ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ :: MinSu] Le pirntempes สายฝนของฤดูใบไม้ผลิ

    ลำดับตอนที่ #1 : Intro

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 58









    'ก็อกแก็ก.. ก็อก แก๊ก แก๊ก... ก็อกแก็ก'

    เสียงรัวแป้นพิมพ์ดังขึ้นระรัวเป็นระยะ เงาของคนตั้งใจจ้องมองจอภาพที่สว่างจ้าภายในห้องมืดฉายชัดบนผ้าม่านสีอ่อน หาได้สนใจอีกคนที่กำลังหลงไหลในห้วงนิทราแสนสุขฝันเคลิ้มอยู่อีกฝั่งของม่านกั้นห้อง แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนข้ามวันใหม่เสียงรัวคียบอรด์ก็ยังไม่ได้เบาลงหรือหยุดลงแต่อย่างใด

    'ตึ้งๆ ตึ้งๆ แกว๊ก!!'

    และก็เป็นอีกคืนที่เพื่อนร่วมห้องไม่สามารถทนฟังเสียงพิมพ์ที่รบกวนความฝันแสนหวานของตนต่อไปได้ เสียงอึกกะทึกครึกโครมดังขึ้นตามด้วยแสียงแหวกผ้าม่านอันแสนจะรุนแรง ปรากฏเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งลุกขึ้นมายืนเท้าเอวพร้อมกับเอ่ยตะเพิตเสียงดัง

    "นี่มันกี่โมงแล้วห๊ะ คิมจุนซูไม่รู้จักเวร่ำเวลานอนรึไง หัดกระแทกคียบอร์ดให้มันเบาๆหน่อยไม่เป็นรึไง"

    "ยุ่ง!!! เป็นแค่พี่ชายอย่ามาบ่นเป็นตาแก่หน่อยเลย" แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวไม่คิดจะยอมทำตามคำสั่งของพี่ชายที่นอนร่วมหายใจในห้องเดียวกัน ไม่พอเท่านั้นเจ้าตัวยังยักไหล่ด้วยทีท่ากวนเบื้องต่ำเต็มที

    "ให้ตายสิ ไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้จะไม่ไปเรียนรึไง หรือจะลาออกเลย ก็ดีนะหักค่าใช้จ่ายส่วนของแกฉันก็คงมีเงินไปเที่ยวเยอะขึ้น" ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวยังเดินมาขนาบข้าง แถมยังยื่นหน้ามาใกล้จนแทบจนสันจมูกจะชนกัน แต่ทว่า...

    "ว่าไงจุนซู จะเอายังไงห๊ะ?! ตกลงนายจะลุกจากคอมดีๆไหม"

    "เออๆ ลุกก็ได้ให้ตายสิบ่นไม่เลิกว่าแต่คนอื่นตัวเองก็ยังไม่นอน"

    ร่างเล็กยอมปิดคอมพิวเตอร์ตัวเก่งก่อนจะกระโจนขึ้นบนที่นอนของพี่ชายจอมขี้บ่น พร้อมกับถือวิสาสะคว้าเอาหมอนข้างมากอด

    "ฉันตื่นก็เพราะเสียงเคาะคียบอร์ดของแกนั่นแหละ หัดรู้ตัวซะบ้าง แล้วที่นอนตัวเองมีไม่นอน"

    ปากก็บ่นไปแต่เจ้าตัวก็ยังเดินกลับมานอนข้างๆน้องชายตัวดีพร้อมกับตระกองกอดน้องชายแสนดื้อไว้แน่นไม่พอยังหันตัวน้องชายมากดจูบบนริมฝีปากหนักๆเพื่อย้ำความเป็นเจ้าของที่ค่อนข้างจะแปลกไปหน่อยสำหรับการแสดงความรักของพี่น้อง แต่ใครจะสนละน้องชายใครใครก็หวงลองมามีน้องหน้าตาน่ารักแบบเขาดูสิ

    "อื้อ...พอแล้วปากจะบวมแล้ว"

    "ให้ตายเหอะ ห้ามทำแบบนี้ใส่คนอื่นเด็ดขาดเลยนะไม่ใช่ฉันแกโดนปล้ำไปแล้ว รู้นะจะตามไปฆ่าถึงบ้านเลย"

    หวงเขาหวงมากเพราะเขามีน้องเพียงคนเดียวและหวงมากจนไม่อยากให้ใครครอบครองเลยสักคน ยิ่งคิมจุนซูเกิดมามีหน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอมคนเป็นพี่ที่เกิดมาเหลือแค่น้องเพียงคนเดียวของชีวิตยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    เพราะเป็นน้องชายที่เติบโตด้วยกันมาสองคน บุคคลที่เปรียบดั่งหัวแก้วหัวแหวนของเขาคนนี้จะไม่มีวันยกให้ใครเด็ดขาด!!

    "นอนๆๆ ไอ้ขี้บ่น"

    "แกเรียกฉันว่าอะไรนะ?!"

    "ไอ้ขี้บ่นไง แก่แล้วหูตึงรึไง หรือสมองจะเลอะเลือน.. โอ้ว ไม่นะ"

    ว่าไปก็แสร้งดีดดิ้นเร้าๆเบียดกายเข้าชิดพี่ชายตัวเองแนบแน่น คนเป็นพี่ชายก็ได้แต่หยิกแก้มน้องชายอย่างหมั่นไส้ก่อนจะขบใบหูเล็กนั่นเบาๆ แล้วกดศีรษะน้องแนบอก

    "นอนกันเถอะ"

    "อื้อ.. ฝันดีนะยูชอน"

    "ฝันดีจุนซู"




    ชายหนุ่มรูปหล่อขยับกรอบแว่นตาให้เข้าที่พลางพลิกแผ่นกระดาษสีอ่อนประทับด้วยหมึกสีเข้มเป็นมีตัวหนังสือเรียงราย เขากำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาต้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะหนังสือพร้อมกับนมอุ่นแก้วเล็กๆตั้งอยู่ข้างขนมปังกรอบสองสามแผ่นบนโต๊ะเดียวกัน เสียงเพลงเบาๆคลอไปตามบรรยากาศยามค่ำคืน

    ใบหน้าคมเงยหน้ามองหน้าต่างบ้านตรงข้ามที่เพิ่งดับไฟไป

    "นอนแล้วแน่เลย นี่ก็จะตีหนึ่งแล้ว.. เฮ้อพรุ่งนี้มีสอบย่อยด้วยอ่านไปแค่เจ็ดรอบ ยังจำชื่อเชื้อราที่เติบโตในร่างกายมนุษย์ไม่หมดเลย จะได้เต็มไหมเนี่ยะ"

    บ่นกับตัวเองไปสายตาก็จับจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือไม่เลิก ในที่สุดก็ยอมถอดใจลุกจากเก้าอี้พร้อมกับจิบนมอุ่นๆเดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับจ้องมองหน้าต่างบ้านตรงข้ามที่มืดสนิท

    ไม่เคย... ไม่เคยเห็นหน้าสักคร้ง

    ตั้งแต่ย้ายมาสองเดือนบ้านหลังข้างๆเค้าแค่รับรู้ถึงการมีอยู่แต่ก็ไม่เคยที่จะได้พบหน้าสักครั้งหน้าตาจะเป็นยังไงกันก็ไม่รู้ อีกไม่นานหวังว่าจะได้เจอนะคุณเพื่อนบ้าน

    คิดอะไรไปเพลินๆนมก็หมดแก้วซะแล้ว ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดคอวีลึกสวมคู่กับกางเกงบอลขาสั้นเดินผ่านโต๊ะหนังสืออีกครั้งเพื่อปิดวิทยุถอดแว่นเก็บและผ่านไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันจัดการธุระก่อนนอน

    หลังจากนั้นก็เปิดตู้เย็นคว้าน้ำหนึ่งแก้วพร้อมกับยาบำรุงสมองอีกสองเม็ดกรอกลงปาก ก่อนจะตรงดิ่งไปยังเตียงที่ถูกปูด้วยชุดผ้าปูที่นอนสีแดงเลือดหมูตัดสีเทาอ่อน

    จากนั้นก็สวดมนต์ก่อนนอนปัดหมอนพอเป็นพิธีแล้วสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม ดวงตาสีเข้มลืมมองเพดานห้องแล้วนึกถึงคนบางคน นางฟ้าสีชมพูของชิมชางมิน ผู้หญิงที่เพรียบพร้อมทุกอย่าง เธอคือคนที่ติดฝังอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลา

    ความงดงามของเธอนั้นไม่มีใครที่จะเทียบติดใบหน้าที่เจือรอยยิ้มอ่อนหวานปลอบประโลมหัวใจให้ชุ่มชื้น การวางตัวที่สง่าผ่าเผยและความเป็นกุลสตรีแม่บ้านแม่เรือน เธอคนนั้นเพียงแค่คนเดียวที่เขาไม่เคยจะมีวันลืม

    "พี่ชอนซาครับเอาใจช่วยผมด้วยนะครับ"

    ใบหน้าคมฝืนยิ้มจางๆบนมุมปากแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาต่อมา





    อาคารทรงโบราณสูงเพียงสามชั้นตั้งเด่นอยู่กลางสนามหญ้ากว้างสุดบริเวณขอบรั้วมหาวิทยาลัยที่ชื้นสายฝนหลังคาตึกมุงด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลแก่รับกับตัวอาคารที่ทาสีเปลือกไข่บริเวณเสาต่างๆและขอบประตูหน้าต่างรวมไปถึงชายขอบก็ทาสีน้ำตาลเข้มตัดกับสีของตึกระเบื้ยงส่วนระเบียงทางเดินเรียงรายด้วยดอกกุหลาบเลื้อยหลากสีที่เกาะเกี่ยวไปตามผนังบางต้นก็เลื้อยขึ้นถึงต้นเสา

    เหล่านักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์พากันกางร่มหลากสีท่ามกลางสายฝนโปรยปรายพากันเดินผ่านทางหินอ่อนที่ตัดกลางสนามหญ้าเข้าสู่ทางเข้าหน้าอาคาร บางคนที่พบเจอเพื่อนก็มีรอยยิ้มทักทายตามประสา บางคนก็หอบกระเป๋าเอาแฟ้มพลาสติกปิดหัวกันสายฝนวิ่งเข้าอาคารแห่งนี้

    ร่างสูงโดดเด่นในชุดนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายกางร่มสีดำสนิด สวมแว่นสายตาทรงเรียบๆบังดวงตาคมเข้มเข้ากับทรงผมสั้นเซ็ทให้ตั้งอย่างลวกๆแต่เป็นทรงที่ดูดีแบบไม่ได้ตั้งใจเส้นผมออกจะเป็นสีน้ำตาลแก่ๆ ริมฝีปากหยักเป็นกระจับนั้นเหยียดยาวระเรือสีชมพูอ่อนๆอย่างคนสุขภาพดี รูปหน้าคมเป็นสันเรียวโหนกกรามก็ชัดกำลังดี ยิ่งสีผิวออกจะเข้มสักนิดแต่ก็ยังคงเนียนละเอียดเพราะไม่ได้โดนแดดโดนลมแถมยังมีออร่าเปล่งปล่ง ถ้าดูเพียงผิวเผินก็คงไม่ต่างจากนายแบบนิตยสารชื่อดังสักเท่าไหร่ ยิ่งยามที่ทอดน่องผ่านทางเดินหินอ่อนก็เด่นราวกับว่าเดินอยู่บนแคทวอกส์

    เมื่อเข้าสู่ชายคาของอาคารเขาก็หุบร่มพร้อมกับเดินข้นบันไดเพื่อไปสมทบกับเพื่อนร่วมห้องที่แก่กว่าเขาร่วมสามปี

    'ชิมชางมิน'

    ว่าที่นายแพทย์สุดหล่อที่ฉลาดเป็นกรด เขาสอบเทียบชั้นและเลื่อนลำดับได้ไวขึ้นกว่าเพื่อนที่อายุเท่าๆกันตอนนี้เค้าเทียบกับนักศึกษาปีหก แต่เพื่อนที่อายุเท่ากันเพิ่งจะปีสามเท่านั้นเองเรียกได้ว่าไอคิวพี่ๆน้องๆกับไอไสตน์ด้วยซ้ำ

    "ชางมินมาไวจังเลยนะฝนตกด้วยคนอื่นมาสายแน่เลยศาสตราจารณ์ก็บอกว่าถ้าคนขาดเยอะก็อาจจะเลื่อนสอบ"

    "เลื่อนอีกแล้วหรอครับ"

    "อาจจะนะ พี่ก็ฝึกงานอยู่ไกลซะด้วยแย่จังเลย ที่นู่นหมอน้อยไม่ค่อยมีเวลาพักอ่านหนังสือเลยแย่แน่ๆพี่ละกลัวจะเรียนไม่จบ"

    "ผมฝึกอยู่แถวนี้นะแต่ก็ไม่ค่อยได้ทบทวนเลย"

    "แต่ยังไงก็คงจะจองเกียรตินิยมเอาไว้ละซิ" หญิงสาวแกล้งกระทุ้งศอกเข้าใส่กลางท้องว่าที่คุณหมอดรีกรีนักศึกษาเกียรตินิยมดังตุ๊บเล่นเอาจุกไปทั้งแถบ คนโดนกระทำได้แต่ยิ้มไม่รู้สึกรู้สา

    "นั่นประชดรึเปล่าครับพี่จินอาฮะๆๆๆ" เสียงหัวเราะสดใสของร่างสูงที่ฉีกย้มให้หญิงสาวตรงหน้าค่อนข้างจะเจือความสมเพชไม่น้อยทีเดียวแต่ก็คงไม่มีใครทันสังเกตุได้เห็น เช่นเดียวกับแววตาคมเข้มนั้นที่ปราดมองหญิงสาวรุ่นพี่อย่างรู้แกว

    ระดับสมองอย่างเขาถ้าแค่นี้ดูไม่ออกก็สมควรไปเลี้ยงควายแทนแล้ว ชองจินอา อดีตว่าที่นักศึกษาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งผลการเรียนไม่เคยเป็นรองใครในสายชั้นแต่ทว่าเมื่อเขาได้เข้ามาเทียบชั้นตอนปีสามคนที่คะแนนดีที่สุดกลับกลายเป็นชิมชางมินแทน เธอจึงออกจะแกล้งตีซี้ใส่หนุ่มรุ่นน้องราวกับจะสามารถทำอะไรได้

    "มากันสองคนเองหรือนี่"

    "ค่ะด็อกเตอร์คงเพราะฝนตก"

    "งั้นก็เลื่อนสอบไปเถอะ ยังไงก็คงไม่ทันแล้ว"

    "จะดีหรอค่ะ"

    "สอบพร้อมกันทีเดียวก็ได้ครับ"

    "เอ้อไปฝึกงานเป็นยังไงบ้างละ"

    "เหนื่อยมากเลยค่ะมีแต่คนไข้ยุ่งยากวุ่นวายถามเยอะ เวลาก็แทบไม่มีบางคนก็ชักช้าอืดอาดเวลาพักที่มีแทบไม่พอ วันหยุดหมอไม่พอก็เรียกไปเข้าเวรทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ซักนิดแถมยังอยู่ไกลอีกด้วยแย่จริงๆเลยค่ะ"

    ตอบด้วยความสัตย์จริงแต่หารู้ไม่ว่าที่กล่าวอย่างอวดรู้อวดดีนั้นแทบทำเอาคนสอนสะดุดล้มหัวทิ่มกับคำพูดที่ไร้จรรยาบรรณแพทย์สิ้นดี เมื่อคนนึงไม่ได้ความศาสตราจารย์วัยหกสิบสองก็หันมาหาถาม อีกคนที่โครงหน้าคล้ายกับตนไม่มีผิด

    "แล้วเราละชางมิน"

    "ดีครับอุปกรณ์ทันสมัย ทีมแพทย์พี่เลี้ยงก็ช่วยแนะนำหลายๆอย่างถ้าจัดเวลาดีๆก็เหลือเวลาอยู่เยอะครับ" คำตอบที่ได้เป็นที่ถูกใจไม่น้อย

    ใบหน้าที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นบ้างแล้วฉีกยิ้มแบบเดียวกันกับชางมิน ซึ่งก็ไม่มีใครทันสังเกตุได้ง่ายๆเว้นก็แต่บุคคลท่มีระดับไหวพริบไม่ต่างกัน

    ซึ่งเป็นไปได้ว่ามันอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรม ชิมอึนชาง ถ้าจะให้พูดกันโดยความจริงแล้วไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือให้ชิมชางมิน และถ้าจะเกี่ยวโยงทางโครโมโซใดๆเทียบอายุแล้วก็ควรจะเป็นปู่หรือตา

    แต่ในความเป็นจริงอึนชางเป็น พ่อ ของชิมชางมิน ลูกหลงคนสุดท้ายในวัยสี่สิบกว่าห่างกับลูกคนแรกที่คลอดตอนเขาอายุเพียงสิบเจ็ด แต่ไม่ว่าจะยังไงระดับความเจ้าเล่ห์น้นมากเสียจนคนที่รู้แทบจะลมจับกับความร้ายของคนตระกูลชิม

    "การจัดเวลาดีๆสินะ เอาเถอะรีบกลับกันได้แล้วเหมือนว่าฟ้าจะครึ้มหนักกว่าเก่านะพายุอาจจะเข้า"

    แสร้งว่าไปนั่นแต่ความจริงก็ส่งสาตาคุยกับลูกชาย ว่าด้วยเร่องความโง่ของจินอา สายตาที่วาววับกับรอยยิ้มจางๆภาษาพ่อลูกที่ไม่ว่ายังไงก็แปลว่าสมเพช

    "ค่ะขอบคุณค่ะ"

    ใบหน้าหวานยังคงกรีดยิ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวทำเอาคนมองเริ่มจะสงสารในความโง่ของคนๆนึงที่ดีแต่เอาความรู้เข้าสมองแต่ไม่ได้นำเอาไอคิวอย่างอื่นมาใช้พัฒนาสมองเลย





    เช้าวันศุกร์ที่อึมครึมเมฆกลุ่มใหญ่และสายฝนกำลังโปรยปรายสองร่างยังคงซุกหลับอุตุด้วยกันบนที่นอนไม่ได้รับรู้ถึงเวลาเช้าสักนิดคนเป็นพี่ก็หลับน้ำลายยืด คนน้องก็นอนหลับพริ้ม บรรยากาศครึ้มๆเครื่องปรับอากาศก็ยิ่งเย็นฉ่ำขึ้นไปอีกแต่เวลาที่แสนสุขก็ต้องมีมารมาขวางเป็นธรรมดา

    เสียงโทรศัพท์มือถือขูดครืดไปกับพื้นส่งเสียงปลุกเจ้าของคว้ามากดรับโดยไม่ได้ดูหน้าจอ

    'ครืดดด ครืดดดด ครืดดดดด'

    ''ใครโทรมาอีกเนี่ยะ... ฮัลโหล"

    'ยูชอน นี่ฉันเองจะแจจุงนะ พอดีฉันจะไปหาพ่อที่อังกฤษสักเดือนกับยุนโฮนะคือฉันจะฝากนายดูแลน้องชายตอนที่ฉันไม่อยู่หน่อยนะจะว่าอะไรไหม'

    "อือๆ"

    'อือๆน่ได้ใช่ไหมพอดีเคร่องใกล้จะออกแล้วฉันจะไปเตรียมตัวแล้วละขอบใจมากนะยูชอนบ้ายบาย'

    "อืม... ครอก ฟี้~" สายถูกตัดไปตั้งแต่รับคำไม่ทันจบเสียงกรนเบาๆก็ดังขึ้นต่อมือถือเลยถูกวางไว้ข้างหมอนแทนร่างในอ้อมแขนดิ้นเบาๆจากเสียงสนทนาเมื่อครู่ แต่ก็ถูกพี่ชายตัวดีดึงเข้าไปกอดฟัดต่อก่อนจะพากันหลับยาวต่อไม่รู้เรื่องอะไรสักนิดสมองเล็กๆที่ค่อยๆประมวลผลไปอย่างเชื่องช้าก็สำเร็จลง

    ดวงตาของคนที่กำลังกอดฟัดร่างน้องชายอยู่ก็เบิกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับมือที่คว้าโทรศัพท์ขึ้นกดไล่หารายชื่อของคนที่เพิ่งโทรเข้ามาคร้งล่าสุด

    'หมายเลขท่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะน้กรุณาติดต่อใหม่อีกคร้ง...'

    'หมายเลขท่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะน้กรุณาติดต่อใหม่อีกคร้ง...'

    'หมายเลขท่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะน้กรุณาติดต่อใหม่อีกคร้ง...'

    'หมายเลขท่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะน้กรุณาติดต่อใหม่อีกคร้ง...'


    'หมายเลขท่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะน้กรุณาติดต่อใหม่อีกคร้ง...'

    'หมายเลขท่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้...'

    "โถ่เว้ย!ไอ้บ้าแจจุงหายหัวไปไหนปิดเครื่องไม่รับโทรศัพท์วะ"

    "แหกปากทำบ้าอะไรคนจะนอน"

    "จุนซูเรากำลังจะเจอปัญหานะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆด้วย"

    "ปัญหาอะไรคนจะนอนไม่รู้โว้ย"

    "รับสิรับ.." ในขณะที่ปาร์คยูชอนกำลังเคร่งเครียดกับสิ่งที่เจ้าตัวคิดว่าเป็นปัญหาระดับชาติ แต่กับอีกคนก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่สุดในสิบโลก เสียงคร่ำครวญราวกับจะขาดใจที่โหวกเหวกตลอดเวลาทำเอาความคิดที่จะนอนต่อของคิมจุนซูต้องพับเก็บไปทันที

    ร่างเล็กเหยีดกายลุกขึ้นช้าๆขับไล่ความปวดเมื่อยซึ่งเกิดจากการเป็นตุ๊กตาให้พี่ชายตัวดี

    "อาบน้ำดีกว่า ไปถูตัวให้หน่อย"

    "อื้มๆกำลังจะตามไปเดี๋ยวนี้ละขอโทรหาแจจุงก่อน"

    "ไม่เอา จะอาบน้ำแล้วฝนตกแบบนี้รถติดแน่ๆ อย่าลืมสิว่าฉันมีเรียนไหนเมื่อคืนก็เป็นคนบ่นเองนี่"

    "ไปก็ได้" สุดท้ายปาร์คยูชอนก็กลับมาเป็นคนใช้ให้คิมจุนซูอย่างสมบูรณ์แบบ... อาเมน

    ขณะที่คิมจุนซูกำลังเลือกกลิ่นอโรม่านั้นปาร์คยูชอนผู้น่าสงสารก็กำลังตีฟองสบู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งจัดแจงเสื้อผ้าตระเตรียมให้น้องรักใส่หลังอาบน้ำ จัดเก็บที่นอนทั้งสองเตียงสุดท้ายก็วิ่งมาเติมน้ำใส่อ่างเทสบู่แล้วตีฟองอย่างที่เห็น ส่วนงานต่อจากนี้คือแต่งตัวให้น้อง วิ่งลงไปทำมื้อเช้าป้อนข้าวเด็ก ต่อจากน้นก็เปลี่ยนเป็นคนขับรถพาคุณชายไปส่งมหาลัยจากน้นจึงค่อยวนกลับไปคณะตนเอง นั่นถือเป็นการสิ้นสุดการเป็นทาสคิมจุนซูในช่วงเช้า ถ้าถามว่าทำไมไม่ให้ทำเองก็เพราะว่ากลัวน้องเหนื่อยคนเป็นพี่อย่างปาร์คยูชอนเรื่องแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมีน้องหรอก

    "ยูชอนกลิ่นน้หอมไหม"

    "พี่ชอบกล่นสีฟ้าอ่อนมากกว่า ที่เราเลือกมันฉุนไป"

    "แต่กลิ่นนี้ฉันซื้อมาแพงนะ" คิมจุนซูได้แต่ยู่หน้าที่พี่ชายไม่ยอมเห็นด้วยแต่อย่างว่าเซ้นท์ในการเลือกใช้ของในบ้านของยูชอนดีเยี่ยมมาแต่ไหนแต่ไร

    เพราะรับภาระตั้งแต่แปดขวบเมื่อพ่อและแม่เสียยูชอนได้มรดกเป็นบ้านเดี่ยวหนึ่งหลังรถหนึ่งคัน รวมถึงเงินประกันชีวิตพ่อและแม่มากมายหลายสิบล้าน แต่ด้วยความที่เขายังเด็กและผู้ปกครองที่สนิทที่สุดก็คือเพื่อนของพ่อ เขาต้องย้ายไปอยู่กับเธอซึ่งเป็นแม่ของคิมจุนซู

    แต่อยู่ได้เพียงไม่นานโรคร้ายก็พรากเอาชีวิตเธอไปในตอนนั้นเขาอายุได้เพียงสิบเจ็ดปี ยูชอนที่รักและห่วงจุนซูมากจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะดูและคิมจุนซู มรดกที่มีถูกนำมาใช้เพื่อตกแต่งบ้านใหม่เพื่อที่สองพี่น้องจะสามารถย้ายเข้าไปอยู่ ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆยูชอนนั้นเลือกที่จะแต่งเพลงแล้วเอาไปเสนอขายเมื่อได้เงินมาจึงจัดการเองทั้งหมดถึงรายได้จะไม่แน่นอนแต่ได้คราวนึงก็ไม่น้อยเลยทีเดียว

    เพราะกำพร้าตั้งแต่เด็กจึงต้องการใครสักคนมาทดแทนครอบครัวคิมจุนซูที่เติบโตมาด้วยกันเลยเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าในชีวิตของยูชอนท่ต้องการจะดูและประคบประหงมให้มีความสุขที่สุด

    "งั้นเดี๋ยวฉันผสมให้เองแกไปเปลี่ยนชุดไปจะได้อาบน้ำสักที"

    "เออน่ารู้แล้วบ่นอยู่ได้"

    "รู้แล้วก็ขยับสักทีสิเกะกะไม่เห็นหรอห๊ะ"

    "ชิ ไปก็ไปไวๆด้วยละ" ร่างโปร่งได้แต่พยักหน้าส่งๆไปมือยาวคว้าเอากล่นอโรม่าขวดสีแดงสดที่จุนซูเลือกไว้เป็นกลื่นกุหลาบผสมกับกลิ่นน้ำนมขวดสีขาวผสมในถ้วยก่อนจะเทลงอ่างแล้วใช้มือกวนวนจนเข้าที่

    "เสร็จแล้วหรอ"

    "เห็นว่าเสร็จรึยังละ ลงไปแช่ก่อนเดี๋ยวฉันจะไปเปลี่ยนชุดเอาผ้าขนหนูมาแทนแล้วก็นะอย่าตีน้ำเป็นเด็กอนุบาลพื้นมันจะล่น"

    "ใครจะไปทำกันไอ้พี่บ้าเอ้ย" ได้แต่บ่นพึมพำเพียงเท่าน้นก็ได้แต่ลอบอมยิ้มเมื่อพี่ชายเดินลับสายตาทำไมจะไม่รู้ว่าปาร์คยูชอนทุ่มเทให้กับเค้ามากอย่างที่ไม่มีใครเคยได้ แม่ของเค้าเคยพูดอยู่บ่อยๆตอนที่เขาและยูชอนเป็นเด็กเล็กว่าให้รักยูชอนมากๆเพราะแม่มั่นใจว่ายูชอนจะช่วยดูแลเขาได้

    แต่อุบัติเหตุก็มาพรากพ่อแม่ของยูชอนไปความเสียใจที่เกาะกุมหัวใจของเด็กอายุเพียงแปดขวบที่สูญเสียทั้งพ่อและแม่ จุนซูจำได้แม่นไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในวันนั้นสองครอบครัวพากันไปเที่ยวในวันหยุดปีใหม่ผู้ปกครองพากันไปซื้อของทะเลมาทำอาหารเย็น เขาและยูชอนกำลังวิ่งไล่จับกันในบ้านพักแต่อยู่ๆก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาพูดกับยูชอนว่าแม่และพ่อของเขาเสียชีวิตแล้ว ส่วนแม่ของจุนซูบาดเจ็บหัวแตกต้องเย็บกว่าสิบเข็ม

    สิ่งที่ยูชอนทำก็คือผลักคนแปลกหน้าเหล่านั้นออกไปไกลแล้วตะโกนไปว่ามันเป็นส่งโกหก หนึ่งในกลุ่มเล่าถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจนยูชอนรับความจริงไม่ไหววิ่งหนีออกจากที่พักส่วนตัวเขาก็ได้แต่วิ่งตามไปแม้คนแปลกหน้าเหล่านั้นจะวิ่งตามแต่ก็ไม่สามารถจับเด็กทั้งสองที่วิ่งหนีได้ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเด็กชายดังงัวเงียจนเขาหาพบ

    ยูชอนในตอนนั้นช่างอ่อนแอเหลือเกินราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆเขาวิ่งโร่เข้าสวมกอดถ่ายโอนความอบอุ่น จนในที่สุดยูชอนจึงยอมเดินตามคนแปลกหน้าเหล่านั้นเพื่อไปร่ำลาผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนเป็นครั้งสุดท้าย

    "นี่เหม่ออะไรหื้อ"

    "ปะ..เปล่านิ"

    "เป็นอะไรรึเปล่าดูเศร้าๆนะ"

    "ยูชอน ฮึก.. ฉัน ฉันนะไม่อยากให้ยูชอนทุ่มเทให้ฉันมากมายขนาดนี้ ฮือ..ยูชอน นายต้องคิดถึงตัวเองบ้างสิ"

    "ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมากสิฉันเป็นพี่แกนะ ไม่ว่ายังไงฉันก็รักแกที่สุดเรื่องอะไรที่ผ่านๆมาเลิกคิดไปได้แล้ว น้องชายคนเดียวของฉันฉันจะดูแลแกจนกว่าแกจะได้เมียเลยเอ้า"

    "สัญญาด้วยสิว่าถ้าคิมจุนซูคนนี้มีคนที่ดูแลแล้วปาร์คยูชอนจะดูแลตัวเองหรือไม่พี่ต้องหาใครสักคนมาดูแลพี่นะ"

    "อื้ม สัญญา"

    "งั้นก็มาถูหลังให้ฉันได้แล้วมัวแต่ลูบแก้มฟองจะหมดอ่างอยู่แล้ว"

    "ฮ่าๆมาๆหันหลังมาแกนี่อารมณ์เปลี่ยนไวอย่างกับผู้หญิงเป็นประจำเดือนเลย" เสียหัวเราเคล้าคลึงไปด้วยความสุขดังลั่น ทำเอาอีกคนโกรดไม่ลงเหลือเพียงแค่ใบหน้ายู่ยี่แอบอมย้มไว้ลึกๆ




    เสียงฝนพรำสร้างความเปียกชื้นตามทางเดินข้างทางดังต่อเนื่องไม่หยุด ใต้เงาของร่มสีใสร่างของเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายกำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งเดินไปอย่างเอื่อยเฉื่อยท่ามกลางสายฝน

    เส้นผมสีเทาเป็นประกายสว่าง ใบหน้าออกจะเป็นลูกครึ่งตะวันตกปนกับเกาหลีสังเกตุได้จากสีของดวงตาท่ออกสีฟ้าอ่อนแปลกไปจากคนอื่น ใบหน้านั้นเรียวยาวคิ้วสีอ่อนโก่งสวยทำให้รูปหน้าดูหวานข้น แพขนตาสีเดียวกับค้วหนาและงอนยาวรับดวงตาสีฟ้าสดใสให้กลมโตยุ่งขึ้น อีกท้งริมฝีปากบางที่เป็นสีแดงเข้มช้ำเป็นจ้ำๆจากการดูดบุหร่อีกทั้งยังขยันดื่มเหล้าดื่มเบียรเป็นกิจวัตรอีกต่างหาก

    การแต่งตัวน้้นเป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้าเสื้อผ้าเป็นแบรนเนมชื่อดังแถมถ้าเอาเครื่องแต่งกายมารวมๆกันแล้วราคาสูงเฉียดครึ่งล้าน บ่าที่ไม่ค่อยจะกว้างมากนักกำลังสะพายเป้สีฟ้าอ่อนตัดกับสีขาวภายในบรรจุเสื้อผ้าชุดโปรดสองสามชุดนอกจากนั้นยังมีไอแพดเครื่องสีดำกับยาประจำตัวอีกหลายชนิด

    รอยยิ้มค่อยๆผุดขึ้นเม่อเห็นตัวเลขบนแผ่นไม้ที่แขวนอยู่ตรงรั้วสีขาวสะอาดสูงท่วมหัวตรงกับตัวเลขในกระดาษ แขนเรียวยาวปาดเหงื่อบนหน้าผากออกแล้วกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้านที่คาดว่าน่าจะอยู่ในบ้าน

    เสียงคลุกขลักดังแว่วมาจากในบ้านผู้มาเยือนยืนตั้งหน้าตั้งตารอจนกระทั่งรั้วถูกเปิดออก ร่างสูงโปร่งในชุกผ้าขนหนูผืนเดียวลำตัวเปลือยเต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพราวกำลังยืนจังก้าทำหน้าบู้บี้จนหมดสิ้นความหล่อ จมูกโด่งย่นขึ้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนเป็นปม เส้นผมเปียกลู่น้ำถูกเสยข้นโชว์หน้าผากกว้างโหนกนูนมือถือร่มคันใหญ่กันสายฝนที่โปรยปรายสร้างความหนาวเหน็บที่บางทีมันอาจไม่ได้สร้างความกระทบกระเทือนให้กับคนตรงหน้าได้เลย

    "นายเป็นใคร"

    "ราฟาเอลครับ คิมยองแจน้องชายพี่แจจุงครับ"

    "ไอ้เหี้ย!!" เสียงพ่นคำหยาบคายเต็มหน้าเด็กหนุ่มลูกครึ่งก่อนจะแยกเขี้ยวใส่ราวกับเครียดแค้นมานาน อันที่จริงมันก็แค้นนั่นแหละแต่แค้นกว่าก็คือพี่ชายของไอ้บ้านี่เล่นเงียบไปเลยติดต่อก็ไม่ได้ เด็กหนุ่มที่ตั้งใจจะเถียงในคราแรกต้องหุบปากฉับเมื่อถูกปิดประตูรั้วใส่หน้าเสียงดังสนั่น

    'โครม'

    "ฟัคยูวววววว! ไอ้บ้าเอ๊ยฉันตามหาบ้านตั้งนาน โอ๊ยพี่แจนี่ก็อีกคนให้ฉันมาอยู่บ้านใครกันเนี่ยะ เอ๋.. หรือว่าพี่แจจะให้ที่อยู่มาผิด" เสียงตวาดตอนแรกผ่อนลงจนแทบไม่ได้ยินเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายแต่พลันต้องเลือดขึ้นหน้าเมื่ออีกคนตะโกนข้ามร้วมา

    "ไปตายซะโว้ย! บอกไอ้บ้าแจจุงด้วยนะว่าฉันไม่รับฝากใครทั้งนั้นบ้านี้ไม่มีที่พอสำหรับคนอื่น!!"

    "ไม่ไปโว้ย ไอ้หัวเถิกกล้าดียังไงมาไล่ฉันไม่รู้หรอว่าฉันลูกใคร ชิท!ว้อทเดอะฟัค"

    ทั้งบ่นทั้งด่าทั้งยกพ่อมาข่มตอนนี้เขายอมหมดทุกอย่างขอแค่ได้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้ เพื่อที่จะได้มีที่ซุกหัวนอนเพราะคิมแจจุงแท้ๆที่ยึดกุญแจคอนโดไปแถมยังยัดที่อยู่ไอ้บ้านี่มาให้เขา บ้านคนอื่นไม่มีแล้วรึไง ทำไมต้องมาอยู่กับไอ้โรคจิตที่อยู่ๆก็มาด่าเค้าทั้งที่ไม่มีความผิดนี้ด้วย

    "ไปฟัคไกลๆไป๊บ้านนี้ไม่ต้อนรับพ่อแกจะเป็นใครฉันก็ไม่สนเว้ย"

    "ไอ้ห้อยใครมานะ หิวข้าวแล้วมาทำกับข้าวให้ฉันกินเดี๋ยวนี้เลยนะปาร์คยูชอน" เสียงแหบแหลมจากในบ้านตะโกนเรียกคนที่กำลังยืนเถียงกับแขกไม่ได้รับเชิญ เรียกได้ว่าเป็นแขกที่ถูกยัดเยียดซะมากกว่า ไม่อยากจะรับแขกสักนิดเลย

    "เฮ้ นายเปิดประตูให้ฉันเร็วๆสิรอนานแล้วนะพี่แจจุงบอกให้ฉันมาอยู่ด้วยนะ" ว่าไปนั่นพอจะเดาได้หรอกว่าเสียงแหลมๆนั้นจะสามารถช่วยตนได้แน่

    รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าทันทียังไงก็มีโอกาสแล้วละ

    "ยูชอนยืนเบื้อกอะไรเปิดเร็วๆสิน้องของพี่แจนี่"

    "แต่ว่า.."

    "เร็วๆหิวข้าวแล้ว" นับเป็นคำสั่งขาดของน้องชายทูนหัว ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากให้คนอื่นเข้ามาในบ้านหลังนี้แต่ถือว่านี่คงจะเป็นแค่ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่จะยอมให้คนนอกเข้ามาในบ้านได้ ร่างสูงยอมเปิดประตูรั้วอีกครั้งคนข้างนอกกำลังกอดอกถือร่มไขว้ขาด้วยท่าทางมาดแมนไม่เข้ากับหน้าสักนิด

    คิมจุนซูที่เห็นครั้งแรกก็ตกตะลึงไม่คิดว่าน้องชายของพี่แจจุงจะแก่นเซี้ยวขนาดนี้เล่นเอาคิมจุนซูอึ้งเลยทีเดียว

    "เข้ามา.. ไอ้เตี้ย"

    "ชิท.. นี่มันบ้าชัดๆทำไมต้องมาอยู่กับไอ้บ้านี่ด้วย นาย!นายนะตัวเล็ก" ก็ไม่รู้ว่าเรียกใครแต่บ้านหลังนี้มีแค่เขากับยูชอนและคนอย่างปาร์คยูชอนคงไม่มีใครกล้าเรียกว่าตัวเล็กหรอกคนตัวเล็กที่ว่ากำลังชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพรางทำหน้างง

    "เห๋ ฉันหรอ?"

    "เยสเซ่อร์ นายนั่นละชื่ออะไรดูแล้วน่าจะคุยง่ายกว่าหมอนั่นเยอะเลย"

    "ฉันชื่อจุนซู คิมจุนซู" เกาหัวไปบอกชื่อไปก็ไม่ค่อยจะเข้าใจแต่ตามมารยาทคนถามชื่อก็ควรจะบอกยิ่งเป็นน้องของพี่แจจุงตัวแสบด้วยละก็ยิ่งไม่ควรทำให้ยุ่งยาก เรื่องนี้การันตีโดยชองยุนโฮ

    "ราฟ ราฟาเอล อ่าถ้าชื่อเกาหลีละก็คิมยองแจยินดีที่ได้รู้จักนะฉันอยู่ม.ปลายปีสองละ" ว่าจบก็เอาแก้มแนบแก้มทักทายตามธรรมเนียมฝร่งเศส

    ภาพที่ได้เห็นเล่นเอาปาร์คยูชอนแทบกระโดดถีบไอ้ตัวเต้ยตาสีฟ้าที่กำลังระริกระร้กับน้องชายสุดหวงของตน ใบหน้าที่ยู่แล้วยู่เข้าไปอีกเรียกได้ว่าอวัยวะต่างๆบนบหน้าแทบจะมาอยู่ที่เดียวกัน พลันสายตาน้องชายหันมาเจอเข้าพอดี

    "อย่าทำอะไรน้องนะยูชอน"

    "แต่ไอ้เด็กนี่" หวง หวงมากด้วยยูชอนมีน้องคนเดียวคือคิมจุนซูและคิมจุนซูไม่ควรมีน้องอีกควรจะมีพี่คนเดียวคือเค้าคนนี้ อดไม่ๆได้ที่จะน้อยใจแต่ไม่เท่าไหร่ไอ้ตัวตาสีฟ้าน่าหม่นไส้นี่สิมันน่านักคิดจะแย่งความรักของจุนซู ยูชอนคนน้ไม่มีวันยอมหรอก

    "เอ๋จุนซูอายุเท่าไหร่หรอ" เมื่อถูกเรียกว่าน้องจึงเอียงคอถามด้วยท่าทางน่าเอ็นดูและแม้ยูชอนจะแอบคิดอย่างน้นก็เถอะแต่ไอ้ที่กำลังกอดกันนี่มันขัดตาเหลือเกิน

    "ยี่สิบเอ็ดนะ มหา'ลัยเซ้าท์อีส สาขาบริหาร ปีสามยินดีที่ได้รู้จักนะ" รอยยิ้มน้อยๆแต่งแต้มบนใบหน้ากลมเพิ่มความดูดีขึ้นมาอีกเป็นกองต่างจากการทำหน้ากวนชวนถีบมากมาย

    แต่ที่กำลังกวนใจของยูชอนมากๆคือท่าทีไอ้เด็กนี่กำลังยิ้มร่าตื่นเต้นกระพริบตาสีฟ้าปริบๆอยู่ในอ้อมกอดของคิมจุนซู ไม่ชอบจริงๆไม่ว่าใครหน้าไหนที่กำลังยุ่งกับน้องชายคนสำคัญของเค้า

    "รู้จักกันแล้วใช่ไหม เลิกกอดกันได้แล้วพอๆไอ้เตี้ยยองแจมานี่เลยมา" ปาร์ยูชอนโยนร่มทิ้งเดินจ้ำอ้าวจับไอ้คนที่กำลังยิ้มร่าในอ้อมกอดน้องชายตัวเองดึงร่มในมือไอ้ตัวแสบทิ้งไม่ห่างกับร่มคันใหญ่ของเขาก่อนจะจับพาดบ่า

    "ปล่อยนะไอ้ลุงเถิก ว๊ากก ปล่อยมันสู๊งงง!!"

    "แกรอฉันแป๊บนะจุนซูเดี๋ยวรีบลงมาจะพาเด็กนี่ไปเก็บของก่อน" ส่งเสียเรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าชายคาบ้าพร้อมกีนกับน้องชาย ร่างเล็กพยักหน้ารับเรียบร้อย

    "ไวๆละเดี๋ยวจะรีบไปมหา'ลัย"

    "ขอเวลาแป๊บนึง"

    ร่างสูงว่าจบก็ตบก้นคนตัวเตี้ยดังปุ๊ๆแล้วเดินเข้าบ้านขึ้นไปชั้นสองเพื่อเข้าห้องนอน เสียงโวยวายยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุดทั้งภาษาเกาหลี อังกฤษ บางทีก็ปนภาษาฝรั่งเศส

    ส่วนปาร์คยูชอนได้แต่ทำหูทวนลมแบกร่างที่ดีดดิ้นเข้าห้องนอนแล้วโยนเจ้าตัวโวยวายลงบนเตียงของเขาเอง เรื่องอะไรจะยอมให้อยู่เตียงจุนซูกันสู้ยอมให้อยู่เตียงเขายังดีกว่า ใบหน้าที่ออกจะหวานบูดบึ้งขึ้นมาทันทีที่โดนโยนลงเตียงนุ่มนิ่มแม้จะชอบความนุ่มของเตียงหน่อยๆก็เถอะ

    "นายนอนเตียงนี้ห้องน้ำเข้าทางนั้นปรกติฉันกับจุนซูเราจะอาบน้ำพร้อมกัน ของเอาไปเก็บในตู้ซ้ายสุดตู้นั้นเป็นของนายชั้นบนมีแค่ห้องนอนกับห้องน้ำห้องเดียวส่วนชั้นล่างมีห้องรับแขกห้องครัวห้องนั่งเล่นห้องกินข้าวแล้วก็ห้องน้ำอีกห้องสวนหน้าบ้านห้ามเหยียบหญ้าเด็ดขาดกระเบื้องทางเดินมีส่วนสระน้ำปรกติแล้วก็ใช้บ้างละนะแต่เค้าจะใส่คลอลีนทุกวันอังคารพยายามอย่าลงวันนั้นแล้วกันหวังว่าคงไม่อยู่นานหรอกนะคิมยองแจ"

    ใบหน้าหวานเงยหน้ามองตามสิ่งที่เจ้าบ้านกำลังบอกจดจำส่งต่างๆที่ยูชอนกำลังเอ่ยเอื้อนราวกับทำนองแสนไพเราะอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่รู้ว่าอะไรดนใจให้เขาฟังว่ามันเพราะแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ยองแจอยากจะลองปรับทัศนะคติกับพ่อหนุ่มติสแตกคนน้บ้าง

    "อื้มน่าผมรอพี่แจมารับกลับคงไม่นานหรอก ยังไงเราก็มาทำความรู้จักกันใหม่มาเมื่อกี้เราอาจจะเริ่มได้ไม่ดีนัก"

    "ยุ่งน่ารีบๆเก็บของซะฉันจะลงไปทำกับข้าวให้จุนซูก่อนละตามลงไปไวๆละ"

    รอยยิ้มหวานส่งให้กับคนที่กำลังเขินซึ่งเดินหันหลังไปจนถึงประตูห้องแล้วตัดสินใจกล่าวถ้อยคำที่ทำให้ความเขินของปาร์คยูชอนพุ่งข้นสูงจนแก้มสากข้นสี

    "เออน่า นี่ลุงแต่ก็ขอบคุณนะที่ยอมให้ผมอยู่ที่นี่"



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×