" เจ้าหญิงออโรร่า"หรือเจ้าหญิงนิทรา - " เจ้าหญิงออโรร่า"หรือเจ้าหญิงนิทรา นิยาย " เจ้าหญิงออโรร่า"หรือเจ้าหญิงนิทรา : Dek-D.com - Writer

    " เจ้าหญิงออโรร่า"หรือเจ้าหญิงนิทรา

    ไปแอบจ๊กมา แต่ไม่รุว่าที่ไหน

    ผู้เข้าชมรวม

    38,123

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    42

    ผู้เข้าชมรวม


    38.12K

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    20
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ก.ค. 51 / 19:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เจ้าหญิงนิทรา ... หลายคนหลงรักเจ้าหญิงน้อยผู้มีความงามเป็นเอก มีน้ำเสียงที่ไพเราะ ช่างฝัน สง่างาม อย่าง " เจ้าหญิงออโรร่า " ที่ต้องกลายมาเป็น " เจ้าหญิงนิทรา " เพราะ ความผิดพลาด ของพระบิดา ของเธอเอง และคงเป็นเพราะการที่เธอ ต้องได้รับผลกรรมที่ตัว เธอเอง ไม่ได้ทำไม่ได้ก่ออันนี้นี่เอง คงอาจทำให้ ผู้อ่านสงสารและเอาใจช่วยเธอ อย่างต่อเนื่อง ตลอดมานะคะ....

      ........กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่เมืองใหญ่อันเป็นมหาราชอาณาจักรแห่งหนึ่งนั้น มีพระราชาและพระราชินี ที่ปกครองบ้านเมืองของพระองค์อย่างทรงเป็นธรรม เป็นอย่างมาก ดังนั้นประชากรทุกคนจึงอยู่กันอย่าง ร่มเย็นเป็นสุขโดยทุกถ้วนหน้า..... ครั้งนั้น....มันเป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ และหรูหราที่สุดในประวัติศาสตร์ ของเมืองแห่งนี้ เพราะมันเป็นงานเลี้ยงต้อนรับการประสูติพระธิดาองค์แรกของพระราชาและพระราชินี ซึ่งมีนามว่าเจ้าหญิงออโรร่า ด้วยหลังจากการรอคอยมาอย่างเนิ่นนาน กับการให้กำเนิด รัชทายาท ดังนั้น ประชาชนทุกคนจึงถูกเชิญให้เข้ามาร่วมในงาน อาหารคุณภาพดี แสนอร่อยถูกจัดวางไว้ต้อนรับแขก น้ำดื่มน้ำ หวาน ดนตรีถูกคัดสรรมาอย่างดี เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะดังขึ้นเกือบตลอดเวลา เหล่าประชาชีต่างก็มี ความสุข และเบิกบานใจกันทุกถ้วนหน้า ยิ่งองค์พระราชาด้วยแล้ว ทรงพระสรวลอยู่ตลอดเวลาอย่างมี ความสุขเลยทีเดียว........และในงานนี้ นอกจากประชาชน และแขกบ้านแขกเมืองแล้ว พระราชาก็ทรงอนุญาติ และได้เชิญบรรดา แม่มดที่คงด้วยคาถาอาคมประจำเมืองให้เข้ามาร่วมอวยพร ให้กับเจ้าหญิงองค์น้อยด้วย ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 7 นาง แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย อย่างมากที่เมื่อคราวที่ไปเชิญนั้น พระราชาไม่พบแม่มดนางที่ 7 เนื่องด้วย นางชรา มากแล้ว และไม่มีใครได้เห็นนางมานานแล้วด้วย พระราชาก็เลยคิดว่าบางทีนาง อาจจะเสียชีวิต ไปแล้วก็อาจเป็นได้ จึงไม่ได้ตามหาและเชิญนางให้มาร่วมงานนี้ด้วย ....และแล้วก็ถึงเวลาที่แม่มดแต่ละนาง จะต้องมาอวยพรพระธิดาองค์น้อย... แม่มดนางแรก ได้เข้ามาจุมพิตที่หน้าผากของพระธิดาน้อยแล้วกล่าวว่า " ขอให้เจ้าจงมีหน้าตาที่สวยสดงดงามมากกว่านางใดในหล้า " แม่มดนางที่สอง ก็เข้ามาให้พรเช่นกันว่า " ขอให้พระธิดาของหม่อมฉันจงมีน้ำเสียงที่ไพเราะ ดุจระฆังแก้วก็ไม่ปานเลยทีเดียว "

      ...หลังจากนั้นก็เป็นแม่มดนางที่สาม ได้เข้ามาอวยพรว่า " ขอให้เจ้าจงมีสุขภาพ ที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งปวง " แม่มดนางที่สี่ ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ได้เข้ามาอวยพรเช่นกันว่า " ขอให้เจ้าจงเป็นผู้ที่สามารถเต้นรำได้เก่ง ที่สุดหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ เลยทีเดียว" แม่มดนางที่ห้า ก็อวยพรว่า " ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีชนิดไหน ขอให้เจ้าจงเล่นมันได้อย่างคร่องแคร่วว่องไว จนไม่มีใครสามารถที่จะเทียบเทียมได้ " ต่างก็อวยพรสิ่งที่ดี ๆ ต่าง ๆ นานาให้พระธิดาองค์น้อยจนมาถึงแม่มดคนที่หกก็ได้อวยพรให้อีกว่า " ขอให้เจ้าจงมีจิตใจที่ผ่องใสสวยสดงดงาม เสมือนกับร่างกายของเจ้านั่นเลย ทีเดียว... "

      เมื่อการอวยพรให้พระธิดาองค์น้อยเสร็จสิ้นลงแล้วพวกแม่มดที่มีคาถาอาคมทั้งหกก็ลงนั่งที่โต๊ะตัวใหญ่ ที่เป็นประทานของงานครั้งนี้ ร่วมกับพระราชาและพระราชินี เก้าอี้ทุกตัวประดับประดาด้วยแก้วเพชรเงิน ทองที่มีค่าสวยงามมาก พวกจาน,ช้อนและมีดที่วางเรียงรายอยู่ที่บนโต๊ะก็ล้วนทำมาจากทองคำแท้ ๆทั้งสิ้น แต่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งลงและเตรียมตัวเริ่มที่รับประทานอาหารที่ประดิษฐ์ประดอยทำเอาไว้อย่างเลิศหรูอยู่นั้น ในทันใดนั้นเอง...แม่มดนางที่เจ็ดที่พระราชาทรงคิดว่านางได้ตายไปแล้วนั้น ก็ออกมาปรากฏกายขึ้นต่อหน้า สีหน้าของนางดูเหมือนกำลังโกรธจัด พระราชาทรงตกพระทัยเป็นอย่างมาก เพราะพระองค์ไม่ได้ ตระเตรียมเก้าอี้เอาไว้ให้เฉพาะสำหรับนางนั่นเอง

      นางถลึงตาไปที่พระราชาและพระราชินีแล้วกล่าวว่า "เจ้า...พวกเจ้าจะต้องได ้ผลจากการกระทำของพวกเจ้า ที่ไม่ยอมเชิญข้าให้เข้ามาร่วมในงานนี้ด้วย " พระราชาทรงพยายามชี้แจงว่า ว่าพระองค์ทรงหานางไม่พบ แต่ แม่มดนางที่ 7 ไม่ฟังเสียง นางยังคงมีสีหน้าที่โกรธจัด แล้วเปล่งคำสาปร่ายเวทย์มนต์ แช่งใส่พระธิดาองค์น้อย ว่า " เมื่อเด็กคนนี้อายุได้ 15 ปี นางจะต้องตาย ด้วยเข็มปั่นด้าย จำเอาไว้ให้ดี ฮ่า ๆๆๆๆ " พูดจบนางก็กระโดด ขึ้นขี่ไม้กวาด ยานคู่ชีพของนาง แล้วบินหายลับไปท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน บรรยากาศของงานเลี้ยง เงียบสงบลงทันที เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย ก็เงียบหายไป มีเหลือไว้ก็แต่แค่ความตื่นตะลึง ความตกใจรวมทั้ง ความเศร้าสลด ต่อชะตากรรมของพระธิดาองค์น้อยของพวกเขาขณะที่พระราชาทรงตระหนก และไม่สบายพระทัยเป็นอย่างมากกับชะตากรรมที่พระธิดาองค์น้อยจะต้อง ได้รับต่อจากนี้ไปนั้น พวกแม่มดทั้งหกนางซึ่งในจำนวนนั้นก็ได้มีแม่มดนางที่ใจดีเป็นที่สุดอยู่นางหนึ่ง นางได้บอกกับ พระราชาว่า " เวทย์มนต์คาถาของแม่มดนางที่เจ็ดนั้น ขลังมากคงไม่มีใครที่จะล้างหรือลบมันได้หรอก แต่ว่าเรา จะเป็นผู้ทำให้มันบรรเทาเบาบางลงได้ ไม่ต้องให้พระธิดาถึงกับต้องตายลงไปเสียอย่างน่าเสียดายอย่างนั้น " แล้วแม่มด ผู้ใจดีก็ตรงเข้าไปที่เตียงของพระธิดาองค์น้อย แล้วร่ายเวทย์มนต์ของนางใส่พระธิดาองค์น้อยว่า " เจ้าจะยังไม่ตาย ตอนอายุ 15 ชันสา แต่จะแค่หลับไปเท่านั้น และเมื่อครบร้อยปีมาถึง เจ้าจะฟื้นขึ้นมาได้ โดยจะมี เจ้าชายองค์หนึ่งจากเมืองไกล จะมาช่วยล้างเวทย์มนต์ให้กับเจ้า และแต่นั้นเจ้าจะมีชีวิตที่มีแต่ความสุข ตลอดไป..." แต่ถึงกระนั้นพระราชาก็ถึงกับทรงพระรำพึงออกมาว่า " จะต้องหลับไหลไปจนถึงร้อยปีเลยทีเดียวหรือนี่.. ลูกน้อยของพ่อ..โธ่..ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน "แล้วตั้งแต่บัดนั้นด้วยมีคำสาปของแม่มดนางที่เจ็ดอยู่ พระราชาจึงมีคำสั่งให้ทำลายเครื่องปั่นด้ายทุกอันที่มี อยู่ในเมืองของพระองค์ โดยมีคำสั่งเฉียบขาดว่า " ถ้าใครฝ่าฝืน มีโทษถึงประหารชีวิต ! " ดังนั้น เมืองทั้ง เมืองจึงแทบไม่มีใครรู้จักวิธีปั่นด้าย จนดูราวกับว่า วิชานี้จะสูญสิ้นไป แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้อยู่อีกอย่าง ก็คือว่า แท้จริงแล้วพระราชาได้สั่งให้คนที่ทำหน้าที่ปั่นด้ายนั้น แอบปั่นด้ายในอุโมงค์ท้ายวังโดยไม่ให้ใครรู้ใคร เห็นทั้งสิ้น...เวลาผ่านไปเจ้าหญิงองค์น้อย เจริญพระวัยขึ้น และเป็นไปตามคำอวยพรของแม่มดทุกนาง ทุกประการ พระองค์ทรงเป็นเจ้าหญิงที่งดงาม อ่อนหวาน พระสุรเสียงกังวานไพเราะ ใครได้เห็นเป็นต้อง เคลิบเคริ้ม ทรงมีพระวรกายที่สมบูรณ์แข็งแรงงามสง่า และอื่น ๆ ตามที่เหล่าแม่มดทั้งหลายอำนวยพร ครั้นพระชนมายุครบ 15 ชันษา บังเอิญว่าวันนั้นพระราชาและพระราชินีต้องเสด็จไปเยี่ยมพระมารดาของ พระราชินีซึ่งประชวรหนักยังต่างเมืองปล่อยให้เจ้าหญิงอยู่ตามลำพังในปราสาท พระองค์จึงถือโอกาสนี้เดิน เล่นไปรอบ ๆ ปราสาทอย่างเพลิดเพลินเจ้าหญิงในขณะที่พระองค์กำลังเดินเล่นอยู่ที่ในสวนท้ายวังคนเดียวเพลิน ๆ อยู่นั้น พลันก็ทรงแว่วได้ยินเสียง ๆ หนึ่งซึ่งมันเป็นเสียงของเครื่องปั่นด้ายนั้นเอง แต่สำหรับเจ้าหญิงมันเป็นเสียงที่แปลกประหลาดสำหรับ พระองค์เป็นอย่างมาก เพราะพระองค์นั้นไม่เคยได้ยินและรู้จักกับมันมาก่อน " เอ๋..นั่นมันเสียงอะไรนะ ดังอยู่ที่ใกล้ ๆ กับตรงนี้นี่เอง " และด้วยความที่อยากรู้อยากเห็น พระองค์จึงเดินตามเสียงนั้นไป... สักพักพระองค์ก็ได้พบกับอุโมงเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่หลังปราสาทเข้า ซึ่งพระองค์ไม่เคยทราบมาก่อนว่า ที่นี่มีอุโมงค์อยู่ด้วย เจ้าหญิงจึงเดินเข้าไป และพระองค์ก็ต้องแปลกพระทัยเป็นอย่างมาก เมื่อทรงเห็น หญิงชรานางหนึ่งกำลังนั่งงก ๆ เงิ่น ๆ ทำการปั่นด้ายอยู่ แต่พระองค์ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร ? จึงเอ่ย ถามหญิงชรานางนั้นว่า " ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ ? แม่เฒ่า "หญิงชรานางนั้นไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากเครื่องปั่นด้ายแต่ก็ได้ตอบเจ้าหญิงมาว่า " กำลังปั่นด้ายอยู่เพคะ องค์หญิง " เจ้าหญิงนึกสนุก และทรงหยุดยืนเมียงมองดูหญิงชรานางนั้นทำการปั่นด้ายอยู่อย่างสนใจ สักพักหญิงชรานางนั้น อยู่ ๆ นางก็ร้องขึ้นแล้วทำท่าทางกุมนิ้วมือของนางเอาไว้ พร้อมกับพูดว่า " โอ้ย..เจ็บ... เข็มของเครื่องปั่นด้ายมันตำนิ้วมือของหม่อมฉันเข้าให้เสียแล้ว พระธิดากรุณาช่วยร้อยด้ายใส่เข็มตรงนี้ ให้กับหม่อมฉันได้ไหม ? เจ้าคะ " เจ้าหญิงทรงพยักหน้ารับทันทีเลยทีเดียว เพราะพระองค์นั้นทรงมีความสนใจ เป็นทุนเดิมอย่างมากอยู่ก่อนแล้วจึงเอ่ยปากบอกขอลองทำดูบ้าง " ดีสิ...ฉันจะช่วยร้อยด้ายให้เองแล้วกันนะ..แม่เฒ่า "เมื่อหญิงชรานางนั้นขยับตัวลุกออกจากที่เพื่อให้เจ้าหญิงทรงลงไปนั่งประจำที่แทนแล้ว และทันทีที่เจ้าหญิง ทรงเริ่มร้อยด้ายเข้าไปที่เข็มอย่างอุสาหะอยู่นั้น พลัน " ว๊าย..เจ็บ..." นิ้วของพระองค์ต้องพลาดไปถูกเข็มอัน แหลมคมของเครื่องปั่นด้ายนั้นแทงเข้าอย่างจังจนพระโลหิตไหลซึมออกมาในทันที

      ...แล้วพระองค์ก็ทรงล้มลง นอนหมดสติอยู่ที่ตรงกลางห้องนั้นเอง...หญิงชราที่นั่งจดจ้องมองเจ้าหญิงอยู่ที่ใกล้ ๆ กันนั้นเมื่อนางมองเห็น ว่าเจ้าหญิงได้ล้มลงและทรงหมดสติลงไปแล้ว และในพลันทันทีนั้น...นางก็เผยอยิ้มเผยโฉมหน้าอันแท้จริงของ นางออกมาทันที...ใช่แล้วมันคือแม่มดนางที่ 7 ที่เป็นผู้ที่ได้สาปพระธิดาเอาไว้เมื่อครั้งนั้นนั่นเอง...มันกระโจน ลุกขึ้นมา แล้วส่งเสียงหัวเราะพร้อมกับตะโกนก้องขึ้นอย่างสมหวังสมใจของมันเลยทีเดียวก็ว่าได้ " ฮะ ๆๆๆ เป็น ไปตามแผนสมน้ำหน้า..สมใจข้าเหลือเกิน เหอ ๆๆๆ " พูดแล้วมันก็หายตัวหายวับไปเสียจากที่ตรงนั้นในทันที....ร่างที่นอนเหยียดยาวอย่างไร้สติของเจ้าหญิงที่น่าสงสารนั้น ต่อแต่นี้ไปพระองค์จะต้องทรงนอนหลับไหลไปอีกยาว นานเป็นร้อยปีเลยทีเดียว แล้วตรงนั้น แม่มดนางที่ใจดีที่ได้เคยร่ายเวทย์มนต์เพื่อให้ความช่วยเหลือพระธิดาเอา ไว้เมื่อครั้งก่อนนั้น ก็ออกมาปรากฏกายขึ้นที่ข้างหน้า แล้วพูดบอกกับเจ้าหญิงว่า " เมื่อถึงร้อยปีข้างหน้าที่จะมาถึง ซึ่งจะเป็นเวลาที่พระองค์หญิงจะต้องฟื้น และตื่นขึ้นมานั้น ถ้าพระองค์ไม่พบใคร ? ก็จะทรงว้าเหว่เป็นอย่างมากใช่ไหม ? เพคะ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเวทนาและน่าสงสารเสียเหลือเกิน หม่อมฉันจะใช้เวทย์มนต์อีกครั้ง เพื่อทำให้ทุกคนที่ เกี่ยวข้องกับพระองค์หลับไหลลงไปพร้อม ๆ กันกับพระองค์ทั้งหมดนะ เพคะ " พูดจบนางก็ยกคธาทองของนางขึ้นสู่ เบื้องบนแล้วกวัดแกว่งไปที่รอบ ๆ บริเวณนั้น....รุ้งเจ็ดสีที่เต็มไปด้วยเวทย์มนต์ได้ส่องแสงเป็นประกายโปรยปลาย และกลับกลายเป็นสายรุ้งส่องแสงระยิบระยับไปโดย รอบจนทั่วทั้งปราสาทราชวัง พร้อมทั้งทุก ๆ คน ทุก ๆ ชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พลันพลอยหลับไหลลงไปด้วยทันที ซึ่งก็รวมไปถึงพระราชาและพระราชินีซึ่งพอดีกับตอนนั้นขบวนของพระองค์ได้เสด็จกลับเข้ามาถึงพอดิบพอดีเช่นกัน.... และนานวันเข้า ปราสาทแห่งนั้นก็ถูกบดบังไว้ด้วยเถาไม้ที่มีหนามอันแหลมคม และเรื่องราวที่มีเจ้าหญิงแสนสวย นอนหลับอยู่ในปราสาทลึกลับก็เลื่องลือทั่วไป จนเจ้าหญิงถึงกับทรงได้รับฉายาใหม่ว่า " เจ้าหญิงนิทรา "

      นับตั้งแต่นั้นมา..วันเวลาผ่านไป...มีเจ้าชายหลายองค์ในหลายสมัยที่พยายามจะบุกเข้ามาในปราสาทแห่งนี้ เพื่ออยากที่จะยลโฉม ของเจ้าหญิงสักครั้ง แต่ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่จะสามารถผ่าดงหนามอันแหลมคมอันนั้นเข้าไปได้ พวกเขาส่วนมาก มักจะโดนหนามที่แหลมคมอย่างกับใบมีดเหล่านั้นทิ่มแทงเอา จนเสื้อผ้าต้องขาดวิ่น และร่างกายต้องได้รับบาดเจ็บ อย่างสาหัส เจ้าชายทั้งหลายจึงเป็นอันต้องล้มเลิกความตั้งใจของพวกเขาทุกรายไปเลยทีเดียว....และแล้ววันเวลาก็ ผ่านล่วงเลยมาจนมาครบกำหนดร้อยปีเข้าพอดี พลันก็ได้มีเจ้าชายองค์หนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่มาก ได้เดินทางผ่านมายัง ปราสาทแห่งนี้ และบังเอิญได้ยินเรื่องราวของ " เจ้าหญิงนิทรา " เข้าโดยบังเอิญจากปากของชาวบ้านที่ อาศัยอยู่ที่แถว ๆ นั้น พระองค์ทรงครุ่นคิดและนึกสงสารเจ้าหญิงอย่างเหลือล้น ทรงตรัสว่า " เรามีความรู้สึก สังหรณ์ใจแปลก ๆ ว่า เจ้าหญิงองค์นั้นคงจะต้องการความช่วยเหลือ และรอเราอยู่... "และเมื่อพระองค์ทรงชักม้าให้เข้ามาหยุดยืนนิ่ง ๆ อยู่ที่ตรงข้างหน้าปราสาทของ " เจ้าหญิงนิทรา " แล้วนั้น พระองค์ก็ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอธิษฐานว่า " หากเราคือผู้ที่จะทำลายคำสาปแห่งแม่มดนางที่ 7ได้แล้วละก็ ขอให้หนาม ที่แหลมคมเหล่านี้จงอย่าได้ทิ่มแทงเราได้เลย..."

                      อธิษฐานจบ ก่อนที่เจ้าชายจะเสด็จลงจากหลังม้านั้น พลันก็ปรากฏ ร่างของหญิงชราสูงอายุผู้หนึ่งเดินถือดาบและโล่ทองคำ เข้ามาหยุดยืนลงที่ข้างหน้าของพระองค์ แล้วนางก็กล่าวกับเจ้าชายว่า " จงนำมีดดาบและโล่ทองคำสองอย่างนี้ติดตัวท่านไปด้วยเถิด สิ่งทั้งสองนี้จะช่วยปกป้องและคุ้มครองท่านได้เป็นอย่างดี " และเมื่อนางมอบของทั้งสองอย่างให้กับเจ้าชายแล้ว นางก็เดินจากไป ใช่แล้วหญิงชราผู้สูงอายุนางนี้ก็คือแม่มดที่แสนใจดี นางนั้นนั่นเอง........เจ้าชายดุ่มเดินเข้าไปในปราสาทแห่งนั้นอย่างองอาจองหาญ แล้วพระองค์ก็ชักมีดดาบที่หญิงชราผู้สูงอายุมอบให้มานั้น กวัดแกว่งออกไปแล้วฟันลงไปที่หนามแหลมคมพวกนั้น สิ่งที่แปลกประหลาดก็บังเกิดขึ้น เพราะปรากฏว่าเมื่อคมของมีดดาบ สัมผัสไปที่พวกหนามแหลมคมเหล่านั้นแล้ว ก็บรรดาลให้มันเหี่ยวและเฉาลงทันทีทันใด จึงมิได้ต้องพระวรกายของ เจ้าชายได้เลยแม้แต่น้อยนิด ตรงกันข้ามมันกลับแหวกเป็นทางให้พระองค์เดินไปข้างหน้าได้อย่างสะดวกสะบายเสียอีก ด้วย และภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้มันก็หาได้พ้นไปจากสายตาของสมุนมือขวาคู่ชีพของนางแม่มดนางที่7 ซึ่งเป็นค้าง คาวผี ตัวที่นางแม่มดได้ออกคำสั่งให้มันมีหน้าที่มาคอยสอดส่องและเฝ้าปราสาทของ" เจ้าหญิงนิทรา เอาไว้นั้น มันจึง รีบบินไปที่ที่อยู่ของนางแม่มดที่เป็นเจ้านายของมันในทันที ปากก็ร้องแจ้งความที่มันได้ยินได้เห็นมานั้น ด้วยเสียงที่ ดังลั่นว่า " แย่แล้ว..มีเจ้าชายบุกเข้ามา..บุกเข้ามาแล้ว...เจ้าชายตัวจริงเสียด้วย....แย่แล้ว.."แม่มดนางที่ 7 เมื่อได้ยินดังนั้นก็โมโหจนดวงตาของมันเป็นประกายสีเขียวปัดขึ้นมาในทันที มันแสยะยิ้มแล้วตวาดออก มาด้วยความโมโหว่า " อ้ายเจ้าชายบ้าที่ไหนนี่ !บังอาจจะมาขัดขวางคำสาปของข้าได้..ฮะ ฮะ ฮ่า เหอ ๆๆๆ " แล้วนางก็ กระโดดขึ้นไม้กวาดยานคู่ชีพของนางทันที แล้วบินตรงไปยังปราสาท เมื่อมาถึงหน้าปราสาทแล้วนางก็ท่องคาถาว่า " นะ โม จา ละ.....นะ โม จา ละ " ใส่ไม้กวาดยานคู่ชีพของนางอันนั้น แล้วพลันทั้นทีอย่างปาฏิหารย์...ไม้กวาดอันนั้น ก็กลับกลายร่างมาเป็นมังกรยักษ์ที่น่ากลัวในทันทีทันใด....

                      นางแม่มดกระโดดขึ้นไปนั่งลงบนหัวของมังกรยักษ์ แล้วออกคำสั่งทันทีว่า " ฆ่ามัน ! จงใช้ไฟมหากาฬของเจ้านั้นพ่นใส่ แล้วย่างมัน..ย่างอ้ายเจ้าชายนั่นให้มันดำเป็นตอตะโกไปซะเลย เหอ ๆๆๆ อยากเข้ายุ่งดีนัก...เร็ว !" มังกรยักษ์ ผงกหัว รับคำแล้วพ่นไฟมหากาฬของมันออกจากปากตามคำสั่งทันที ไฟมหากาฬอันร้อนแรงนั้นลุกโชดช่วง และได้พุ่งตรงลงไป เป็นสายไปที่เจ้าชายที่ทรงยืนหันหลังอยู่ที่ตรงข้างหน้ามันทันที แต่เจ้าชายนั้นด้วยความไวพอ ๆ กันพระองค์ทรงหัน กลับมายืนประจันหน้า...แล้วพระองค์ก็ยกโล่ทองคำที่หญิงชราผู้สูงอายุมอบให้กับพระองค์นำติดตัวมาด้วยอันนั้น ยกกันไฟมหากาฬที่ลุก โชดช่วงและร้อนแรงลงมาเป็นสายนั้น เอาไว้ได้อย่างทันท่วงที...และในฉับพลัน...เมื่อไฟมหากาฬสัมผัสเอาเข้ากับโล่ทองคำ เท่านั้น ดวงไฟทั้งสายที่พุ่งลงมาอย่างกะสายฟ้าแลบอันนั้น ก็กระดอนกระเด็นกลับไปสู่ทางเดิมของมันทันที แล้วจะ เป็นยังไงล่ะทีนี้.. เสียงของนางแม่มดซึ่งร้องออกมาอย่างตกใจก็ดังสนั่นขึ้น " จ๊าก..ช่วยด้วย !..ร้อน ๆๆๆ " ก่อนที่ร่าง กายของนางจะเป็นอันต้องโดนไฟย่างและได้โดนเผาผลาญลงไปจนกลายเป็นเถ้าถ่านในที่สุด

                      ...เมื่อสูญสิ้นนางแม่มดแล้ว เจ้ามังกรยักษ์ก็กลับกลายร่างลงมาเป็นไม้กวาดธรรมดา ๆ ในทันที และทั่วทั้งปราสาท ในทุก ๆ ที่ก็กลับคืนมาสู่สภาพเดิมเหมือนปกติธรรมดาที่มันเคยเป็น ปราสาททั้งหลังตอนนี้เหมือนกับว่ามันกำลังลืมตา ตื่นขึ้นมาก็ไม่ปาน ต้นหนามแหลมคมที่ขึ้นอยู่รอบ ๆ ก็กลับกลายมาเป็นพุ่มไม้ที่กำลังแข่งกันออกใบออกดอกเบ่ง บานสะพรั่งอยู่โดยทั่วไป หมู่นกกาที่หลับไหลอยู่ในปราสาทนั้นก็ออกมาส่งเสียงร้องเจื่อยแจ้ว..." หมดสิ้นกันเสียที กับคำสาปที่แสนจะชั่วร้าย " เจ้าชายทรงรำพึงขึ้นก่อนที่พระองค์จะดำเนินออกไปข้างหน้าเพื่อตามหาเจ้าหญิง

                      ...และเมื่อพระองค์เข้ามาถึงในอุโมงที่เจ้าหญิงทรงหลับไหลอยู่แห่งนั้นแล้ว เจ้าชายก็ได้พบร่างอันแน่งน้อยของเจ้าหญิงนอน นิ่งอยู่ พระองค์ถึงกับตะลึงมองในความงามของเจ้าหญิง ถึงกับทรงรำพึงออกมาว่า " ไม่น่าเลยที่จะมาเป็นอย่างนี้ " ตรัสจบ พระองค์ก็ทรงก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากสีซีดของเจ้าหญิงองค์งามในทั้นที และในฉับพลันนั้นเอง เวทย์มนต์ ก็คลายลงอย่างหมดสิ้นพร้อม ๆ กับการพลิกฟื้นตื่นขึ้นของทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในปราสาทแห่งนี้ เจ้าหญิงทรง รู้สึกพระองค์ขึ้นมาพร้อมกับพูดออกมาเบา ๆ ว่า " นี่ฉันเป็นอะไรไปหรือนี่ ! เกิดอะไรขึ้นหรือ ? "เจ้าหญิงทรงมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความแปลกพระทัย เพราะพระองค์ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ทรงรู้แค่ว่า พระองค์หลับไปแค่นั้น " เกิดอะไรขึ้นกับเรางั้นหรือ ? เรารู้สึกว่าเราหลับไปนานแสนนานเหลือเกิน แล้ว ท่านเป็นใคร ? หรือ... " เจ้าชายจึงทรงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าหญิงฟัง และสรุปในตอนท้ายด้วยพระพักตร์ที่ยิ้ม ละไมว่า " หม่อมฉันคือผู้ทำลายคำสาปของแม่มดนางที่ 7 ลงได้ เพราะฉะนั้น พระองค์ต้องตอบแทนนะพระเจ้าข้า " พระพักตร์ซูบซีดของเจ้าหญิงทรงมีสีชมพูระเรื่อสูบฉีดขึ้นเมื่อได้ยินคำเกี่ยวพาราสี และสายตาที่กลุ้มกริ่มของเจ้าชาย แต่ทรงไม่ตอบอะไร หากแต่รีบชวนเจ้าชายให้ไปเข้าเฝ้าพระราชาและพระราชินีและหลังจากนั้นมาไม่นาน งานเลี้ยงฉลองก็ถูกจัดขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชาย และเจ้าหญิงออโรร่า " หรือ " เจ้าหญิงนิทรา " ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปีเลยทีเดียว และเจ้าชายกับเจ้าหญิงนิทราของเราก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดมาหลังจากนั้น..ตราบนานเท่านาน เลยทีเดียว

                      ....สุภาษิตที่สอนให้รู้ในนิทานเรื่องนี้ก็คงจะมีอยู่ที่ว่า
      " คนเราต้องมีความรอบคอบ ระมัดระวังไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม เพราะบางครั้งความพลั้งเผลอ ความ พลั้งพลาดเพียงนิดเดียว อาจจะนำมาซึ่งความเสียหาย และต้องเสียใจอย่างใหญ่หลวงได้เหมือนกัน "

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×