ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Last Mission

    ลำดับตอนที่ #6 : บุกลิเบอร์ตี้

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 48


                    ที่บ้านพักขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเลวิสแฮม  ซึ่งไม่ไกลจากทะเลที่เรือบินตกมากนัก  บ้านพักแห่งนี้มีลักษณะเป็นบ้านไม้ทาสีเทาทั้งหลัง  สูงสองชั้นแต่มีความกว้างเป็นพิเศษ  ภายในโปร่งทำให้ลมผ่านทะลุกันได้จากหน้าบ้านมาถึงหลังบ้าน  ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของบ้านพักทั้งหลายที่อยู่ติดชายหาดในบริเวณนี้  บ้านหลังนี้เป็นหนึ่งในหลายๆแห่งที่เครนซื้อไว้สำหรับพักผ่อนตากอากาศเวลามาเที่ยวในต่างเมือง  แต่ครั้งนี้เค้าคงต้องใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราว

        

        บนระเบียงซึ่งยื่นออกมาจากหน้าประตูบ้าน  มีเก้าอี้นวมตั้งอยู่สองตัวโดยมีโต๊ะเล็กเตี้ยคั่นระหว่างกลาง  เซเรนนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้ทางฝั่งซ้าย  ไม่นานนักเครนก็เดินออกมาจากภายในตัวบ้านพร้อมกับถ้วยกาแฟร้อนๆสองถ้วย  เค้ายื่นให้หญิงสาวใบหนึ่ง

        

        “ขอบคุณค่ะ”  เธอกล่าวพลางรับมา

        “ก่อนถูกจับเจ้านั่นไม่พูดอะไรบ้างเหรอ?”

        “ไม่เลยค่ะ  ฉันเสียใจ”

        “ช่างเถอะ  นึกอยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้  เจ้านั่นมันใจอ่อนช่วยคนไปทั่ว  ไม่พ้นจุดจบแบบนี้หรอก”

        “แล้วคุณไม่กลัวเดือดร้อนหรือคะ  ที่มาช่วยฉัน”

        “สถานการณ์มันคับขัน  จะให้ฉันปล่อยผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอออกไปเตร่ข้างนอกก็กระไรอยู่  อีกอย่างฉันก็มีบ้านพักอยู่ที่นี่พอดี”

        “ยังไงก็ต้องขอบคุณค่ะ  คุณเครน”

        “ไปขอบคุณเจ้าคาลิชมันดีกว่า  ไม่รู้โดนชำแหละไปถึงไหนแล้ว”  พูดถึงตรงนี้ทำให้เซเรนเงยหน้าขึ้นมองชายชราแบบจริงจัง

        “คุณคิดจะช่วยคาลิชมั้ย?”  แต่เครนไม่ตอบ  เค้ายกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มพลางมองออกไปยังทะเลเบื้องหน้า  นั่นทำให้เซเรนเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อย

        “ถ้าไม่  ฉันไปเอง”  เธอลุกพรวดขึ้นกำลังจะเดินออกไป  แต่ถูกเครนขัดขึ้นซะก่อน

        “จะไปไหน  ฉันไม่ได้ปฏิเสธซักคำ  คนกำลังใช้ความคิดอย่าทำให้เสียสมาธิ”

        “ถ้างั้น...”

        “ฉันกำลังคิดว่าจะใช้วิธีแบบไหนถึงจะช่วยเจ้านั่นให้ได้เร็วและปลอดภัยที่สุด”  เค้ากล่าวพลางวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ  ก่อนหยิบมินิคอมพิวเตอร์ขึ้นมา

        “จะทำอะไรคะ?”

        “เช็คข่าวพวกลิเบอร์ตี้น่ะสิ”  พูดจบก็รัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ของมินิคอมพิวเตอร์

        

                                                                                     >>>>>>>>>>>>



        อุโมงค์รถไฟใต้ดินในเมืองเบลเนียเป็นเส้นทางที่ใช้ขนส่งสินค้าเข้า-ออกรวมถึงวัตถุดิบต่างๆที่ใช้ในการผลิตของบริษัทลิเบอร์ตี้  โดยมีจุดเริ่มของสถานีอยู่ที่ใจกลางเมืองยาวไปถึงแถบชานเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทลิเบอร์ตี้   พื้นที่แถบนี้มีอาณาเขตกว้างขวางและไม่แออัดทำให้สะดวกกับการตั้งบริษัทที่ควบทั้งโรงงานและศูนย์วิจัยในคราวเดียว  

        

        วันนี้ก็เช่นกันขบวนรถไฟซึ่งบรรทุกสินค้าอยู่เต็มเกือบทุกโบกี้กำลังมุ่งหน้าสู่ปลายทางด้วยความเร็วสูง  แต่อยู่ๆก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นที่รางข้างหน้าทำให้คนขับต้องเบรครถไฟกระทันหัน  ยังไม่ทันได้ติดต่อเรียกคนของศูนย์ลิเบอร์ตี้มาตรวจสอบ  โบกี้หนึ่งที่ท้ายขบวนก็เกิดระเบิดขึ้นอีก  เหล่าผู้คุมสินค้าบนรถไฟต้องรีบวิ่งผ่านแต่ละโบกี้เพื่อเข้าไปดู  ขณะนั้นขบวนรถไฟขาออกวิ่งสวนเข้ามาพอดี  มีเงาดำกระโจนวูบออกไปทางหน้าต่างหายไปกับขบวนรถไฟคันนั้น



        เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกรายงานมาถึงศูนย์ใหญ่ของลิเบอร์ตี้จนเกิดชุลมุนเป็นการใหญ่  ราฟรีบแจ้งไปยังแผนกศูนย์วิจัย ซึ่งเป็นตึกที่แยกตัวโดดเดี่ยวอยู่ไกลออกไปทางปีกซ้ายของบริษัทแม่  เนื่องจากโบกี้ของสินค้าที่ถูกระเบิดเสียหายส่วนใหญ่เป็นวัตถุที่จำเป็นในการค้นคว้าทดลอง  ลอเรลจึงต้องนำลูกทีมออกไปช่วยกันตรวจสอบ  พร้อมกับพาทหารบางส่วนที่รักษาความปลอดภัยอยู่ที่นี่ตามไปคุ้มกัน



        หลังขบวนรถของพวกลอเรลออกจากบริษัทไปแล้ว  ทำให้การคุ้มกันไม่แน่นหนาเหมือนก่อนหน้านี้   ที่ประตูฉุกเฉินด้านหลังของตึกซึ่งมีทหารยามคอยเฝ้าอยู่เพียงสองคน  สภาพของประตูดูโทรมและมีสนิมเขรอะ  เดาได้เลยว่าไม่ได้ถูกใช้งานหรือตรวจสภาพเลยเป็นเวลานานแล้ว  แสดงให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาหลายปีตั้งแต่ลิเบอร์ตี้ถูกสร้างขึ้น   ศูนย์วิจัยแห่งนี้ยังไม่เคยเกิดเหตุวุ่นวายใดๆทั้งสิ้น  

        

        แต่วันนี้มีบางอย่างผิดปกติ  กระป๋องสเปรย์สีเงินขนาดเล็กกลิ้งหลุนๆเข้ามาหยุดที่พื้นตรงหน้าทหารยามทั้งสอง  เพียงครู่เดียวมันก็พ่นควันจำนวนหนึ่งออกมาทำให้พวกเค้าต่างก็สำลักควัน  ทหารยามคนหนึ่งเห็นเงาลางๆปรากฏขึ้นตรงหน้า  พวกเค้าจึงรัวกระสุนจากปืนอาก้าในมือตรงไปที่เงาร่างนั้น  แต่ดูเหมือนว่ากระสุนยังไม่ทันถูกเป้าหมายก็ร่วงกราวลงพื้นราวกับมีอะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งพอจะกันกระสุนได้มาขวางไว้  แล้วทหารเหล่านั้นก็สลบไป  

        เมื่อกลุ่มควันสลบหายไปเซเรนที่เป็นเจ้าของเงาร่างเมื่อครู่ก็ปรากฏตัว  เธอเป็นคนกางบาเรียครอบตัวทหารยามทั้งสองไว้เพื่อไม่ให้ควันสลบกระจายไปจนเป็นที่สังเกตุของพวกที่เฝ้ายามคนอื่นๆ  หญิงสาวสลายบาเรียก่อนเดินไปหยุดที่หน้าแท่นตรวจลายนิ้วมือด้านข้างประตูฉุกเฉิน  ยังไม่ทันได้แตะต้องอะไร  มินิคอมพิวเตอร์ก็สั่น  เซเรนจึงเปิดรับ  รูปหน้าของเครนปรากฏขึ้นบนจอ



        “ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

        “ก็อย่างที่เห็นน่ะค่ะ  แผนรถไฟดึงพวกนั้นออกไปได้ส่วนหนึ่ง  แล้วก็ประตูฉุกเฉินเป็นที่ๆการคุ้มกันหละหลวมมากที่สุด  ตอนนี้สองคนที่เฝ้ายามก็เสร็จไปเรียบร้อย”

        “ต่อไปเธอก็ใช้แผ่นก็อปปี้ลายนิ้วมือที่ให้ไปผ่านประตูฉุกเฉิน    แล้วก็บุกต่อขึ้นไปที่ชั้นแปดทางปีกซ้ายของตึก  จะมีห้องเก็บวัตถุทดลองอยู่  ฉันจะซ้อนภาพผู้ก่อการร้ายในกล้องวงจรปิดล่อพวกทหารยามไปทางปีกขวาที่ชั้นอื่น”

        “ทราบแล้วค่ะ  ว่าแต่ทำไมคุณถึงรู้ว่าคาลิชถูกจับมาที่ศูนย์วิจัยเพื่อทำการทดลอง  แล้วรู้ทางเข้าออกภายในลิเบอร์ตี้ได้ยังไงคะ?”

        “ก็มีสายอยู่นิดหน่อย  ช่างมันเถอะ  รีบพาหมอนั่นออกมาก็แล้วกัน”

        “ก็ได้ค่ะ”  เซเรนตัดการเชื่อมต่อแล้วปิดมินิคอม  แล้วใช้แผ่นก็อปปี้ลายนิ้วมือซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นใสกดลงที่นิ้วหัวแม่มือของทหารยามที่สลบอยู่  ลายนิ้วมือของทหารยามปรากฏอยู่บนแผ่นใส  หญิงสาวนำมันมาติดไว้ที่นิ้วของตนเองก่อนนำไปที่เครื่องแสกนลายนิ้วมือ

        

        เมื่อประตูเปิดออก  เธอก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางบันไดฉุกเฉินที่มีลักษณะเป็นบันไดวน  เซเรนใช้พลังพาตัวเองลอยขึ้นไปที่ช่องกลางของบันไดวนจนถึงชั้นแปด  ซึ่งทางเดินของที่นี่ในขณะนี้นี้ร้าง  ไม่มีทหารยามอยู่เลย   ทำให้เธอเดาออกว่าเครนคงลงมือแล้ว



        หญิงสาวตรงไปจนสุดทางเดินทางปีกซ้ายของตึก  ก็พบว่ามีประตูเหล็กซึ่งล็อคไว้ด้วยแผงรหัส  เธอจึงเชื่อมมินิคอมเพื่อจะเจาะรหัสแต่ดูเหมือนมันจะล้มเหลว  เธอจึงติดต่อไปหาเครน



        “การเจาะรหัสไม่ได้ผล  โปรแกรมแฮ็คที่คุณหามามันใช้ไม่ได้แล้ว”

        “ถ้างั้น คงต้องพึ่งพลังของเธอแล้ว  ลองทำให้แผงรหัสเกิดความร้อนมากๆดูสิ”

        “จะทำอะไรคะ?”

        “ถ้าแฮ็คไม่ได้  ก็ระเบิดทิ้งซะเลย!”  เซเรนรับคำแล้วปิดมินิคอม  เธอทำตามที่เครนพูดทำให้ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย  มีไอเย็นพวยพุ่งกระจายออกจากห้องมากระทบใบหน้าของเธอ  อุณหภูมิต่ำจนแทบจะหายใจไม่ออก  หญิงสาวกางบาเรียป้องกันแล้วเดินฝ่าเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว



        เซเรนเดินเข้าไปตามทางเดินที่ขนาบไปด้วยแคปซูลสีดำขนาดใหญ่  มันมีรูปร่างราวกับโลงศพทรงรีวางนอนเรียงรายกันอยู่  เธอลองสำรวจที่แคปซูลแรก  มองผ่านกระจกใสสีดำที่โชว์ให้เห็นเพียงใบหน้าของวัตถุที่อยู่ภายใน  ใบหน้านั้นเป็นของสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่เหมือนจะเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ที่นอนหลับสนิทอยู่ท่ามกลางสารเคมีภายใน  มีสายระโยงระยางจากร่างกายของมันเชื่อมต่อไปยังฐานสีดำมืดด้านล่างซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดออกซิเจน  ไม่เจริญหูเจริญตาเลยซักนิด  

        

        เซเรนจำต้องฝืนใจเดินสำรวจไปทีละแคปซูลจนได้พบกับคาลิช  หญิงสาวมองหาแผงรหัสหรืออะไรก็ตามที่จะปล่อยตัวคาลิชออกมาได้  แต่เธอก็พบเพียงมอร์นิเตอร์ขนาดเล็กซึ่งปรากฏตัวหนังสือว่า  “กำลังทำงาน”  และปุ่มสีแดงที่เขียนว่า  “อันตราย”  ที่อยู่บนฐานสีดำของแคปซูล



        “อันตราย  แต่มีแค่ปุ่มเดียวนี่”  เธอพึมพำก่อนตัดสินใจกดมัน  หน้าจอมอนิเตอร์เปลี่ยนจากคำว่า  “กำลังทำงาน”  เป็น  “อันตราย  ตัดการทำงานก่อนกำหนด”  แล้วตามด้วยเสียงสัญญาณเตือนสองครั้ง  จากนั้นน้ำยาเคมีภายในก็ลดระดับลงจนหมด  ฝาแคปซูลเปิดอ้าออก  สายระโยงระยางเมื่อครู่ถูกชักออกจนหมด  แต่คาลิชที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ภายในยังไม่รู้สึกตัว  เซเรนจึงยื่นมือเข้าไปเพื่อจะปลุกเค้า  ทันทีที่มือของเธอสัมผัสถูกร่างเค้า  ความรู้สึกบางอย่างที่คุ้นเคยก็หลั่งไหลเข้ามา  ภาพเลือนลางของเอเมอร์บัดนี้ปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดในห้วงความคิด  หญิงสาวยืนนิ่งตะลึงไปพักใหญ่  ก่อนลืมตัวเรียกชื่อคนที่เธอคิดถึงกว่ายี่สิบปี



        “ เอเมอร์!  เอเมอร์!  ตื่นเถอะ”  เซเรนเขย่าตัวเค้าอย่างแรงแต่ไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง  หญิงสาวเริ่มพูดตะกุกตะกัก  เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรเล็กๆมาจุกอยู่ที่ลำคอจนเสียงเรียกเริ่มแผ่วเบาแทบจะหายไป  ไม่ถึงอึดใจนัยน์ตาคู่สวยก็มันเยิ้มไปด้วยน้ำใสๆที่ไหลพรั่งพรูออกมาในขณะที่มือของเธอก็ยังคงเขย่าตัวเค้าแรงขึ้นเรื่อยๆ



        ในที่สุดคาลิชก็รู้สึกตัว  เค้าลืมตาขึ้นช้าๆ  แล้วหรี่ตาลงนิดหนึ่งเมื่อแสงไฟสว่างจนเข้าไปรบกวนดวงตาของเค้า  ภาพเบลอๆเมื่อครู่เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ  ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ  เธอกำลังร้องไห้  ผมสีน้ำเงินของเธอกับน้ำเสียงที่คุ้นหูแม้จะขาดๆหายๆทำให้เค้านึกได้

        

        “เซเรน...รึเปล่า?”  หญิงสาวได้สติเมื่อได้ยินเสียงคาลิช  เธอหันหน้าไปทางหนึ่งพร้อมกับปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ  แต่ยังมีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมากับคำพูด

        “เครนให้ฉันมาช่วย  รีบไปเถอะเดี๋ยวพวกลิเบอร์ตี้จะแห่กันมา”  คาลิชลุกขึ้นนั่ง  เค้ารู้สึกมึนหัวนิดๆแต่ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ  ทั้งคู่จึงหนีออกมาทางบันไดวน  และออกมาทางประตูฉุกเฉิน  รถคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าลิเบอร์ตี้  เซเรนขึ้นขับโดยให้คาลิชนั่งด้านข้างก่อนเปิดระบบล่องหนทำให้รถอำพรางตัวและสามารถออกจากลิเบอร์ตี้ได้โดยปลอดภัย



        ภาพทั้งหมดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์ในห้องวงจรปิด  ซึ่งผู้ที่กำลังนั่งสังเกตุการณ์อยู่ตอนนี้ก็คือผู้เป็นประธานบริษัทลิเบอร์ตี้  เค้ายิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับกำลังได้ของเล่นใหม่  ชายผมสีทองผู้นี้มีบุคลิกที่ลึกลับไม่น่าสมาคมด้วย  นัยน์ตาสีเขียวส่องประกายราวกับงูที่พึ่งจะฉกได้เหยื่อ



        “ปล่อยพวกเค้าไปจะดีหรือครับ?”  ชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างถามขึ้นอย่างแปลกใจ  เค้าก็คือราฟนั่นเอง

        “นั่นสินะ  กว่าเมล็ดพันธุ์ที่หว่านออกไปจะเจริญเติบโต  ก็คงเป็นฤดูเก็บเกี่ยวพอดี”

        “ท่านประธานนี่ใช้สำนวนโบราณจังนะครับ”

        “แต่ก็ยังใช้ได้ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ?”  พูดจบก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้ราฟยืนเซ่ออยู่อย่างนั้น      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×