คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : - ( a d m i s s i o n 2 0 1 3 ) - f i r s t s t e p
Title : Admission at Heart
Auther : แซมซมูเอล
“โบยอน”
พี่อี้ฟานมาแล้ว TTTTwTTTT
ร่างสูงโด่เด่ของพี่อี้ฟานเดินตรงมาหาผมที่ยืนอยู่กับพี่ชานยอล พี่อี้ฟานจ้องหน้าพี่ชานยอลไม่วางตาเลยครับ คงไม่ได้ปิ๊งพี่ชานยอลเหมือนที่ผมปิ๊งหรอกใช่ไหมครับ
“พี่อี้ฟานนี่พี่ชานยอล พี่ภาคผม พี่เขาช่วยพาผมไปส่งที่ห้องสัมภาษณ์เมื่อเช้า ถ้าไม่ได้พี่เขาผมต้องไปไม่ทันแน่ ๆ ... พี่ชานยอล นี่พี่ชายผมครับ”
ผมแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกันและกัน ทั้งคู่จ้องตากันและยิ้มให้กันบาง ๆ ผมว่ามันชักจะยังไง ๆ แล้วล่ะครับ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับพี่อี้ฟาน”
พี่ชานยอลเอ่ยทักทายพี่ชายผมอยากเป็นมิตร พร้อมกับโค้ง ให้เล็กน้อย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ แต่ผมไม่ใช่พี่นาย...”
บรรยากาศเริ่มไม่ดีละ ผมเงียบ พี่ชานยอลเงียบ พี่อี้ฟานเงียบ................. (จุดล้านตัวแทนคำบรรยาย)
คงไม่ได้จะมีดราม่าเหมือนในหนังหรอกนะที่พี่ชายนางเอกไม่ชอบพระเอก อะไรแบบนั้น ผมไม่แฮปปี้เลยนะ
“………….”
“ผมคงจะรุ่นเดียวกับนาย ถึงหน้าผมอาจจะดูมากกว่าวัยไปนิดก็เถอะ”
พี่อี้ฟานพูดอย่างขำๆ ทำเอาผมยิ้มออกมา เฮ้อ.. โล่งอกไป นึกว่าจะเป็นอย่างในหนังซะอีก (ยังไม่จบเรื่องพระเอกนางเอก)
“อ้อ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ต้องไปช่วยงานคณะต่อ ตั้งใจเตรียมไว้สำหรับน้อง ๆ ปีนี้ มาค่ายด้วยล่ะแบคฮยอน”
“ค่ายอะไรครับ?”
“มันติดอยู่กับใบรายงานตัวนักศึกษาที่เราได้มาตอนสัมภาษณ์นั่นแหละ ลองอ่านดู ไม่เข้าใจอะไรก็ถามพี่ในเฟส ไปโพสต์ที่หน้าวอลเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่มาตอบ”
ผมหยิบเอกสารที่ผมได้ขึ้นมาดู ถึงได้เห็นไอ้ใบที่พี่ชานยอล บอก ตอนที่เขาให้มาผมคงไม่ทันสังเกต
“ไปก่อนนะ ไว้เจอกันที่ค่าย”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”
ผมโค้งขอบคุณพี่ชานยอล แต่พอเงยหน้ามาพี่ชานยอลก็เดินไปถึงบันไดตึกแล้ว แล้วเมื่อกี้ผมโค้งเพื่ออะไร ช่วยสนใจผมหน่อยได้ไหม
“สัมภาษณ์เป็นไงบ้าง” พี่อี้ฟานถามระหว่างทางที่เราสองคนเดินไปที่ลานจอดรถท่ามกลางแดดเปรี้ยง ๆ ผมอยากรู้แต่ไม่อยากถามว่าทำไมพี่ชายผู้เป็นที่รักของผมต้องจอดรถไกล ๆ ด้วย - -
“ก็ดีครับ เขาไม่ค่อยถามอะไรมากเท่าไหร่ ถามแค่ทำไมถึงเลือกคณะนี้ แล้วทำไมต้องเป็นที่นี่ อะไรทำนองนั้น”
“แล้วเราตอบไปว่าอะไร”
“ก็บอกว่าคะแนนถึง เลยตัดสินใจยื่นคะแนนที่นี่”
“แค่นั้น?” คุณพี่ท่านขมวดคิ้วนิด ๆ หลังจากได้ยินคำตอบของผม
“ครับ เพราะผมก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร -3-”
ผมยู่ปากแล้วบ่นเบา ๆ ก็ผมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรจริง ๆ นี่ครับ ทำไมถึงเลือก ก็อยาก ทำไมถึงเป็นมหาวิทยาลัยนี้ ก็อยากอีกนั่นแหละ แต่ถ้าผมตอบไปแค่ว่าเพราะผมอยาก ผมว่าผมต้องโดนขีดชื่อทิ้งจากใบรายชื่อนักศึกษาแน่ ๆ เลย
“หิวรึยัง ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับไหมหรืออยากกลับไปกิน ที่บ้าน”
“โหย ผมทนหิวไม่ไหวแน่ ๆ กว่าจะถึงบ้าน ผมคงไส้ขาดตายก่อน พาผมไปเลี้ยงหน่อยสิครับลูกพี่ อยากกินเนื้อย่าง! ได้ยินมาว่าเนื้อย่างแถวนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้วย!!”
ผมพยายามกอดคอพี่ชายที่ตัวสูงกว่าผม พร้อมกับเขย่าไปมาเบา ๆ พี่อี้ฟานเลยผลักหัวผมเข้าให้
“ไม่ต้องมาลูกพงลูกพี่ เมื่อกี้นี้เห็นนะว่ามองชานยงชานยอลคนนั้นด้วยสายตาแบบไหน” ปากหนาบ่นพร้อมกับเหล่มองผมอย่างจับผิด
“ผมเปล่าสักหน่อย (. .)”
“ไม่ต้องเปล่า พึ่งขึ้นปีหนึ่ง อย่าริอ่าน” คุณพี่ท่านยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมอย่างเต็มรัก ผมทำได้แค่ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเอง เห็นเป็นพี่เลยไม่อยากลงไม้ลงมือเฉย ๆ หรอก - _-
“พี่... เชื่อในรักแรกพบรึเปล่า”
“แก่แดด ท่องไว้เลยนะว่าพึ่งสิบแปด เรื่องความรักอย่าเพิ่งคิด”
“พี่กับพี่อี้ชิงก็คบกันตอนสิบแปด ผมจำได้...”
ผมย้อนพี่อี้ฟานอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ กลัวจะโดนทำร้ายร่างกายเหมือนระหว่างทางที่ผ่านมา
“ย้อนหรอ จะกินไหมเนื้อย่างน่ะ?”
“...”
ผมเงียบ...
เผด็จการที่สุด! TT
“แบคฮยอน เอายาใส่กระเป๋าไปรึยังลูก”
แม่ตะโกนไล่หลังผมที่กำลังเดินออกจากประตูบ้าน วันนี้ผมต้องไปค่ายก่อนเปิดเทอม ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ แต่เซฮุนบอกให้ผมไปเป็นเพื่อนมัน เห็นบอกว่ามีวัดเสื้อช็อปด้วย ถ้าขาดต้องไปตามวัดเอาทีหลัง เดี๋ยวจะลำบาก
“เอามาแล้วครับพี่สาววว”
ผมพูดอย่างหยอก ๆ พร้อมกับเดินกลับไปหอมแก้มแม่ทีนึง ยาที่ว่านั่นคือแก้หอบหืดครับ ที่พ่นลงคอเวลาหายใจไม่ออก รู้จักกันใช่ไหมครับ -.-
“ดีแล้ว กลับมานอนบ้านใช่ไหม”
“กลับครับ แม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบนอนรวมกับคนเยอะ ๆ”
อันนี้ติดเป็นสันดานครับ แก้ไม่หายจริง ๆ กี่ค่าย ๆ ตอนเรียนมัธยมผมไม่เคยไปหรอก ผมเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่สมเป็นเด็กผู้ชายเลยใช่ไหม แถมมีหน้าไปเรียนโยธาอีก แต่จะทำยังไงได้ล่ะครับ ผมให้ได้เหตุผลโง่ ๆ เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละ.. ‘อยาก’
“ดีแล้ว รีบไปรีบกลับ”
“ผมรีบกลับอยู่แล้วครับ กลัวบางคนแถวนี้จะคิดถึง”
“ไม่คิดถึงลูกแล้วจะไปคิดถึงหมาที่ไหนล่ะ เดี๋ยวก็ต้องย้ายไปอยู่หอ ไกลหูไกลตาแม่อีก เฮ้อ... ไปได้แล้วไป มัวแต่ฟังแม่บ่นเดี๋ยวก็ได้ไปสายกันพอดี”
แม่ดันหลังผมออกมาจนถึงหน้าประตู ผมได้แต่ยิ้มอย่างขำ ๆ แม่ใครก็ไม่รู้ น่ารักน่าแกล้งชะมัด
ผมเดินไปเรียกแท็กซี่หน้าบ้าน ต้องนั่งไปรับเซฮุนที่บ้านอีก กว่าจะไปถึง ผมว่าผมคงสายแล้วล่ะ (ปาดเหงื่อ)
“ทำไมกูไม่มีชื่อวะ”
เซฮุนหันมาถามผม ตอนนี้เราสองคนกำลังยืนเอ๋ออยู่ใต้ตึกคณะ ในขณะที่คนอื่น ๆ ไปนั่งกันเป็นแถวฟังพี่ ๆ ในคณะแถลงการณ์อะไรสักอย่างกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมกับเซฮุนกำลังงมหาชื่อตัวเองว่าอยู่กลุ่มไหน จะได้ไปต่อแถวถูก ตัวผมเองน่ะหาเจอแล้ว แต่หาชื่อเซฮุนไม่เจอ ผมเลยหันซ้ายหันขวา จะถามพี่ซักคน สายตาไปสะดุดเข้ากับรัศมีความหล่อทางทิศสิบสี่นาฬิกา.. อ่า.... พี่ชานยอล...
“กลุ่มหกใช่ไหม” ผมที่กำลังอ้าปากจะบอกว่าเพื่อนผมไม่มีชื่อ แต่โดนพี่เขาสะกัดดาวรุ่งซะก่อน
“ครับ ผมอยู่กลุ่มหก แต่เพื่อนผมไม่มีชื่อ เป็นเพราะติดรอบรับตรงรึเปล่า?”
“อาจจะใช่ งั้นลงชื่อกลุ่มหกไปเลยแล้วกัน เอากระเป๋ามาเดี๋ยวพี่เอาไปเก็บให้ ไปนั่งต่อแถวกับเพื่อน ๆ ไป” พี่ชานยอลดึงกระเป๋าเป้ผมไปสะพาย และตัวผมก็ยื่นให้พี่เขาไปอย่างงง ๆ
“ผมสะพายไว้ได้ไหมครับ ในนั้นมียาที่ผมอาจจะต้องใช้”
“อ้าวหรอ” พี่ชานยอลนิ่วหน้าแบบคนทั่วไปที่กำลังใช้ความคิด ก่อนจะดีดนิ้วแล้วแล้วดันหลังผมให้เดินไปที่แถว เซฮุนได้แต่มองผมสลับกับมองพี่ชานยอล คงสงสัยว่าไปสนิทกันตอนไหน
“แล้วกระเป๋า?”
“เราต้องทำกิจกรรม เดี๋ยวพี่สะพายไว้ให้เอง พี่เป็นพี่เทคกลุ่มหก มีอะไรเรียกพี่เลย พี่อยู่ตลอด”
“เอางั้นหรอครับ”
“เอางี้แหละ ไปเข้าแถว ๆ” พี่ชานยอลตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มละมุนละไมมาให้ผม
ให้ตายเถอะ...
อย่าดีกับผมขนาดนี้สิครับ.. ผมก็มีหัวใจ หวั่นไหวเหมือนกันนะ T-T
ผมตัดสินใจเดินมานั่งที่แถวกลุ่มตามที่พี่ชานยอลบอก เซฮุนเองก็เดินตามมาแล้วทิ้งตัวนั่งข้าง ๆ ผม
“ใครวะ” ผู้เพื่อนที่ตามมาพอตูดติดพื้นปุ๊บก็ยิงคำถามปั๊บ
“พี่ภาคกู เคยเจอกันครั้งนึงตอนมาสัมภาษณ์”
“ไวจริงนะมึง”
“ไวอะไร กูยังไม่ได้ทำอะไรกูเลย พี่เขามาทักกูในเฟส แล้วก็คุยกัน แล้วก็เจอกัน แล้ว...”
“แล้วมึงก็แอบมีใจให้เขา” เซฮุนสวนขึ้นมา
“มีใจพ่อง กูไม่ได้คิดอะไร”
ผมแก้ตัวทันทีเมื่อรู้ตัวว่าถูกแทงใจดำ... ผมจะมีใจให้คนที่เจอแค่สองครั้งได้ยังไงกันจริงไหม............................(ล้านจุด)
แต่เขาว่ากันว่า หลอกใครก็หลอกได้ แต่หลอกตัวเองนั้นไม่มีวันหลอกได้ วันนี้ผมคิดว่ามันไม่จริงครับ เพราะผมคิดว่าผมหลอกเซฮุนไม่ได้ ตอนนี้มันกำลังมองผมด้วยสายตาจับผิด ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“น้องแบคฮยอนรหัส 1150 มารึยังครับ พี่รอมานานแล้วนะ ครับน้อง”
ผมหันขวับไปมองข้างหน้าทันที หลังจากได้ยินชื่อและรหัส ตัวเอง
“อ่าว เขาตามหาตัวมึงอยู่อะ ตอบเขาดิ” เซฮุนหันมาพูดกับผม ทำให้เพื่อน ๆ รอบตัวเราสองคนหันมามองที่ผมเป็นสายตาเดียวกันในทันที
“นี่ไง ๆ มาแล้ว”
พี่เทคคนนึงที่ยืนอยู่ข้างหลังเราสองคนคงได้ยินเซฮุนบอกว่าเขาเรียกผม เดินมาชี้ที่ตัวผม พร้อมกับตะโกนไปบอกพี่ข้างหน้าที่ถือไมค์พูดอยู่
นี่มันเรื่องอะไรกัน!!!
“ออกมาข้างหน้าเลยครับน้อง ยังไม่ทันจะเปิดเทอม น้องได้เกิดแล้วล่ะ ออกมา ๆ”
ผมได้แต่สายหัว นั่งนิ่ง ๆ และไม่คิดจะออกไป เรื่องอะไรต้องให้ผมออกไปยืนอยู่ข้างหน้าคนเป็นล้าน (เวอร์) ผมไม่ได้ขี้อายนะครับ แต่เพราะพี่เขาบอกว่าผมเกิดตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมเนี่ยแหละ ผมถึง ได้กลัว
“เห้ย มึงก็อย่าไปแกล้งน้องเขา บอกน้องเขาไปว่ามีคนฝากของมาให้” พี่ผู้ชายอีกคนนึงที่ยืนอยู่ข้างหน้าพูดขึ้นพร้อมกับหยิบตุ๊กตาตัวเท่าตู้เสื้อผ้าออกมาจากหลังเสา
“ออกมาเอาของหน่อยครับน้อง มีคนฝากมาให้ ถ้าน้องไม่ออกมาเอาตอนนี้ พี่คิดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามันคงไม่อยู่ตรงนี้แล้ว มีแต่คนอยากชื่อแบคฮยอน อยากรหัส 1150 เพราะอยากได้ตุ๊กตาหมาตัวนี้ไปครอบครองนะครับน้อง ฮ่า ๆๆๆ”
สุดท้ายผมก็ต้องลุกออกไปเอาอยู่ดี เพราะตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งคณะแล้ว ถ้าไม่ลุกไปสักทีเดี๋ยวจะถูกหาว่าเล่นตัวก็เป็นได้...
ผมเดินไปอุ้มตุ๊กตาตัวนั้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะหันไปถามพี่เขาเบา ๆ ว่าใครฝากมา
“เดี๋ยวสิครับน้อง เดี๋ยวพี่บอก น้องแนะนำตัวกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ ก่อน พี่ว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนคงอยากรู้”
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วครับตอนนี้ ใครช่างฝากมาให้ แล้วทำไมต้องมาออกสื่อแบบนี้
ผมยื่นตุ๊กตาไปให้พี่คนข้าง ๆ ถือให้ก่อนจะรับไมค์มาอย่าง กล้า ๆ กลัว ๆ แล้วพูดใส่ไมค์ออกไปว่า
“บยอนแบคฮยอน ภาคโยธาครับ”
พูดเสร็จก็ยื่นไมค์คืนให้พี่เขาทันที แต่พี่เขาไม่รับ แถมยังขำกันแบบสนุกสนานอีกต่างหาก ให้ตายเถอะ ผมอยากสลายกลายเป็น ผุยผง มันน่าอายนะเว้ย T-T
“จะรีบไปไหน พ่อชื่ออะไร แม่ชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน ที่สำคัญมีแฟนรึยัง พี่ว่าคนที่ฝากมาให้น้องเขาคงอยากรู้”
“ผมมีเงินติดตัวอยู่ 2000 วอน ผมจะยกมันให้พี่ แล้วพี่ช่วยปล่อยผมกลับไปนั่งที่เดิมได้ไหมครับ”
ผมพูดออกไปได้ยังไงกันนนนน มันเกรียนมากเลย T-T
“พี่ซื้อด้วยเงินไม่ได้นะครับน้อง ถ้าไม่มากพอ ฮ่า ๆๆๆ”
ฮาสิครับงานนี้ ไม่มีอะไรนอกจากฮา ทุกคนที่นั่งจดจ้องมาที่ผมกับพี่เขาพากันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“พอ ๆ มึงอย่าไปแกล้งน้อง น้องเอาตุ๊กตาไปซุกไว้ตรงไหนก่อนแล้วกลับไปนั่งที่ได้เลยครับ ส่วนคนที่ให้น้อง ชื่อน้องลู่หานอยู่ภาคเครื่องครับ ไปตามหาเอาเองแล้วกัน น้องเขาบอกว่าไม่อยากโชว์ตัว”
ทำไมเขาไม่คิดบ้างนะว่าผมเองก็ไม่อยากโชว์ตัวเหมือนกัน!!
ผมอุ้มตุ๊กตาหมาตัวโตเดินออกมาจากตรงนั้น.. แล้วผมจะเอาไปไว้ไหนล่ะ ผมวางตุ๊กตาลงบนโต๊ะใต้อาคาร ก่อนจะจ้องหน้ามัน หึยยยยยย! สิงแม่งเลยดีไหม!!!!
“เดี๋ยวพี่เอาไปเก็บให้ดีกว่าไหม”
ผมหันไปมองตามเสียง ถึงเห็นใครอีกคนผู้เป็นเจ้าของเสียงที่ไม่รู้ว่าเดินตามผมมาตั้งแต่ตอนไหน
“ผมฝากหน่อยนะครับ =_=”
ผมหันไปพูดพร้อมกับทำหน้าเนือยใส่พี่ชานยอล
“ทำใจครับ คนน่ารักก็งี้แหละนะ”
ห้ะ...
“พี่ว่าไงนะครับ”
“ไปเข้าแถวได้แล้วไป เขาวัดเสื้อช็อบกันแล้วนะ”
เมื่อกี้ผมได้ยินพี่ชานยอล ชมผมว่าน่ารัก
ผมไม่ได้หูฝาดใช่ไหม...
ผมเขินได้ใช่ไหม TvT (อารมณ์เปลี่ยนฉับพลัน)
ผมเดินกลับมานั่งในแถวสักพักแถวผมก็ลุกเดินไปห้องวัดเสื้อช็อป กิจกรรมในตอนเช้าไม่มีอะไรมาก เพราะกว่าจะวัดเสื้อช็อปครบทุกคนก็ปาไปเกือบเที่ยงแล้ว พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ แต่ละกลุ่มก็แยกไปตามใต้ตึกคณะ พี่เทคกลุ่มสอนร้องเพลง สอนเต้น แล้วก็เล่นเกมนู่นนี่นั่นอีกเล็กน้อย จะว่าไปก็สนุกดีเหมือนกันครับ แถมได้เห็นพี่ชานยอลตีกลองให้จังหวะเพลงที่พวกผมหัดร้องหัดเต้นอีก หัวใจผมเต้นเป็นจังหวะเดียวกับกลองของพี่ชานยอลแล้วล่ะครับ -/////-
“แบคฮยอนมึงเต้นยังไงให้เหยียบตีนกูได้วะ มึงไปทางเดียวกับคนอื่นเขาหน่อยดิ” เซฮุนที่เต้นข้าง ๆ ผมพูดพร้อมกับเตะที่ก้นผม แค่นี้ทำไมต้องลงมือลงตีนกันด้วย!
ผมเลยหันไปเตะคืน จะทำไงได้ล่ะครับ สติผมมันล่องลอยอยู่นี่นา คนอย่างมันไม่เข้าใจหรอก ไอ้คนไม่มีหัวใจ ผมหันกลับมาตั้งท่าจะเต้นต่อ แต่ว่าเป้าสายตาที่ผมแอบมองอยู่ตลอดเวลาหายไปแล้ว.. พี่ชานยอลหายไปไหนแล้ว...
เสียงจังหวะกลองดังขึ้นอีกครั้งโดยมือกลองคนใหม่ คนในกลุ่มเริ่มร้องเพลงแล้วก็เต้นกัน ผมเองก็ด้วย เต้นไปสักพักถึงได้รู้สึกว่ามีใครอีกคนนึงมาเต้นอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้ (ผมอยู่ริมแถว)
“ผิดแล้ว ๆ”
ผมเต้นผิดท่า อีกคนเลยจับแขนผมให้เต้นให้ถูกท่าเหมือนคนอื่น ๆ เขา
อีกคนที่ว่าคือคนที่ยืนตีกลองอยู่เมื่อกี้...
ทำไงดีครับ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจมันเต้นแรงจะแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ถ้าเปรียบเป็นภูเขาไฟ คงเป็นอาการที่ใกล้จะปะทุเต็มที่ ลาวาเดือดปุด ๆ ไหลทะลักเต็มไปหมด
ผมอยากจะแกล้งเต้นผิดมันทั้งเพลงจริง ๆ (ความคิดชั่วร้าย)
“พี่ชานยอลครับ เดี๋ยวผมต้องกลับบ้าน” ผมหันไปบอกระหว่างที่กำลังเต้นกันอยู่
“อะไรนะ” และแน่นอนว่าเสียงกลองกับเสียงร้องเพลงของคนอื่นมันกลบสิ่งที่ผมพูดไปหมด
“ผมไม่ได้ค้างที่นี่ เดี๋ยวผมต้องกลับบ้านครับ”
“ห้ะ”
พอไม่ได้ยิน พี่ชานยอลเลยเอียงหูมาใกล้ ๆ ผม ผมเลยป้องปากแล้วพูดอีกครั้ง
“ผมต้องกลับบ้านครับ”
“อ้าว ไม่ค้างหรอ วันหลัง ๆ สนุกนะ”
พี่ชานยอลพูดข้าง ๆ หูผม จริง ๆ ผมก็อยากอยู่นะครับ แต่เซฮุนไม่อยู่ ผมก็ไม่อยู่เหมือนกัน (อ้าง)
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาค้างอยู่แล้วน่ะครับ ไม่ได้เอาเสื้อผ้า มาเลย”
“ว่าแล้วเห็นเอาเป้มาใบเดียว โอเค ๆ จะกลับเลยไหม”
“ก็ดีครับ”
น่าเสียดาย มีค่ายตั้งสี่วันแต่ผมคงมาวันนี้แค่วันเดียว ถ้าไม่ใช่ค่ายค้างคืน ผมคงมาทุกวัน อีกอย่างติดที่บ้านไกลด้วย เดินทางมาที ก็เหนื่อย
“โอเค งั้นเต้นเพลงนี้จบแล้วเดี๋ยวพี่เดินไปส่ง”
ผมกับพี่ชานยอลเต้นไปคุยไปตลอดเพลง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสายตาของเซฮุน ผมเลยไม่ค่อยกล้าคุยอะไรเท่าไหร่ เดี๋ยวเซฮุนเอาไปเล่าให้พี่อี้ฟานฟัง น่าแปลกนะครับ เพื่อนของผมทุกคนต้องสนิทกับพี่อี้ฟาน และเซฮุนคือคนที่สนิทกับพี่อี้ฟานที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ ทุกคน
ผมหันไปสะกิดเซฮุนหลังจากเต้นจบเพลง เราสองคนเดินตามพี่ชานยอลออกมา
“มึงคิดไม่ซื่อกับพี่เขาใช่ไหม” อยู่ๆ เซฮุนก็หันมากระซิบถามผม
“กูเปล่า”
“มึงคิด”
“กูไม่ได้คิด”
“มึงคิดแน่ๆ”
“กูไม่ได้คิดสักหน่อย!” จากกระซิบกระซาบกันตอนแรก กลายเป็นผมที่เผลอพูดเสียงดัง อีกคนที่เดินนำหน้าเราสองคนเลยหันกลับมามองแล้วก็ยิ้มขำ ๆ
“พี่ยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนแบคฮยอนชื่ออะไร”
“เซฮุนครับ ผมอยู่ภาคเครื่อง” เซฮุนตอบ
“จบมาจากที่เดียวกัน?” พี่ชานยอลถามต่อ
“ครับ จบจากที่เดียวกันตั้งแต่ม.ต้น ผมเบื่อขี้หน้ามันจะตาย”
พอได้ยินแบบนั้นผมเลยถีบส่งเซฮุนเข้าให้ที ขออนุญาตไม่สุภาพยกเท้าขึ้นมาถีบมันสักหน่อยเถอะครับ เพื่อนปากหมาแบบนี้ผมคบมันมาได้ยังไงตั้งหลายปี
“ถึงว่าดูสนิทกัน ค่อยยังชั่วหน่อย”
“ค่อยยังชั่วเรื่องอะไรครับ” เซฮุนถามขึ้นมา ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน ว่าค่อยยังชั่วที่ว่านั่นหมายถึงอะไร
“พี่จะจีบแบคฮยอน ถ้าสนิทกับเราในฐานะอื่น พี่คงสะเทือนใจแย่ พี่ส่งแค่นี้แล้วกัน ไว้เจอกันนะครับ กลับบ้านดี ๆ ล่ะ”
มือหนายกขึ้นมาบีบจมูกผมทีนึง ก่อนจะเดินจากไปโดยทิ้งผมที่โดนสตั๊นไว้เบื้องหลังแบบไม่คิดจะหันกลับมามอง
ตอนนี้อารมณ์ผมเหมือนภูเขาไฟที่ระเบิดไปแล้วเรียบร้อยครับ
ผมหันไปมองหน้าเซฮุนที่ยืนทำหน้านิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่แทบจะทำอารมณ์ฟินนาเร่ของผมหายไป
“กูจะฟ้องพี่อี้ฟาน!!!”
TBC.
ความคิดเห็น