ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Eternal of World

    ลำดับตอนที่ #2 : จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ย. 48


        ปัจจุบัน  โลกไกอาถูกแบ่งออกเป็นสี่ทวีป  ได้แก่  ทวีปที่ถูกลืมเซซแลนด์  ทวีปแห่งความรุ่งเรืองเอเจอร์   ทวีปแห่งเวทมนตร์ซีเรีย  และทวีปต้องห้ามเมเออร์   สามทวีปแรกนั้นจะอยู่ติดกันและเรียงจากซ้ายไปขวาตามชื่อที่กล่าวมา  ส่วนทวีปเมเออร์นั้นเป็นทวีปเดียวที่แยกออกมาเป็นเกาะที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของทั้งสามทวีป   สาเหตุถูกกล่าวว่าเป็นทวีปต้องห้ามเนื่องจากรอบๆทวีปนี้มีมอนสเตอร์อันตรายอยู่มากมายซึ่งนักเดินเรือหลายคนรู้ดีว่า  การเดินเรือเข้าใกล้เขตนี้เปรียบเสมือนเอาชีวิตมาทิ้งดีๆนั่นเอง

    เทคโนโลยีในสมัยนี้ต่างจากเมื่อสองพันปีก่อนอย่างสิ้นเชิง   อดีตเทคโนโลยีนั้นมีความก้าวหน้ามากกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัวมากนักนับตั้งแต่ที่เกิดสงครามในตำนาน  เทคโนโลยีจึงเริ่มเสื่อมและสูญสลายลงไปเรื่อยๆ   แต่ปัจจุบันสิ่งที่จะทดแทนกันได้คงมีการแพทย์ที่ทันสมัยกับเวทมนตร์ที่แพร่หลายไปในหลายเมือง

        เมืองเรเวอเรส  เป็นเมืองท้องถิ่นที่ทางใต้สุดทวีปเอเจอร์  ทางตะวันตกของเมืองติดกับทะเล   ตะวันออกของเมืองเป็นทะเลทราย  ส่วนทางใต้ของเมืองเป็นป่าซีค  นอกจากเมืองเล็กๆนี้จะมีชื่อเสียงเรื่องเป็นเมืองแห่งการค้าแห่งหนึ่งที่สำคัญแล้ว  นักเดินทางมักรู้ดีว่าที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องการบริการที่พักที่ดีอีกด้วย ที่นี่การแข่งขันเรื่องที่พักนั้นสูงไม่แพ้การค้าของเมืองนี้เลย  แต่ที่พักที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้มีชื่อว่า แอนเกล  มีสองชั้น  โดยชั้นแรกเปิดเป็นร้านอาหาร  ส่วนชั้นบนจะเป็นที่พักสำหรับนักเดินทาง

        ขณะนี้ภายในร้านแอนเกลมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดจากชั้นล่าง  เดินไปหน้าห้องที่มีประตูสีน้ำเงินซึ่งต่างจากห้องอื่นที่มีสีแดง  เมื่อเธอเคาะประตูและเปิดไปไม่มีใครอยู่  เธอจึงเดินลงจากชั้นบนลงมาเห็นคนคนหนึ่งอยู่  เธอเริ่มสบถก่อนที่อีกฝ่ายจะทันพูดอะไรด้วยซ้ำ

        “อัลเฟียส!  แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าถ้าตื่นแล้วก็น่าจะบอกแม่  จะได้ไม่เสียเวลาไปปลุก  นี่มันใกล้จะได้เวลาเปิดร้านแล้วนี่  แล้วทำอะไรรึยัง?”

        “รู้แล้วน่า อย่าบ่นมากนักเลย เดี๋ยวก็ได้แก่เร็วหรอก คุณเอนีล”

        “วะ...ว่าไงนะยะ!?”

        หล่อนแทบจะกรี๊ดกับคำพูดว่าที่ลูกสาวตัวดีเอ่ยประชดประชันดีเสียเหลือเกิน  โดยเฉพาะตอนที่ใบหน้าที่มีดวงตาสีฟ้า  ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงกลางหลัง  ภายในชุดเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวสีดำที่มีสร้อยที่มีจี้คล้ายกับรูปกางเขนนั่นยกมือขึ้นทำท่าล้อเลียนอยู่ตรงนั้น

        “ฟังไม่ผิดหรอกน่า...เดี๋ยวก็แก่จริงหรอก”

        “นี่ตื่นเช้ากว่าเดิมเพื่อมาแขวฉันรึไง?”

        ดูเหมือนคนที่ไปแกว่งหาเรื่องจะไม่สนใจกับการดุของแม่หล่อนเลยซักนิด  แถมยังเดินไปเตรียมที่จะเปลี่ยนป้ายประตูหน้าร้าน  แต่ก่อนที่หล่อนจะเปลี่ยนป้าย...



      โครม!



        “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเอนีล”

        หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวทักทายคนข้างใน  ก่อนที่จะหันไปตามที่เอนีลชี้มือไปหลังประตู  เล่นเอาใบหน้าที่มีดวงตาสีเขียวอ่อน  ผมยาวสีทองนั่นซีดลงไปเลยทีเดียว

        “ยัยซิลเวีย   กะจะฆ่าชั้นรึยังไงกัน หา!”

    คนที่ตะโกนออกมานั่งทรุดกับพื้นอยู่หลังประตู  หลังจากโดนแรงปะทะของประตูไปเต็มๆ

        “ขะ...ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ   ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ประตูนี่”

        หญิงสาวผู้เปิดประตูกล่าวขอโทษ ก่อนที่จะพยุงตัวคนล้มให้ลุกขึ้นมา  แต่ดูเหมือนคนล้มจะไม่ค่อยแยแสกับเรื่องที่โดนเท่าไร  ยังเดินไปเปลี่ยนป้ายหน้าร้านได้หน้าตาเฉย

        “งั้น...เป็นอันว่าขอโทษโดยขอเฝ้าร้านกับแม่ฉันหน่อยละกัน”

    ดูเหมือนว่าท่าทางเจ้าตัวจะไม่แคร์เรื่องอะไรจริงๆ...

        “อัลเฟียส! หัดทำตัวเป็นผู้หญิงหน่อยสิ  นะ...นั่นจะไปไหน?”

    เอนีลเริ่มแหวอีกครั้ง  แต่ก็ช้าไปซะแล้วเมื่อคนถูกสบถเดินออกนอกร้านไปซะก่อน

        “เอากับมัน ฉันเบื่อจริงๆเล้ย...  เป็นไม่ได้ไปที่ลานกลางเมืองทุกที จนชักสงสัยแล้วสิว่ายังเป็นผู้หญิงอยู่หรือเปล่า?”

        “แต่...แปลกนะคะ ดิฉันเห็นเค้าออกไปจากบ้านตั้งแต่อายุเก้าขวบ กลับมาตอนยี่สิบ จนป่านนี้ปาเข้าไปยี่สิบสี่กว่าๆก็ไม่เห็นจะเปลี่ยนไปเลยนี่นา?”

        เอาเข้าไป...

        เอนีลในตอนนี้ได้แต่ถอนหายใจกับความคิดของเพื่อนสมัยเด็กของลูกสาวตัวเองอยู่

        เธอก็เหมือนกันนะแหละซิลเวีย   ตอนเด็กเป็นไง...โตมาก็ก็หยั่งงั้น

       “งั้นเดี๋ยวดิฉันช่วยอยู่ด้วยอีกวันละกันคะ”เสียงใสๆแทรกขึ้นมาระหว่างความคิด

       “...”





       “รุก!”

       “...”

       “รุก!!”

       “เย็นไว้...รุกฆาตแน่ะ”

       “เลิก!”

       คำกล่าวอย่างหงุดหงิดด้วยน้ำเสียงที่เข้มส่งผลให้หญิงสาวอีกคนหัวเราะชอบใจเอามากๆ  

      “ทำไมถึงเก่งอย่างนี้ฟะ ฉันไม่เคยชนะแกเลยซักครั้ง”

       “เฮ้ย !พูด แก กับผู้หญิงอย่างนี้เดี๋ยวซิลเวียไม่ชอบไม่รู้ด้วยนะ”

       คำกล่าวอ้างเมื่อกี๊ส่งผลให้ชายหนุ่มตรงหน้ารีบเบือนดวงตาสีน้ำตาลพร้อมกับทรงผมยุ่งๆสีน้ำเงินนั้นหนีไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ

      “  อัลเฟียส...ฉันสาบานได้เลยนะว่าชาตินี้คงไม่ได้เห็นเธอทำตัวสมหญิงหน่อยกะเค้าละมั้ง”

    คนโดนกล่าวถึงกับสำลักลม  

       เล่นมุขอะไรของมันละคราวนี้...

       “ฉันว่า ตอนนี้ได้เวลาไปลานกลางเมืองแล้วละ”เจ้าตัวว่าแล้วก็รีบหันควับจะเดินไป แต่เพื่อนหนุ่มคว้าข้อมือไว้ก่อน ก่อนที่หัวเราะกับท่าทีเมื่อกี๊ของเพื่อนตัวเอง

       “ถ้าจะไปลานกลางเมืองวันนี้ ฉันว่าเปลี่ยนเป้าหมายเถอะ”

       “วะ...ว่าไงนะ!”

       เสียงของคนที่อุทานออกมาไม่ใช่เสียงของอัลเฟียส แต่กลับเป็นเสียงของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง...

       ซิลเวีย!

       ทั้งสองคนที่เหลืออุทานขึ้นพร้อมกัน

       “หมายความว่าไง โทมัส?”อัลเฟียสถามอย่างสงสัย

       “อย่างว่าละนะ...เรื่องส่งทหารไปเกณฑ์ไง”โทมัสตอบ และดูเหมือนว่าซิลเวียจะเข้าใจที่โทมัสพูดซะด้วย

       “ไหนบอกมาทีซิว่ามันเรื่องอะไรกัน เห็นพวกเธอสองคนจะเข้าใจกันดีนี่นา”อัลเฟียสเผลอถามขึ้นมาด้วยความไม่รู้ตัว

       “ก็...เมื่อสี่ปีที่แล้วก่อนที่เธอจะกลับมานิดหน่อย ทางเมืองหลวงเอสร่าส่งคนมาบอกว่าให้หาเอ็กซ์โซลเยอร์มาให้ปีละหนึ่งคน หากหาไม่ได้ก็ให้ส่งบรรณาการไปให้”ซิลเวียอธิบาย ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นซีดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน “หากไม่ส่งรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลองนึกถึงเมืองเอนเดรสที่ข้างๆนี่สิ”

       เมืองเอนเดรส

       ล่มสลายโดยไม่ทราบสาเหตุนั่นนะเหรอ

       สีหน้าของคนเล่าบ่งบอกได้อย่างดีว่าถ้าเป็นเมืองนี้จะเป็นเช่นไร ได้อย่างดี หากเพียงแต่มีอัลฟียสเท่านั้นที่ไม่มีแม้กระทั่งสีหน้าปั้นยากแบบนั้น

       “ถ้าหากเราส่งไปทุกปีก็ไม่น่าจะมีอะไรนี่นา?”

       “ให้มันได้อย่างงั้นเถอะอัลเฟียส ปีที่แล้วเราขาดส่งทั้งสองอย่างนี่สิ”

       “งั้น...ทำไมเมืองเราถึงไม่...”

       ไม่ทันที่อัลเฟียสจะทันพูดอีก โทมัสก็เอามือปิดปากคนพูดก่อนที่จะมองไปรอบบริเวณนั้น

       “เพราะปีที่แล้วเอริคเป็นคนพูดให้นะสิ ในฐานะที่เป็นองครักษ์ ที่เก่งที่สุดในประเทศนี้”โทมัสพูดด้วยเสียงกระซิบ “และที่ลานกลางเมืองตอนนี้พ่อฉันกำลังเจรจากับเอริคอยู่”

       “เจรจา? เรื่องอะไร?”ซิลเวียถามด้วยความสงสัย

       “เรื่องที่ปีนี้ทางเราจะส่งบรรณาการแทนนะสิ”

       “แล้วเรื่องที่เห็นว่ามีข่าวลือเกี่ยวกับพระราชาเมืองประเทศเราละ?”

       คำถามที่มาจากปากของอัลเฟียสเล่นเอาลูกชายเจ้าเมืองถึงกับสำลักลม

       มีอะไรไม่ชอบมาพากลซะแล้ว...เมื่อดูจากท่าทางที่แปลกไปของโทมัส

       “มีอะไรใช่มั้ย โทมัส? นายบอกชั้นมาเดี๋ยวนี้นะ”ซิลเวียถาม แต่นั่นยิ่งทำให้รู้ชัดว่าโทมัสมีความลับอะไรอยู่จริงๆ

       “ฉะ...ฉันบอกไม่ได้จริงๆ”โทมัสพูดเสียงตะกุกตะกัก “มันเป็นเรื่องที่บอกไม่ได้”

       “ดี! ฉันจะป่าวประกาศเรื่องที่แก...”

       ไม่ทันที่อัลเฟียสจะพูดจบก็โดนโทมัสเอามืออุดปากไว้ ทำให้คนที่ข้างๆชักจะสงสัยว่าคนอุดปากนั่นมีความลับอะไรที่บอกไม่ได้ขนาดแค่อ้าปากจะพูดเท่านั้นเอง

       “ก็ได้ อัลเฟียส”โทมัสพูดด้วยเสียงกระซิบ “แต่ไม่ใช่ที่นี่”





       “หา! เอริคนั่นเป็นลูกของพระราชา”

       เสียงของซิลเวียบ่งบอกถึงความประหลาดใจ ขณะที่อัลเฟียสดูจะไม่ตกใจกับเรื่องที่โทมัสเล่ามาแม้แต่น้อย

       “ก็ใช่นะสิ ฉันได้ยินมาจากพ่อว่ามีเพียงที่นี่ที่ถูกตั้งเป็นประเทศ เพราะถูกรวมไว้หลายๆเมือง พูดง่ายๆก็คือเมืองที่เราอยู่เป็นเมืองลูก”

       “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตาเอริคนั่นละ”ซิลเวียถาม

       ตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันที่ตรอกซอยแห่งนึงซึ่งไม่มีใครสังเกตมากเท่าไรนัก

       “กฎของเมืองหลวงกล่าวไว้ว่าหากพระราชามีลูกชายห้ามแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชาย แต่จะถูกเลี้ยงดูเหมือนสามัญชนทั่วไป หากถึงเวลาของการเปลี่ยนผู้ครองบัลลังคนต่อไปก็ให้ลูกชายนี่แหละเป็นพระราชาคนต่อไป”โทมัสอธิบาย แต่ดูเหมือนคนฟังจะยังมีสีหน้างงๆอยู่

       “ก่อนหน้านี้ท่านพระราชาจะยกเลิกระบบการปกครองจากประเทศเป็นเมืองใครเมืองมัน แต่เมื่อสี่ปีก่อนจู่ๆพระราชาก็เปลี่ยนไป เห็นเอริคบอกกับพ่อฉันว่าก่อนที่พระราชาจะเปลี่ยนไป ท่านสั่งให้ช่วยทำลายท่านซะ”

      “เป็นไปไม่ได้ที่เอริคจะทำ”อัลเฟียสพูดแทรกขึ้นมา

       “ใช่ ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ”

       เสียงนั่นไม่ใช่เสียงของโทมัสแต่เป็นของชายวัยกลางคนผมและดวงตาสีฟ้า บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นใคร

    “พะ...พ่อ!”

       เสียงของโทมัสดังลั่น ขณะที่อีกสองคนข้างหลังสีหน้าไม่แพ้โทมัสในตอนนี้เลย

       “ฉันบอกแล้ว ว่าอย่าบอกใคร”

       “ละ...แล้วเอริคละ?”โทมัสถามพ่อด้วยสีหน้าที่ปั้นยาก

       “กลับไปแล้ว”พ่อของโทมัสพูด ก่อนจะมองไปที่หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ข้างหลัง

       “ในเมื่อรู้ความลับแล้ว ก็ขอให้ปิดความลับไว้ด้วยละ”

       “ได้ค่ะคุณราเชล”ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ทั้วสองจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของราเชล

       “ข้าไม่ได้ห่วงตัวเองหรอกนะ เพียงแต่ห่วงว่าหากพูดออกไปทหารจากเอสร่าจะมาตัดคอเจ้าจนไม่เหลือชิ้นดีเลยล่ะ”



    *************************************************





























    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×