก็ไล่ผมไปทีแล้วนะ ”
      ซิสเตอร์ยิ้มอบอุ่น
    “เปล่าสักหน่อยนะลูก แต่พอดีฉันเห็นว่ามันดึกแล้ว  เดี๋ยวทางบ้านเป็นห่วงแย่เลย”  พูดจบเธอก็ก้มลงมองวาโยที่หาวปากกว้าง ในขณะเดียวกันราฟีก็ยืนตาปรือขึ้นทีละนิด
    “อา...งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวพาเด็กๆไปนอนก่อนนะจ้ะ เคนท์รอส่งเพื่อนดีๆนะลูก”
    “ครับ”
       ซิสเตอร์พาแฝดเข้าไปนอนยังตึกพักด้านหลังโบสถ์  ซีต์ตัดสินใจกลับหลังจากนั้น เคนท์ออกไปส่งเพื่อนชายที่รถ รอดูรถหรูสีแดงสดเคลื่อนตัวออกไป ก่อนจะปิดโบสถ์เรียบร้อยและเดินกลับไปยังห้องพักของเขา
      
         ลำพังค่าเลี้ยงดูของเคนท์นั้น พ่อของเขามักจะส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ แต่ด้วยความที่การเป็นนักบวชนั้นไม่ได้มีรายได้อะไรมากมายนัก การได้รับเงินจากพ่อก็จะขาดๆบ้างในบางครั้ง   อีกทั้งเงินนั้นเคนท์เองก็ต้องแบ่งเพื่อมาเป็นค่าเลี้ยงดูราฟินและวาโยด้วยแล้ว ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องรับทำงานภารโรงที่โรงเรียนหลังเลิกเรียนทั้งๆที่ก็เป็นนักเรียนโรงเรียนนั้น ซึ่งซีต์มักจะถามเขาอยู่เรื่อยว่าคิดได้ยังไงกันที่ทำแบบนี้
       ชีวิตของเคนท์ผิดกับซีต์ที่เป็นเพื่อนสนิท ซีต์เป็นลูกชายของมหาเศรษฐีชื่อดังของคนในย่านนี้ ซีต์อาศัยอยู่กับแม่ที่บ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์ พ่อของเขาอยู่ต่างประเทศ  ทำธุรกิจอยู่ในที่ไกลโพ้นและไม่เคยกลับมาให้ลูกชายได้เห็นหน้าเลยสักครั้งตั้งแต่ซีต์อายุได้หกขวบ  แต่ถึงกระนั้นซีต์ก็ไม่เคยแสดงออกถึงความเศร้าสลดให้ใครได้เห็น เขาเป็นคนร่าเริงแจ่มใสเสมอ มักจะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไปกับการชื้อรถยนต์และเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาเล่นและอวดเคนท์ เป็นกิจวัตร
        แต่นิสัยของซีต์ที่เคนท์ไม่ชอบเลยคือ......เขามักจะเอาของที่ซื้อมา ยกให้เคนท์เสมอ
       อย่างเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์จอสัมผัสรุ่นล่าสุดที่วางอยู่ตรงหน้านี่  เคนท์จำได้ว่ามันไม่เคยมีของราคาน่าหนักใจแบบนี้อยู่ในห้องเขามาก่อน
          เจ้าเพื่อนบ้านั่นคงให้คนเอามาส่งไว้ที่ห้องฉันเป็นแน่....
                 เคนท์ส่ายหัว
         ‘ ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ ซีต์....’

       เบนซ์คันหรูจอดเทียบเข้าลานกว้างของคฤหาสน์สีขาวนวลบริสุทธิ์ ชายหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มสีดำเนี้ยบเดินตรงเข้ามา คนหนึ่งดึงประตูด้านคนขับเปิดออก อีกสองคนยืนสังเกตการร์อยู่รอบๆ
       ทางด้านคนขับ เด็กหนุ่มร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีทองและดวงตาสีฟ้ากลมใสกระโดดดึ๋งลงมา
    “อัล ว๋าว!! วันนี้ทำผมเท่ห์จังครับ ทำให้ผมมั่งสิ”
       หนุ่มนายนั้นค้อมศรีษะต่ำและยิ้มฝืนๆ เขาเปิดประตูรถด้านหลังและดึงกระเป๋านักเรียนใบย่อมออกมา ซีต์รีบแย่งมาถือเอง
    “ของผมๆถือเองน่า ของอัลถุงข้างๆนะ เครื่องเล่นเพลงอันใหม่ สีมันเหมาะกับพี่ผมเลยซื้อมาฝาก”
    “ค...คุณหนู”
       ซีต์ไม่สนใจ เขาเดินแกมวิ่งจากลานกว้างตรงไปยังประตูบานใหญ่สีทอง ที่มี
    บอรดี้การ์ดสาวคนสนิทของซีต์ยืนรออยู่
    “ไง เฟรน่า ...แหม  หน้าหงิกเชียวนะ”
      สาวร่างสูงผมสั้นมีสไตล์ในชุดสูทสีดำสมาร์ทผายมือเชิญคุณชายน้อยเข้าภายในบ้านหลังใหญ่  ซีต์เอียงคอยิ้มร่า เอื้อมมือไปตีแก้มสาวเท่ห์รายนั้นเบาๆ
    “บอกมาก่อนผมผิดอะไร”
       เฟรน่าหลับตาตอบอย่างสุภาพ
    “ฉันไม่ตำหนิคุณหนูค่ะ”
       ซีต์ตีหน้าบูดแล้วยื่นกระเป๋านักเรียนส่งให้งอนๆ
    “งั้นตามมาที่ห้องเลย  เฟรน่านี่ชอบทำให้ผมหงุดหงิดอยู่เรื่อย”
      เธอถือกระเป๋าและโค้งนิดๆ
    “…ค่ะ  ฉัน...ขอโทษ”
    “ชิ..!!”
       ซีต์เดินปึงปังไปถึงห้องนอนของตนที่ชั้นสองของบ้าน เขากดรหัสประตูอิเล็คทรอนิคที่มีอยู่แค่บานเดียวในบ้าน (ถ้าไม่นับรวมตู้เซฟกับห้องทำงานของแม่ที่ชั้นสาม) แล้วเดินเลี่ยงเครื่องเสียง โทรทัศน์ เครื่องมือทันสมัยนานาชนิดที่วางระเกะระกะเหมือนห้องรวมเศษเหล็ก ไปกระโดขึ้นเตียงกว้างสีขาว เฟรน่าเดินตามเข้ามา เธอดูเกร็งๆขณะเดินผ่านกองขยะราคาแพงนั่น
    “เฟรน่า ผมชอบพี่นะ”
      เฟรน่ารับคำอย่างสงบ
    “ขอบคุณค่ะ”
       แต่ดูเหมือนซีต์จะไม่ชอบใจในกริยานิ่งสงบนั่น เขาหน้าบูดแล้วกวักมือเรียกสาวชุดดำเข้ามา เฟรน่าเดินเข้าไปใกล้ๆเตียง  และยังไม่ทันได้ตั้งตัว คุณชายน้อยก็คว้าเธอเข้ามากอด
         แต่สาวเจ้าก็ไม่ได้มีท่าทีจะตกใจแต่อย่างใด
       เธอพึมพำสีหน้านิ่งๆ
    “ปล่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวปากกาที่กระเป๋าเสื้อจะบาดคุณหนูเข้า”
         ซีต์อมยิ้ม  ระหว่างนั้นเอง เขาลอบถอดต่างหูข้างซ้ายอันเก่าของเฟรน่าออก และเอาต่างหูอัญมณีลายผีเสื้อสีดำชิ้นเล็กๆใส่ให้เธอแทน
       เฟรน่ายกมือขึ้นจับ จังหวะนั้น ซีต์ก็หยิบแหวนสีแดงอีกอัน สวมเข้ากับนิ้วนางเรียวๆของเธอ
       ซึ่งวินาทีนั้น ซีต์สาบานได้ว่าเป็นอีกครั้งที่เขาสามารถทำให้สาวน้อยจอมขรึมบอร์ดี้การ์ดประจำตัวคนนี้แอบหน้าแดงออกมาได้
       ซีต์ปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดแล้วชี้หน้าที่นิ่งๆนั่น
    “พี่เป็นของผมนะ”
    “...ไม่ได้หมายถึงรักใช่มั้ยคะ?”
        เฟรน่าชอบพูดตรงๆแบบนี้เสมอ ซีต์ยิ้มชอบใจ
    “ครับ~ แค่ทำให้พี่รู้ว่าพี่เป็นของผมเท่านั้นแหละ ”
      ซีต์ว่า เอนตัวนอนลงบนเตียงนุ่มที่ร่างทั้งร่างเกือบจะจมหายไปในพื้นขาวๆนั่น และพูดขึ้น
    “เฟรน่า...พี่คิดว่า  ผมจะรักใครสักคนได้มั้ยครับ”
       อีกฝ่ายยืนนิ่งที่ปลายเตียง เธอไม่ขยับ ขณะที่ดวงตาสีนิลสวยเหลือบมองแหวนวงเล็กในมือตน
    “…ผมเอง...ก็อยากลอง   ไม่สิ...มันเหมือนกับว่า  ผมเคย...แต่...ตอนนี้ ความรู้สึกนั้นมันหายไปนานมากแล้ว”
      ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กหนุ่มเหลือบมองเฟรน่า รอยยิ้มที่มักปรากฏบนดวงน้าหวานนั้นจู่ๆก็หายไป
    “เฟรน่า  ผมเคยรักใครใช่มั้ย?”
    “…”  สาวร่างสูงหลบตา ไม่ยอมเอ่ยอะไร
    “….ใช่มั้ยครับ...พี่บอกผมใช่  หรือว่าไม่...”
    “…นอกเหนือหน้าที่ของฉันค่ะ”
    “เฟรน่า?”
        ซีต์เริ่มส่งเสียงอ้อน แต่เฟรน่ายังคงใจแข็งตามประสา
    “ท่านเซเรย์เองก็สั่งห้ามเอ่ยถึงเรื่องอดีตทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนู…”
    “อดีต?  แม่เนี่ยนะ?”
    “ค่ะ....”
       ซีต์ลุกขึ้นนั่ง จ้องเฟรน่าตาไม่กระพริบ
    “พูดต่อสิ...จนกว่าผมจะเข้าใจ”
       เฟรน่าค้อมศรีษะนิดๆ
    “ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ”
       ซีต์กัดฟัน  เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เอาเสียเลย
    “ผมจะไม่เถียงกับพี่เรื่องนี้อีกแล้วนะ แค่พี่บอกผมมา…”
    “…”
    “ผมเคยมีคนรักใช่มั้ย”
       เฟรน่าเงียบไปพักใหญ่ เธอยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นที่ถูกนำมาตั้งไว้ ดวงตาสีดำจ้องตอบดวงตาแสนสงสัยของเด็กหนุ่มบน
       ...และไม่นาน เธอก็เอ่ยเสียงต่ำ
    “แค่บอกใช่มั้ยคะ?”
         ซีต์กลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ   บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้รับการยืนยันจากใครสักคนว่าหัวใจของเขาก็เคยมีบางสิ่งที่เรียกว่าความรักพัดผ่านเข้ามา
         แต่....
    “ไม่ค่ะ...ไม่เคย...”
        ความหวังของซีต์พังทลายลงในบัดดล เขาแค่อยากได้ยินจากใครสักคนว่าเขาเองนั้นก็เคยมีความรัก  รัก...สิ่งที่ซีต์พยายามจะทำให้เกิดกับทุกคนรอบๆตัวเขา หากแต่ เขาเองกลับพบว่า ตนเองนั้นไม่เคยเปิดรับใครด้วยความจริงใจเลยสักครั้ง...
         ...แม้กระทั่ง เซเรย์    ซาเอล  มารดาแท้ๆของเขาเอง... 
        ทั้งรอยยิ้มที่มีให้ ข้าวของมากมายที่เสนอให้ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความจริงใจที่จะมอบให้  คำพูดไพเราะที่หลายๆคนชื่นชม  รวมถึงบุคลิกที่เหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พร้อมที่จะมอบความสุขให้กับใครหลายๆคนได้ตลอดเวลานั้น
           จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า  ...ทั้งหมดนั้น เป็นเพียงภาพฉากที่ซีต์  ซาเอลจัดขึ้น เพื่อเติมเต็มความเย็นชาสุดขั้วที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของตน
         ความรัก...ที่ซีต์คิดอยู่เสมอว่ามันเคยเกิดขึ้นกับเขา และตอนนี้ มันกลับหายไปในแบบที่ยากจะเก็บกู้คืนมาได้...
               ....เพียงแต่สิ่งที่เขาคิดนั้น...เป็นเรื่องจริง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×