ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Last Mission

    ลำดับตอนที่ #5 : เอเมอร์

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 48


      เรือบินของเครนวิ่งออกนอกเส้นทางด้วยความเร็วสูงจนเสียสมดุลย์  และดูท่าจะดิ่งลงสู่พื้นชายหาดเบื้องล่างอย่างแรง  เครนจึงต้องใช้ระบบลงจอดฉุกเฉินซึ่งทำให้เกิดเยลลี่อ่อนนุ่มดปร่งใสปกคลุมใต้ท้องเรือจนทั่ว  เป็นผลให้ลดแรงกระแทกได้มากเวลาลงจอด  แต่เรือก็ยังได้รับความเสียหายแม้จะเพียงเล็กน้อย  เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะจบลงแล้ว  เครนจึงเดินออกจากห้องนักบินเพื่อไปเช็คควมปลอดภัยของเซเรนกับคาลิช   แต่เมื่อไปถึงก็พบแต่เซเรนที่นั่งเข่าอ่อนหมดแรงอยู่บนพื้น



        “เกิดอะไรขึ้น!?”  เครนตั้งคำถาม  เซเรนค่อยๆหันมา  นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำใสๆเอ่อล้น



        “ขอโทษ...คาลิชถูกจับไปทั้งที่ควรเป็นฉัน...ขอโทษ...”

      

      เรือบินของลิเบอร์ตี้ลงจอดที่หน้าบริษัทได้สองสามชั่วโมงแล้วก่อนที่ราฟจะเข้าไปพบประธานบริษัท  หลังจากคุยกันอยู่นานเค้าก็เดินออกมาจากห้องของท่านประธานอย่างโล่งอกหญิงสาวผมสีบรอนด์ในชุดเสื้อกราวน์บ่งบอกให้รู้ว่าเธอเป็นหนึงในคณะนักวิทยาศาสตร์ของที่นี่  ท่าทางภูมิฐานและทะมัดทะแมงของเธอดึงความสนใจของผู้ชายหลายคนที่เข้าใกล้  ราฟเองก้เป็นหนึ่งในนั้น

        

        “ไงคะ  คุณผู้บริหารชั้นสูง  อยู่ๆก็ทำงานพลาด  ถือเป็นการเสียประวัติครั้งแรกเชียวนะ”



        “กรุณาอย่าซ้ำเติมอีกเลยครับ  เมื่อกี้ผมก็โดนเล่นงานซะหูชา  ยังดีที่มีผลงานกลับมาให้เลยไม่โดนเอาเรื่องมากนัก”



        “งั้นจะช่วยนวดให้เอามั้ยคะจะได้สบายขึ้น”



        “ก็ดีสิครับ  คุณลอเรล  รีคอฟเวอนี่  สาวเจ้าเสน่ห์อันดับหนึ่งแห่งศูนย์วิจัยลิเบอร์ตี้จะทำให้ทั้งที  ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะ”



        “เปลี่ยนใจแล้วค่ะ  ดิฉันไม่ใช่คนบ้ายอซะด้วย  คุยเรื่องของที่เอามาดีกว่า  ร่างของเอเมอร์”



        “อ่า...นั่นสินะครับ  หามาตั้งนานไม่คิดว่าจะเจอง่ายขนาดนี้  ฝ่ายรับผิดชอบด้านวิจัยและวิทยาศาสตร์ของคุณคิดจะทำยังไงล่ะครับ”



        “ก็มีคำสั่งลงมาแล้วล่ะค่ะ  บางทีคงจะเริ่มวันนี้เลย”



        “ท่านประธานใจร้อนเหมือนเคย”  พูดจบทั้งคู่ก็ลงลิฟท์ไป



      คาลิชลืมตาตื่นขึ้นภายในห้องมืดแห่งหนึ่ง  เค้ารู้สึกเหมือนกับว่าที่แขนมีห่วงโลหะหนักๆถ่วงอยู่แถมยังล็อคมือเค้าติดกันทำให้ขยับไม่ถนัด  ชายหนุ่มมองไปรอบตัวอย่างระมัดระวังที่สุด  แต่ดูเหมือนสายตาของเค้าในเวลานี้ค่อนข้างใช้การไม่ได้  ไม่มีแสงสว่างใดๆผ่านลอดเข้ามาให้ใช้เป็นที่พึ่งได้เลยซักนิด  เค้าจึงเดินเข้าไปชิดกำแพงแล้วเริ่มคลำไปตามทางกำแพงที่เรียบสนิทแต่เย็นเยียบเข้าถึงกระดูก  เมื่อสำรวจครบทั้งสี่ด้านมันก็ยิ่งทำให้เค้าสิ้นหวัง  ไม่มีหน้าต่าง  ไม่มีประตู ไม่มีอะไรที่นูนออกมาให้พอจะรู้สึกได้เลย  เค้านั่งลงกับพื้นอย่างหมดหวัง  



      ครู่หนึ่งแสงไฟก็สว่างขึ้นทั่วทั้งห้อง  ที่จริงมันควรจะทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้น  ทว่ามันกลับยิ่งทำให้เค้าระแวงหนักกว่าเดิมเสียอีกเมื่อผนังไททาเนียมที่เรียบเกลี้ยงเมื่อครู่กลับปรากฏเป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายประตูขึ้นตรงหน้าเค้า  มันโปร่งใสราวกับกระจกทำให้ดูเหมือนราฟและลอเรลเดินทะลุเข้ามา  แล้วประตูเมื่อครู่ก็ค่อยๆหายไปกลายเป็นผนังเรียบดังเดิม  ลอเรลเริ่มต้นด้วยการขยับไมโครโฟนจิ๋วซึ่งติดกับหูฟังที่เธอใส่อยู่เพื่อเช็คดูให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ขาดการติดต่อกับทีมงานที่อยู่ด้านนอก  แล้วหยิบแฟ้มใสบางๆออกมากดปุ่ม  มันปรากฏข้อมูลของคาลิชทั้งหมดบนจอของแฟ้มเหมือนกับเป็นคอมพิวเตอร์แบบแผ่นทำให้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งพลิกกระดาษไปมาเพื่อค้นหาเหมือนแฟ้มทั่วไป  และถ้าต้องการเรียกดูหน้าอื่นก็เพียงกดหมายเลขบนจอ  หน้าที่ต้องการก็จะปรากฏขึ้นทันที  หญิงสาวอ่านข้อมูลสีหน้าเครียดก่อนจะเริ่มคำถาม



        “ในแฟ้มบอกว่าเธอมีอาชีพเป็นเฮลเมทเหรอ ?”



        “ก็คงงั้น  ข้อมูลผมทุกอย่างก็อยู่ในมือคุณแล้วนี่  จะซักทำไมให้เสียเวลาอีก”  ลอเรลเริ่มเงียบแสดงความไม่พอใจก่อนหยิบสวิทซ์ทรงกระบอกขนาดเล็กและยาวเท่านิ้วชี้ออกมา  เธอกดมันทำให้คาลิชรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าซึ่งวิ่งตรงจากห่วงโลหะที่ข้อมือเข้าสู่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆทำให้เค้าถึงกับทรุด



        “นี่แค่ระดับเบาสุดยังขนาดนี้  คิดว่าจะอึดกว่านี้ซะอีก”  หญิงสาวพูดอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า  ในขณะที่คาลิชเริ่มมีอาการหายใจติดขัด



        “ใจเย็นหน่อยลอเรล  ไอ้เครื่องมือทรมานพวกปากแข็งแบบนี้ไม่เหมาะกับคนป่วยหรอกนะ”  ราฟขัดขึ้น  ทำให้ลอเรลไม่พอใจนิดหน่อย



        “ก็หมอนี่ปากเสีย  ถ้าไม่พอใจวิธีการฉันคุณก็ถามเค้าเองละกัน”



        “ครับๆ  ทราบแล้ว”  ชายหนุ่มรับคำก่อนเดินตรงไปทางคาลิช  “เอาล่ะถ้าให้แม่เสือแห่งลิเบอร์ตี้เป็นคนคุมล่ะก็  นายน่วมแน่  เพราะงั้นให้ความร่วมมื...”  ราฟหยุดเพราะรู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากบุคคลข้างๆ



        “จะถามอะไรก็ว่ามา”  คาลิชตัดบทอย่างรำคาญ  



        “ใจร้อนเมือนกันนะคุณคนป่วย  เดี๋ยวไวรัสเจ้าปัญหาที่เป็นอยู่ก็เล่นงานเอาหรอก  รู้ตัวใช่มั้ยว่าเหลือเลาอีกเท่าไร”  คำพูดของราฟทำให้คา

    ลิชนิ่งเงียบ  ลอเรลจีงตอบแทนให้



        “ถ้าใช้ยาระงับก็คงจะยืดชีวิตไปได้อีกซักสามสี่ปี  แต่ถ้าขาดเมื่อไรจะมีอาการหายใจขัด  หรือถ้ารุนแรงก็อาจสิ้นใจทันที  ฉันล่ะเสียดายจริงๆ”



        “ไม่คิดว่าคนของลิเบอร์ตี้จะมีจิตเมตตากับเค้าด้วย”



        “ที่เสียดายไม่ใช่ชีวิตเธอ  แต่เป็นร่างของเอเมอร์ต่างหาก”



        “พูดอะไรของคุณ”



        “พอเถอะทั้งคู่เลย  คุณควรให้เกียรติแขกบ้างนะลอเรล”  ราฟห้ามทัพ  แต่หญิงสาวกลับงอนใส่เค้า



        “แขกบ้าบออะไรกันเถียงคำไม่ตกฟาก  ชักไม่อยากจะรักษาให้ซะแล้ว”



        “อย่าล้อเล่นดีกว่า  หมอยังทำไม่ได้  แล้วพวกคุณเป็นใคร”



        “ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ของลิเบอร์ตี้น่ะสิ”  ลอเรลตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะสั่งการทางไมโครโฟนจิ๋ว  “เอาออกมาได้แล้ว”  จบคำที่

    พื้นด้านหลังคาลิชก็ปรากฏหลอดแก้วขนาดใหญ่เลื่อนขึ้นมา  ภายในมีสารเคมีเหลวบรรจุอยู่เต็ม  ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองกำลังหลับใหลนิ่งสนิทอยู่ท่ามกลางสารนั้นนั้น  ที่ปากมีครอบออกซิเจน  เมื่อคาลิชหันไปมองใบหน้าของชายคนนี้ก็ยิ่งทำให้เค้าตะลึง  มันราวกับเค้ากำลังส่องกระจกมองดูตัวเอง

        

        “รู้สึกคุ้นหน้าสินะ  นี่แหละคนที่ฉันพูดถึง  เอเมอร์  เอสเมอเรียล”  ตอนนี้คาลิชออยู่ในอาการพูดไม่ออก  เค้าถอยหลังช้าๆ  นี่คือบุคคลที่เค้าได้ยินชื่อบ่อยมากทั้งที่ไม่เคยรู้จัก  และยังเป็นคนที่เซเรนเคยพูดถึง  มีคำถามผุดขึ้นมาในหัวมากมาย  แต่เค้าพยายามสงบสติอารมณ์



        “แล้วไง  ก็แค่คนหน้าเหมือน”



        “นี่เธอยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ  เอเมอร์เป็นร่างต้นแบบของเธอ  เรียกอีกนัยหนึ่งก็คือผู้ให้กำเนิด  เพราะไม่มีเค้าก็ไม่มีเธอ”



        “แล้วทำไมเค้าถึง...”



        “เหตุระเบิดเมื่อ  22  ปีก่อน”  ราฟแทรกขึ้นก่อนคาลิชจะถามจบ  ตอนนี้สีหน้าของเค้าเริ่มเอาจริงเอาจังขึ้น  “ก่อนที่เราจะสร้างเธอเพียงหกเดือน  เอเมอร์บาดเจ็บสาหัส  มีการกระทบเทือนทางสมองขั้นรุนแรง  ต่อมาเราพบว่าไวรัสตัวหนึ่งเป็นสาเหตุ    มันจะกัดกินสมองเค้าไปเรื่อยๆเราจึงต้องแก้ไขสถานการณ์แต่เนิ่นๆ  โดยขังเค้าไว้ในน้ำยาเคมีที่ช่วยรักษาสภาพเซลล์ทุกส่วนในร่างกายไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแต่หยุดการทำงาน  แน่นอนรวมถึงไวรัสด้วย  เพื่อป้องกันไม่ให้สมองของเค้าถูกทำลายมากเกินไป”



        “เหมือนถูกแช่แข็ง?”



        “ก็ไม่เชิง”



        “เหมือนที่ทำกับเซเรน?”



        “ใช่  แต่เธอคนนั้นโดนหลังซักสามปีได้มั้ง”



        “แล้วพวกคุณจับเซเรนไว้เพื่ออะไร”



        “ข้อนั้นเธอไม่จำเป็นต้องรู้”  ลอเรลพูดพลางเดินไปที่หลอดแก้วซึ่งแช่เอเมอร์ไว้  เธอจ้องดูเค้า  “ไวรัสที่กัดกินสมองเค้าเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่เธอเป็นอยู่แต่เกิดคนละที่    เราตรวจสอบไม่ได้ว่าสารเคมี  เชื้อโรค  หรือสัตว์ทดลองชนิดไหนเป็นตัวต้นตอของไวรัส  เพราะเหตุระเบิดรุนแรงมาก  ทุกสิ่งไหม้เป็นเถ้าถ่านไปหมด  ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยไวรัสก็น้อยเกินไป  เมื่อกำจัดไวรัสไม่ได้  เราก็ค้นพบวิธีรักษาแบบใหม่...โอนถ่ายอวัยวะบางส่วน”



        “บ้าแล้ว! ผมไม่บ้ากับพวกคุณด้วยหรอก”  ลอเรลหันมองคาลิชก่อนพูดด้วยสีหน้านิ่ง



        “เราสร้างเธอมาก็เพื่อเหตุนี้  การโคลนนิ่งดีเอ็นเอและโครงสร้างพันธุกรรมส่วนใหญ่จากเอเมอร์  ก็เพื่อสร้างร่างใหม่ให้กับเค้า  ตอนแรกเราจะใช้วิธีย้ายเซลล์สมองส่วนที่ไม่เสียหายจากไวรัสและเป็นตัวเก็บความทรงจำส่วนใหญ่ของเอเมอร์เข้ามารวมกับสมองของร่างโคลน  แต่เธอดันทำร่างโคลนเสียหายหนักกว่าร่างต้นแบบเสียอีก  เราก็เลยต้องย้ายเอาเซลล์สมองบางส่วนของเธอไปแทนที่เซลล์สมองส่วนที่เสียหายของเอเมอร์แทน  และจะตรวจเช็คอวัยวะส่วนอื่นๆด้วยเผื่อจะมีปัญหาจะได้แก้ไขให้จบๆไป  เพราะฉันชักรำคาญงานชิ้นนี้แล้ว”



        “งั้นทุกอย่างก็สมบูรณ์แล้วสินะ”  ราฟพูดพลางยิ้มนิดๆ  แต่ก็เกลี่ยนสีหน้าอีกครั้งเมื่อลอเรลขัดขึ้น



        “ไม่หรอก  ปัญหาต่อจากนี้คือ  ความทรงจำของทั้งสองคนจะตีกันเอง  ถึงตอนนั้นก็เคลียร์กันเองละกัน  เพราะไม่ใช่หน้าที่ของฉันแล้ว”  

      

      ลอเรลพูดจบก็หยิบเข็มฉีดยาซึ่งบรรจุยาสลบอยู่เกือบเต็มกระเปาะฉีดเข้าที่ต้นแขนของคาลิชโดยมีราฟคอยล็อคตัวไว้ให้  ครู่หนึ่งในสมองของคาลิชก็เริ่มตื้อไปหมด  ไม่นานภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็เลือนลางและดับวูบไปในที่สุด

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    จบตอน5แล้ว TT_TT  ฉ้านจะได้ไปแต่งฟิคตัวเองต่อซะที เอิ๊กๆ  



    เป็นกะลังใจให้A.Fawke ด้วยนะค่ะ



    รักคนอ่านที่สู้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด



    ลงนาม...ไม่รู้ดิ...(ตัวแทนA.Fawke)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×