ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    To be DENTIST หมอฟันที่ฉันใฝ่ฝัน

    ลำดับตอนที่ #20 : ----เรียนกวดวิชา....เรียนพิเศษ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.69K
      6
      1 ต.ค. 54

    เรียนกวดวิชา....เรียนพิเศษ

    ถ้าน้องเรียน  น้องต้องตั้งใจจริงๆด้วยนะ  อย่าให้เสียเงินไปเปล่าๆ  เพราะการเรียนพิเศษพี่ว่าเป็นตัวเลือกในการเรียนตัวสุดท้ายที่จะทำให้น้องจำและเข้าใจในบทเรียน(ในเวลาที่มีครูสอน)  นอกนั้นอยู่ที่ตัวน้องเองนะคะต้องกลับมาทบทวนเองทำแบบฝึกหัดเอง

    ถ้าจะให้พี่แนะนำที่เรียน  พี่ขอพูดถึงที่ๆพี่ไปเรียนมาแล้วกัน  แต่ไม่ได้โปรโมทที่เรียนและบอกว่ามันดีมากจนให้น้องไปเรียนตามนะ  พอเป็นแนวทางให้น้องๆ  เพราะมีน้องถามมาในMSN เยอะมากว่าพี่เรียนพิเศษที่ไหนบ้าง


    1. สำรวจตัวเองว่าวิชาไหนที่ต้องการเรียนเพิ่มเติมจากที่โรงเรียน
        อย่างเช่นพี่  พี่ชอบและก็เข้าใจวิชาชีวะกับอังกฤษดีอยู่แล้ว(สมัยนั้นนะ  เหอะๆ)
        แต่พี่โง่ฟิสิกส์และเคมีมากๆ  จริงๆชอบเคมีแต่เกลียดฟิสิกส์มากๆ  ก็เรียนในห้องไม่รู้เรื่องพอ
        พี่ดับมากๆค่ะน้องวิชาภาษาไทย
        พี่เรียนสังคมเข้าใจบางเรื่อง  เช่น  พวกประวัติศาสตร์ยุโรป  สงครามโลก  และเศรษฐศาสตร์เท่านั้น  นอกนั้นดับพอๆกับไทย



    2. จัดการตัวเอง

        วิชาเคมี          พี่ลงทุกคอร์สของอ.อุ๊ตั้งแต่ม.4เลยค่ะ  ตั้งแต่คอร์สปรับพื้นฐาน  คอร์สเจาะทีละเรื่อง  จนคอร์สเอนท์ทั้งเนื้อหาและตะลุยโจทย์
        วิชาฟิสิกส์       พี่ก็ลงเหมือนกับเคมีที่แอพพลาย อ.ช่วงจ้ะ  ที่นี่บางคนก็บอกว่าเรียนรู้เรื่องมาก(อย่างเช่นพี่)  บางคนก็เรียนไม่รู้เรื่องเลยจนต้องเปลี่ยนคอร์ส
        วิชาคณิตศาสตร์   พี่เปลี่ยนที่มา 2 ที่อ่ะ  คือที่เดอะเบรนคอร์สเอนท์เลย  แล้วก็มาเรียนซ้ำเนิ้อหาเดิมของอ.อรรณพที่สยามจ้ะ
        วิชาชีวะ          พี่ลงเฉพาะคอร์สรวมทุกบทของเอ-เน็ตที่เดอะเบรน  พี่ขอแนะนำเลยอ.เกษม  ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่ายังอยู่เดอะเบรนรึป่าวนะ  พี่บูชาและเคารพความเก่งของท่านมากๆอ่ะเมื่อได้เรียนด้วย
        วิชาสังคมและไทย   เรียนคอร์สอินเทนซิฟของอ.ปิง  ซึ่งคอร์สนี้เนื้อหามันไม่เจาะลึกเหมือนคอร์สเทอร์โบอ่ะ  ซึ่งเหมาะกับสาขาหมอๆที่เอาแต่คะแนนโอ-เน็ต
        วิชาอังกฤษ     ไม่เคยเรียนเลยจ้ะ  นั่งทำแบบฝึกหัดเอาอย่างเดียว  ต้องขอบคุณแม่มากๆที่ไล่ เอ้ย! ให้พี่ไปอยู่กับพวกเพื่อนฝรั่งตั้งแต่เด็ก  พี่เลยได้ภาษามา ^^  แต่ไม่ใช่ว่าพี่จะได้ทุกอย่างนะ  พี่เองก็ต้องหาพวกแกรมม่าสูงๆที่ต้องจำอ่ะมาอ่านตลอดเหมือนกัน



    3. ใส่ใจกับวันที่เรียนและเวลาเรียน

        เมื่อลงหลายคอร์สต่างสาขากันอีก  พี่ต้องจดเป็นตารางสอนติดตัวในไดอารี่เลยน้อง  หยิบมาดูแล้วดูอีก  มีธุระติดขัดไปเรียนไม่ได้จริงๆต้องตามรอบเรียนชดเชยเรียนเพิ่มเองตลอด  แม่พี่นี่ไม่เคยมาจัดตารางให้พี่เลย  แม่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพี่เรียนวันไหนเวลาไหนบ้าง  ปล่อยมากๆอ่ะจนพี่เหนื่อยมากๆอ่ะชีวิตช่วงนั้น  บางช่วงนะเลิกเรียนปุ๊บไปเรียนที่สยามเลิกตั้ง 3 ทุ่ม  กลับถึงบ้าน 4 ทุ่มอ่ะ  เหอะๆๆๆๆ



    4. กลับมาทวน

        สำคัญมาก  นี่แหละหัวใจของการเรียนพิเศษ  น้องต้องกลับมาดูทบทวนและทำแบบฝึกหัดซ้ำๆด้วย  อาจารย์อุ๊ชอบให้การบ้านต้องทำนะน้องได้ควมรู้เพิ่มขึ้นมากๆเลย  อาจารย์ท่านอื่นก็เหมือนกันโดยเฉพาะอ.อรรณพ  ให้เลขไปทำสัปดาห์ละประมาณ 20-30ข้ออ่ะ  ทำไปเหอะถึงท่านไม่ตรวจก็จริง  แต่ใครได้?  น้องได้เต็มๆเลย







    UPDATE 21/9/2011

     โอ้โห  ขอบอกว่าไม่ได้เข้ามาดูนานแล้ว


    ขอบคุณมากค่ะสำหรับทุกความเห็นและการเข้าชม


    มาให้กำลังใจน้องๆหลายคนที่เครียดเรื่องภาษาอังกฤษ


    ขอเพิ่มเติม
    ทริคในการเรียนภาษาอังกฤษให้สนุก


    ตรงนี้เป็นประสบการณ์จากการที่พี่เข้าคอร์สติวโทเฟลมา
    ทำให้พี่รู้ว่ายังมีแกรมม่าสูงๆอีกเยอะที่พี่ไม่รู้เรื่องเลย  ทำข้อสอบโทเฟลได้คะแนนไม่มาก

    วันแรกพี่ไปทำข้อสอบPre-test  มีหลายข้อทำไม่ได้  ยังไม่เท่าไหร่...วันต่อมาประกาศคะแนน
    เห็นคะแนนตัวเองแล้วท้อเลย  ไม่ค่อยอยากจะไปเรียน

    เนื่องจากค่าเรียนแพงมาก  พี่ต้องไปเรียนให้คุ้ม (ตังค์แม่อีกแล้ว)
    การแก้ปัญหาของพี่คือ   พี่ชอบเล่นเน็ต  ติดเน็ตมาก  จึงใช้เวลานั้นให้เป็นประโยชน์
    เปิดเวปไซต์ต่างประเทศอ่าน  อ่านสิ่งที่เราสนใจมาก  

    ทำแบบนี้ทุกวันเลย   คือมีแต่สิ่งที่เราสนใจ  อยากจะฟังฝรั่งสำเนียงอเมริกันให้รู้เรื่องมากกว่านี้
    พี่ก็เปิด Gossip Girl ดูให้ครบ 4 ภาคเลยค่ะ   เอาซับไทยซับอังกฤษ ใส่ไปเลย

    อะไรที่เราดูไม่รู้เรื่องก็ไปอ่านเรื่องย่อทั้งภาษาไทยกับอังกฤษแทน
    ศัพท์ไหนไม่รู้เรื่องก็เปิดดิกส์หาเอาเอง

    พี่ทำแบบนี้จนเรียนโทเฟลใกล้จะจบคอร์ส  ทำข้อสอบย่อยๆของอาจารย์ได้คะแนนทั้งปานกลางและดี
    แต่พี่ไม่สนคะแนนละ

    สิ่งที่พี่ดีใจคือ  พี่ฟังเทปข้อสอบรู้เรื่องขึ้น  ที่ทำผิดก็รู้ตัวว่าเราจับใจความผิด
    เรายังมีข้อผิดพลาดนะ   ก็ไม่ซีเรียส  เพราะรู้ตัวว่าเราไม่ได้เป็นเจ้าของภาษา

    ต้องมีหลุดบ้าง  และฝรั่งที่เราเจอมาก็มีไม่มากพอจะทำให้เราจับสำเนียงได้ทุกคน
    มันต่างจากเทปที่อาจารย์เปิดให้ฟัง


    ส่วนแกรมม่า   ได้มาเต็มๆจากการที่อ่านบ่อยๆ   หลายครั้งที่ทำข้อสอบแบบงูๆปลาๆแล้วดันถูก
    เพราะเราคุ้นโครงสร้างประโยค

    สรุป...

    1  อ่านหนังสือค่ะ   รู้เรื่องโครงสร้างประโยคพื้นฐาน
    2  ขยันทำแบบฝึกหัด   ทำผิดก็เปิดดูเฉลยไปเรื่อยๆ
    3  ฟังเพลง  ดูหนังฝรั่งเยอะๆ  อ่านคอลัมภ์David Bakeham  มีลูกสาวแล้ว  อะไรพวกนี้  หรือติดตามทวิตเตอร์ของนิชคุณ  ช่วยได้มาก
    4  ลองจริงจังดูซักตั้ง   บอกกับตัวเองว่า

    อนาคตเราต้องเจอภาษาอังกฤษแน่นอน 

    ไม่ใช่คิดแต่ว่า  เราจำใจอ่านเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย  นะคะ


    ขอให้น้องๆสนุกกับการเรียนนะคะ




    __________________
    1st  October

    บทความนี้

    เนื่องจากมีน้องอีกหลายคนบ่นมากเรื่องภาษาอังกฤษ  หรือท้อใจในการเรียนบางวิชา

    ซึ่ง  พี่(คนเขียน)  เคยผ่านความรู้สึกและมีประสบการณ์แบบนั้นมาแล้ว

    ทีแรกจะเขียนเพื่อให้กำลังใจอย่างเดียว  ไปๆมาๆ  กลายเป็นการเล่าประวัติส่วนตัวด้วย


    ขอให้เรื่องราวของคนเขียน  เป็นแรงใจเล็กๆให้หลายๆคนตั้งใจต่อสู้กับปัญหาในการเรียนและเรื่องอื่นๆที่รู้สึกว่ามันแย่นะคะ ^_^



    จากบทความก่อน  ที่พี่เคยบอกว่าไม่มีความสามารถอะไรในชีวิตคนเรา  จะเริ่มต้นจากศูนย์  และแน่นอนมันต้องมีซักอย่างในชีวิตเราที่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์


    งั้นถ้าหากเราต้องเริ่มต้นจากศูนย์  แต่ในขณะที่คนอื่น(เช่น คนเขียนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาดี)  ตัวเราจะทำอย่างไรล่ะ?



    จริงๆพี่ไม่ถนัดให้กำลังใจใครเลยนะ  และไม่ถนัดจะอธิบายให้ชัดแจ้งอย่างไร  ตัวตนจริงๆก็เป็นประเภทติสต์แตก  พูดจาไม่ค่อยเป็นทางการด้วยซ้ำ  งั้นบทความนี้พี่ขอเล่าอะไรที่มาจากความรู้สึกว่าอยากจะถ่ายทอดให้อ่านล่ะกันเนอะ



    "พรสวรรค์คือสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้   แต่พรแสวงเป็นที่สิ่งที่มนุษย์ไขว่คว้าเอง..."


           พี่เชื่อประโยคนี้มาก  เพราะจากชีวิตพี่เอง   พี่รู้ตัวนะว่าตัวเองเก่งด้านวาดภาพ  งานศิลปะ  และชอบงานแนวนี้ด้วย   ตอนเป็นเด็กจะเพ้อฝัน  เพ้อเจ้อ  วาดรูปไปคิดเรื่องไปกับตัวการ์ตูนที่วาดเอง   ตอนเด็กๆนะใครมาบอกว่าพี่วาดการ์ตูนพี่จะเคืองๆแหละ   เพราะพี่คิดว่ารูปคนต่างๆที่พี่วาดมันมีชีวิตจริงๆ  ไม่ใช่การ์ตูนนะ  เราวาดเสร็จแล้วเก็บทุกแผ่นเลย   แม่ก็เก็บรูปวาดคน (พี่ชอบวาดแต่คน)  เอาไว้ในแฟ้ม  ทุกวันนี้ไปเปิดดู  ภาพแรกที่แม่เก็บไว้แม่เขียนกำกับไว้ว่า  "วาดตอนอายุ 1 ขวบ 2 เดือน"    ไม่ใช่รูปคนเลิศเลอค่ะน้อง  เป็นรูปดักแด้อะไรซักอย่าง - -"  ซึ่งเด็ก 1 ขวบคงจินตนาการว่าเป็นคน    แม่เล่าให้ฟังและพี่ก็จำได้ว่า  พี่ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กแล้ว   สองสามขวบชอบเปิดนิตยสารดารา  กับการ์ตูนขายหัวเราะ  การ์ตูนญี่ปุ่นของพวกพี่เลี้ยง   เอามาเป็นแบบวาดรูปคน   วาดออกมาเป็นตัวตนได้สมบูรณ์ประมาณ 4 ขวบมั้ง   มีรายละเอียดกิ๊บเก๋มากเลยน้อง   แต่ก็นะดูตอนนี้ยังไงๆมันก็ครึ่งคนครึ่งดักแด้


           แล้วก็ชอบวาดรูปมาตลอด  จนโตเรียนหนังสือตามปกติแหละ   เวลาคนถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร   พี่ไม่เคยตอบว่าอยากเป็นนักวาดรูปหรืออะไรอาร์ตๆเลย   ตอบแต่นักวิทยาศาตร์  เป็นหมอ   เพราะคุณพ่อของพี่เป็นหมอ  ครอบครัวก็พัวพันกับเรื่องแพทย์ๆตลอด   แถมคุณแม่ก็ใส่ใจกับการเรียนของพี่มากๆ   พี่ก็ตั้งใจเรียนนะ  ยกเว้นพวกวิชาไทย  สังคม  งานบ้าน  พละ   ตอนเด็กๆนะ  มองว่าพวกนี้น่าเบื่อมาก  ไม่รู้เรียนไปทำไม  เพื่ออะไร   เราอยากเป็นหมอนะคะ  แต่ดันชอบวิชาศิลปะแฮะ


           แต่...ตอนเด็กพี่เรียนไม่ได้เรื่องเท่าไหร่หรอก   ไม่ทำการบ้านด้วยซ้ำโดนครูโทรไปฟ้องแม่บ่อยมาก  จนกระทั่งย้ายบ้านมาอยู่กรุงเทพฯ  มาเจอเพื่อนใหม่เขาเรียนเก่งกันมาก   จากที่เราเรียนไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว  เจอเพื่อนที่ทั้งเก่งทั้งหน้าตาดีมากนะ  (ความคิดแบบเด็กต่างจังหวัดเพิ่งมาอยู่กรุงเทพฯ)   มาเรียนกรุงเทพฯก็บ๊วยเลย   ตอนนั้นอยู่ป.5  เห็นคะแนนตัวเองแล้วตกใจมาก  ไม่กล้ากลับบ้านไปให้แม่ดูเลย   แล้วตอนนั้นเหมือนเป็น "ตัวคนเดียว"  เด็กต่างจังหวัด  เพื่อนๆที่หยิ่งๆหน่อย  เกเรหน่อย  ก็จะกดดันเราอ่ะ  แล้วเราก็กดดันตัวเองอีก   กลัวมากเลยไปโรงเรียนทีไม่อยากจะอยู่คนเดียวต้องเกาะเพื่อนในกลุ่ม  ซึ่งเพื่อนๆก็ดีมากๆนะ   คอยปลอบใจพี่และสอนการบ้านให้ด้วย    จากเด็กที่ขี้เกียจทำการบ้านมาก  เรียนเลขเรียนวิทย์ไม่เก่งเท่าคนอื่นเลย   ก็ตั้งใจขึ้น  รู้จักไปเรียนพิเศษ  หาที่เรียนเอาอยากจะสอบเข้าม.1  ได้บ้าง   และก็สอบเข้าม.1  ได้โดยไม่ต้องใช้เส้นเลย  ทั้งๆที่บางคนที่เคยดููถูกพี่มันเข้าได้เพราะเส้น (ขอกัดเบาๆ)


           พอเข้าม.1 2 3  ตอนนั้นเกเรนิดหน่อยนะ   ไม่เคยอยู่ห้องคิงเลย  ซึ่งเป็นห้องแห่งความหวังของแม่พี่  - -"  ซอยผมด้วย  เคยคบเพื่อนไม่ตั้งใจเรียนด้วย   เคยโดดเรียนแต่โดดไปทำการบ้านในคาบวิชาที่พี่ไม่ชอบเลย   มาฮึดจะตั้งใจทำเกรดให้ดีก็ตอนจะเข้าม.4  ช่วงนั้นกระแสการเปลี่ยนระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังมาก   พี่กลัวพี่เอนท์ไม่ติด (สมัยนั้นเรียกเอนซ์ฯ  สมัยนี้เรียกแอดฯ)   พอปิดเทอมใหญ่จะขึ้นม.4  ไม่รู้แรงฮึดมาจากไหน   ตั้งใจอย่างแรงว่าต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่   ต้องไปเรียนพิเศษ  เปิดเทอมต้องอ่านหนังสือเตรียมเอนซ์ฯ   มาคิดดู...มันเกิดจาก   ตอนม.ต้น  ถึงเราไม่ใช่นักเรียนที่เด่นการเรียน  คะแนนดี  แต่เราไม่ได้แย่ไปทุกอย่่างนะ   เรายังมีความชอบ  ความฝัน  ความอยากเป็นหมออยู่   ทั้งๆที่ชอบวาดรูปนั้นแหละ  แม้แต่ในหนังสือเลขยัมีรูปวาดเละมาก   ก็เอาล่ะ  ซักตั้ง!   เพื่อนในห้องยังไม่มีใครเอาหนังสือมาอ่านเตรียมสอบเลย (พี่ไม่ได้อยู่ห้องคิง)   บรรยากาศในห้องเรียนมีทั้งเด็กเรียนดี (มีพี่คนนึงกับใครอีกไม่กี่คน)   ส่วนมากก็เด็กทั่วๆไป  เรียนๆเล่นๆ  โดดเรียนต่อหน้าต่อตา   แถมยังมาแซวเราอีกขณะที่เราเปิดหนังสือเรียนอ่าน   พูดตรงๆว่าเสียSelf มาก  อายด้วยแบบเรามันแกะดำนี่หว่า


           แต่ก็ไม่ท้อนะ   ก็แค่คำแซว  แต่เข้าใจอยู่ใช่มั้ย...วัยรุ่นน่ะ  เปราะบางมากกับคำพูดคำแซวของเพื่อน   ไอ้เราก็ไม่อยากโดนแซวมาก   ก็เลยแอบๆอ่านตอนม.4


           พอม.6  ก็อ่านจบทุกวิชา  ความที่อยากเป็นหมอก็ยังอยู่  แต่...ดันเบนเข็มน้อยๆ  เพราะทะเลาะกับแม่  ก็เครียด  เครียดจนคิดว่า...เราเหมาะจะเป็นหมอเหรอ?


           ก็อยากเรียนพวกเศรษฐศาสตร์  สถาปัตยฯ  มัณฑณศิลป์บ้าง  ก็ไปหาที่เรียนเฉพาะวิชาดู   ไปเรียนวาดรูปแบบเตรียมสอบเข้าคณะเหล่านี้โดยเฉพาะค่ะ  เชื่อมั้ยว่า...คนงกๆอย่างพี่   ไปเรียนเตรียมเขาสถาปัตย์ฯ  แค่ชั่วโมงแรก..เลิกเรียนเลย  ค้นพบตัวเองว่า   พี่ชอบวาดรูปมาก  แต่ดันไม่ชอบให้ใครมาสอนวาดรูป   ไม่ชอบวาดรูปเป็นสเตปๆ   ชอบวาดตามใจคิดเลย


           ก็รู้แล้วว่า   เวลาที่น้อยนิด  จะสอบจริงๆแล้ว  มีตัวเลือกน้อยจริงๆในความชอบความอยากเป็นของตัวเองเนี่ย   ก็ลุยจะเข้าแพทย์ให้ได้   ปรากฎว่าไม่ติดแพทย์...  ไปติดทันตแพทย์แทน



           พี่ไม่เคยศึกษาคณะนี้อย่างจริงจัง   พี่รู้จักแค่ผิวเผินจริงๆ   แต่คำว่า "หมอฟัน"   มันขึ้นว่าเป็น  "หมอ"  ก็เท่ห์และเก่งแล้ว (ในความคิดสมัยนั้น)   ก็ดีใจตามประสาคนเอนซ์ติด   มันกลายเป็นความเหลิงด้วยมั้ง   พี่น่ะอีโก้สูง   เชื่อมั่นในตัวเองมากและชอบเข้าข้างตัวเอง   ความภูมิใจอันน้อยนิดในตัวเองก็ผลักดันให้เรียนทันตะไปทั้งๆที่รุ่นพี่ก็บอกนะ  ว่าปีสูงๆมีอะไรเรียนบ้าง  ยากเหมือนกันถ้าไม่ถนัด....


           พี่ก็  หืม? อะไรเหรอที่ไม่ถนัด   ก็ได้รู้ว่าทันตะเป็นหมอที่ต้องเก่งและมีทักษะศิลปะมากด้วยนะ   แน่นอนอย่างพี่ก็ยิ้มเลย...  แหม่  พูดกับใครไม่พูดมาพูดกับเรา  คนชอบวาดรูป  ถนัดใช้ดินสอลากเส้นไปเรื่อย   แต่ไม่ยักรู้ว่าเราไม่เก่งเครื่องมือมากมายที่ทันตะใช้


           พอถึงคราวจริง   พี่ทำได้แต่ไม่ดี  เพราะเป็นครั้งแรกของเราจริงๆที่จับเครื่องมือแบบนี้  ทำงานแบบนี้  ไม่ได้เรียนวาดรูปนะ  แต่เป็นการประดิษฐ์ให้เกิดรูปร่างฟัน  มันเล็กและต้องใช้สมาธิมาก   พอเรียนจริงพี่เครียดมากเลย   ทำงานไม่ทันเพื่อน  คะแนนก็น้อย   ผลสรุป  ตกไปหนึ่งวิชา...  วิชาที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน  ติดF


           ทั้งชีวิตนะ   ผ่านมาด้วยดีทุกอย่าง   ถึงจะขี้เกียจ  ไม่ชอบไม่ใส่ใจ   แต่ไม่เคยซ้ำชั้น  ไม่เคยกลับมาเรียนใหม่   พอเห็นเกรดแล้วน้ำตาไหลทั้งคืนเลย


           เสียใจมาก  ทั้งๆที่เราไม่ใช่เด็กเกเร   ไม่เที่ยวกลางคืน  ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข   แต่เราทำไม่ได้   เกรดไม่เคยได้ต่ำกว่า 3   แต่มาได้น้อยกว่า3 บ้างก็ตอนขึ้นมหาวิทยาลัยแถมในคณะที่ใครๆบอกว่า "เก่ง"  อีกต่างหาก


           ตอนนั้นอยากย้ายคณะมาก   เครียดจนระบายกับเพื่อนไม่กล้าจะระบายกับแม่  เพราะแม่ดุ  แม่แคร์เรื่องเรียนมาแต่เด็กแล้ว


           รู้มั้ย  พอแม่รู้แม่พูดกับพี่ว่าอะไร


           แม่บอกว่า   "ตั้งใจเรียน  ไม่ต้องเรียนเป็นหมอเก่งก็ได้   ตั้งใจให้เป็นหมอที่ดูแลคนอื่นได้ก็ดีแล้ว"


           พี่แอบไปร้องไห้เลย  และเลิกคิดจะย้ายคณะ   เปิดเทอมก็เรียนอีกครั้ง  สู้ใหม่  บอกตัวเองว่า  เพื่อนคนอื่นๆเขาไม่เคยทำงานแบบนี้มาเหมือนกัน  เขาก็เริ่มจากศูนย์  แต่เขาก็ผ่านไปได้   ส่วนเราถึงจะผ่านไปไม่ได้  ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวันให้เราแก้ไขอีกเลย


           พอพี่สู้อีกครั้ง   เรียนกับรุ่นน้องก็เขินๆนะ  แต่รุ่นน้องก็เข้าใจ  มีหลายคนเข้าใจ   อาจารย์แม้จะด่าพี่ทุกคาบ  เคยด่าพี่ว่า "โง่" ด้วย  พี่ก็เชื่อว่าท่านเข้าใจลูกศิษย์ที่ล้มเหลว   ไม่งั้นท่านไม่ให้โอกาสเรามาแก้หรอก


           พอแก้F  ครั้งแรก   รู้สึกว่าแลปทำได้ดีขึ้นนะ  แต่ยังช้าอยู่เพราะเรายังทำบางอย่างไม่ดีพอ   ในที่สุด  ความฮึดของพี่ก็ล้มเหลวครั้งที่ 2 ...


           อีกแล้วที่ความอยากจะลาออกจากคณะมาเยือนในความรู้สึก   ร้องไห้ทั้งคืน  อีกแล้ว...  ซ้ำเดิม


           ทุกวันนี้ก็ต้องรอแก้ให้ผ่านอีกรอบ   แต่พี่ไม่คิดลาออกหรอก   เพราะพี่เชื่อมั่น  ..อ้อ ลืมบอกไปพี่เป็นคริสเตียนค่ะ  ความเชื่อส่วนตัวของพี่คือ   พี่ได้เดินทางมาถึงวันนี้  ได้เรียนคณะนี้ต่อไป   พระเจ้าต้องกำหนดเส้นทางมาแล้ว   ถามใจตัวเองว่าอยากเป็นหมอฟันอยู่มั้ย  พี่ขอตอบว่า "อยาก"   ดังนั้น  พี่จะไม่ทรยศความฝันของตัวเอง   พี่คิดว่าที่เราเสียเวลาไปก็เกิดจากตัวเอง   ดังนั้นอุปสรรคที่เราเผชิญล้วนเกิดจากทางเดินที่เราเลือกเองด้วย   เราก็๋ต้องพยายามผ่านพ้นทุกอย่างไปด้วยตัวของเรา


           หากชีวิตคนเราถูกกำหนดมาเกิดให้เป็นแบบนี้   แต่เราเลือกได้เองจะอยู่อย่างที่เกิดมาตลอดไปหรือเปลี่ยนแปลงชีวิตเอง


           น้องเรียนไม่เก่งในบางวิชา  วิชานั่นโน่นนี่   น้องจะบอกว่าก็เราไม่เก่งเลย  เราไม่มีพื้นฐานเลย  แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร?


           แต่น้องเลือกได้ว่าจะพยายามให้รู้  หรือจะละเลยกับสิ่งที่ตัวเองไม่มีหรือไม่เก่ง


          คนมีพรสวรรค์ไม่ใช่จะเลิศเลอ  หากไม่แสวงต่อก็เป็นแค่ความสามารถธรรมดาๆ   ที่คนมีพรแสวงอาจจะแซงหน้าได้



           ส่วนพี่  พี่ยอมรับว่าไม่เก่งในวิชาที่พี่ติดF  มาซ้ำซ้อน  แต่พี่ภูมิใจในตัวเองว่า  พี่ยอมรับความโง่ของตัวเองได้  ตั้งใจแก้ไขได้   และไม่เครียดถ้าใครจะมาบอกว่าพี่โง่   เพราะพี่รู้ตัวว่าในชีวิตพี่มีเรื่องดีๆ  มีความสามารถดีๆแม้จะไม่เพอร์เฟ็ค  และไม่ยิ่งใหญ่ในสายตาคนอื่น  แต่มันเป็นความภูมิใจในตัวเราเอง   เป็นแรงผลักดันเล็กๆที่ทำให้เราสามารถก้าวผ่านคำดุด่า  คำดูหมิ่น  ดูถูกของคนอื่นได้


           แม้จะผ่านมาได้  โดยไร้เสียงสรรเสริญว่า  เราเก่ง  ก็ตาม


           แต่ชีวิตคนจะอยู่รอดได้  ไม่ได้อาศัยความเก่งเท่านั้นนะ   ต้องควบคู่กับการพยายามที่จะอยู่รอดอย่างมีความสุขด้วยต่างหาก



           คุณพ่อของพี่เป็นคุณหมอ  ที่เสียชีวิตนานแล้ว

           ทุกวันนี้มีคนพูดถึงว่า   คุณพ่อของพี่เป็นหมอที่เก่งมาก

           แต่พี่ภูมิใจและดีใจที่สุดคือ   มีคนบอกกับพี่ว่า   "คุณพ่อเป็นคนดี"   ต่างหาก


           ดังนั้น  สู้ๆนะคะ  พี่พูดเป็นแค่คำเดียวจริงๆ  อย่าว่าพี่ต๊องเลย   พี่บอกจากใจจริง   ไม่มีใครหมดความพยายามหรอก   มีแต่คนที่พักความพยายามของตัวเอง


           มาพยายามต่อไปด้วยกัน  สู้ๆนะจ้ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×