ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เผชิญหน้า
  ในที่สุดก็ถึงกำหนดเวลาที่ต้องไปพบผู้ว่าจ้าง  คาลิชขับรถเพื่อพาเซเรนออกไปยังจุดนัดพบที่ย่านเลมคัส  ระหว่างที่ขับรถเข้ามานั้น  เซเรนรู้สึกเวทนากับสภาพที่เห็น  บ้านโทรมๆเก่าๆที่เต็มไปด้วยรอยซ่อมรอยสนิม  ผู้คนนอนระเกะระกะอยู่ตามทางเดินบนฟุตบาท  ขยะจำพวกเศษเหลล็กเศษตะกัวมีกองให้เห็นอยู่ทั่วไป  สภาพแวดล้อมเป็นพิษ  สภาพอากาศก็ย่ำแย่  การใช้ชีวิตของผู้คนที่นี่เป็นยังไงกันนะ  แม้แสงอาทิตย์จะส่องลอดเข้ามาได้บางส่วน  แต่ก็ไม่เพิ่มแสงสว่างให้กับผู้คนที่นี่เลย
   
  บ้านหลังที่  3  ของย่านเลมคัสก็คือสถานที่นัดพบ  ทั้งคู่ลงจากรถ  คาลิชเดินนำเซเรนไปหยุดที่หน้าประตูบ้าน  ขณะเดียวกันภายในบ้าน  เสียงสัญญาณเตือนให้รู้ถึงผู้มาเยือน  ชายคนหนึ่งในกุ่มผู้ก่อการร้ายลุกจากเก้าอี้เพื่อไปปลดล็อคประตูเปิด  คาลิชพาเซเรนเดินตามชายคนนั้นเข้ามาจนถึงในสุดก็ได้พบกับหญิงสาวรูปร่างผอมสูงในชุดสีแดงรัดรูปที่แสดงให้เห็นสัดส่วนของเธออย่างชัดเจนและเข้ากับบุคลิก  ผมสีน้ำตาลแดงสะท้อนเป็นเงาเมื่อต้องแสงไฟน้อยนิดในบ้านหลังนี้   
    “ฉัน  คาร่า  คาร์เทีย  เป็นหัวหน้าหน่วยที่สามของกลุ่มเพลัซ  แล้วก็เป็นผู้ว่าจ้างของเธอด้วยพ่อหนุ่ม”
    “ป้านี่น่ะเหรอ  ดูไม่รู้เลยนะเนี่ย”
    “เสียมารยาทจริงๆนะ  ฉันพึ่งจะอายุ  28  ปากเสียแบบนี้  ชักอยากได้เป็นตอเล็คชั่นซะแล้วสิ  สนใจมั้ยล่ะ”
    “ยุคสมัยทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยแฮะ  แต่ผมขอบายดีกว่า  ว่าแต่คนที่ติดต่องานกับผมคนแรกก็คือคุณสินะ  ”
    “แหม  รู้แล้วหรือเนี่ย  ก็ครั้งเดียวน่ะ  ช่วงหลังๆลูกน้องฉันเป็นสานต่อ”
    “ถึงว่าสิ  ทำไมสำนวนที่ใช้ช่วงหลังๆมันเปลี่ยนไป  เหมือนของผู้ชาย  ตอนแรกคิดว่าเป็นพวกลักเพศซะอีก  เกือบจะหมดศรัทธาอยู่แล้วนะเนี่ย”
    “ตายจริง  ฉันมีเสน่ห์ขนาดนั้นเชียว  แต่ถึงใช้คำยกย่องกันขนาดไหน  ฉันก็ไม่ลืมจุดประสงค์ที่มาพบกันวันนี้หรอกนะ ขอดูผลลัพธ์การปฏิบัติงานหน่อยสิ  คุณเฮลเมท”
    “ใครน่ะ  เฮลเมท”  เซเรนถามเบาๆจากด้านหลังของคาลิช
    “เค้าใช้เรียกคนมีอาชีพอย่างฉัน  ไม่ใช่ชื่อหรอก”  พูดจบก็ดึงมือเซเรนให้ออกมาเผชิญหน้ากับคาร่า  หญิงสาวมองเซเรนอย่างพิจารณา
    “ไม่เลวนี่  พาออกมาโดยไม่มีรอยขีดข่วน...”  พูดพลางยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของเซเรน  ทำเอาเธอยืนตัวแข็งไม่กล้ากระดุกกระดิก  “หวังว่าภายในจะยังไม่มีตำหนินะ”  เธอเหล่ไปทางคาลิชก่อนหัวเราะเบาๆ
    “ล้อเล่นก็อย่าให้เกินเลยสิป้า  ยัยผู้หญิงปากร้ายก้าวร้าวนี่ไม่ทำให้ผมสนใจหรอก  อีกอย่าง...โอ๊ย!”  คาลิชสะดุดเมื่อถูกเซเรนตบหัวอย่างแรง  คาร่ายิ่งหัวเราะหนักขึ้นอีก
    “พวกเธอนี่ตลกดีนะ  เป็นแค่ผู้รับส่งหับสินค้าจริงๆน่ะเหรอ”  คาลิชเอามือกุมหัวก่อนตอบคำถาม 
    “ก็ไม่เชิง  แต่ก่อนจะยกสินค้าให้อยากรู้อะไรหน่อย  คิดจะทำอะไรกับยัยนี่  คงไม่ใช้วิธีสกปรกเอายัยนี่เป็นเครื่องมือเหมือนกับพวกลิเบอร์ตี้หรอกนะ”
    “ตรงดี  ทำการบ้านมาดีซะด้วย  เป็นห่วงสินค้าขนาดนั้นเชียว”
    “ก็แค่พอจะมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง”
    “งั้นเหรอ  แต่คำนั้นใช้ไม่ได้แล้วล่ะในยุคนี้  และฉันก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเธอซะด้วย”
    “อ้อ!  ไอ้กลุ่มเพลัซที่คุยหนักหนาว่าต่อต้านลิเบอร์ตี้ก็ได้แค่ชื่อสินะ  จริงๆก็พวกชั่วบริสุทธิ์ที่ตีหน้าซื่อแต่เชือดนิ่มๆ  ไม่ต่างกับลิเบอร์ตี้ซักเท่าไร”
    “ปากดีจริงๆ  ปกติพวกเฮลเมทจะไม่สอดมือมายุ่งกับเรื่องของผู้ว่าจ้างไม่ใช่เหรอ  ถ้าผิดกฎระวังโดนเก็บนะ”
    “ยังไงก็ไม่ตอบรึ ถ้างั้นก็ปฏิเสธที่จะส่งมอบสินค้าเช่นกัน”
    “แล้วจะทำยังไงมิทราบล่ะ  พ่อหนุ่ม”  เธอดีดนิ้วครั้งเดียว  คนของเพลัซในที่นั้นก็เข้าล้อมกรอบคาลิชกับเซเรนไว้  พร้อมกับเล็งปืนมายังจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่
    “กล้าเหรอ  คนที่พวกแกต้องการตัวยืนอยู่ตรงนี้ด้วยนะ”
    “ไม่เกี่ยวนี่  ต่อให้กลายเป็นศพก็ชำแหละแล้วค่อยเอาไปวิจัยได้”
    “ถ้าพูดถึงขนาดนั้น  ทางนสี้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน...ปู่!!!”สิ้นเสียงคาลิช  ประตูทางเข้าก็ถูกพังเสียงดัง  ตามด้วยห่ากระสุนขนาดใหญ่ที่สาดเข้ามา  ทุกนในที่นั้นมัวแต่สนใจทางประตู  จังหวะนี้หลังคาบ้านถูกทุบแตกด้วยลูกเหล็กขนาดใหญ่ที่พึ่งจะถูกเก็บเข้าไปบนเรือบินขนาดไม่ใหญ่มากซึ่งลอยลำอยู่เหนือบ้าน  ในขณะที่คาลิชสั่งให้เซเรนกางม่านพลังลมกันเศษหลังคาและกระสุน  พลางยิงปืนสายสลิงขึ้นไปยึดที่เรือบิน  เค้าเหนี่ยวไกค้างไว้เพื่อดึงตัวขึ้นไปพร้อมกับการม้วนเก็บของสายสลิง  เมื่อทั้งคู่ขึ้นมาบนเรือบินได้เรียบร้อย  เครนก็สั่งถอนกำลังพร้อมกับขับเรือบินหนีไปอย่างรวดเร็ว
  พ้นเขตอันตรายแล้ว  เครนก็เปิดระบบบินอัตโนมัติ  แล้วเข้ามาดูคาลิชกับเซเรนที่ห้องพักรวมภายในเรือบิน
    “เกือบตายแล้วนะเมื่อกี้”  เครนพูดกลั้วหัวเราะ
    “ขำไม่ออกหรอกปู่  ถ้าไม่มีม่านพลังของยัยนี่กันกระสุนไว้มีหวังไม่รอด”  เซเรนมองหน้าคาลิชครู่หนึ่ง  ก่อนกล่าวเบาๆ
    “ขอบคุณมาก”  คาลิชเลิกคิ้วด้วยความอึ้ง
    “อะไรของเธอ  คิดจะใช้คำพูดหลอกล่อแล้วจู่โจมทีหลังล่ะสิ”  พูดพลางตั้งท่ารับมือ
    “บ้าบอ! ฉันจะไปเอาชากระป๋องในตู้เย็น  ใครจะเอาอะไรรึเปล่า?”
    “งั้นขอเบียร์  2  กระป๋อง”  คาลิชตอบแทนเครนด้วย  เซเรนจึงเดินออกจากห้องไป
    “หาเรื่องเดือดร้อนจนได้นะ  ไอ้หนู”
    “จะว่างั้นก็ได้  แต่ผมกลับสบายใจมากกว่า”
    “แกนี่มันใจอ่อนจริง  ไม่รู้มาทำอาชีพนี้แล้วอยู่รอดได้ไง”
    “ก็ยังไม่อยากกลายเป็นอมนุษย์นี่ปู่”
    “แกว่าฉันเรอะ  เออฉันจะคอยดูวันตายของแก”  ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกันโดยไม่รู้ว่าเซเรนแอบยินฟังอยู่เงียบๆที่หน้าประตู
  ทันใดเรือบินเริ่มส่ายไปมาจากแรงปะทะของเรือบินอีกลำ  เซเรนรีบวิ่งออกไปดูที่ดาดฟ้าเรือ  ครู่หนึ่งเครนกับคาลิชก็ตามออกมา  เรือบินอีกลำนั้นลำใหญ่และดูแข็งแกร่งกว่าของเครน  ข้างเรือมีตราสัญลักษณ์รูปปีกค้างคาวสีดำซ้อนทับกับขนนกและเข็มฉีดยาในวงกลมเวทย์ขนาดใหญ่  ซึ่งเป็นตราของบริษัทลิเบอร์ตี้  อินดิส  คอเปอเรชั่น
    “แย่ล่ะ!!!  ฉันจะไปจัดการเร่งความเร็วเรือบิน  เราต้องหนี”  เครนพูดพร้อมกับเร่งฝีเท้าไปที่ห้องนักบิน
    “เซเรน  เธอเข้าไปข้างใน”  คาลิชสั่งแล้วหันมองรอบๆตัวก็พบป้อมปืนกลที่อยู่ตรงหัวเรือ  “ฉันจะไปถ่วงเวลา”  พูดพลางวิ่งตรงไปทางปืนนั้นเค้าเล็งปากกระบอกปืนไปที่ท้องเรือของฝ่ายตรงข้ามโดยผ่านเลนส์ลำกล้องคอมพิวเตอร์  เมื่อกดล็อคเป้าหมาย  กรอบสีแดงก็ปรากฏขึ้นล้อมจุดที่เป็นเปาหมายพร้อมคำนวณเปอร์เซ็นต์ที่จะโดน  ทว่าดอกาสมีเพียง  60%  เพราะฝ่ายตรงข้ามรู้ตัววะก่อนและพยายามบังคับให้เรือบินของตนเป็นเป้าที่ไม่อยู่นิ่ง
  คาลิชตัดสินใจยิงออกไป  กระสุนพุ่งออกไปเป็นชุด  และชุดแรกพลาดเพราะศัตรูหักหลบ  แต่ชุดต่อมาเฉี่ยวถูกใต้ท้องเรือ  ทำให้เรือบินของลิเบอร์ตี้เสียสมดุลย์  ที่ห้องบังคับการของเรือลิเบอร์ตี้  พวกทหารโกลาหลเป็นการใหญ่
    “เปิดระบบซ่อมรอยรั่วอัตโนมัติ  แล้วเตรียมอาวุธ  เราจะยิงโต้กลับ”  เสียงของชายผู้หนึ่งขัดขึ้นอย่างเยือกเย็น  ทำให้บรรยากาศวุ่นวายเมื่อครู่หายไปในทันที  ชายคนนี้ก็คือ  ราฟ  เมเบิ้ล  หนึ่งในผู้บริหารสูงสุดของลิเบอร์ตี้
  ระบบซ่อมรอยรั่วอัตโนมัติทำงาน  ของเหลวเหนียวๆหลั่งออกมาปิดรูรั่วที่ถูกยิงจนสนิทและแข็งตัวอย่างรวดเร็ว  ทำให้เรือกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวอีกครั้ง  พร้อมกับเปิดตัวอาวุธปืนเลเซอร์สองกระบอกที่ยื่นออกขนาบข้างท้องเรือ  คาลิชที่กำลังจะเล็งยิงครั้งต่อไปถึงกับชะงัก  ดูท่าที่เค้าทำมันจะไร้ประโยชน์ซะแล้ว  อาวุธของฝ่ายตรงข้ามคงจะร้ายกว่าของเครนเยอะ  และที่สำคัญก็คือม่านพลังบางๆซึ่งมีไฟฟ้าปรากฏเป็นระยะๆ  ครอบอยู่รอบเรือบินเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่ขวางวิถีกระสุนของเค้า  เรียกได้ว่าพร้อมทั้งรุกและรับ
ขณะเดียวกันเครนก็กำลังง่วนกับระบบเร่งความเร็วที่ดันมาใช้การไม่ได้ในเวลานี้  ทำอย่างไรก็ไม่ติดซักที  ทางด้านราฟสั่งให้ทหารที่ทำหน้าที่ควบคุมอาวุธเล็งไปที่หัวเรือของฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำลายอาวุธของทางนั้นทิ้ง  โดยใช้ความแรงเพียง  10%  เพื่อไม่ให้เรือเสียหายมากนักเพราะเซเรนซวิ่งเป็นเป้าหมายของพวกเค้าอยู่ในเรือบินของเครนด้วย เมื่อเลเซอร์ถูกยิงออกจากปากกระบอกปืน  บนจอภาพในเรือบินลิเบอร์ตี้ก็ฉายให้เห็นเป้าหมายชัดเจนขึ้น  จนราฟได้เห็นคาลิช
    “หยุด!!!”  เค้าสั่งเสียงแข็งในทันทีแต่ไม่ทันเสียแล้ว
 
  เลเซอร์กำลังจะโดนหัวเรือ  เซเรนก็กางม่านพลังคุมเรือของเครนไว้  ทำให้รอดจากการจู่โจมแบบหวุดหวิด  เลเซอร์โดนม่านพลังก็สลายไปทันที  เซเรนรีบวิ่งเข้ามาดูคาลิช  แทนที่จะโกรธแต่ราฟกลับโล่งอก
    “ในที่สุดก็พบ  อีกร่างหนึ่งของเอเมอร์”  สีหน้าของราฟแสดงความตื่นเต้นสะใจก่อนจะออกคำสั่ง  “เปิดระบบวาร์ปเอาตัวสองคนนั่นขึ้นมา”  ทหารทำตามทันที  พวกเค้าบังคับเรือบินให้อยู่เหนือเรือของเครน  หลุมมิติขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่ใต้ท้องเรือของลิเบอร์ตี้  และใต้บริเวณที่คาลิชกับเซเรนยืนอยู่  เค้ารีบผลักเธอออกจากหลุมมิติ  ทำให้ตัวเองถูกวาร์ปขึ้นไปเพียงคนเดียว  เป็นจังหวะเดียวกับที่เครนแก้ระบบได้พอดี  เค้าหักเรือหนีสุดกำลังพร้อมเปิดท่อเจ็ทเร่งความเร็ว  เรือจึงเสียหลักวิ่งออกนอกเส้นทางที่เครนกำหนดไว้แต่ก็หนีรอดจากพวกลิเบอร์ตี้แบบหวุดหวิด  ราฟที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่สั่งให้หยุการไล่ตาม  เค้าพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็น
   
    “แค่นี้ก็คุ้มแล้ว  ท่านประธานคงจะดีใจแน่  กลับลิเบอร์ตี้!”  ราฟออกคำสั่งแล้วเรือบินก็มุ่งหน้ากลับสู่ลิเบอร์ตี้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 4 ก้อจบลงโฮะๆๆๆ 
โอมขออย่าให้ยัยA.Fawke เข้ามาด้วยเถอะ ก๊ากกกก  ไม่งั้นเราคงไม่มีโอกาสมาทำยังงี้อีกเป็นครั้งที่สองแน่ 555+
เม้นด้วยนะค่ะ  รักคนอ่าน ห่วงคนเม้น  เอ็นดูคนโหวต
   
  บ้านหลังที่  3  ของย่านเลมคัสก็คือสถานที่นัดพบ  ทั้งคู่ลงจากรถ  คาลิชเดินนำเซเรนไปหยุดที่หน้าประตูบ้าน  ขณะเดียวกันภายในบ้าน  เสียงสัญญาณเตือนให้รู้ถึงผู้มาเยือน  ชายคนหนึ่งในกุ่มผู้ก่อการร้ายลุกจากเก้าอี้เพื่อไปปลดล็อคประตูเปิด  คาลิชพาเซเรนเดินตามชายคนนั้นเข้ามาจนถึงในสุดก็ได้พบกับหญิงสาวรูปร่างผอมสูงในชุดสีแดงรัดรูปที่แสดงให้เห็นสัดส่วนของเธออย่างชัดเจนและเข้ากับบุคลิก  ผมสีน้ำตาลแดงสะท้อนเป็นเงาเมื่อต้องแสงไฟน้อยนิดในบ้านหลังนี้   
    “ฉัน  คาร่า  คาร์เทีย  เป็นหัวหน้าหน่วยที่สามของกลุ่มเพลัซ  แล้วก็เป็นผู้ว่าจ้างของเธอด้วยพ่อหนุ่ม”
    “ป้านี่น่ะเหรอ  ดูไม่รู้เลยนะเนี่ย”
    “เสียมารยาทจริงๆนะ  ฉันพึ่งจะอายุ  28  ปากเสียแบบนี้  ชักอยากได้เป็นตอเล็คชั่นซะแล้วสิ  สนใจมั้ยล่ะ”
    “ยุคสมัยทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยแฮะ  แต่ผมขอบายดีกว่า  ว่าแต่คนที่ติดต่องานกับผมคนแรกก็คือคุณสินะ  ”
    “แหม  รู้แล้วหรือเนี่ย  ก็ครั้งเดียวน่ะ  ช่วงหลังๆลูกน้องฉันเป็นสานต่อ”
    “ถึงว่าสิ  ทำไมสำนวนที่ใช้ช่วงหลังๆมันเปลี่ยนไป  เหมือนของผู้ชาย  ตอนแรกคิดว่าเป็นพวกลักเพศซะอีก  เกือบจะหมดศรัทธาอยู่แล้วนะเนี่ย”
    “ตายจริง  ฉันมีเสน่ห์ขนาดนั้นเชียว  แต่ถึงใช้คำยกย่องกันขนาดไหน  ฉันก็ไม่ลืมจุดประสงค์ที่มาพบกันวันนี้หรอกนะ ขอดูผลลัพธ์การปฏิบัติงานหน่อยสิ  คุณเฮลเมท”
    “ใครน่ะ  เฮลเมท”  เซเรนถามเบาๆจากด้านหลังของคาลิช
    “เค้าใช้เรียกคนมีอาชีพอย่างฉัน  ไม่ใช่ชื่อหรอก”  พูดจบก็ดึงมือเซเรนให้ออกมาเผชิญหน้ากับคาร่า  หญิงสาวมองเซเรนอย่างพิจารณา
    “ไม่เลวนี่  พาออกมาโดยไม่มีรอยขีดข่วน...”  พูดพลางยื่นมือไปสัมผัสใบหน้าของเซเรน  ทำเอาเธอยืนตัวแข็งไม่กล้ากระดุกกระดิก  “หวังว่าภายในจะยังไม่มีตำหนินะ”  เธอเหล่ไปทางคาลิชก่อนหัวเราะเบาๆ
    “ล้อเล่นก็อย่าให้เกินเลยสิป้า  ยัยผู้หญิงปากร้ายก้าวร้าวนี่ไม่ทำให้ผมสนใจหรอก  อีกอย่าง...โอ๊ย!”  คาลิชสะดุดเมื่อถูกเซเรนตบหัวอย่างแรง  คาร่ายิ่งหัวเราะหนักขึ้นอีก
    “พวกเธอนี่ตลกดีนะ  เป็นแค่ผู้รับส่งหับสินค้าจริงๆน่ะเหรอ”  คาลิชเอามือกุมหัวก่อนตอบคำถาม 
    “ก็ไม่เชิง  แต่ก่อนจะยกสินค้าให้อยากรู้อะไรหน่อย  คิดจะทำอะไรกับยัยนี่  คงไม่ใช้วิธีสกปรกเอายัยนี่เป็นเครื่องมือเหมือนกับพวกลิเบอร์ตี้หรอกนะ”
    “ตรงดี  ทำการบ้านมาดีซะด้วย  เป็นห่วงสินค้าขนาดนั้นเชียว”
    “ก็แค่พอจะมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง”
    “งั้นเหรอ  แต่คำนั้นใช้ไม่ได้แล้วล่ะในยุคนี้  และฉันก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเธอซะด้วย”
    “อ้อ!  ไอ้กลุ่มเพลัซที่คุยหนักหนาว่าต่อต้านลิเบอร์ตี้ก็ได้แค่ชื่อสินะ  จริงๆก็พวกชั่วบริสุทธิ์ที่ตีหน้าซื่อแต่เชือดนิ่มๆ  ไม่ต่างกับลิเบอร์ตี้ซักเท่าไร”
    “ปากดีจริงๆ  ปกติพวกเฮลเมทจะไม่สอดมือมายุ่งกับเรื่องของผู้ว่าจ้างไม่ใช่เหรอ  ถ้าผิดกฎระวังโดนเก็บนะ”
    “ยังไงก็ไม่ตอบรึ ถ้างั้นก็ปฏิเสธที่จะส่งมอบสินค้าเช่นกัน”
    “แล้วจะทำยังไงมิทราบล่ะ  พ่อหนุ่ม”  เธอดีดนิ้วครั้งเดียว  คนของเพลัซในที่นั้นก็เข้าล้อมกรอบคาลิชกับเซเรนไว้  พร้อมกับเล็งปืนมายังจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่
    “กล้าเหรอ  คนที่พวกแกต้องการตัวยืนอยู่ตรงนี้ด้วยนะ”
    “ไม่เกี่ยวนี่  ต่อให้กลายเป็นศพก็ชำแหละแล้วค่อยเอาไปวิจัยได้”
    “ถ้าพูดถึงขนาดนั้น  ทางนสี้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน...ปู่!!!”สิ้นเสียงคาลิช  ประตูทางเข้าก็ถูกพังเสียงดัง  ตามด้วยห่ากระสุนขนาดใหญ่ที่สาดเข้ามา  ทุกนในที่นั้นมัวแต่สนใจทางประตู  จังหวะนี้หลังคาบ้านถูกทุบแตกด้วยลูกเหล็กขนาดใหญ่ที่พึ่งจะถูกเก็บเข้าไปบนเรือบินขนาดไม่ใหญ่มากซึ่งลอยลำอยู่เหนือบ้าน  ในขณะที่คาลิชสั่งให้เซเรนกางม่านพลังลมกันเศษหลังคาและกระสุน  พลางยิงปืนสายสลิงขึ้นไปยึดที่เรือบิน  เค้าเหนี่ยวไกค้างไว้เพื่อดึงตัวขึ้นไปพร้อมกับการม้วนเก็บของสายสลิง  เมื่อทั้งคู่ขึ้นมาบนเรือบินได้เรียบร้อย  เครนก็สั่งถอนกำลังพร้อมกับขับเรือบินหนีไปอย่างรวดเร็ว
  พ้นเขตอันตรายแล้ว  เครนก็เปิดระบบบินอัตโนมัติ  แล้วเข้ามาดูคาลิชกับเซเรนที่ห้องพักรวมภายในเรือบิน
    “เกือบตายแล้วนะเมื่อกี้”  เครนพูดกลั้วหัวเราะ
    “ขำไม่ออกหรอกปู่  ถ้าไม่มีม่านพลังของยัยนี่กันกระสุนไว้มีหวังไม่รอด”  เซเรนมองหน้าคาลิชครู่หนึ่ง  ก่อนกล่าวเบาๆ
    “ขอบคุณมาก”  คาลิชเลิกคิ้วด้วยความอึ้ง
    “อะไรของเธอ  คิดจะใช้คำพูดหลอกล่อแล้วจู่โจมทีหลังล่ะสิ”  พูดพลางตั้งท่ารับมือ
    “บ้าบอ! ฉันจะไปเอาชากระป๋องในตู้เย็น  ใครจะเอาอะไรรึเปล่า?”
    “งั้นขอเบียร์  2  กระป๋อง”  คาลิชตอบแทนเครนด้วย  เซเรนจึงเดินออกจากห้องไป
    “หาเรื่องเดือดร้อนจนได้นะ  ไอ้หนู”
    “จะว่างั้นก็ได้  แต่ผมกลับสบายใจมากกว่า”
    “แกนี่มันใจอ่อนจริง  ไม่รู้มาทำอาชีพนี้แล้วอยู่รอดได้ไง”
    “ก็ยังไม่อยากกลายเป็นอมนุษย์นี่ปู่”
    “แกว่าฉันเรอะ  เออฉันจะคอยดูวันตายของแก”  ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกันโดยไม่รู้ว่าเซเรนแอบยินฟังอยู่เงียบๆที่หน้าประตู
  ทันใดเรือบินเริ่มส่ายไปมาจากแรงปะทะของเรือบินอีกลำ  เซเรนรีบวิ่งออกไปดูที่ดาดฟ้าเรือ  ครู่หนึ่งเครนกับคาลิชก็ตามออกมา  เรือบินอีกลำนั้นลำใหญ่และดูแข็งแกร่งกว่าของเครน  ข้างเรือมีตราสัญลักษณ์รูปปีกค้างคาวสีดำซ้อนทับกับขนนกและเข็มฉีดยาในวงกลมเวทย์ขนาดใหญ่  ซึ่งเป็นตราของบริษัทลิเบอร์ตี้  อินดิส  คอเปอเรชั่น
    “แย่ล่ะ!!!  ฉันจะไปจัดการเร่งความเร็วเรือบิน  เราต้องหนี”  เครนพูดพร้อมกับเร่งฝีเท้าไปที่ห้องนักบิน
    “เซเรน  เธอเข้าไปข้างใน”  คาลิชสั่งแล้วหันมองรอบๆตัวก็พบป้อมปืนกลที่อยู่ตรงหัวเรือ  “ฉันจะไปถ่วงเวลา”  พูดพลางวิ่งตรงไปทางปืนนั้นเค้าเล็งปากกระบอกปืนไปที่ท้องเรือของฝ่ายตรงข้ามโดยผ่านเลนส์ลำกล้องคอมพิวเตอร์  เมื่อกดล็อคเป้าหมาย  กรอบสีแดงก็ปรากฏขึ้นล้อมจุดที่เป็นเปาหมายพร้อมคำนวณเปอร์เซ็นต์ที่จะโดน  ทว่าดอกาสมีเพียง  60%  เพราะฝ่ายตรงข้ามรู้ตัววะก่อนและพยายามบังคับให้เรือบินของตนเป็นเป้าที่ไม่อยู่นิ่ง
  คาลิชตัดสินใจยิงออกไป  กระสุนพุ่งออกไปเป็นชุด  และชุดแรกพลาดเพราะศัตรูหักหลบ  แต่ชุดต่อมาเฉี่ยวถูกใต้ท้องเรือ  ทำให้เรือบินของลิเบอร์ตี้เสียสมดุลย์  ที่ห้องบังคับการของเรือลิเบอร์ตี้  พวกทหารโกลาหลเป็นการใหญ่
    “เปิดระบบซ่อมรอยรั่วอัตโนมัติ  แล้วเตรียมอาวุธ  เราจะยิงโต้กลับ”  เสียงของชายผู้หนึ่งขัดขึ้นอย่างเยือกเย็น  ทำให้บรรยากาศวุ่นวายเมื่อครู่หายไปในทันที  ชายคนนี้ก็คือ  ราฟ  เมเบิ้ล  หนึ่งในผู้บริหารสูงสุดของลิเบอร์ตี้
  ระบบซ่อมรอยรั่วอัตโนมัติทำงาน  ของเหลวเหนียวๆหลั่งออกมาปิดรูรั่วที่ถูกยิงจนสนิทและแข็งตัวอย่างรวดเร็ว  ทำให้เรือกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวอีกครั้ง  พร้อมกับเปิดตัวอาวุธปืนเลเซอร์สองกระบอกที่ยื่นออกขนาบข้างท้องเรือ  คาลิชที่กำลังจะเล็งยิงครั้งต่อไปถึงกับชะงัก  ดูท่าที่เค้าทำมันจะไร้ประโยชน์ซะแล้ว  อาวุธของฝ่ายตรงข้ามคงจะร้ายกว่าของเครนเยอะ  และที่สำคัญก็คือม่านพลังบางๆซึ่งมีไฟฟ้าปรากฏเป็นระยะๆ  ครอบอยู่รอบเรือบินเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่ขวางวิถีกระสุนของเค้า  เรียกได้ว่าพร้อมทั้งรุกและรับ
ขณะเดียวกันเครนก็กำลังง่วนกับระบบเร่งความเร็วที่ดันมาใช้การไม่ได้ในเวลานี้  ทำอย่างไรก็ไม่ติดซักที  ทางด้านราฟสั่งให้ทหารที่ทำหน้าที่ควบคุมอาวุธเล็งไปที่หัวเรือของฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำลายอาวุธของทางนั้นทิ้ง  โดยใช้ความแรงเพียง  10%  เพื่อไม่ให้เรือเสียหายมากนักเพราะเซเรนซวิ่งเป็นเป้าหมายของพวกเค้าอยู่ในเรือบินของเครนด้วย เมื่อเลเซอร์ถูกยิงออกจากปากกระบอกปืน  บนจอภาพในเรือบินลิเบอร์ตี้ก็ฉายให้เห็นเป้าหมายชัดเจนขึ้น  จนราฟได้เห็นคาลิช
    “หยุด!!!”  เค้าสั่งเสียงแข็งในทันทีแต่ไม่ทันเสียแล้ว
 
  เลเซอร์กำลังจะโดนหัวเรือ  เซเรนก็กางม่านพลังคุมเรือของเครนไว้  ทำให้รอดจากการจู่โจมแบบหวุดหวิด  เลเซอร์โดนม่านพลังก็สลายไปทันที  เซเรนรีบวิ่งเข้ามาดูคาลิช  แทนที่จะโกรธแต่ราฟกลับโล่งอก
    “ในที่สุดก็พบ  อีกร่างหนึ่งของเอเมอร์”  สีหน้าของราฟแสดงความตื่นเต้นสะใจก่อนจะออกคำสั่ง  “เปิดระบบวาร์ปเอาตัวสองคนนั่นขึ้นมา”  ทหารทำตามทันที  พวกเค้าบังคับเรือบินให้อยู่เหนือเรือของเครน  หลุมมิติขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่ใต้ท้องเรือของลิเบอร์ตี้  และใต้บริเวณที่คาลิชกับเซเรนยืนอยู่  เค้ารีบผลักเธอออกจากหลุมมิติ  ทำให้ตัวเองถูกวาร์ปขึ้นไปเพียงคนเดียว  เป็นจังหวะเดียวกับที่เครนแก้ระบบได้พอดี  เค้าหักเรือหนีสุดกำลังพร้อมเปิดท่อเจ็ทเร่งความเร็ว  เรือจึงเสียหลักวิ่งออกนอกเส้นทางที่เครนกำหนดไว้แต่ก็หนีรอดจากพวกลิเบอร์ตี้แบบหวุดหวิด  ราฟที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่สั่งให้หยุการไล่ตาม  เค้าพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็น
   
    “แค่นี้ก็คุ้มแล้ว  ท่านประธานคงจะดีใจแน่  กลับลิเบอร์ตี้!”  ราฟออกคำสั่งแล้วเรือบินก็มุ่งหน้ากลับสู่ลิเบอร์ตี้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 4 ก้อจบลงโฮะๆๆๆ 
โอมขออย่าให้ยัยA.Fawke เข้ามาด้วยเถอะ ก๊ากกกก  ไม่งั้นเราคงไม่มีโอกาสมาทำยังงี้อีกเป็นครั้งที่สองแน่ 555+
เม้นด้วยนะค่ะ  รักคนอ่าน ห่วงคนเม้น  เอ็นดูคนโหวต
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น