ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Last Mission

    ลำดับตอนที่ #2 : เมืองที่ไม่น่าอยู่

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 48


      เมืองแพลนนิสเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญสูงสุดในทวีปอาร์คาติกแห่งนี้  จนกระทั่งบริษัทอินดิสคอเปอเรชั่นถูกสร้างขึ้น  ในช่วงแรกบริษัทนี้เข้ามาเป็นเพียงผู้ผลิตสินค้ารายย่อยเท่านั้น   ต่อมาจึงขยายตลาดจนเป็นผู้ครอบคลุมการจำหน่ายสินค้าเกือบทุกชนิดและประสบความสำเร็จจนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ส่งออกไปทั่วทั้งทวีป  



      ประธานบริษัทคือ ไอเว่น  คาร์เทลี่  จึงได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุด  ภายหลังมีข่าวลือว่าเค้าใช้เงินเข้ามามีอิทธิพลกับรัฐบาลโดยแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันในโปรเจคท์ที่เป็นความลับสุดยอด  และสร้างโรงงานขึ้นหลายแห่ง  จนกระทั่งเกิดระเบิดขึ้นในบริเวณใกล้กับใจกลางเมือง  ทำให้เมืองแพลนนิสเสื่อมโทรมลง  ทว่าลิเบอตี้อินดิสไม่คิดจะเลิกล้มโครงการ  ประธานบริษัทมีเกาะส่วนตัวที่ห่างออกไปไม่ไกลจากเมืองแพลนนิสและทวีปอาร์คาติก  พวกเค้าดำเนินโครงการต่อกันที่นั่น  จากนั้นไม่นาน  เกาะดังกล่าวก็เกิดคลื่นซัดจมไปใต้ทะเลพร้อมๆกับโรงงานโดยไม่รู้สาเหตุ

        

      ปัจจุบันสภาพของเมืองแพลนนิสก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก  แม้บางส่วนจะฟื้นตัวได้แล้วก็ตาม  และส่วนของเมืองที่เป็นอนุสรณ์บ่งบอกถึงเหตุการณ์ในอดีตได้ดีคือ  ย่านเลมคัส  ซึ่งเป็นแหล่งเสื่อมโทรมขึ้นชื่อของแพลนนิส  เพราะมีแต่ชุมชนที่เต็มไปด้วยบ้านโทรมๆของกลุ่มคนซึ่งประสบภัยจากโรงงานระเบิด แต่ที่แห่งนี้ก็เป็นแหล่งซ่องสุมกองกำลังของพวกสมาคมที่ต่อต้านรัฐบาลและลิเบอตี้อยู่อย่างลับๆ  และผู้ที่ว่าจ้างคาลิชให้บุกเข้าไปที่โรงงานใต้น้ำก็คือพวกเค้า

        

                    “ท่านคาร่ามีคำสั่ง  ให้เอาตัวผู้หญิงผมสีน้ำเงินไปให้ได้เร็วที่สุด”  ชายร่างใหญ่ผิวคล้ำกล่าวขึ้น  ชายอีกคนจึงหันไปปรึกษากับหัวหน้าสาขาย่อยของเค้า



        “งั้นผมจะติดต่อให้  เอาเป็นอีก  3  วันข้างหน้าแล้วกันนะครับ  คุณมาวิน”



        “อือม์  รีบไปจัดการ”

        

      คอนโดไพรส์วูดใจกลางเมืองแพลนนิสเป็นอาคารสูงที่เคยเป็นที่นิยมของเหล่าเศรษฐีในเมือง  ทว่าหลังจากได้รับผลกระทบจากการระเบิดแม้จะไม่โดนเต็มๆ  แต่ก็ต้องใช้เวลาบูรณะอยู่นานจนมีสภาพสมบูรณ์ขึ้นแต่ก็ไม่หรูหราดังเดิม  ปัจจุบันจึงเป็นเพียงห้องเช่าระดับกลางที่คนพอมีฐานะสามารถเข้ามาเช่าพักได้และเป็นที่อยู่ของคาลิชในขณะนี้

          

      หญิงสาวผมสีน้ำเงินยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียงนุ่มในห้องพักรับรองที่คาลิชจัดไว้ต่างหาก  ส่วนตัวเค้านั่งพักหัวอยู่ในห้องรับแขก ทันใดมีเสียงจากคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานดังขึ้น  ฉุดให้เค้าลุกขึ้นไปดู  หน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏข้อความจากลูกค้าว่าอีก  3  วันให้นำตัวผู้หญิงไปที่บ้านหลังที่สามในย่านเลมคัส  คาลิชกดตอบรับแล้วเดินออกจากห้องนี้เข้าไปในครัว  เค้าเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์เย็นๆออกมาดื่มก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่

        

                   “สามวัน...ชักรู้สึกเสียดายขึ้นมานิดๆแฮะ”

        

                   ขณะเดียวกันหญิงสาวในชุดนอนที่คาลิชให้เธอยืมใส่ชั่วคราวก็ได้สติ  เธอลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะลุดพรวดพราดขึ้น  ลงจากเตียง  แล้วออกจากห้องทันที

        

                   “เอเมอร์!”  เธอตะโกนเรียกสุดเสียงทำให้คาลิชถึงกับสำลักเบียร์  เค้าวางกระป๋องเบียร์ไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกจากครัวมาตามเสียงร้อง หญิงสาวได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังจึงหันมาเผชิญหน้ากับคาลิชพอดี



        “เอ...”  เธอหยุดพลางเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นมือเพื่อจะสัมผัสใบหน้าของเค้า  แต่แล้วก็ชะงักแล้วพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ



        “ไม่ใช่...คุณเป็นใคร?”  คาลิชเกาหัวด้วยความสับสนกับท่าที่ของหญิงสาวตรงหน้า



        “ผม คาลิช  รีเทนเนอร์  เป็นคนพาคุณออกมาจากโรงงานร้างของลิเบอตี้ อินดิสคอเปอเรชั่น”  ชื่อนี้ทำให้เธอมีท่าที่ตกใจและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด  ก่อนจะสงบลงและแนะนำตัวตามปกติ



        “ดิฉัน เซเรน  ทราด้า ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยฉันไว้”



        “ผมคงรับไม่ได้หรอก  มันเป็นงานน่ะ”



        “คุณเป็นพวกค้ามนุษย์หรือคะ?”  เธอกล่าวพลางก้าวถอยห่างออกจากคาลิช  คาลิชนิ่งอึ้งก่อนจะปฏิเสธเสียงดัง



        “ไม่...ไม่ใช่!แต่มีคนจ้างให้ผมพาคุณมาให้เค้า”



        “ใครคะ?”



        “คนทำงานแบบผมส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เห็นหน้าผู้ว่าจ้างก่อนหรอก  เพราะงานบางอย่างก้ไม่ค่อยจะถูกกฎหมายน่ะ  แค่เงินถึงงานไม่เกินความสามารถก็พอแล้ว”



        “งานอะไรคะ ทำไมไม่เกรงใจกฎหมายเลย”  คาลิชได้ฟังก็อยากจะหัวเราะ  นี่มันสมัยไหนแล้ว  กฎหมายเป็นแค่เครื่องประดับให้รู้ว่าที่นี่เรียกว่าเมืองเท่านั้นแหละ  แล้วเค้าก็นึกได้ว่า  เธออาจจะนึกว่าสมัยนี้คือเมื่อ  19  ปีก่อนล่ะมั้ง  เค้าจึงพยายามอธิบาย



        “คือ  ที่นี่น่ะ...”



        “เหมือนงานของพวกลิเบอตี้เลยนะคะ  เป็นพวกไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา  ทำร้ายคน สัตว์ แล้วก็ทุกอย่าง  การทดลองของพวกเค้าเป็น สิ่งเลวร้าย  ฉันเกลียดที่สุด”  เธอลงเสียงหนักที่คำท้ายจนคาลิชสะดุ้ง  เค้ารู้สึกว่าพื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย  หรือว่าเค้าคิดไปเองกันแน่นะ



        “ขอโทษนะคะ  ฉันขอตัวดีกว่า”  คาลิชรู้สึกว่าท่าทีของเซเรนเปลี่ยนไป  ดูแข็งกร้าวขึ้น  เธอคงจะเกลียดบริษัทนี้จริงๆ  แต่หวังว่าคงจะไม่เหมาเอาเค้าไปรวมกับคนประเภทนั้นหรอกนะ  เค้ายืนนิ่งรอจนเธอกลับเข้าไปในห้องแบบพูดอะไรไม่ออก



        ในตอนเย็น  คาลิชเดินมาเคาะประตูห้องของเซเรนเพื่อพาเธอไปทารนอาหารเย็นข้างนอกแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบ  เค้าจึงพังประตูเข้าไปก็พบว่าห้องว่างเปล่า  มีเพียงเสียงหวีดของลมที่ลอดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างซึ่งเปิดทิ้งไว้  คาลิชคอตกพร้อมกับเอามือกุมขมับ



        “นี่มันอะไรกันนักกันหนา”  เค้าบ่นพลางเดินไปหยิบเสื้อโค๊ทเตรียมออกไปข้างนอก

        

      เซเรนเดินเตร่อยู่บนฟุตบาตข้างถนนที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้นค้าต่าง  ร้านส่วนใหญ่ดูโทรมและเก่าจนเธอรู้สึกแปลกใจ  แพลลิสที่เธอเคยเห็นก่อนจะถูกจับตัวเข้าไปอยู่ในโรงงานมีสภาพที่เจริญหูเจริญตากว่านี้มาก  เดินไปซักพักเธอก็รู้สึกได้ถึงสายตาของคนรอบข้างที่จ้องมาทางเธอตลอดเวลา  หญิงสาวก้มลงมองสำรวจตัวเองและพบว่าเธอใส่ชุดนอนออกมาก็ถึงกับหน้าแดง  เธอจึงเดินจ้ำอย่างเร็วไปหลบที่ซอกมุมหนึ่งข้างร้านขายของชำ

        



                    “แย่จริง!  ลืมไปว่าใส่ชุดนอนอยู่” หญิงสาวถอนหายใจช้าๆแล้วก้ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือเย็นๆมาสะกิดด้านหลัง  หันไปก็พบกับกลุ่มวัยรุ่นชายท่าทางเหมือนพวกขี้ยาสามคนเดินเข้ามาล้อมวงเธอไว้



        “ไงน้อง  มาเดินเตร่ในถิ่นพี่  แถมใส่ชุดนอนมายั่วถึงที่แบบนี้  อยากจะให้พี่ตอบสนองยังไงดีจ๊ะ?”  หนึ่งในนั้นพุดขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาเชยคางเธอ  เซเรนเริ่มมีน้ำโหกับคำพูดไร้มารยาท  เธอจะเดินหนีแต่ถูกวัยรุ่นอีกคนกันไว้



        “ถอยไป!   ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”   จบคำ  น้ำเน่าเสียที่ขังอยู่ตามซอกพื้นรอบตัวเธอก็เริ่มกระเพื่อม  แต่วัยรุ่นทั้งสามยังไม่รู้ตัว



        “จะทำอะไรจ๊ะ  ร้องเรียกคนช่วยเหรอ  สมัยนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองหรอก  พี่ว่าตามมาดีๆดีกว่าจะได้ไม่เจ็บตัว”  ทันใดเสียงรถเก๋งคันหนึ่งเบรคอย่างแรงที่ถนนด้านข้าง

      

      คาลิชกดรีโมทย์เลื่อนเปิดประตูรถก่อนยิงปืนใส่ขาของวัยรุ่นคนหนึ่งในกลุ่ม  เซเรนถือโอกาสหนีออกมาขึ้นรถของคาลิชตอนกำลังชุลมุน  เค้ากดรีโมทย์ปิดประตูรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว

        

      รถเริ่มชะลอความเร็วลงเมื่อออกห่างจากที่เกิดเหตุมาไกลพอสมควร  มันวิ่งไปตามทางถนนอย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกับภายในรถ  คาลิชรู้สึกถึงบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัด  ในขณะที่เซเรนนั่งนิ่งจนเค้าไม่รู้ว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

        

                    “ผมนึกไม่ออกว่าคุณหนีมาได้ยังไง  นั่นมันชั้น  8  เชียวนะ”  แต่หญิงสาวนิ่งไม่ตอบทำให้คาลิชหัวเสีย  “ถ้างั้นรอคุณอารมณ์ดีก่อนแล้วผมค่อยพูดด้วย”



        “คุณยิงเค้า!”  เธอโพล่งออกมา  คาลิชหันมองเธอพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างสงสัย เธอหันไปเผชิญหน้ากับเค้า  “ก็พวกอันธพาลเมื่อครู่  ถึงพวกนั้นจะเลวคุณก็ไม่มี่สิทธิ์เอาปืนไปยิงใครกลางถนนแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง”



        “ผมก็ไม่ได้ยิงจุดตายนี่  แค่ทำให้บาดเจ็บจะได้เข็ด”



        “แล้วถ้าพลาดล่ะ?”



        “ผมเป็นอดีตตำรวจนะคุณ  ยังไงก็มีฝีมือยิงปืนก็ยังมีอยู่”



        “คุณเคยเป็นตำรวจยิ่งต้องรักษากฎ  แต่นี่กลับทำร้ายประชาชนกลางถนน”  คาลิชเบรครถอย่างแรงจนทั้งคู่ตัวเอนไปข้างหน้า



        “ผมนึกได้แล้วว่าเราต้องคุยกันเรื่องนี้  คุณคิดว่าคุณอยู่ในยุคไหน!?  ไอ้สมัยที่เค้ายังเห็นกฎหมายยู่ในสายตาน่ะมันหมดไปตั้งแต่  19  ปีก่อนแล้ว!  คุณไม่สังเกตรอบตัวเหรอ  ไม่มีใครสนใจใคร  ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  อันธพาลครองเมือง!!”



        “หมายความว่าไง?  19  ปีก่อนทั้งฉันทั้งคุณพึ่งจะเกิดไม่นานเอง  แล้วก่อนที่ฉันจะถูกจับเข้าไปในโรงงาน  ทุกอย่างยังไม่เละเทะอย่างที่คุณว่าซักหน่อย”



        “ฟังนะ!  19  ปีก่อนผมพึ่งเกิดน่ะใช่  แต่คุณไม่ใช่  ผมคิดว่าลิเบอตี้คงใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์อะไรซักอย่างในการรักษาเซลล์ในร่างกายให้คงสภาพไว้ได้นานตอนที่คุณถูกจับเข้าไปในโรงงานนั่น  ซึ่งมันผ่านมาแล้ว  19  ปีและก่อนที่คุณถูกจับก็มีสภาพเหมือนตอนนี้แล้วคืออายุ  20 ”



        “ถ้าจะล้อเล่นก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย  ฉันไม่...”



        “ที่พูดเป็นเรื่องจริง  ถ้าไม่งั้นตอนนี้คนที่นั่งอยู่ข้างผมก็คงจะเป็นป้าแก่อายุ  40  ขึ้นแล้ว”



        “ป...ป้าหรอ?”  เธอทำท่าจะเถียงแต่ก็พูดไม่ออก



        “ผมจะพาคุณไปซื้อเสื้อผ้า  กินข้าว  แล้วกลับบ้าน!!”  จบคำก็ขับรถออกไป

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    อ่านจบแล้วเม้นเจ้าค่าๆๆๆๆๆๆ  



    ผู้อ่านที่เคารพรักยิ่ง อิอิ  รักคนอ่าน ห่วงคนเม้น เอ็นดูคนโหวต 555+



    ขอบคุณนะค่ะที่อ่านจนจบ (ตัวแทน A.Fawke)



    (นี่ถ้าเจ้าตัวคนแต่งมันรู้ว่าฉ้านมาทำยังงี้กับเรื่องของมันมีหวังสายสัมพันธ์มิตรภาพ 6 ปีที่ผ่านมาได้ย่อยยับแน่  เพราะฉะนั้น จุ๊จุ๊ คนอ่านอย่าเอ็ดไป เด๋วคนเขียนตัวจริงรู้ตัว)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×