คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ✚ DOCTOR - 하나 。
DOCTOR✦✧
เด็กเรียนหมอ ชีวิตก็มีแต่อะไรหมอๆ ตลอดเวลาต้องขลุกอยู่กับสูตรเคมี ชีวะ อะตอม แถมยังต้องเอาหน้าแปะทาบกับหนังสือกองโตที่หนาจนน่าเอาไปสร้างกำแพงเมืองจีนมากกว่าจะเอามาใช้อ่าน
ตั้งแต่เด็กจนโต วันๆก็มีแต่เข้าแล็ป ตอนอยู่มัธยมศึกษาก็ต้องผ่ากบ พอเข้าอุดมศึกษาก็เปลี่ยนมาผ่าศพ เรียนจบก็อัพสกิลมาผ่าคนเป็นๆ
คนเป็นหมอต้องทุ่มเทอุทิศตนให้กับคนไข้ ทั้งเวลา ทั้งร่างกาย ทุ่มเทให้กับคนทุกคนจนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
ฟังดูเหนื่อยจริงๆนะ
แต่ว่า
ไอ้เชี่ยหมอที่ทำตัวว่างงาน เข้าร้านเค้กบ่อยยิ่งกว่าเข้าห้องตรวจนี่มันหมายความว่ายังไง ไปละม้ายคล้ายคลึงกับไอ้ที่ผมสาธยายข้างบนตรงไหนไม่ทราบครับ !!
กริ๊ง...
"กลับไปซะ" ผมตวัดสายตาไปมองไอ้คนหน้าระรื่นในชุดเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดที่บอกตามตรงว่า โคตรจะยับ อยากจะบึนปากใส่ซะตรงนี้ถ้าไม่ติดว่า ลูกค้าในร้านกำลังมองมาทางผมสองคน
ก็ใครใช้ให้ตระกูลคิม ผลิตผู้ชายที่ชื่อ คิมจงอิน ออกมาหน้าตาดี ดีกรีเกียรตินิยมอันหนึ่งแพทย์ศาสตร์ล่ะครับ แถมผิวสีน้ำผึ้งที่หาได้ยากในเกาหลียิ่งทำให้เสน่ห์มีเยอะจนล้น เรียกเสียงกรี้ดจากสาวน้อยสาวใหญ่รวมทั้งอะไรก็ตามที่ไม่ใช่สาวได้มากเอาการเลยล่ะครับ แต่เอาตรงๆ ไอ้ที่บอกไปนั่นไม่มีผลอะไรกับผมทั้งนั้นล่ะครับ เห็นหน้ามันจนเบื่อแล้ว
"รีบไล่จัง หมอน้อยใจนะครับ" ไอ้หมอจงทำท่ากระเง้ากระงอดใส่ผมเมื่อมายืนเท้าคางอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ ครับไอ้ดำครับ คือหน้าตาก็พอจะกล้อมแกล้มว่าทำแล้วน่ารักได้อ่ะนะ แต่ปรึกษาขนาดตัวรึยังครับ ตัวอย่างกับหมีควาย เหมือนกระเทยควายมากเถอะขอโทษ
"หมีน้อย เมินหมอทำไมอ่ะ หมอเสียใจน้า T ^ T" ผมทำเป็นมองไม่เห็นผู้ชายไซส์หมีควายที่ยืนอยู่ข้างๆ ไอ้คุณหมอก็เลยยื่นหน้ามาใกล้จนคางแทบจะวางบนหัวผม... อ๋อ นี่ผมลืมบอกไปใช่ไหมว่าผมกับไอ้หมีควายนี่ความสูงต่างกันมาก ก็ประมาณไซส์ S กับ XL อ่ะ
หยุดเลย! ใครที่กำลังคิดว่าผมเตี้ยหยุดเลยนะครับ เดี๋ยวพ่อเขวี้ยงแป้งเค้กใส่หน้า
เชอะ อย่าให้สูงบ้างนะ ผมจะเหยียบไอ้ดำนี่ให้จมดินเลย ฮึ่ม โกรธ!
ผมบ่นฟ่อดแฟ่ดในใจอย่างนึกโมโหกับสรีระของร่างกาย ความพาลเลยทำให้ผมหันไปจิกตาใส่จงอินพร้อมกับยกมือป้ายหน้าเขาทั้งๆที่มือผมก็เต็มไปด้วยคาราเมลซอส ก็จงใจอ่ะครับ หมั่นหน้า ทำให้เสียโฉมแม่-ง
"โหยเชี่ยหมี ทำไรของมึงเนี่ย" พอโดนผมปาดซอสเหนียวๆเข้าเท่านั้นแหละ วิญญาณสุภาพบุรุษก็หลุดจริงๆ ไอ้หมอจงแยกเขี้ยวทำตาเขียวใส่ผมแล้วหันไปควานหาทิชชู่ คิดว่าจะสงสารป่ะ ?
ถ้าสงสารผมจะแอบเอากล่องทิชชู่ข้างตัวยัดใส่ใต้เคาน์เตอร์เหรอครับ แบร่
"สกปรกว่ะ ยูจี เอาขยะไปทิ้งที" ผมปิดจมูกทำหน้าเหม็นใส่จงอิน แล้วหันไปเรียกพนักงานในร้านที่เดินผ่านมาพอดีเป็นเชิงบอกให้เอา 'ขยะ' ไปทิ้ง ยูจีแค่ยิ้มขำๆมองพวกผมสองคนแล้วก็ยื่นผ้าให้จงอิน.. แหนะ พนักงานร้านผมก็แสบใช่หน่อยนะเนี่ย
"แต๊งกิ้วมากยูจี" จงอินรับผ้ามาเช็ดหน้าแบบลวกๆโดยไม่ฉุกคิดสักนิด ผมก็ยืนขำล้างมือไปเงียบๆ แอบเห็นยูจีกับพนักงานอีกคนในร้านยืนกลั้นหัวเราะที่หางตาด้วย ก่อนที่พวกผมจะได้หลุดหัวเราะออกมาจริงๆกับเบ้อะของไอ้คุณหมอ เสียงโวยลั่นก็ดังขึ้นมาพอดี
"เฮ้ย.. ผ้าขี้ริ้ว!! โธ่ ยูจีทำไมทำกับผมอย่างนี้ล่ะครับ เสียใจนะ"
กว่าจะรู้ตัว หน้าดำๆที่เคยเปื้อนคาราเมลก็ถูกเติมด้วยเศษฝุ่นจนเลอะเหมือนคนไปคลุกดินมา พอเอามาบวกกับเสื้อกราวน์ที่ยับมากๆแล้ว บอกไปก็ไม่มีเชื่อหรอกว่าไอ้หมอนี่เป็นคุณหมอฝีมือดีที่สุดในกรุงโซล
"โง่เอง พนักงานฉันหวังดี" ผมเย้ยมันไปคำนึง ตามด้วยยิ้มมุมปากเพื่อกวนอารมณ์อีกฝ่าย แน่นอนว่ามันได้ผลครับ ไอ้หมอจงเดินเข้ามาล็อคคอผมพร้อมกับเอาหน้ามาฟัดไปทั่วหัว ทั้งหน้าผาก ข้างแก้ม หรือแม้แต่ซอกคอก็ไม่เว้น
นี่ไอ้คุณหมอมันลืมไปรึเปล่าว่าตรงนี้มันที่เปิด ควรจะอายป่ะ ความอายน่ะความอาย มีมั้ย!!
"หมีน้อยแม่-ง ใจร้ายกับกูตลอดอ่ะ นี่คนหล่ออุตส่าห์มาหาจะชวนไปก๊งเหล้ากับเจ๊กซะหน่อยก็ยังจะมาไล่กัน แถมยังแกล้งเค้าอีก หมออยากจะร้องไห้" สรรพนามที่พ่นออกมาจากได้ไม่ซ้ำคำทำเอาบรรดาลูกค้าที่แอบฟังอยู่ถึงกับทำหน้างงเต๊ก ส่วนผมก็อยากจะทำหน้าเพลียใส่มันเหมือนกัน นี่เลือกสักอย่างเถอะหมอ ฟังแล้วปวดหัว
"เจ๊กจะกลับมาแล้วดิ่ ?" ผมข้ามข้อความที่ไร้สาระของไอ้หมอจงไปด้วยการถามเข้าประเด็นหลักทันที ไอ้เจ๊กที่ว่านี่เป็นเพื่อนชาวจีนของผมเองครับ แล้วก็เป็นเพื่อนของไอ้หมอจงด้วย เราเรียนจบจากมหาลัยเดียวกัน แต่หมอนั่นกลับไปเรียนโทต่อที่จีน ส่วนพวกผมก็เดินตามเส้นทางของแต่ละคน
"ถูกต้วงงงง" ไอ้หมอจงพยักหน้าหงึกหงัก "ต้องไปนะเว้ย เจ๊กบอกว่าอยากเจอหมีมาก"
"เออ เจ๊กมาไม่พลาดหรอกเว้ย ออกไปได้ละ อย่ามากวนเวลาคนทำงาน ไป๊" ผมพยักหน้ารับคำชวน ก่อนจะยกขาเขี่ยมันออกจากเคาน์เตอร์แบบไม่ให้ใครเห็น
"ไม่เอาอ่ะ หมอ ยังไม่ได้กินไอติมสตรอเบอรี่สุดที่รัก หมอไม่ไปหรอก" ไอ้หมอจงส่ายหัวดิ้กๆปฏิเสธคำไล่ของผม แม้ขายาวนั่นๆจะก้าวตามแรงเขี่ยแต่ไปได้แค่สองสามก้าวก็นั่งแหมะลงที่เคาน์เตอร์ติดกระจกหน้าร้าน ทำท่างอแงเหมือนเด็ก เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่ามันเหมือนกระเทยควาย อย่าทำ - _ -
"ขอให้ไอติมติดคอตายเหอะ ไอ้ดำ" ผมว่าพลางหันไปจัดแจงถ้วยไอศครีมรสประจำของคนตัวดำแล้วยกไปเสิร์ฟให้ไอ้คนอู้งานถึงที่ ไอ้หมอจงหันมายักคิ้วให้ มือหนาๆก็เลื่อนมาตบเก้าอี้ข้างตัวเป็นเชิงบอกให้ผมนั่งเป็นเพื่อน โอย มีเพื่อนเป็นหมอมันเหนื่อยอย่างนี้ไม่น่าเลือกมันเป็นเพื่อนเลยตอนนั้น
เออ ว่าแต่พวกคุณรู้กันรึยังเนี่ยว่าผมเป็นใคร ? แน่ะ ไม่รู้ก็ไม่ถามนะครับ คราวหน้าไม่ใจดีบอกแบบนี้แล้วนะ งั้นเรามารู้จักกันอย่างเป็นทางการใหม่นะครับ
สวัสดีครับ ผมคือ โด คยองซู เจ้าของร้านกาแฟ COFFEEANTIQUE แห่งนี้เองครับ :)
△ △ △ △ △ △ △ △ △
กว่าจะเก็บข้าวของให้เข้าที่ก็ปาเข้าไปเกือบจะสองทุ่มครึ่งแล้ว ผมทุบบ่าทั้งสองข้างเบาๆเพื่อไล่ความปวดเมื่อย หลังจากส่งคุณพนักทั้งหลายที่หน้าร้าน ผมก็เดินเข้าไปเช็คสวิตช์ไฟให้ทั่วว่าปิดหมดหรือยัง ก่อนจะเดินมาศัพท์คัทเอาท์ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ลง ขณะที่ผมกำลังควานหากุญแจในกระเป๋าสะพายใบเก่ง โทรศัพท์ที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ามาทั้งวันก็สั่นครืดๆขึ้นมา ประจวบกับที่มือควานไปโดนกุญแจดอกเล็กดีเลยคว้าออกมาทั้งคู่ มือหนึ่งยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู อีกข้างก็บิดกุญแจลงกลอนก็เป็นอันปิดร้านเสร็จเรียบร้อย
"ฮัลโหล ว่า?" ผมกรอกเสียงลงไปตามสาย หย่อนกุญแจลงกระเป๋าตามเดิมแล้วลงมือค้นหากุญแจรถเป็นลำดับต่อไป
"หมีน้อยยยยย อยู่ไหนแล้วหมอคิดถึงงงงงง"
......
ขออนุญาติแคะหูสักครู่นะครับ
......
ผมยืนชะงัก ในหัวมันเบลอไปพักใหญ่ๆ เสียงแว้ดลั่นจากโทรศัพท์ดังลอดออกมาไม่ขาดแต่แค่ประโยคเมื่อกี้หูผมก็แยกประโยคต่อไปไม่ออกแล้วครับว่าปลายสายพูดอะไร
"ไอ้หมอมึงหยุดกรี๊ดก่อน เดี๋ยวคยองแม่-งก็มาไม่ถึงร้านพอดี"
ได้ยินแว่วๆเหมือนมีใครพยายามหยุดอาการสติแตกของไอ้ดำ ประกอบกับอาการหูชาของผมเริ่มดีขึ้น ผมเลยเดินต่อไปยังรถคันโปรดของผม
"เออมึงเงียบดิ้หมอ เอาไอ้ชานมาคุยเลย" หลังจากขึ้นมานั่งจุมปุ๊กบนรถเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ออกปากว่าไอ้หมอจงทันที คือถ้าอยากจะคุยให้รู้เรื่องนี่ต้องคุยกับคนอื่นครับ คุยกับหมอแม่-ง ปวดประสาท
"หมีน้อยอ้าาา ไม่อยากคุยกับหมอเหรอ ฮือๆ เสียใจ เฮ้ยไอ้หูยักษ์ กูคุยกับหมีน้อยอยู่อ่ะมึงทำงี้ได้ไงเอาคืนมา@$@7453&#$*$@$!@%#^T$U....."
"โหลๆคยอง มึงอยู่ไหนแล้ว"
เสียงกุกๆกักๆกับเสียงโวยวายของปลายสายทำให้ผมได้มีสมาธิละความสนใจจากเจ้าอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารมาสนใจมองทางข้างหน้า จนได้ยินเสียงทุ้มๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเพื่อนขาโก่งหูกาง ผมถึงได้กลับไปสนใจเสียงในโทรศัพท์อีกครั้ง
"อยู่บนรถ เพิ่งปิดร้าน"
"อ้าวเหรอ เออๆรีบมา นี่พวกกูสองคนมารอกันนานละ"
"ไอ้เจ๊กล่ะ"
"ยังไม่ถึงเลยว่ะ พอเครื่องลง มันก็โทรมาบอกว่าขอไปหาป๊ากับคุณนายเสี่ยวก่อน"
ผมกดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งไปอีกทาง หันมาตั้งสมาธิกับการขับรถแบบจริงๆจังๆ แต่ยังไม่ทันจะได้แตะคันเร่ง เตรียมซิ่ง เสียงโทรศัพท์ยี่ห้อดังก็ร้องขึ้นมาอีก ผมถอนหายใจแล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตั้งใจว่าถ้าเห็นเบอร์ไอ้หมอจงผมตบกะโหลกมันสักสามทีตอนไปถึงร้าน แต่แล้วชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็ทำให้ผมต้องกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
"ฮัลโหลว่าไงบาร์บี้" กรอกเสียงใสๆลงไปตามประสาคนอารมณ์ดี รออีกคนตอบ ได้ยินปลายสายทำเสียงฮึดฮัดเล็กน้อยตอนที่ได้ยินผมเรียกเขาว่าบาร์บี้ก็ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่
"พี่เหลือกกก ใครชื่อบาร์บี้ไม่ทราบ น้องบอกหลายทีแล้วว่าเรียกดีๆ เดี๋ยวจะจับตีก้น"
"เป็นเด็กเป็นเล็ก จะมาทำร้ายร่างกายผู้ใหญ่ได้ยังไง เด็กนิสัยไม่ดี แล้วนี่โทรมามีปัญหาอะไร ร้อยวันพันปีไม่เห็นคุณชายโอจะโทรมาหาพี่คยองซักครั้ง" ผมแกล้งเอ็ดเขาอย่างไม่จริงจังนัก ปลายสายที่ผมกำลังเย้าแหย่อยู่นี่คือ โอเซฮุน น้องชายแท้ๆของผมเองครับ
"บ้าเหรอ พี่เห็นน้องเป็นคนยังไง น้องแค่เบื่ออ่ะะะ พี่คยองไปไหนมั้ยคืนนี้ ไปดูหนังเป็นเพื่อนน้องหน่อยสิครับนะๆ" เซฮุนตอบงุ้งงิ้งๆ พูดเสียงอ้อนแบบเด็กๆตามประสาน้องชายชอบอ้อนพี่ชาย แถมยังใช้ประโยคเบสิกที่ผมแพ้ทางอีกด้วย แต่ไม่ได้ๆ วันนี้ผมมีนัดแล้ว จะใจอ่อนไม่ได้
"พวกหมอจงมันนัดไปก๊งกันครับ เพื่อนพี่เพิ่งกลับมาจากจีน น้องฮุนจะมาด้วยกันมั้ยล่ะ พี่จะได้ไปรับ" ผมตอบไปพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในย่านอโคจร ถนนสายบันเทิงเริงรมย์ของเหล่านักท่องเที่ยวยามราตรี ตาก็มองร้านตามทางไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดจะแวะจอดที่ร้านไหน เพราะร้านประจำของผมกับเพื่อนๆก็ค่อนข้างจะลึกจากต้นทางพอดู
"จริงอ่ะ ใครเหรอๆ น้องฮุนรู้จักไหมอ่ะพี่คยอง" อีกคนทำเสียงตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่ามีเพื่อนผมมาจากจีน เด็กคนนี้ชอบตื่นเต้นกับอะไรจีนๆครับ ของสะสมที่บ้านก็มีแต่พวกของเกี่ยวกับจีน หน้าตานี่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าจีนหรือจืดดี
"มาเดี๋ยวก็รู้เองแหละนะ ตกลงจะมามั้ยล่ะครับ" ผมพูดเหมือนอมพะนำไว้ มือก็จับพวงมาลัยไปไม่ได้เพิ่มความเร็วลด เผื่อจะได้หักพวงมาลัยกลับทัน ไปรับน้องชายที่น่ารักก่อนค่อยเข้าร้าน
"โห่ ทำมาเป็นมีความลับนะ เดี๋ยวน้องฮุนไปเองก็ได้ครับ ตอนนี้ก็อยู่แถวๆเมียงดง ไม่ไกลกันเท่าไหร่ พี่คยองนัดกันที่ร้านเดิมหรือเปล่าล่ะ"
"ร้านเดิมครับ งั้นเราถ้าถึงร้านแล้วก็โทรหาพี่นะ พี่จะได้ออกไปรับ"
"คร้าบ คุณหมี"
ผมโยนโทรศัพท์ทิ้งไปที่อีกฝั่งเป็นครั้งที่สอง คราวนี้รถผมก็มาจอดที่หน้าร้านประจำแล้ว ผมหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่หลังรถใส่กระเป๋าสะพาย แล้วคว้าเอาโทรศัพท์ติดตัวมาด้วยก่อนจะเดินลงจากรถ ปล่อยให้พนักงานเอารถไปเก็บที่โรงจอดรถหลังร้าน
ถามว่าผมเอาเสื้อผ้ามาทำไมเหรอ ?
คุณคงไม่ผิดว่าผมจะใส่กางเกงขาสั้นสีเหลืองลายโดเรม่อนกับเสื้อยืดคอกลมลายพาดสีขาวฟ้าเหมือนเด็กกำลังจะไปเที่ยวสวนสัตว์เข้าร้านเหล้าหรอกนะ ? มันก็ออกจะไม่ถูกกาละเทศะไปหน่อย เพราะงั้นผมถึงต้องเอาชุดมาเปลี่ยนด้วยนี่ไงครับ ส่วนที่ว่าทำไมในรถของผมถึงได้มีชุดเอาไว้เปลี่ยนเพื่อเวลาแบบนี้ ผมก็ต้องเล่าต่ออีกแล้วใช่ไหม ? ขี้สงสัยจังเลยนะครับเนี่ย เอาเป็นว่า เจ้าของร้านกาแฟก็ใช่ว่าจะออกเที่ยวกลางคืนปีละครั้งนะครับJ
△ △ △ △ △ △ △ △ △
หลังจากเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องอะไรต่างๆนานาเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ผมก็มูฟตัวเองออกมาจากห้องน้ำ กวาดสายตามองหาเพื่อนๆทันที ไม่นานก็เห็นหูกางๆของเพื่อนซี้ ผมยิ้มออกมาและรีบตรงดิ่งไปที่โต๊ะตัวนั้นทันที ก่อนที่ไอ้ดำที่มองเห็นผมซะก่อนจะทำเสียเรื่อง ผมรีบยกมือขึ้นแตะปากเบาๆเป็นเชิงให้เงียบแล้วย่องเข้าไปหาเพื่อนหูกางจากหลัง
หมับ!
"เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย"
ผมตะปบเข้าที่คอไอ้หูกางล็อคคอมันจากด้านหลัง แล้วจับบิดหูกางๆเต็มแรง เจ้าตัวที่ไม่ทันได้ตั้งตัวตกใจร้องซะลั่นร้าน ผมตั้งหน้าตั้งตา ทั้งดึงทั้งบิดจนหูไอ้เพื่อนซี้แทบจะเบี้ยวไม่เหลือเค้าเดิมนั่นแหละถึงค่อยปล่อย ส่วนไอ้หมอจงผู้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ก็หัวเราะจนกลิ้งลงไปอยู่ที่พื้นเป็นที่เรียบร้อย สาวๆที่ตั้งท่าจะเดินเข้ามาที่โต๊ะของเราเมื่อครู่นี้ก็หายแว้บไปทันทีที่ได้ยินเสียงร้องสามร้อยเดซิเบลของชานยอล กับอาการหัวเราะเหมือนคนบ้าของไอ้ดำ
ผมกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วเดินหน้าตายไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างอยู่ มาแนะนำเพื่อนใหม่ของเรากันก่อน อันที่จริงก็ใหม่สำหรับคุณผู้อ่านนะครับ ไม่ใช่กับ ไอ้เพื่อนหูกางคนนี้คือ ปาร์คชานยอลครับ นับรวมๆตั้งแต่ที่ได้แนะนำไปก็มีทั้งหมดสี่คนแล้วนะ มีผม ไอ้หมอจง ไอ้เจ๊ก ไอ้ชาน แต่ไม่ได้มีแค่นี้นะครับ วันนี้ขาดสมาชิกไปหนึ่ง เห็นว่าติดงานอยู่ที่ฝรั่งเศสยังไม่ได้กลับมา รวมๆแล้ว เดอะแก๊งของผมมีกันทั้งหมดห้าคนครับ
ถ้าคุณสงสัยว่าไอ้เจ๊กคือใคร เดี๋ยวรอมันมาค่อยเล่าทีเดียวเลยแล้วกันเนอะ
เวลาผ่านไปสักพัก ไอ้พวกผมที่นั่งชนแก้วกันไปก็หลายขวดเริ่มจะแกร่วกัน จนตอนนี้ไอ้เจ๊กก็ยังไม่มา แถมน้องฮุนของผมก็หายไปเลยเหมือน ไอ้เจ๊กน่ะช่างมันเถอะ อาจจะเผลอป๊ะใครที่หน้าประตูร้านแล้วหิ้วกลับบ้านไปแล้ว แต่น้องฮุนนี่สิ จากเมียงดงมาที่นี่ ต่อให้เดินก็ไม่น่าจะเกินสามสิบนาที นับจากตอนที่วางสายไปนี่ก็เกินชั่วโมงมานิดๆแล้วยังไม่มีวี่แววว่าอีกคนจะโทรมาเลย ผมชักเป็นห่วงแล้วสิ
จากตอนแรกที่นั่งคุยกันบ้าง ชนแก้วกันไปให้พอกรึ่มๆ ตอนนี้นั่งเงียบกันเป็นเป่าสากเลยครับ แล้วอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์สั่นครืดคราดก็ดังขึ้นมาเรียกสายตาพวกผมทั้งสามคนให้หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
โทรศัพท์ไอ้หมอ
เจ๊กกี้ ชาน
โดยไม่ต้องให้ลงเท้าถีบ แขนยาวๆของไอ้หมอก็เอื้อมไปคว้าโทรศัพท์มาแนบหูทันที
"อ้ายยยยย.." ไอ้ดำกำลังจะลากเสียงกวนตีนปลายสาย อยู่ๆก็ชะงักไปทำเอาผมกับไอ้ชานที่นั่งมองอยู่ต้องจ้องมันเขม็ง เรียวคิ้มเข้มของมันเริ่มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าที่ปกติจะอารมณ์ดีเหมือนคนปัญญาอ่อนดูเคร่งเครียด ทำให้พอจะเดาได้ว่า ไอ้เจ๊กน่าจะเกิดเรื่องไม่ดี
"เออ เดี๋ยวพวกกูรีบไป มึงเฝ้าอยู่หน้าห้อง"
มันว่าอย่างนั้นแล้วก็กดตัดสายไป แล้วเงยหน้ามามองพวกผมสองคนที่นั่งจ้องหน้ารอฟังมันบอก
"ไอ้เจ๊กขับรถเฉี่ยวเด็ก ตอนนี้มันพาน้องเค้าไปโรงบาล"
"โรงบาลไหน"
"กู"
"งั้นไปเลย"
เป็นอันว่า งานเลี้ยงในคืนนี้จบลงด้วยการซิ่งรถเข้าโรงบาลครับ
- โปรดติดตามตอนต่อไป -
130928 แก้ไขรูปแบบนิดหน่อย + แก้คำผิดค่า
ฝากฟิคคุณหมอด้วยน้า จุ้บๆ
ความคิดเห็น