ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Eternal of World

    ลำดับตอนที่ #4 : การเริ่มต้นในการเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ย. 48


       สองวันหลังจากข่าวคราวของแมงป่องยักษ์โจมตีเมืองได้ดังกระฉ่อนไปทั่ว หลายๆคนต่างนำหัวข้อเรื่องนี้มาพูดกันไม่ขาดปาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับคนที่ปราบมันลงได้ หลายคนต่างพูดว่าเป็นท่านเอริคบ้างละ นักดาบในตำนานบ้างละ แต่ไม่มีใครพูดสักคนถึงคนที่ปราบมันตัวจริงสักคน(ถ้าเกิดรู้ตัวคนปราบคงวุ่นวายน่าดู)

       สองวันที่หาตัวการไม่ได้ หาผู้ปราบมันไม่ได้ มีแต่ความวุ่นวายจากการซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนที่พังราบเป็นหน้ากลอง โทมัสบ่นตลอดสองวันที่ผ่านมาต้องไปกับคุณราเชลดูแลท้องถิ่นทั้งวัน ส่วนซิลเวียก็ไม่ได้ว่างไปกว่ากันเลย ต้องช่วยที่ร้านแอนเกลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

    ส่วนไอ้ตัวดีที่เอาแต่นั่งเหม่อในห้องก็หาข้ออ้างได้ดีสมสภาพ ตั้งแต่วันที่แมงป่องยักษ์นั่นเล่นงาน พอกลับมาที่ร้านก็เกือบทำให้คนเป็นแม่เป็นลมล้มพับ กับสภาพที่มีบาดแผลเต็มไปทั่วตัว ก็เลยมีการทำแผลแบบชนิดพิเศษ(คนถูกทำแผลร้องโอดโอยครวญครางตลอดเวลา) ตั้งแต่วันนั้นก็เลยงดการทำทุกอย่างไปโดยปริยาย

       ส่วนวันนี้ตอนเย็นจะจัดงานเลี้ยงเนื่องจากเมืองปลอดภัยดี(หรือเวทมนตร์ของแม่มดประจำเมืองวินรี่ที่ซ่อมแซมทุกอย่างภายในวันเดียว)ดังนั้นทุกคนจึงช่วยกันเตรียมงานเลี้ยง ไม่มีเวลาว่างเลยซักคน รวมไปถึงที่ร้านแอนเกลด้วย

       “แล้วตกลงคุณเอนิลจะเอายังไงค่ะ?”เสียงใสๆของซิลเวียถามขณะพักจากการทำงานตั้งแต่เช้าในตอนบ่าย

       “ไปเถอะ ยังไงอัลเฟียสก็ไปไม่ได้ ไม่สิ... เค้ายังปฏิเสธด้วยซ้ำ”เอนีลกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “เค้าบอกว่าเจ็บแผล น้าคงไปด้วยไม่ได้นะ”

       “เหรอค่ะ น่าเสียดายจัง”

       “ไม่ต้องมาน่าเสียดายแทนหรอกน่า”

       เสียงที่ดูเซ็งของเจ้าของเสียงดังมาจากชั้นบน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวไม่ใส่ใจเท่าไหร่กับคำยั่วของเพื่อนที่มาจากข้างล่าง

       “น้ำเสียงแบบนี้ ท่าทางดีขึ้นแล้วมั้งคะ งั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วละ”ซิลเวียพูด ก่อนที่จะหันไปหาเอนีลและกล่าวลาก่อนที่จะออกจากร้านไปช่วยทางโน้นอีกคน

       “พูดดีๆกับเพื่อนก็ได้นี่จ๊ะ”เอนีลตะโกนขึ้นไปชั้นบน แต่ก็ต้องถอนหายใจเมื่อไม่ได้คำตอบกลับมา...

       จากคนที่ไม่เคยบอกความจริงกับเพื่อน และไม่เคยที่จะไปงานเลี้ยงเลยตั้งแต่กลับมาเมื่อสี่ปีก่อน



       สายลมในยามบ่ายที่พัดพาความเย็นผ่านหน้าต่าง ทำให้คนที่เอาแต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงรู้สึกดีขึ้น หลังจากที่บาดแผล(ปลอม)ได้หายไปแล้วจากการใช้เวทย์ ก็ได้แต่คิดถึงเรื่องต่างที่ผ่านมา...ตั้งแต่อดีตที่ออกจากที่นี่ไป ถึงปัจจุบันที่เธอมาอยู่ที่นี่ เรื่องเกี่ยวกับที่เมืองเอสร่า หรือแม้แต่พลังแห่งความมืดลึกลับที่เธอก็เคยได้ยินบ้างมาเหมือนกัน แต่การที่จะสืบที่นี่และอยู่ที่นี่นานกว่านี้นั้นเป็นไปไม่ได้ อย่างเรื่องเอ็กซ์โซลเยอร์ซึ่งที่นี่ไม่ค่อยจะต้อนรับเท่าไหร่อยู่แล้ว ไหนจะความจริงที่ปกปิดเอาไว้เป็นภูเขาเหล่ากาอีก

       แล้วถ้าเกิดความลับหนึ่งในนั้นเกิดแตกโพละขึ้นมาละก็...

       เอเรียสแห่งเซคีเรีย คงไม่ได้อยู่อย่างสงบอีกครั้งอย่างแน่นอน...



       ขณะเดียวกันที่สถานที่จัดงานกำลังเต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่นที่มาช่วยกันจัดงานเลี้ยงที่จะมีในเย็นนี้ นั่นก็รวมถึงโทมัสกับซิลเวียที่ต้องมาง่วนกับงานนี้ด้วย ระหว่างที่จัดงานทั้งสองคนก็ปลีกตัวออกมาคุยกันบางอย่างเกี่ยวกับอัลเฟียสที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย

       “นายว่าแมงป่องยักษ์นั่นใครจัดการ?”ซิลเวียเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน

       “ฉันไม่รู้”โทมัสตอบ “แต่คำทำนายของวิ่นรี่มันตรงแทบทุกครั้งนะ แล้วคำทำนายที่ว่าในวันนี้คิดว่าเป็นไง”

       ผู้ที่ปราบอสูรเมื่อเมืองอยู่ในอันตราย จะออกเดินทางในวันที่มีแสงแห่งดาวสว่างทั่วในราตรีอันมืดมิดทางตะวันออกของเมือง ในเวลาแห่งความครื้นเครงสนุกสนาน เขาจะเป็นคนเดียวที่เป็นตัวแทนแห่งความหวัง

       คำพูดของแม่มดวินรี่ที่ตอนนี้มันยังดังก้องอยู่ในหัว ความอยากรู้อยากเห็นของทั้งสองเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

       “มันเหมาะเจาะขนาดนี้...”โทมัสเอ่ย ก่อนหันไปขอความเห็นจากคู่สนทนา “คืนนี้ลองไปดูกันมั้ย”

       แม้ไม่มีเสียงตอบ แต่ก็รู้ได้ว่าคำตอบเป็นอย่างไรจากปฏิกิริยาของคู่สนทนาได้อย่างดี คืนนี้คงต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ถูกทำนายนั้นจะเป็นจริงขนาดไหน





       ค่ำคืนของการฉลองที่มีแต่ความสนุกสนาน ดนตรีที่ถูกบรรเลงในงานสร้างความรื่นเริงให้กับคนในงานไม่ใช่น้อย แต่ที่ร้านแอนเกลคงมีแค่คนเดียวที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในงานฉลองครั้งนี้ เมื่อเธอเปลี่ยนชุดที่พร้อมจะเดินทางออกจากเมืองนี้ไปแม้เจ้าตัวจะยังคงคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยูที่นี่ก็ตาม เมื่อเจ้าตัวเห็นว่าได้เวลาเหมาะสมที่จะออกจากที่นี่แล้วก็เตรียมจะออกจากห้องโดยไม่บอกแม้แต่แม่ของหล่อนเอง

       “คิดจะไปโดยไม่บอกแม้แต่แม่เลยเหรอ”

       เสียงที่มาพร้อมกับการเปิดประตูเล่นเอาคนข้างในห้องสะดุ้งโหยง ก่อนที่เสียงนั่นจะกดทับจิตใจหล่อนเข้าไปอีก

       “จะไปอีกครั้ง...ทั้งที่เราได้อยู่กันแค่สี่ปี”

       “แต่มันไม่มีทางเลือก!”

       คำกล่าวที่พอจะหวังให้เข้าไปในใจของผู้เป็นแม่ได้บ้าง แต่สิ่งที่ได้มันกับทำให้เธอปวดใจยิ่งกว่ากับภาพที่เห็นข้างหน้า น้ำใสๆที่มันไหลจากตาของคนตรงหน้าทำให้ความรู้สึกในตอนนี้ยิ่งรั้งไว้ไม่ให้ไป

       แต่สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คือต้องไปเท่านั้น มีแต่ต้องไปเท่านั้น

       ไม่ทันที่คนเป็นแม่จะเอ่ยอะไรอีก คนที่อยู่ตรงหน้าก็เข้ามาสวมกอดเหมือนที่เธอเคยทำประจำ พร้อมด้วยเสียงกระซิบที่หวังจะตรึงจิตของคนฟังให้ปล่อยหล่อนไป

       “ฉันไม่เหมือนพี่กับพ่อ”หล่อนกระซิบ ก่อนที่จะเป็นเสียงหนักแน่น “เพราะฉัน...จะกลับมา ต่อให้เหลือแม้เศษเสี้ยวของความคิดก็ตาม”

       “แต่...”

       ไม่ทันที่จะรอให้คนตรงหน้าพูดอะไรอีก เจ้าหล่อนก็วิ่งไปที่หน้าต่างก่อนที่จะกระโดดออกไปอย่างไม่น่าเป็นไปได้

    ทิ้งไว้เพียงผู้ที่ถูกตรึงด้วยคำพูดสุดท้ายของลูกสาวที่อยู่ด้วยกันเพียงสี่ปี...





       การเดินฝ่าความมืดในถนนยามกลางคืนนี่ไม่น่าภิรมย์จริงๆเลยสิ บ้าเอ๊ย!

       แต่มันก็ดีที่วันนี้ไม่ค่อยมีคนมาตรวจ กลายเป็นเวลาที่ดีสุดไปซะงั้น

       ความคิดในขณะเดินพล่านไปทั่ว หวังจะไปที่ประตูทางตะวันออกของเมือง เผื่อว่าที่นั้นจะมียามน้อยที่สุด

       การหยั่งคิดของอัลเฟียสดูท่าจะต้องสะดุดเมื่อเห็นว่าสิ่งที่คิดไว้จะไม่ค่อยสะดวกอย่างที่คิดไว้นิดหน่อยซะแล้ว...

       ทหารยามสองคนยืนเฝ้าอยู่บริเวณประตูขนาดใหญ่ของประตูทางตะวันออก ดูท่าจะเหนื่อยล้าจากการเฝ้ายามนี่ซะเหลือเกิน

       งั้นก็ได้เวลา ให้ของขวัญชิ้นพิเศษ เอาไว้ใช้พักผ่อนกันหน่อยแล้ว...

       ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็หันไปจ้องยามสองคนเขม็ง ท่องอะไรเร็วปรือ ก่อนที่จะดีดนิ้วสองทีเหมือนหวังผลอะไรซักอย่าง...

       ได้ผล ยามทั้งสองคนล้มฟุบนอนสลบไปตามใจสั่ง แต่มันคงจะง่ายกว่านี้ถ้าไม่มีใครมาโผล่พรวดตอนนี้เอาซะก่อน

       แต่ความคิดของอัลเฟียสก็ต้องหล่นวูบไปที่เท้า เมื่อมีคนสองคนที่หล่อนรู้จักดีโผล่ออกมาจากที่ซ่อนอย่างที่หล่อนไม่ทันระวังตัว มาดักหน้าที่ตรงตรงประตูซะแล้ว

       “ไม่ยักรู้ว่าคำทำนายจะเป็นจริงแฮะ”

       แต่ไม่ทันที่อัลเฟียสจะขยับ ความรู้สึกของร่างกายมันชาไปหมด ก่อนที่จะขยับไม่ได้เหมือนมีอะไรมาตรึงไว้

       “พวกนาย...”

       “คิดจะไปไหนอัลเฟียส หรือไม่กล้าที่จะบอกว่าเป็นคนปราบเจ้ายักษ์นั่นหรือไง”

       แต่สิ่งที่คาดเดาจากหล่อนของโทมัสและซิลเวียดูท่าจะผิดไปจากที่คิดไว้ เมื่อคนที่ถูกตรึงไว้กลับเผยรอยยิ้มนิดๆออกมา ก่อนที่เผยแววตาที่เย็นชาและคมดังน้ำแข็งของตาสีฟ้าคู่นี้ไว้

       ดวงตาที่ดูน่ากลัวและต่างกลับอัลเฟียสที่ปกติจะดูมีดวงตาที่อบอุ่นและห่วงใยนั่นเสมอ

       ความน่ากลัวนั่นทำให้แม้แต่คนอย่างเขาต้องก้าวถอยหลัง และในที่สุดคนที่อยู่ตรงหน้าก็สามารถแก้เวทย์ที่ตรึงร่างกายไว้ได้

       “ฉันขอผ่านละนะ ถ้ามาขัดขวางฉันก็ไม่ยอมง่ายๆอย่างโดยดี”

       “ไม่มีทาง!”

       ฉับพลันโทมัสก็ชักดาบหมายจะขัดขวางคนตรงหน้า หากแต่คนที่อยู่ตรงหน้าจะร่ายมนตร์ขัดขวางซะก่อน

       “แม่มดวินรี่พูดไม่ผิด เธอใช้เวทย์ชั้นสูงได้”

       “การจับตาของนาย ฉันต้องขอชมเชย”

       คนที่จะมาห้ามกลับถูกตรึงสะกดเสียเอง ขณะที่คนร่ายเวทย์เดินผ่านพวกเขาอย่างที่สีหน้ายังคงเย็นชาไร้อารมณ์เหมือนเดิม

       “พวกนายรู้จักฉันดี พวกนายเป็นเพื่อนที่ดี ฉันยอมรับ”ว่าแล้วเจ้าตัวก็หันมากล่าวอำลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดิยผ่านประตูเข้าสู่ทะเลทรายไป

       “แต่การที่ฉันจะอยู่ที่นี่นานๆนั้นเป็นไปไม่ได้ อดีตฉันไม่ควรที่จะรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันต้องยอมรับ ใช่ ฉันเป็นคนปราบมันเอง แต่วินรี่คงไม่ได้ทำนายอดีตให้พวกนายดูสินะ ถึงไม่ได้บอกว่า แม้ฉันจะกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำของพวกนาย เมื่อถึงเวลาอันตราย ฉันจะกลับมาช่วยพวกนายในฐานะเพื่อน”

       แม้คำพูดนั้นจะฟังสวยหรูและดูเป็นไปไม่ได้ คำพูดที่ดูเหมือนคำกล่าวในนิยายในยามที่แสงดาวจากฟากฟ้ายามค่ำคืนส่องประกาย แต่พวกเขาทั้งสองคนได้รู้ภายในเวลาไม่กี่เดือนว่า คำพูดที่ว่านั้น จะเป็นความจริงที่เกิดจากผู้กล้าทั้งหกคนที่ได้ปกป้องโลกนี้ไว้

      *********************************************





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×