ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ผู้ว่าจ้าง
  เช้าวันรุ่งขึ้น  คาลิชขับรถออกจากบ้านมาคนเดียวในขณะที่เซเรนยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง  เค้ามาหาเครนที่บ้านหลังใหญ่ใกล้กับท่าเรือในเมือง  พื้นที่แถบนี้นับได้ว่าเป็นเขตที่มีความเจริญที่สุดของแพลนนิส  เพราะมีเรือค้าขายและขนส่งสินค้าทั้งในและต่างเมืองเวียนไปมาอยู่ประจำ 
  หลังจากที่ท่าอากาศยานและเครื่องบินทุกชนิดปิดบริการเนื่องจาหมีปัญหาเรื่องงบประมาณอยู่  ทำให้เมืองนี้ต้องหันมาพึ่งการคมนาคมแบบเก่าแทนและสาเหตุที่เครนเลือกที่แถบนี้ตั้งรกรากก็ด้วยเหตุที่ว่ามันเอื้อต่องานด้านข่าวสารข้อมูลของเค้าส่วนหนึ่ง  แต่ที่สำคัญที่สุดคือ  เรือสินค้าบางลำเป็นเรือผิดกฎหมายที่มักจะบรรทุกสินค้าจากตลาดมืดของทุกทวีปมาด้วย  เป็นที่รู้จักกันดีในวงการในนาม  เรือคอนเวนท์  ซึ่งเครนทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางอีกทีในการติดต่อซื้อขายสินค้าผิดกฎหมายเหล่านี้กับคนในเมืองแพลนนิส
กาแฟดำร้อนๆในถ้วยกาแฟสีขาวขอบทองถูกวางลงบนโต๊ะรับแขกตรงหน้าคาลิช  ในขณะที่เครนยกอีกถ้วยขึ้นดื่ม  ก่อนจะถามอย่างรู้ทัน
           
                “มีอะไรเดือดร้อนมาอีกล่ะ  เผื่อฉันจะช่วยได้”
                “ผมอยากให้หารายละเอียดเกี่ยวกับโปรเจคท์ของลิเบอตี้เมื่อ  19  ปีก่อนน่ะปู่”
    “เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อเซเรนน่ะเรอะ?”
    “ข่าวไวดีนี่  ผมยังไม่ค่อยแน่ใจว่าควรส่งตัวเธอให้ผู้ว่าจ้างรึเปล่า  เพราะพวกนั้นอาจเป็นคนของลิเบอตี้”
    “ชักสนใจขึ้นมาล่ะสิ  ก็น่าอยู่หรอก  เจอครั้งแรกก็รู้จักซะถึงเนื้อขนาดนั้น”
    “แก่แล้วก็อยู่ส่วนแก่อย่ามาทำลามกน่ะปู่  ก็แค่รู้สึกผิดถ้าปล่อยให้เธอถูกทำร้าย  ยังไงผมก็มีส่วนส่งเนื้อเข้าปากเสือด้วยเหมือนกัน”
    “ถ้าให้ฉันเดา  พวกที่จ้างแกคงไม่ใช่ลิเบอตี้หรอก  คิดสิ! โรงงานนั่นเป็นของเค้า  จะเข้าไปมันง่ายยิ่งกว่าทำลายข้าวของซะอีก”
    “จะอ้างสุภาษิตก็ให้มันถูกหน่อย”  คาลิชพูดพลางถอนหายใจเสียงดัง  “ก็คงใช่ ถ้างั้นนอกจากลิเบอตี้แล้วยังมีใครอยากได้ตัวเธออีก?”
    “รู้จักกลุ่ม  เพลัซ  มั้ย?”
    “อะไร ชื่อม้ามีปีกเหรอ?”
    “บ้าเรอะ!!!  นั่นมันเพกาซัส  ชื่อของสมาคมต่อต้านลิเบอตี้ที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานต่างหาก  มีข่าวว่าพวกมันกำลังวางแผนอะไรซักอย่างในการที่จะต่อกรกับลิเบอตี้”
    “หมายความว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้ที่ผู้ว่าจ้างจะเป็นคนของสมาคมนี้”
    “ถูกต้อง  แต่เรายังไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับพลังพิเศษของเซเรนรึเปล่า”
    “ก็เป็นไปได้  ถ้างั้นเธออาจเป็นอันตรายสินะ”
    “ยังจนกว่า  พวกมันจะรู้ความลับที่จะดึงพลังเธอมาใช้”
    “งั้นผมจะกลับแล้ว  ต้องไปดูซักหน่อย  เดี๋ยวยัยนั่นตื่นขึ้นมาก็หนีไปอีก  ยิ่งอ่อนต่อโลกอยู่ด้วย”
    “ห่วงอะไรขนาดนั้น  เธอคนนั้นเก่งกว่าแกด้วยซ้ำไป  อย่าไปเสี่ยงไม่เข้าเรื่องจะดีกว่า  มีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ด้วยไม่ใช่เรอะ  ตอนรับงานนี้ก็อุตส่าห์เตือนแล้วเตือนอีก”
    “ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกปู่  แค่คุณหนูธรรมดาๆเท่านั้นเอง”  พูดจบก็เดินออกจากบ้านของเครนแล้วขับรถออกไป
   
  รถของคาลิชแล่นไปตามทางจนมาถึงถนนใกล้กับคูน้ำเล็กๆ  ซึ่งอยู่ถัดจากท่าเรือ  คูน้ำแห่งนี้รัฐบาลเป็นผู้สั่งการให้ขุดขึ้นเพื่อใช้ในการเกษตร  เนื่องจากเมืองแถบท่าเรือเจริญขึ้น  ประชาชนก็มีเงินซื้อที่แถบนี้เพื่อทำการเพาะปลูกส่งขายให้กับเรือสินค้าจากต่างเมืองที่รับซื้อ  และรัฐบาลก็เห็นว่าเป็นแนวทางที่ดีที่จะเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจ  จึงเข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่
   
  ชายหนุ่มขับรถไปได้ซักพักก็ต้องเบรคอย่างกะทันหัน  เมื่อเหลือบเห็นเซเรนยืนหลับตานิ่งอยู่ริมคูน้ำ  เค้าเปิดประตูรถแล้วเดินอย่างเร็วตรงไปทางหญิงสาว  แต่ในขณะที่กำลังจะฉุดมือเธอก็ชะงัก  เด็กหญิงอายุประมาณเก้าขวบถูกห่อหุ้มด้วยฟองน้ำขนาดใหญ่  มันลอยขึ้นจากผิวน้ำและค่อยๆเคล่อนตัวมาหยุดลงบนพื้นตรงหน้าเค้า  ฟองหายไปแล้ว  เหลือเพียงเด็กหญิงที่กำลังหมดสติ  เซเรนลืมตาขึ้น
   
                “เค้ากำลังจะจมน้ำ  ฉันก็เลยช่วย”
    “คุณผายปอดเป็นรึเปล่า!?”
    “พอทำได้”  จากนั้นเซเรนก็ทำการปฐมพยาบาลทันที  เมื่อเด็กสาวสำลักน้ำออกมาแล้ว  คาลิชก็อุ้มเธอขึ้นรถเพื่อไปส่งที่โรงพยาบาล
    หลังจากจบเรื่องแล้ว  คาลิชก็พาเซเรนขึ้นรถเพื่อกลับไปยังไพรส์วูด
    “ผมจัดการเรื่องค่าพยาบาลกับพ่อแม่เด็กแล้ว  ไม่นานคงจะมารับกลับ  คุณสบายใจเถอะ”
    “ขอบคุณมาก”  เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง  บัดนี้เธอมองเค้าในแง่ดีขึ้นที่ยอมช่วยเด็ก  การกระทำของเค้าต่างกับที่พูดไว้ในทีแรกที่ว่าไม่มีใครสนใจใครหรอกในยุคสมัยนี้  แต่อย่างน้อยก็คาลิชคนนึงที่ยังพอมีน้ำใจอยู่บ้าง
  หลังจากกลับมาถึงบ้าน  คาลิชก็ถอดเสื้อโค๊ตแขวนไว้ข้างประตูก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาเบียร์เย็นๆดื่ม  เค้าปลดกระดุมสองเม็ดบนออกเพื่อคลายความอึดอัด  ในขณะที่เซเรนเดินตามเข้ามา
   
                “ฉัน...”
    “เรื่องที่จะส่งตัวคุณให้ผู้ว่าจ้าง  ผมจะคิดดูอีกที”  เค้าพูดด้วยท่าทางอ่อนเพลีย
    “ทำไมอยู่ๆถึง...”
    “ผมไม่อยากมานั่งรู้สึกผิดทีหลัง  แล้วก็...”  พูดไม่ทันจบก็หมดสติล้มกองลงกับพื้น  เซเรนตกใจรีบเข้าไปพยุงตัวเค้าขึ้นมาแล้วพาเข้าไปที่ห้องนอน
   
  หลังจากจัดท่านอนให้เรียบร้อย  เธอก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงพลางเหลือบไปเห็นขวดยาสีชาวางอยู่บนโต๊ะเล็กใกล้กับนาฬิกาปลุกดิจิตอล  หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาอ่านฉลาก  มันเป็นยายับยั้งไวรัสเอลบรีธในระบบทางเดินหายใจ  เด็กที่เกิดราว  22  ปีก่อน  ถ้ามีเหตุให้เข้าไปใกล้บริเวณซากโรงงานที่ระเบิดก็จะได้รับไวรัสชนิดนี้ทุกราย 
  ซึ่งสาเหตุเกิดจากสารที่ตกค้างจากการระเบิดของน้ำยาเคมีหลายชนิดภายในโรงงาน  ฝังตัวอยู่ทั่วไปบริเวณพื้นที่ดังกล่าว  ในระยะแรกไม่แสดงผลกระทบอะไรทำให้รัฐบาลไม่สนใจที่จะเข้ามาดูแลหรือกำจัดสารเหล่านี้อย่างจริงจัง  จนกระทั่งมันเริ่มก่อเชื้อโรคและเป็นอันตรายในเด็กแรกเกิดที่ยังมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง  กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด  ยาที่คาลิชใช้อยู่ก็ทำได้แค่ยับยั้งไว้ชั่วคราวเท่านั้น  เซเรนเอามืออังที่ใต้จมูกของคาลิช       
   
                “หายใจขัด  ไม่น่าเมื่อกลางวันถึงให้เราเป็นคนผายปอดให้เด็กคนนั้น”  เธอกล่าวพลางเทยาจากขวดก่อนเอาใส่ปากเค้าแล้วเทน้ำตามเข้าไป  คาลิชไอสำลักเล็กน้อย  แต่ก็ไม่ทำให้เค้าตื่นขึ้นมา  เซเรนจ้องมองเค้านิ่งพลางนึกในใจ
    “ใบหน้าตอนหลับเหมือนเอเมอร์ยังกับฝาแฝด”  เธอเอามือสัมผัสเบาๆบนใบหน้าของเค้า  “กระทั่งความรู้สึก...บางครั้งก็เหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าเอเมอร์  เค้าทั้งคู่มีอะไรเกี่ยวข้องกันรึเปล่านะ”
   
  แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องของคาลิช  เสียงนาฬิกาปลุกดังถี่ขึ้นเรื่อยๆที่ข้างหูของเซเรน  เธอลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับเอามือปิดสวิทซ์  มันจึงเงียบเสียง  เธอขยี้ตาแต่แล้วก็ชะงักเมื่อพบว่าผ้าห่มผืนใหญ่คลุมอยู่ที่ตัวเธอ  และตกใจเพราะบนเตียงคาลิชก็หายไปแล้ว
   
  หญิงสาวเดินหาคาลิชทีละห้องจนเข้ามาในครัว  ก็พบว่าเค้ากำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่บนโต๊ะอาหาร  เธอรู้สึกโล่งใจก่อนจะหันหลังเดินกลับ  แต่คาลิชเรียกไว้
   
                “จะไปไหน?  นั่งสิ  ผมชงเผื่อไว้แก้วนึงแล้ว”
   
  เซเรนทำตามอย่างว่าง่าย  เธอลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับคาลิช  บนกลางโต๊ะมีตระกร้าใส่ขนมปังปิ้งทาแยมบลูเบอรีวางเรียงอยู่  และตรงหน้าเธอคือถ้วยกาแฟดำร้อนๆ
   
                “อาการเป็นไงบ้าง?”  เธอเริ่มต้นถามเมื่อเห็นคาลิชเงียบ
    “ปกติดีแล้ว  ขอบคุณ”
    “ป่วยอยู่แล้วทำไมถึงรับงานที่สุขภาพไม่เอื้อแบบนี้”
    “กระจอกน่า  เป็นตำรวจยังเคยมาแล้ว  อีกอย่างปกติก็ไม่ได้กำเริบง่ายๆ  พอดีตอนเช้าผมลืมกินยา”
    “จริงสิเมื่อวานคุณไปไหนแต่เช้า  ฉันตื่นมาก็ไม่เจอแล้ว”
    “ไม่จำเป็นที่ผมต้องรายงานทุกอย่างให้คุณรู้”  คาลิชพูดพร้อมกับลุกจากเก้าอี้  เค้าเดินถือถ้วยกาแฟเปล่าไปวางที่เครื่องล้างจานพลางพูดกับเซเรน  “ถึงกำหนด  ผมจะพาคุณไปที่นัดหมายก่อน  แล้วเกิดท่าไม่ดี  ผมจะทำตามแผนไม่ส่งคุณให้พวกนั้น”
    “แล้วถ้าพวกนั้นไม่ใช่คนร้ายล่ะ...คุณจะไล่ฉันไปให้พ้นๆแบบที่เอเมอร์เคยทำรึเปล่า?”  เสียงของเธออ่อนลง  สีหน้าก็ดูเศร้า  คาลิชถึงกับอึ้งเงียบไปพักหนึ่ง
    “ผมไม่รู้ว่าเอเมอร์เป็นใครเกี่ยวข้องยังไงกับคุณ  บอกได้แต่ว่าผมไม่ใช่เค้า”  แล้วเดินออกจากห้องครัวไป  ทำให้เซเรนคิดได้  แม้จะเหมือนกันมากขนาดไหนก็ไม่ใช่คนๆเดียวกันอยู่ดี
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 3 แล้วก๊ากกกกก 
มีคอมเม้นที่ให้แนะนำให้เปลี่ยนคำว่า เค้า เป็น เขานะค่ะ (แหะๆๆ ก้ออยากเปลี่ยนให้อยู่หรอกค่ะ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาเพราะอัพเรื่องของนังเพื่อนตัวดีนี่เสร็จแล้วต้องไปนั่งปั่นฟิคของตัวเองต่อ เอาไว้ว่างๆจะมาแก้ไขคร้า)
คนอ่านอย่าเข้าใจผิดคิดว่าดิฉันคือผู้แต่งเรื่องนะค่ะ=_=\" ไม่ใช่ค่ะ  เป็นเพื่อนกันเฉยๆ
อ้อ อ่ะนะ ยังไงก้อขอทำตัวน่าเกลียดเล็กน้อย แปะฟิคของตัวเองไว้สักหน่อย
เรื่องหัวขโมยแห่งบารามอส ตอนพลังที่ขาดหาย
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=61209
แวะอ่านบ้างนะค่ะ
  หลังจากที่ท่าอากาศยานและเครื่องบินทุกชนิดปิดบริการเนื่องจาหมีปัญหาเรื่องงบประมาณอยู่  ทำให้เมืองนี้ต้องหันมาพึ่งการคมนาคมแบบเก่าแทนและสาเหตุที่เครนเลือกที่แถบนี้ตั้งรกรากก็ด้วยเหตุที่ว่ามันเอื้อต่องานด้านข่าวสารข้อมูลของเค้าส่วนหนึ่ง  แต่ที่สำคัญที่สุดคือ  เรือสินค้าบางลำเป็นเรือผิดกฎหมายที่มักจะบรรทุกสินค้าจากตลาดมืดของทุกทวีปมาด้วย  เป็นที่รู้จักกันดีในวงการในนาม  เรือคอนเวนท์  ซึ่งเครนทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางอีกทีในการติดต่อซื้อขายสินค้าผิดกฎหมายเหล่านี้กับคนในเมืองแพลนนิส
กาแฟดำร้อนๆในถ้วยกาแฟสีขาวขอบทองถูกวางลงบนโต๊ะรับแขกตรงหน้าคาลิช  ในขณะที่เครนยกอีกถ้วยขึ้นดื่ม  ก่อนจะถามอย่างรู้ทัน
           
                “มีอะไรเดือดร้อนมาอีกล่ะ  เผื่อฉันจะช่วยได้”
                “ผมอยากให้หารายละเอียดเกี่ยวกับโปรเจคท์ของลิเบอตี้เมื่อ  19  ปีก่อนน่ะปู่”
    “เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อเซเรนน่ะเรอะ?”
    “ข่าวไวดีนี่  ผมยังไม่ค่อยแน่ใจว่าควรส่งตัวเธอให้ผู้ว่าจ้างรึเปล่า  เพราะพวกนั้นอาจเป็นคนของลิเบอตี้”
    “ชักสนใจขึ้นมาล่ะสิ  ก็น่าอยู่หรอก  เจอครั้งแรกก็รู้จักซะถึงเนื้อขนาดนั้น”
    “แก่แล้วก็อยู่ส่วนแก่อย่ามาทำลามกน่ะปู่  ก็แค่รู้สึกผิดถ้าปล่อยให้เธอถูกทำร้าย  ยังไงผมก็มีส่วนส่งเนื้อเข้าปากเสือด้วยเหมือนกัน”
    “ถ้าให้ฉันเดา  พวกที่จ้างแกคงไม่ใช่ลิเบอตี้หรอก  คิดสิ! โรงงานนั่นเป็นของเค้า  จะเข้าไปมันง่ายยิ่งกว่าทำลายข้าวของซะอีก”
    “จะอ้างสุภาษิตก็ให้มันถูกหน่อย”  คาลิชพูดพลางถอนหายใจเสียงดัง  “ก็คงใช่ ถ้างั้นนอกจากลิเบอตี้แล้วยังมีใครอยากได้ตัวเธออีก?”
    “รู้จักกลุ่ม  เพลัซ  มั้ย?”
    “อะไร ชื่อม้ามีปีกเหรอ?”
    “บ้าเรอะ!!!  นั่นมันเพกาซัส  ชื่อของสมาคมต่อต้านลิเบอตี้ที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานต่างหาก  มีข่าวว่าพวกมันกำลังวางแผนอะไรซักอย่างในการที่จะต่อกรกับลิเบอตี้”
    “หมายความว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้ที่ผู้ว่าจ้างจะเป็นคนของสมาคมนี้”
    “ถูกต้อง  แต่เรายังไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับพลังพิเศษของเซเรนรึเปล่า”
    “ก็เป็นไปได้  ถ้างั้นเธออาจเป็นอันตรายสินะ”
    “ยังจนกว่า  พวกมันจะรู้ความลับที่จะดึงพลังเธอมาใช้”
    “งั้นผมจะกลับแล้ว  ต้องไปดูซักหน่อย  เดี๋ยวยัยนั่นตื่นขึ้นมาก็หนีไปอีก  ยิ่งอ่อนต่อโลกอยู่ด้วย”
    “ห่วงอะไรขนาดนั้น  เธอคนนั้นเก่งกว่าแกด้วยซ้ำไป  อย่าไปเสี่ยงไม่เข้าเรื่องจะดีกว่า  มีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ด้วยไม่ใช่เรอะ  ตอนรับงานนี้ก็อุตส่าห์เตือนแล้วเตือนอีก”
    “ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกปู่  แค่คุณหนูธรรมดาๆเท่านั้นเอง”  พูดจบก็เดินออกจากบ้านของเครนแล้วขับรถออกไป
   
  รถของคาลิชแล่นไปตามทางจนมาถึงถนนใกล้กับคูน้ำเล็กๆ  ซึ่งอยู่ถัดจากท่าเรือ  คูน้ำแห่งนี้รัฐบาลเป็นผู้สั่งการให้ขุดขึ้นเพื่อใช้ในการเกษตร  เนื่องจากเมืองแถบท่าเรือเจริญขึ้น  ประชาชนก็มีเงินซื้อที่แถบนี้เพื่อทำการเพาะปลูกส่งขายให้กับเรือสินค้าจากต่างเมืองที่รับซื้อ  และรัฐบาลก็เห็นว่าเป็นแนวทางที่ดีที่จะเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจ  จึงเข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่
   
  ชายหนุ่มขับรถไปได้ซักพักก็ต้องเบรคอย่างกะทันหัน  เมื่อเหลือบเห็นเซเรนยืนหลับตานิ่งอยู่ริมคูน้ำ  เค้าเปิดประตูรถแล้วเดินอย่างเร็วตรงไปทางหญิงสาว  แต่ในขณะที่กำลังจะฉุดมือเธอก็ชะงัก  เด็กหญิงอายุประมาณเก้าขวบถูกห่อหุ้มด้วยฟองน้ำขนาดใหญ่  มันลอยขึ้นจากผิวน้ำและค่อยๆเคล่อนตัวมาหยุดลงบนพื้นตรงหน้าเค้า  ฟองหายไปแล้ว  เหลือเพียงเด็กหญิงที่กำลังหมดสติ  เซเรนลืมตาขึ้น
   
                “เค้ากำลังจะจมน้ำ  ฉันก็เลยช่วย”
    “คุณผายปอดเป็นรึเปล่า!?”
    “พอทำได้”  จากนั้นเซเรนก็ทำการปฐมพยาบาลทันที  เมื่อเด็กสาวสำลักน้ำออกมาแล้ว  คาลิชก็อุ้มเธอขึ้นรถเพื่อไปส่งที่โรงพยาบาล
    หลังจากจบเรื่องแล้ว  คาลิชก็พาเซเรนขึ้นรถเพื่อกลับไปยังไพรส์วูด
    “ผมจัดการเรื่องค่าพยาบาลกับพ่อแม่เด็กแล้ว  ไม่นานคงจะมารับกลับ  คุณสบายใจเถอะ”
    “ขอบคุณมาก”  เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง  บัดนี้เธอมองเค้าในแง่ดีขึ้นที่ยอมช่วยเด็ก  การกระทำของเค้าต่างกับที่พูดไว้ในทีแรกที่ว่าไม่มีใครสนใจใครหรอกในยุคสมัยนี้  แต่อย่างน้อยก็คาลิชคนนึงที่ยังพอมีน้ำใจอยู่บ้าง
  หลังจากกลับมาถึงบ้าน  คาลิชก็ถอดเสื้อโค๊ตแขวนไว้ข้างประตูก่อนจะเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาเบียร์เย็นๆดื่ม  เค้าปลดกระดุมสองเม็ดบนออกเพื่อคลายความอึดอัด  ในขณะที่เซเรนเดินตามเข้ามา
   
                “ฉัน...”
    “เรื่องที่จะส่งตัวคุณให้ผู้ว่าจ้าง  ผมจะคิดดูอีกที”  เค้าพูดด้วยท่าทางอ่อนเพลีย
    “ทำไมอยู่ๆถึง...”
    “ผมไม่อยากมานั่งรู้สึกผิดทีหลัง  แล้วก็...”  พูดไม่ทันจบก็หมดสติล้มกองลงกับพื้น  เซเรนตกใจรีบเข้าไปพยุงตัวเค้าขึ้นมาแล้วพาเข้าไปที่ห้องนอน
   
  หลังจากจัดท่านอนให้เรียบร้อย  เธอก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงพลางเหลือบไปเห็นขวดยาสีชาวางอยู่บนโต๊ะเล็กใกล้กับนาฬิกาปลุกดิจิตอล  หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาอ่านฉลาก  มันเป็นยายับยั้งไวรัสเอลบรีธในระบบทางเดินหายใจ  เด็กที่เกิดราว  22  ปีก่อน  ถ้ามีเหตุให้เข้าไปใกล้บริเวณซากโรงงานที่ระเบิดก็จะได้รับไวรัสชนิดนี้ทุกราย 
  ซึ่งสาเหตุเกิดจากสารที่ตกค้างจากการระเบิดของน้ำยาเคมีหลายชนิดภายในโรงงาน  ฝังตัวอยู่ทั่วไปบริเวณพื้นที่ดังกล่าว  ในระยะแรกไม่แสดงผลกระทบอะไรทำให้รัฐบาลไม่สนใจที่จะเข้ามาดูแลหรือกำจัดสารเหล่านี้อย่างจริงจัง  จนกระทั่งมันเริ่มก่อเชื้อโรคและเป็นอันตรายในเด็กแรกเกิดที่ยังมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง  กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด  ยาที่คาลิชใช้อยู่ก็ทำได้แค่ยับยั้งไว้ชั่วคราวเท่านั้น  เซเรนเอามืออังที่ใต้จมูกของคาลิช       
   
                “หายใจขัด  ไม่น่าเมื่อกลางวันถึงให้เราเป็นคนผายปอดให้เด็กคนนั้น”  เธอกล่าวพลางเทยาจากขวดก่อนเอาใส่ปากเค้าแล้วเทน้ำตามเข้าไป  คาลิชไอสำลักเล็กน้อย  แต่ก็ไม่ทำให้เค้าตื่นขึ้นมา  เซเรนจ้องมองเค้านิ่งพลางนึกในใจ
    “ใบหน้าตอนหลับเหมือนเอเมอร์ยังกับฝาแฝด”  เธอเอามือสัมผัสเบาๆบนใบหน้าของเค้า  “กระทั่งความรู้สึก...บางครั้งก็เหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าเอเมอร์  เค้าทั้งคู่มีอะไรเกี่ยวข้องกันรึเปล่านะ”
   
  แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องของคาลิช  เสียงนาฬิกาปลุกดังถี่ขึ้นเรื่อยๆที่ข้างหูของเซเรน  เธอลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับเอามือปิดสวิทซ์  มันจึงเงียบเสียง  เธอขยี้ตาแต่แล้วก็ชะงักเมื่อพบว่าผ้าห่มผืนใหญ่คลุมอยู่ที่ตัวเธอ  และตกใจเพราะบนเตียงคาลิชก็หายไปแล้ว
   
  หญิงสาวเดินหาคาลิชทีละห้องจนเข้ามาในครัว  ก็พบว่าเค้ากำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่บนโต๊ะอาหาร  เธอรู้สึกโล่งใจก่อนจะหันหลังเดินกลับ  แต่คาลิชเรียกไว้
   
                “จะไปไหน?  นั่งสิ  ผมชงเผื่อไว้แก้วนึงแล้ว”
   
  เซเรนทำตามอย่างว่าง่าย  เธอลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับคาลิช  บนกลางโต๊ะมีตระกร้าใส่ขนมปังปิ้งทาแยมบลูเบอรีวางเรียงอยู่  และตรงหน้าเธอคือถ้วยกาแฟดำร้อนๆ
   
                “อาการเป็นไงบ้าง?”  เธอเริ่มต้นถามเมื่อเห็นคาลิชเงียบ
    “ปกติดีแล้ว  ขอบคุณ”
    “ป่วยอยู่แล้วทำไมถึงรับงานที่สุขภาพไม่เอื้อแบบนี้”
    “กระจอกน่า  เป็นตำรวจยังเคยมาแล้ว  อีกอย่างปกติก็ไม่ได้กำเริบง่ายๆ  พอดีตอนเช้าผมลืมกินยา”
    “จริงสิเมื่อวานคุณไปไหนแต่เช้า  ฉันตื่นมาก็ไม่เจอแล้ว”
    “ไม่จำเป็นที่ผมต้องรายงานทุกอย่างให้คุณรู้”  คาลิชพูดพร้อมกับลุกจากเก้าอี้  เค้าเดินถือถ้วยกาแฟเปล่าไปวางที่เครื่องล้างจานพลางพูดกับเซเรน  “ถึงกำหนด  ผมจะพาคุณไปที่นัดหมายก่อน  แล้วเกิดท่าไม่ดี  ผมจะทำตามแผนไม่ส่งคุณให้พวกนั้น”
    “แล้วถ้าพวกนั้นไม่ใช่คนร้ายล่ะ...คุณจะไล่ฉันไปให้พ้นๆแบบที่เอเมอร์เคยทำรึเปล่า?”  เสียงของเธออ่อนลง  สีหน้าก็ดูเศร้า  คาลิชถึงกับอึ้งเงียบไปพักหนึ่ง
    “ผมไม่รู้ว่าเอเมอร์เป็นใครเกี่ยวข้องยังไงกับคุณ  บอกได้แต่ว่าผมไม่ใช่เค้า”  แล้วเดินออกจากห้องครัวไป  ทำให้เซเรนคิดได้  แม้จะเหมือนกันมากขนาดไหนก็ไม่ใช่คนๆเดียวกันอยู่ดี
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 3 แล้วก๊ากกกกก 
มีคอมเม้นที่ให้แนะนำให้เปลี่ยนคำว่า เค้า เป็น เขานะค่ะ (แหะๆๆ ก้ออยากเปลี่ยนให้อยู่หรอกค่ะ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาเพราะอัพเรื่องของนังเพื่อนตัวดีนี่เสร็จแล้วต้องไปนั่งปั่นฟิคของตัวเองต่อ เอาไว้ว่างๆจะมาแก้ไขคร้า)
คนอ่านอย่าเข้าใจผิดคิดว่าดิฉันคือผู้แต่งเรื่องนะค่ะ=_=\" ไม่ใช่ค่ะ  เป็นเพื่อนกันเฉยๆ
อ้อ อ่ะนะ ยังไงก้อขอทำตัวน่าเกลียดเล็กน้อย แปะฟิคของตัวเองไว้สักหน่อย
เรื่องหัวขโมยแห่งบารามอส ตอนพลังที่ขาดหาย
http://www.dek-d.com/entertain/view.php?id=61209
แวะอ่านบ้างนะค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น