คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฉีกหน้าประวัติศาสตร์
ฉีกหน้าประวัติศาสตร์
“จงศึกษาประวัติศาสตร์เถิด เพราะในนั้นคือปรัชญาที่แท้จริง”
ข้อความข้างต้นปรากฏอยู่ในจดหมายของนโปเลียนที่เขียนขึ้นในที่คุมขังบนเกาะเซนต์เฮเลนา เพื่อส่งให้กับลูกชาย แสดงให้เห็นถึงประโยชน์อันยิ่งใหญ่และล้ำลึกถึงขั้นปรัชญา (Sophia/ Sofia ความรู้ขั้นสูง ตรงกับคำว่า Wisdom) ของประวัติศาสตร์ ซึ่งตัวนโปเลียนเองได้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตพิสูจน์ความจริงข้อนี้
การศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อเข้าถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังจนสามารถรับรู้ปรัชญาได้ดังที่นโปเลียนกล่าวนั้น ต้องอาศัยวิธีการที่ถูกต้อง ประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่วิชาท่องจำที่น่าเบื่อหน่ายอย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่อาศัยระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ (Scientific methods) เป็นเครื่องมือสำคัญ เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ การแสวงหาความจริงทางประวัติศาสตร์เริ่มต้นด้วยการกำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง จะผิดกันก็แต่ผลสรุปทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์นั้นอยู่ในรูปของกฎหรือทฤษฎีธรรมชาติ ในขณะที่ผลสรุปทางประวัติศาสตร์นั้นอยู่ในรูปของความจริงของเหตุการณ์
เป็นที่เชื่อกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ว่า การปรากฏขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนไม่ได้เกิดเองโดยเจตจำนงเสรี (Free will) กล่าวให้ง่ายขึ้นก็คือ เหตุการณ์หนึ่งๆไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยไร้จุดมุ่งหมาย ในทางกลับกัน จะต้องมีบางสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดเหตุการณ์ในลำดับต่อมาเป็นอนุกรม นั่นหมายความว่า การเกิดขึ้นของเหตุการณ์ใดๆย่อมเป็นผลมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้า (Previous Event) เสมอ โดยที่เหตุการณ์ก่อนหน้าจะมีเพียงหนึ่งหรือมากกว่าก็ได้ (ตรงกับหลัก อิทปฺปจฺจยตา ในพระพุทธศาสนา) เพราะเหตุนี้ หน้าที่ของนักประวัติศาสตร์จึงไม่ได้จำกัดเพียงแค่ศึกษาผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องสืบหาความจริงของเหตุการณ์ก่อนหน้าซึ่งเป็นตัวขับดันให้พบ พิสูจน์ความมีอยู่จริงและความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ก่อนที่จะสรุปผลออกมา
และผลสรุปที่นักประวัติศาสตร์ได้ค้นพบด้วยวิธีการข้างต้นนี้ ก็คือบทปรัชญาเบื้องหลังความจริงที่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้มอบไว้เป็นมรดกแก่โลก
แต่รูปแบบการศึกษาประวัติศาสตร์ในชั้นเรียนปัจจุบันยังก้าวไปไม่ถึงขั้นนั้น ด้วยข้อจำกัดทางการศึกษาหลายๆอย่าง ซึ่งรวมถึงการครอบงำทางความคิดของผู้มีอิทธิพลในแต่ละยุคสมัย และการหลงอยู่กับรูปแบบประวัติศาสตร์ “ล้าหลัง คลั่งชาติ” ผู้เรียนจึงถูกทำให้รู้จักเพียงแค่การท่องจำเนื้อหาเพื่อสอบ น้อยครั้งที่จะตั้งคำถามหรือสมมติฐาน นั่นคือผู้เรียนเรียนแค่รู้โดยที่ไม่ได้ต่อยอดความรู้นั้นต่อไป ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นเสมือนการปิดประตูที่จะเข้าสู่โลกแห่งปรัชญาเบื้องหลังความจริงทางประวัติศาสตร์ โดยที่ยังไม่ทันได้เห็นประตุนั้นด้วยซ้ำ
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผู้เรียนต้องปรับรูปแบบการศึกษา โดยกล้าที่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่กำลังศึกษา กล้าที่จะสืบหาความจริงเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน กล้าพิสูจน์ความเชื่อ และที่สำคัญคือ กล้าที่จะปลดแอกความเชื่อเดิมๆเมื่อพบหลักฐานใหม่ที่ชัดเจน
เพราะประวัติศาสตร์ คือ วิทยาศาสตร์แห่งอดีต เป็นวิทยสังคมศาสตร์ (Social science) ที่มีทั้งความสถิตย์และพลวัต (Static and Dynamic) ในตัวเอง
เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ประวัติศาสตร์จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป
ความคิดเห็น