ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Last Mission

    ลำดับตอนที่ #1 : นางฟ้าในหลอดแก้ว

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 48


      เรือยอร์จสีขาวลอยคว้างอยู่กลางทะเลสีครามท่ามกลางแสงระยับจากผิวน้ำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเช้า  ชายสูงอายุนั่งตกปลาอยู่บนเรืออย่างเบื่อหน่าย  เขาเป็นคนรูปร่างสูง  บุคลิกโดยทั่วไปยังดูคล่องแคล่ว  ไม่ถึงขนาดเป็นคนแก่หลังค่อมที่ใช้การไม่ได้  สายตาทอดมองลงไปบนผิวน้ำราวกับกำลังรอให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น  แต่เขาต่างกับชายตกปลาทั่วไป  สิ่งที่รอไม่ใช่ปลาแต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

      

      ลึกลงไปใต้ทะเล ชายหนุ่มในชุดประดาน้ำติดถังออกซิเจนน้ำหนักเบากำลังง่วนอยู่กับจอเรด้าที่ใช้สำหรับค้นหาวัตถุหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆในพื้นที่บริเวณรอบๆ  สิ่งที่เขากำลังหาอยู่คือโรงงานเก่าในเครือของบริษัทลิเบอตี้อินดิส ซึ่งถูกคลื่นทะเลซัดหายไปพร้อมกับเกาะส่วนตัวของประธานบริษัทเมื่อ 19 ปีก่อน

      

      จุดสีส้มขนาดเล็กกระพริบขึ้นบนจอเป็นสัญญาณให้ทราบว่าเป้าหมายปรากฏขึ้นแล้ว  ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปตามทางบนจอเรด้า  และในที่สุดเขาก็พบกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เขรอะไปด้วยสนิมบางจุดและสิ่งมีชีวิตเล็กๆจำพวกพืชใต้ทะเล  เขาดำเข้าไปใกล้และหาประตูทางเข้าจนพบ  จากนั้นก็กดปุ่มบนเรด้าเพื่อเปลี่ยนสภาพมันให้กลายเป้นมินิคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา  เพื่อหาทางเชื่อมระบบเข้ากับแผงควบคุมข้างประตู  การแฮ็ครหัสประตูต้องใช้เวลามากพอสมควร  แต่ก็คุ้มค่าเมื่อประตูเหล็กเลื่อนเปิด  แต่สิ่งที่ทำให้เค้าประหลาดใจก็คือไม่มีน้ำทะลักเข้าไปในช่องทางเข้าที่พึ่งเลื่อนออกจากกันเมื่อครู่เลยราวกับมีแผ่นบางใสกั้นอยู่อีกชั้น ชายหนุ่มตัดสินใจดิ่งตรงไปยังทางเข้า  เมื่อพ้นประตูมันก็เลื่อนปิดอัตโนมัติ  น้ำหนักตัวถ่วงให้เค้าหล่นลงบนพื้นทันทีที่พ้นจากพื้นน้ำกลับสู่แรงดึงดูดปกติ  เค้ากดสวิทซ์ที่ด้านข้างของหมวกครอบศีรษะยางพิเศษแบบบางที่เชื่อมติดกับชุดประดาน้ำซึ่งทำหน้าที่กันน้ำเข้าและกั้นออกซิเจนไม่ให้ไหลออกเพื่อเอากระจกที่ครอบหน้าออกและตัดการทำงานของถังออกซิเจนชั่วคราว  ยังไม่ทันได้เดินต่อ  มินิคอมพิวเตอร์ก็สั่น  เค้าจึงเลื่อนจอขึ้นแล้วกดรับสาย  ใบหน้าของชายสูงอายุปรากฏขึ้นบนจอ  ชายหนุ่มโต้ตอบกับเค้าผ่านจอคอมในขณะที่เดินไปตามทางในโรงงาน

        

        “ไง...ไปถึงแล้วใช่มั้ย คาลิช”



        “ก็งั้นแหละ แต่มันทำให้ผมแปลกใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลย”



        “ไม่ดีเรอะ ความประทับใจครั้งแรกที่ไม่มีวันลืมไงไอ้หนู”



        “ตรงไหนกันล่ะปู่  เหม็นน้ำยาจะตายอยู่แล้ว  ตั้งแต่เข้ามาเนี่ย ยังไม่เห็นตรงไหนที่น่าจะเป็นโรงงานร้างเลย  ข่าวปู่มันเพี้ยนรึเปล่า?”



        “บ้าเรอะ  อย่างฉันนี่ยนะจะให้ข่าวผิด โรงงานเก่าของลิเบอตี้อินดิสเชียวนะเฟ้ย  ระบบรักษาความปลอดภัยมันต้องเลิศอยู่แล้ว มีกลิ่นน้ำยาสก็ไม่แปลกเพราะมันเคยเป็นที่ทดลองมาก่อน  อีกอย่างอย่ามาเรียกฉันว่าปู่ !ฉันไม่ใช่ญาติแก! มีชื่อให้เรียกก็หัดเรียกซะบ้างเซ่!!!”



        “ครับคุณเครน  เจ้าพ่อแส่”



        “จ้าวแห่งข่าวสารเฟ้ย  หาเรื่องเรอะ  อยู่ๆมาถามข่าวโรงงานนี้ทำให้ฉันวุ่นวายแทบแย่  แล้วยังมาต่อปากต่อคำอีก ไอ้เด็กวานซืน!”



        “มันก็พอกันแหละปู่วันมะรืน  ไม่ได้ถามข่าวฟรีๆซักหน่อย  จ่ายไปตั้งหลายโมนิส  หน้าเลือดชะมัด”



        “ที่แพงน่ะค่าโปรแกรมสำหรับแฮ็คระบบภายในต่างหาก อุตส่าห์หาทั่วตลาดมืดให้เลยนะขึ้นชื่อว่าในเครือลิเบอตี้อินดิส  มันเข้ากันง่ายๆเรอะ  ยังไม่สำนึกบุญคุณอีก”



        “ถ้าไม่ใช่งานผมไม่ยุ่งหรอก”



        “ก็แกมันไม่ดูเองนี่หว่า  พอเจอข้อความคนหายก็คิดว่าง่ายซะหมด”



        “แค่ลืมถามสถานที่น่ะ  ดันไปตกลงไว้ก่อนเลยปฏิเสธไม่ทัน  ค่าตอบแทนมันสูงดีด้วย”



        “แล้วเป็นไง  จริงอดีตตำรวจเก่อย่างแกมันน่าจะรอบคอบกว่านี้นะ”



        “ชื่อตำรวจมันใช้ไม่ได้แล้วปู่  ไม่งั้นผมจะมายึดอาชีพจับฉ่ายแบบนี้เหรอ”



        “ก็จริงเนอะ    คนของลิเบอตี้อินดิส ทำผิดกฎหมายยังไม่เห็นหน้าไหนกล้าจับมันเลย”



        “เอาเถอะทีนี้ช่วยส่งแผนที่ข้างในให้ผมด้วย  มีอะไรคืบหน้าแล้วจะติดต่อไป”



        “เดี๋ยวจัดให้ ไอ้หนู”  พูดจบมินิคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนเป็นเรด้าอีกครั้งพร้อมกับแผนที่ของโรงงานร้างแห่งนี้ปรากฏขึ้นแทน

      

      คาลิชสำรวจแผนที่บนจอเรด้าครู่หนึ่งเมื่อมาถึงจุดทางแยก  แสงกระพริบสีน้ำเงินบนจอคือตัวเค้า  ถ้าพบสิ่งแปลกปลอมที่เป็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เรด้าจะปรากฏจุดกระพริบสีแดงในบริเวณนั้น  แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีวี่แววอะไรเลย  ฉับพลันก็นึกถึงตอนที่โต้ตอบกับลูกค้าผ่านทางกระดานโพสต์งานในคอมพิวเตอร์ว่าชั้น 4 ของโรงงานเป็นคลังเอกสาร  มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับโรงงานและผลผลิตในรอบ 7 ปีหลังจากสร้างขึ้นและไม่รู้อะไรนอกเหนือจากนี้อีก  นั่นทำให้เค้าถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่  ชักรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วที่รับงานนี้  ข้อมูลของบุคคลที่จะให้หาก็มีแค่ เธอเป็นผู้หญิงผมสีน้ำเงินเท่านั้น

        

        “ช่วยไม่ได้ คงต้องขึ้นลิฟท์ไปดูชั้น 4 ก่อน  แล้วก็สืบจากตรงนั้นละกัน” พูดพลางเดินไปกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังจุดหมาย



      เมื่อมาถึง คาลิชก็เดินไปตามทางระเบียงที่ขนาบข้างไปด้วยประตูไททาเนียม  ในที่สุดก็เดินมาหยุดที่หน้าห้องเอกสาร 1 ประตูเลื่อนเปิดอัตโนมัติ  แล้วเค้าก็ต้องชะงักกับลิ้นชักเอกสารที่เรียงเป็นชั้นๆ เหมือนเก๊ะเก็บศพในห้องดับจิต

        

        “อะไรเนี่ย!?  ยังใช้ตู้เอกสารแบบเก่าอยู่อีกเรอะ  ถึงจะ 19  ปีมาแล้วก็เหอะ  ยังไงก็ขึ้นชื่อว่าผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นสูงเชียวนะ”  บ่นพลางเปิดลิ้นชักแรกออก ทันใดมินิคอมพิวเตอร์ก็สั่น  คาลิชกดรับ



        “ปู่เครนเหรอ? มีวิธีหาข้อมูลที่ดีกว่านี้มั้ยเนี่ย”  เค้าระบายความทุกข์ทันที  เครนมองดูลิ้นชักเอกสารด้านหลังแล้วก็ถึงกับตาโต



        “อย่าบอกนะว่าแกจะหาจากลิ้นชักทั้งหมดนี่”



        “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น  เจอแต่แฟ้มงี่เง่าทั้งนั้น  เอกสารเกี่ยวกับยาแก้หวัดเอย  ยาฆ่าแมลงเอย”  พูดพลางเอานิ้วไล่ดูทีละแฟ้ม



        “แกจะบ้าเรอะ! นั่นมันห้องเอกสารหลอกไว้แหกตาตำรวจ”



        “หา !?” คาลิชยืนงงเป็นไก่ตาแตก  เครนเอามือกุมขมับก่อนจะเริ่มอธิบาย



        “ฟัง ! ฉันไปสืบข้อมูลของผู้หญิงผมสีน้ำเงินมาแล้ว  เคยมีข่าวลือว่าสาเหตุที่เธอถูกจับมาขังไว้ในโรงงานที่แกยืนอยู่เพราะ เธอเป็นคนของเผ่าจาเนีย  ที่หายสาบสูญไปนานแล้ว  เป็นชนเผ่าที่สามารถใช้พลังของธรรมชาติได้  จะว่าไป ก็เหมือนการ์ตูนอภินิหารแม่มดน้อย..ฮ่า..ฮ่า..”  เครนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีทำให้คาลิชหัวเสีย



        “พอเลยปู่  แก่แล้วยังเล่นเป็นเด็กๆ  ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี่ผมจะได้ไม่ต้องคลำทาง  

    ว่าแต่เธออยู่ไหน?”  



        “อยู่ในชั้น 3 ที่เป็นโกดังเก็บวัตถุดิบ”



        “วัตถุดิบ?”  คาลิชเลิกคิ้วอย่างสงสัย



        “รู้สึกเธอจะอยู่ในฐานะต้นแบบในการทดลองที่สำคัญ  แต่ยังไม่ทันจะสมบูรณ์  โรงงานก็ถูกน้ำท่วมซะก่อน”



        “หมายความว่า  เธออยู่ในนี้มา 19 ปีเต็ม ไม่กลายเป็นป้าแก่ผมหงอกไปแล้วเรอะ”



        “เอาน่าพาตัวมาได้ก็พอแล้ว  น่าจะมีผมสีน้ำเงินหลงๆให้แกเห็นบ้างแหละ  เมื่อ 19 ปีก่อน  เธออายุพึ่งจะ 20”



        “หวังว่าคงไม่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกนะ” เค้าบ่นพลางเดินกลับไปลงลิฟท์เพื่อไปยังชั้น 3ของโรงงาน

      

    เมื่อก้าวออกจากลิฟท์ คาลิชก็ผงะกับประตูเหล็กขนาดยักษ์ที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้าเ ค้ารู้สึกถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจนแม้แต่ลมหายใจก็กลายเป็นไอ

        

        “ปู่ยังอยู่รึเปล่าอ่ะ?”



        “เออ  มีอะไร”



        “ผมว่าถ้าเข้าไปในสภาพนี้  มีหวังแสบจมูกจนหายใจไม่ออกแน่แถมจะแข็งตายเอา  ผมจะเปิดออกซิเจน  หวังว่าชุดยางคงกันความหนาวได้บ้าง”



        “อยู่แล้ว  เป็นยางชนิดพิเศษเชียวนะเฟ้ย  แต่ฉันไม่แน่ใจว่าแกจะเหลืออากาศพอจะลุยน้ำกลับขึ้นมารึเปล่า”



        “คิดว่าพอ  งั้นเท่านี้ก่อนนะปู่  ผมจะรีบทำงานให้มันเสร็จๆ”  พูดจบก็ตัดการติดต่อแล้วเดินไปหยุดที่แผงควบคุมหน้าประตู  เค้าเจาะรหัสและในที่สุดประตูก็เปิดออก  คาลิชรู้สึกเย็นวูบที่หัวขึ้นมาทันทีที่ประตูเปิดออกจากกันอย่างช้าๆ  กลุ่มควันกลุ่มใหญ่กระทบเข้าที่ใบหน้าเร่อยลงมาจนถึงขา  แต่เครนพูดถูกชุดยางช่วยป้องกันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ  เค้าจึงรีบกดปิดกระจกครอบหน้า ถึงออกซิเจนเริ่มทำงานตามปกติ

        

      เมื่อก้าวเข้ามาก็พบกับหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่มีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม  ภายในมีสิ่งมีชีวิตแปลกๆมากมายราวกับเป็นโรงเพาะเอเลี่ยนในเอ็กซ์ไฟล์  หน้าหลอดแก้วมีทั้งแผงควบคุมและข้อมูลที่ปรากฏในรูปสามมิติกลางอากาศโดยไม่จำเป็นต้องมีจอมอร์นิเตอร์  คาลิชรู้สึกทึ่งในวิทยาการของลิเบอร์ตี้ อินดิส  เค้าเดินสำรวจไปที่ละหลอดอย่างรวดเร็ว  จนได้พบสิ่งที่ตามหาอยู่ มันช่างต่างจากที่พูดไว้กับเครนลิบลับ  เธอยังคงสภาพเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบ  ใบหน้าขาวซีดแต่หวานใสไม่มีตำหนิ  ผมยาวสยายสีน้ำเงินสะท้อนกับแสงจนมันเป็นเงาวับ  นัยน์ตาปิดสนิท  สภาพร่างเปลือยเปล่าจนคาลิชถึงกกับหน้าแดงไปครู่หนึ่ง  แล้วเค้าก็นึกได้ว่าต้องรีบ  จึงลนลานเข้าไปที่แผงควบคุม  แล้วเริ่มรัวนิ้วลงที่ปุ่มมากมายบนนั้นข้อมูลของหญิงสาวปรากฏขึ้นกลางอากาศในรูปแบบสามมิติ  คาลิชพยายามหาวิธีตัดระบบเพื่อปลดปล่อยเธอ  แต่ยังไม่ทันสำเร็จ  เสียงกระจกแตกดังขึ้นตรงหน้า    



       ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อของเหลวในกระจกกระทบกับกระจกครอบหน้าเค้า  คาลิชยกแขนขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณ  ทว่าร่างของหญิงสาวกลับพุ่งออกจากหลอดแก้วทะลุภาพข้อมูลสามมิติแล้วชนเค้าเข้าอย่างจังจนทรงตัวไม่อยู่  ทั้งคู่ล้มลงกับพื้น  หญิงสาวลืมตาขึ้นช้าๆ  นัยน์ตาสีเขียวอ่อนเป็นประกายราวกับอัญมณีอควอมารีนปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวใสที่ตอนนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว  สะกดให้คาลิชตกอยู่ในภวังค์  เธอกล่าวกับเค้าด้วยเสียงที่แผ่วเบาแต่ไพเราะกังวาล  น้ำใสๆเอ่อล้นออกจากนัยน์ตาสีเขียวอ่อนคู่นั้น

        

        “เอเมอร์...ทำไม...”  พูดได้สองคำ  เธอก็หมดสติไปอีกครั้งทำให้คาลิชนึกได้  เค้ารีบลุกขึ้นแล้วอุ้มเธอออกจากโรงงานร้าง  ดำน้ำกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

      

      เครนที่นั่งตกปลาอยู่เพลินๆสะดุ้งเฮือก  เมื่อคาลิชโผล่หัวขึ้นมาสู่ผิวน้ำพร้อมกับหญิงสาวแบบกะทันหัน  เค้ากดปุ่มเปิดกระจกครอบหน้า  แล้วพุดเสียงดัง

        

        “ปู่เครน  ไปเอาผ้ามา...เร็ว!”



        “ผ้าอะไรของแก”



        “อะไรก็ได้ ผ้าขนหนูก็ได้  เร็วเซ่!!!”



        “เออๆ”  พูดจบก็รีบทิ้งเบ็ดแล้วเข้าไปในเรือ  ซักพักจึงออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่  คาลิชรับมาแล้วห่อร่างของหญิงสาวไว้  จากนั้นก็พาเธอเข้าไปนอนที่โซฟาภายในเรือ  แล้วขับเรือกลับไปที่เมืองแพลนนิสซึ่งอยู่ไม่ไกล

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    โฮะๆๆๆๆ  เพื่อนของA.fawke(คนเขียนอ่ะค่ะ)  

    พอดีเจ้าตัวไม่สามารถมาแก้ไขได้ ดิฉัน นามปากกา ...ไม่รู้ดิ... จึงทำหน้าที่เพื่อนผู้เเสนดีมาจัดย่อหน้าให้ใหม่



    อิอิ  ถ้าหากชอบก้อช่วยกันเม้นด้วยนะค่ะ  เม้นเป็นกะลังใจให้ผู้แต่ง

    รักคนอ่านที่สู้ดดดดดดดดดดด (A.Fawke ฝากมาบอก)^_^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×