คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : "It's okay to not be okay."
ชินโดรู้สึกเหมือนใกล้ถูกทับตายอยู่รอมร่อ
โค้ชเอนโดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของไรมงมาตลอดไม่อยู่แล้ว แถมคู่แข่งนัดต่อไปยังเป็นคิโดคาว่า เซย์ชู ทีมที่ไรมงพ่ายแพ้ให้เมื่อปีที่แล้ว...
เขายังจำความรู้สึกในเวลานั้นได้ และรู้ว่าคนอื่นก็จำได้เช่นกัน...ความรู้สึกโล่งใจที่ไม่มีข้อบังคับใดกดลงมาบนไหล่ ความหวังว่าจะได้ชัยชนะแท้จริงที่ควรค่าแก่การภาคภูมิใจเสียที...และแล้วก็ต้องมาพบกับความจริงที่ว่าแม้จะพยายามอย่างดีที่สุดแล้วก็ยังไม่ดีพออยู่ดี
แต่เดิมพันในครั้งนี้สูงกว่าเดิมหลายเท่า...ถ้ามาล้มเหลวตรงนี้ ทุกอย่างที่ทำมาก็จะไร้ค่าไปทันที ชินโดยังรู้อีกด้วยว่าถึงตอนนั้น ความมุ่งมั่นของพวกเขาจะกลายเป็นไร้ความหมาย การทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจของพวกเขาก็คงถูกมองไม่ต่างจากการดิ้นรนเล็ก ๆ ไร้สาระที่ยิ่งเสริมความหนักแน่นให้เห็นว่าวิถีทางของฟิฟท์เซคเตอร์ถูกต้องจริง ๆ จากนั้น ระบบนี้ก็จะไม่หายไป จะมีคนที่ต้องเล่นฟุตบอลด้วยความรู้สึกว่างเปล่า จะมีคนที่เอารัดเอาเปรียบและเหยียบหัวผู้ที่พยายามมากกว่าได้โดยแทบไม่ต้องทำอะไรเลย...
ผลลัพธ์นั้นว่าน่ากลัวแล้ว ชินโดยิ่งไม่กล้าจินตนาการถึงเพื่อนร่วมทีม โค้ชที่อุตส่าห์ให้การสนับสนุน ไปจนถึงทีมที่แพ้ให้ไรมงและยอมเข้าใจสิ่งที่พวกเขาทำ...คนเหล่านั้นจะผิดหวังมากขนาดไหน
ในสถานการณ์แบบนี้ คนที่ต้องมั่นคงที่สุดก็คือกัปตันอย่างชินโด เขายิ่งต้องนำทีมให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ยิ่งต้องเป็นที่พึ่งให้ทุกคนได้ เมื่อโค้ชคิโดเข้าถึงทุกคนแบบโค้ชเอนโดไม่ได้ กัปตันอย่างเขาก็ต้องทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทน
...จะอ่อนแอไม่ได้ จะผิดพลาดไม่ได้ จะแพ้ไม่ได้...ห้ามเป็นอันขาด…
ไม่อย่างนั้นจะต้องสูญเสียทุกอย่าง
ชินโดพยายามสลัดความคิดสับสนวุ่นวายไร้ประโยชน์เหล่านั้นทิ้งไม่รู้กี่รอบ ย้ำกับตนเองว่าเมื่อจะลงแข่งก็ห้ามคิดว่าตนเองจะแพ้ ต้องจดจ่อแต่กับสิ่งที่ทำได้ตรงหน้า แต่ที่สุดแล้ว การพยายามบังคับกลบฝังอารมณ์ด้านลบลงให้ลึกก็แก้ปัญหาไม่ได้ตลอดไป ยิ่งเครียด เขาก็ยิ่งหงุดหงิดตนเองที่จัดการสุขภาพจิตตนเองไม่ได้ และแล้วสภาพจิตใจก็ยิ่งดิ่งลงเหว ขนาดเพลงคลาสสิกและเปียโนซึ่งเป็นเครื่องมือบำบัดจิตของเขาตลอดมาก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้อีกแล้ว
ภายนอก ชินโดก็ยังทำหน้าที่ของตนเองได้สมบูรณ์แบบ เขาฝึกซ้อมตามสมควร หารือเรื่องทีมกับโค้ชบ่อย ๆ คอยให้คำแนะนำกับเพื่อนร่วมทีม ท่าทางแทบไม่ต่างจากปกติ กระทั่งเพื่อนสนิทก็ประเมินความเครียดของเขาต่ำกว่าความเป็นจริงไปหลายเท่า และเชื่อกันว่าเขาหายเครียดหลังฟังเพลงคลาสสิกไปสองสามเพลง
...ตอนชินโดเครียดแรก ๆ จะไม่มีใครรู้หรอก เขากักเก็บมันไว้แต่ในใจได้เป็นเดือน ๆ เป็นปี ๆ คนมักจะมารู้ตอนที่ความเครียดหยั่งรากฝังลึกจนแก้ไม่ได้ง่าย ๆ แล้ว...
ความจริง ถ้าพูดถึงภายใน ตอนนี้ชินโดแทบจะไม่ไหวแล้ว เขาห้ามตนเองกระทั่งเรื่องพร่ำบ่น โวยวาย หรืออาละวาดในใจ ซึ่งทำให้ความเครียดยิ่งตกตะกอนขุ่นข้อง เขาอยากตะโกนออกไปให้สุดเสียง อยากเล่าความกลัว กดดันและกังวลให้ใครสักคนฟัง แต่แล้วก็ระลึกได้ว่าในสายตาของทุกคน ตนเองเป็นได้แค่กัปตันผู้เข้มแข็งเท่านั้น จึงเก็บเงียบเอาไว้เช่นนั้น พยายามลืมความรู้สึกเหล่านั้นไป เส้นอารมณ์ตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรจากสายพิณที่ถูกขึงตึงเกินไปจนได้แต่รอวันขาดสะบั้น
ทุกอย่างเริ่มยากขึ้นทุกที แต่เขาทนได้
จะไม่เป็นไรหรอก
ไม่เป็นไรจริง ๆ
...ไม่เป็นไร...เขาเป็นกัปตัน...เขาต้องไม่เป็นไร...
...ไม่เป็นไร...
เด็กหนุ่มย้ำกับตนเองอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันกลายเป็นเสียงไร้ความหมายที่ดังซ้ำซากในหัว มันไม่ได้ดังกลบความคิดด้านลบอื่น ๆ แต่กลับประสานเสียงกันอื้ออึงอยู่ในหัว...ล้วนแต่เป็นคำประณามกดดัน คำเย้ยหยัน และหวาดกลัวสิ้นหวัง ความรู้สึกปวดล้าที่ไม่เกี่ยวกับร่างกายประดังขึ้นมาและไม่ยอมหายไป
เขาจะไม่ไหวแล้ว...แต่จะเป็นอย่างนั้นไม่ได้...เขาต้องไม่เป็นไร
...ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...
“กัปตัน”
ผู้ถูกเรียกตื่นจากภวังค์ด้วยเสียงหนึ่งที่ต่างจากเสียงอื่นในหัว เสียงนั้นมีความมั่นคงที่ทำให้วางใจได้ และแฝงความอ่อนโยนเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้น ฝืนยิ้มให้สึรุกิที่มองเขาอย่างออกเป็นห่วง หวังว่าจะทำให้สบายใจขึ้นได้ ทว่า พอเห็นรุ่นพี่ยิ้มแล้ว ท่าทางของคนอ่อนวัยกว่ากลับยิ่งดูเป็นกังวล
ชินโดมองสำรวจสภาพของตนเอง เพิ่งเห็นว่ามือของตนเองมีรอยดินสอเปื้อนจนดำปื้ดไปหมด บนโต๊ะข้างหน้าตนเองก็เกลื่อนไปด้วยก้อนกระดาษยับยู่ยี่ เขาจำได้แล้ว ก็เหมือนทุกครั้ง...พยายามคิดกลยุทธ์การเล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจตนเองจากความเครียด แต่ไม่รู้ทำไม ครั้งนี้ยิ่งคิดกลับยิ่งเครียด ยิ่งดูก็รู้สึกว่าอะไรก็ตามที่คิดออกมามันแย่ลงเรื่อย ๆ จนทนไม่ได้ต้องขยำทิ้ง ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ที่แน่ ๆ คือเริ่มเขียนตั้งแต่เลิกซ้อม เพื่อนร่วมทีมคนอื่นมาลากลับบ้านก็รับคำแบบส่ง ๆ โดยแทบไม่เงยหน้าขึ้น...
ท่าทางของเขามันคงไม่ปกติตรงไหนสักแห่ง อย่างน้อยสึรุกิก็จับสังเกตได้...ชินโดรีบหัวเราะแห้ง ๆ กลบเกลื่อน “ขอโทษทีนะ พอดีคิดเพลินไปหน่อย เดี๋ยวจะเอาไปทิ้งเอง”
สีหน้ารุ่นน้องเริ่มกลายเป็นลำบากใจขณะถามว่า “กัปตันยุ่งอยู่เหรอครับ?”
ใช่ ยุ่งกับการพล่านอยู่กับที่โดยแทบไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย
“เปล่า” เขาส่ายหน้า “แค่คิดอะไรเล่น ๆ ฆ่าเวลาเท่านั้นแหละ มีอะไรหรือ?”
ดวงตาสีทองเบิกกว้างขึ้นราวกับตกใจ...แน่ละ คิดเล่น ๆ ฆ่าเวลาไม่ควรออกมาเป็นอะไรแบบนี้...ชินโดลอบเบือนสายตาไปทางอื่น เขาไม่อยากเห็นสารรูปของตนเองจากเงาสะท้อนในแววตาของสึรุกิ...เขากลัวว่าจะเห็นสิ่งที่ตนเองเป็นจริง ๆ ในขณะนี้
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ คนอ่อนวัยกว่าก็เอ่ยขึ้น “กัปตันช่วยมาซ้อมกับผมหน่อยได้ไหมครับ ผมซ้อมคนเดียวดูไม่ค่อยออกว่าตนเองทำได้ดีหรือเปล่า”
เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่จุดประสงค์แรกเริ่มที่เจ้าตัวมาพูดด้วย แต่ชินโดก็ตอบรับไปอยู่ดี เขาไม่ค่อยอยากอยู่คนเดียวนักในตอนนี้ ความคิดมันแล่นพล่านได้ง่ายเกินไป อย่างน้อยถ้าได้ยินเสียงคนอื่นบ้างก็ยังพอเบี่ยงเบนความสนใจตนเองจากความรู้สึกแย่ ๆ ที่ตนจมจ่อมอยู่ได้
“พวกปีหนึ่งคนอื่นเป็นไงบ้างแล้ว?” คนตัวเล็กกว่าถามระหว่างทางจากห้องชมรมไปที่สนาม คนอื่นกลับกันไปหมดแล้ว เป็นอีกครั้งเจ้าเด็กนี่ก็ทำผิดวิสัยชอบกลับบ้านเร็วของตนด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ
“มัตสึคาเซะกับนิชิโซโนะก็อย่างที่เห็นแหละครับ...พยายามฝึกท่าไม้ตายใหม่กันอยู่ ความก้าวหน้ากัปตันก็คงเห็นไปแล้วเหมือนกัน...แต่คนฝึกก็ยังกำลังใจดีนะครับ” แม้สภาพจิตใจจะยังขุ่นมัว มุมปากชินโดก็อดยกขึ้นเป็นรอยยิ้มไม่ได้ สองคนนั้นนึกยังไงไม่รู้ถึงได้มีคอนเซปต์ประเภท ‘ถีบเพื่อนตัวเล็ก ๆ ขึ้นไปในอากาศ’ กำเนิดขึ้นมา แถมยังเอาจริงเอาจังเสียอีก...ภาพตอนเทนมะกับชินสุเกะฝึกเป็นอะไรที่ทั้งน่ารักน่าชื่นชมและน่าขำสำหรับผู้พบเห็น
“คาเงยามะก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ตอนนี้หลัก ๆ แล้วก็มีรุ่นพี่คุรามะให้คำแนะนำ ส่วนคาริยะถูกรุ่นพี่คิริโนะจับแยกจากคาเงยามะแล้วเพราะชอบไปแกล้งเขาอยู่เรื่อย ตอนนี้ก็ช่วยมัตสึคาเซะกับนิชิโซโนะฝึกอยู่” สึรุกิเล่าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ใส่ใจจะลงรายละเอียดลึกนัก ข้อมูลพวกนี้ถ้ากัปตันไม่ได้รู้ดีพอ ๆ กับเขาก็คงรู้มากกว่า เป็นผลมาจากนิสัยใส่ใจเพื่อนร่วมทีมนั่นเอง
“ทุกคนไม่เป็นไรก็ดีแล้วละ” ชินโดกล่าวอย่างสงบก่อนกลับเข้าประเด็น “แล้วนายอยากให้ฉันช่วยฝึกให้แบบไหนล่ะ?”
เป็นอีกครั้งที่ไม่มีเสียงตอบจากสึรุกิทันที ดวงตาสีทองคู่นั้นมีแววครุ่นคิดปนลนลานแบบคนถูกบังคับให้คิดอะไรอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นหลักฐานมัดตัวอย่างดีว่าแต่เดิมไม่ได้คิดจะมาขอให้เขาช่วยซ้อมด้วย
“ท่าไม้ตายครับ!” ตอนที่ชินโดกำลังจะเอ่ยเร่งคำตอบ เสียงทุ้มก็พลันโพล่งออกมา เขากลับเป็นฝ่ายนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกเสียแทนขณะอีกฝ่ายหายใจเข้าลึกหนึ่งที บังคับตนเองให้สบตารุ่นพี่อย่างอิหลักอิเหลื่อ พยายามอธิบายให้เป็นเรื่องเป็นราวที่สุด “ผมอยากฝึกท่าไม้ตายคู่กับกัปตัน เพราะกัปตันรู้เสมอว่าจังหวะไหนที่เหมาะทำคะแนนที่สุด และผมก็เป็นกองหน้า ตำแหน่งบนสนามของพวกเราสะดวกกับการสนับสนุนกันครับ ถ้ามีท่าไม้ตายคู่ก็จะทำให้ได้เปรียบมากขึ้น” คงพูดได้ว่าสมแล้วที่เคยอยู่กับฟิฟท์เซคเตอร์มา ขนาดคำอธิบายด้นสดยังมีเหตุมีผลชวนให้คล้อยตามได้ และความจริง...ข้อเสนอนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย
ถึงอย่างนั้น เจ้าเด็กนี่ก็ยังขี้เกรงใจเกินไปอยู่ดี พอร่ายจบแล้วก็แค่นยิ้มแกน ๆ “ขอโทษที่จู่ ๆ ก็มาขออะไรเอาแต่ใจนะครับ ถ้ากัปตันไม่อยากก็ไม่ต้องหรอกครับ...”
“ทำไมจะไม่อยาก” ชินโดขัด พอเห็นสีหน้าโล่งใจของคนตรงหน้าและก็รู้สึกจิตใจสดใสขึ้นมาบ้าง “มาช่วยฉันคิดเลยว่าจะเอาท่าไม้ตายแบบไหน”
สุดท้าย ทั้งสองคนก็ยืนปรึกษากันเป็นการเป็นงานอยู่บริเวณข้างสนามเป็นเวลานานพอตัวทีเดียว ข้อสรุปที่ได้คือต่างคนก็จะเตะบอลส่งให้อีกคนเป็นการสะสมแรงไปเรื่อย ๆ และปิดท้ายด้วยการช่วยกันเตะพร้อมกัน ตอนนี้ยังเป็นแบบคร่าว ๆ อยู่ อาจจะดัดแปลงแก้ไขอะไรบ้างทีหลัง หากรวม ๆ แล้วก็ไม่น่าหนีพ้นไปจากรูปแบบประมาณนี้
“ลองกันก่อนสักรอบนะครับ?” แม้จะไม่ได้วางแผนมาก่อน แต่ตอนนี้สึรุกิเหมือนจะเริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาแล้ว ชินโดพยักหน้า ยิ้มจาง ๆ ให้ แล้วลุกขึ้นตามอีกฝ่ายไป ภายในใจยังหนักอึ้งและเหนื่อยล้า แต่ก็บอกตนเองว่าไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก ทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี...ไม่เป็นไร…
ถ้าอะไร ๆ เป็นไปอย่างที่คาดหวังเสมอก็คงดี
แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“พร้อมนะครับ!” สึรุกิร้องบอกก่อนเตะลูกฟุตบอลส่งมาให้ ชินโดใจลอยไปกับความคิดซึมเซาครู่หนึ่งจึงรับไว้ไม่ทัน ลูกบอลไปตกพื้นไกลพอสมควร ฝ่ายรุ่นน้องเดินไปเก็บให้โดยไม่พูดอะไร...แต่กัปตันทีมไรมงรู้ดีว่าสาเหตุของความล้มเหลวครั้งนี้อยู่ที่ตนเอง เขาย่ำแย่มากแล้วจริง ๆ ถึงขั้นมาพลาดกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
“คราวนี้ผมจะนับหนึ่งถึงสามก่อนเตะนะครับ กัปตันจะได้ตั้งตัวทัน” ชินโดส่ายหน้าแทบทันทีพลางขอโทษที่เมื่อครู่ใจลอยไปหน่อย ประสาทเครียดเขม็งขึ้นมาหลายส่วน เขารู้ว่าเพื่อนร่วมทีมคนนี้ไม่ได้เจตนา แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนโดนดูถูกว่าทำอะไรไม่ได้เรื่องอยู่ดี
หลังจากนั้น การฝึกของพวกเขาก็เป็นไปได้ราบรื่นดี แน่นอนว่ายังเอาไปใช้ตอนแข่งจริงไม่ได้หรอก จะให้ท่าไม้ตายใช้ได้ทันทีหลังฝึกครั้งแรกย่อมเป็นเรื่องเพ้อฝันอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่รู้ดี แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความหงุดหงิดขุ่นข้องก็ยิ่งตกตะกอนสะสม ชินโดคิดว่าตนเองควรทำได้ดีกว่านี้...คิดว่าที่ตนเองทำอยู่ตอนนี้มันไม่ได้ความเลยสักนิด เขาเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สึรุกิเห็นแล้วคงเป็นห่วง จึงออกปากว่า
“ถ้าเหนื่อยแล้วเลิกซ้อมก่อนก็ได้นะครับ วันนี้ก็คืบหน้าไปได้เยอะแล้ว”
รุ่นพี่ตัวเล็กสั่นศีรษะอย่างแรง “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าแค่นี้ยังไม่ไหวจะไปทำอะไรกินได้!” มันเป็นแค่ทิฐิดื้อรั้นแบบเด็ก ๆ รู้ว่าทำต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่ก็จะทำอยู่ดี เหตุผลก็เป็นแค่ความเอาแต่ใจดึงดันเท่านั้น...ก็แค่ยังไม่อยากเลิก กระทั่งตนเองยังตอบไม่ได้ว่าทำไม
สึรุกิดูลำบากใจ “ฟังผมก่อนนะครับ” เจ้าตัวค่อย ๆ พูด “ฝึกมาถึงตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าควรปรับอะไรตรงไหนบ้าง กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนแล้วค่อยมาฝึกต่อพรุ่งนี้ไม่ดีกว่าเหรอครับ อารมณ์จิตใจพอแจ่มใสขึ้น ผลการซ้อมจะได้ดีขึ้นด้วยไงล่ะครับ”
อีกฝ่ายหวังดี น่าเสียดายที่ตัวเขาตอนนี้มุทะลุหัวชนฝาจนไม่ยินดีรับฟังอะไรอีกแล้ว คำพูดสึรุกิสำหรับชินโดที่กำลังเหยียบย่ำประณามตนเองทางใจแล้วเหมือนกับกำลังว่าเขาเป็นนัย ๆ ว่าทำตัวไม่มีเหตุผล
“จะซ้อมนี่ต้องอารมณ์ดีแจ่มใสก่อนหรือไง มันเป็นหน้าที่ไม่ใช่เหรอ!” ชินโดกระชากเสียงใส่ พอคำพูดตนเองหลุดไปจากปากแล้วก็ทั้งตกใจทั้งร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก ความคิดกระเจิดกระเจิงสับสนวุ่นวาย
บ้าที่สุด...ทำไมจู่ ๆ ถึงควบคุมตนเองไม่ได้ขึ้นมา...
สึรุกินิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ถ้ากัปตันว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” เพื่อนร่วมทีมของเขาเดินไปหยิบลูกฟุตบอลที่ถูกเตะไปอยู่ใกล้ประตูมา แล้วพวกเขาก็กลับไปฝึกต่อ
ถึงอย่างนั้น เมื่อสภาพจิตใจของชินโดรวนไปหมดแบบนี้ การรวบรวมสมาธิก็พลอยรวนไปด้วย หลังจากผลัดกันเตะลูกบอลส่งไปมากับสึรุกิได้สักสี่หรือห้าครั้ง เขาก็ตั้งตัวไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายส่งบอลที่สะสมแรงจากทั้งคู่เอาไว้มากพอสมควรกลับมา ถูกกระแทกที่ขาอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น เด็กหนุ่มผิดหวังกับตนเองจนพูดอะไรไม่ออก
...ทำไมวันนี้ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง...ทำไมถึงต้องมาพลาดกับเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่เรื่อย…
...เขามันไม่ได้เรื่อง...
“กัปตันเป็นอะไรไหมครับ!?” สึรุกิสลัดท่าทีนิ่งเฉยตามปกติทิ้ง วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา ก่อนคุกเข่าลงดูอาการ มือพยายามประคองชินโดให้ลุกขึ้น “ผมขอโทษจริง ๆ นะครับ มา เดี๋ยวผมทำแผลให้...” เจ้าตัวชะงักไปเพราะถูกคนเจ็บปัดมือทิ้ง ชินโดก้มหน้าลงต่ำ กลุ่มผมหยักศกตกลงมาบดบังใบหน้า
“ฉันไม่เป็นไร ลุกเองได้น่า!”
ต้องรีบกัดริมฝีปากอย่างขัดเคืองเมื่อได้ยินว่าเสียงของตนเองสั่นเครือด้วยแรงสะอื้นที่จุกอยู่ที่ลำคอ ทั้งยังรู้สึกว่าเบ้าตาเริ่มร้อนวาบและมีอะไรเปียก ๆ เอ่อคลอ ไหล่สั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้
คนอ่อนวัยกว่าไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สอดมือเข้าไปใต้แขนรุ่นพี่ ประคองให้ลุกขึ้นอย่างนุ่มนวลทั้งที่เขายืนได้เองจริง ๆ พาเดินเข้ามาในห้องชมรม ขอให้นั่งพักบนเก้าอี้ ส่วนตนเองไปหยิบถุงประคบเย็นมาให้
+++++++++++++++++++
สึรุกิเป็นห่วงชินโด
หลายคนสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวเริ่มทำตัวน่าเป็นห่วงมาเป็นสัปดาห์แล้ว ที่ไม่ได้เข้าไปทักอะไรมากก็เพราะรู้กันดีว่าคนอย่างกัปตันน่าจะอยากถูกปล่อยให้อยู่กับตนเองและหายเครียดไปเองมากกว่า แต่ดูเหมือนวิธีนั้นจะใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว
ชินโดเครียดมานานแล้ว เป็นเรื่องเล็กบ้างใหญ่บ้างที่สะสมจนกลายเป็นกองพะเนินหนักอึ้งสลัดทิ้งไม่ได้ รุ่นพี่ของเขาเป็นพวกชอบแบกโลกไว้บนบ่า ทั้งยังถือว่าความสำเร็จล้มเหลวของทีมและลูกทีมเป็นความรับผิดชอบของตน คิดว่าต้องตอบสนองต่อความคาดหวังของทุกคนให้ได้ นอกจากนี้ยังยึดติดกับคำตัดสินจากผู้อื่นมากเกินไปจนกลายเป็นตัดสินโทษตนเอง
การเป็นคนฉลาดคงมีข้อเสียอย่างนี้เอง ชินโดเห็นความเป็นไปได้มากมายที่จะผิดพลาดล้มเหลว และเห็นไปถึงผลที่จะเกิดหลังจากนั้นด้วย เมื่อมารวมกับระบบความคิดที่กล่าวไปแล้วก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวกดดันตนเองว่าจะต้องเป็นกัปตันที่ดีที่สุด ต้องไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ต้องเป็นที่พึ่งให้ทุกคนได้ ห้ามเจ็บปวด ห้ามมีปัญหา...แต่กับเพื่อนร่วมทีมแล้วกลับใช้มาตรฐานปุถุชนคนธรรมดาด้วย เป็นคนประเภทลำเอียง เข้มงวดกับทุกคน แต่ใจร้ายกับตนเองเป็นพิเศษ
...จะระเบิดออกมาแบบนี้ก็ไม่แปลก...
รุ่นพี่ของเขาคนนี้เป็นกัปตันแล้วดีกับทีมจริง ๆ...แต่ไม่ดีต่อตนเองเลย
เขาเองก็คิดน้อยไปเหมือนกันที่ชวนเจ้าตัวมาฝึกท่าไม้ตายใหม่ด้วยกัน ตอนแรกแค่คิดว่าจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจให้ แต่กลายเป็นว่าเพิ่มเรื่องเครียดให้เสียอย่างนั้น...ผิดไปแล้วจริง ๆ
ตอนสึรุกิกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล ชินโดก็ยังพยายามกลั้นสะอื้นพร้อมกับใช้กำปั้นปาดน้ำตาทิ้งอย่างดุเดือด เขานั่งลงข้าง ๆ ใช้ปลายนิ้วแตะข้อมือเล็กนั้นเบา ๆ
“อย่าทำแบบนั้นเลยครับ เดี๋ยวก็ตาบวมกันพอดี” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่คนกระด้างคนหนึ่งจะอ่อนโยนได้ “ช่วงนี้มีเรื่องหนักเข้ามามาก อยากร้องก็ร้องให้โล่งใจเถอะครับ ไม่มีใครคิดว่าชินโดซังอ่อนแอหรอก”
สึรุกิไม่ค่อยเข้าใจตนเองนักหรอกว่าทำไมถึงเรียกอีกคนด้วยชื่อ แทนที่จะเป็นตำแหน่งกัปตันอย่างทุกที แต่ที่รู้แน่ ๆ คือไม่อยากให้กัปตันของตนฝืนเก็บน้ำตาไว้อีกต่อไป เขาไม่ได้ต้องการให้ชินโดเป็นผู้นำที่มั่นคงไม่รู้จักความเจ็บปวด แค่อยากให้สบายใจขึ้น ไม่เจ็บปวดคนเดียวมากขนาดนี้...ก็พอแล้ว
ดวงตาสีน้ำตาลที่เปียกชุ่มและแดงก่ำเบือนขึ้นมามองหน้ารุ่นน้องตัวโตกว่า ท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง จนใจที่กัดปากกลั้นสะอื้นอยู่ กลายเป็นพูดไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ได้
ปกติ สึรุกิที่ถือมารยาท เว้นระยะห่างจากผู้คนมากคงไม่ทำอย่างนี้ แต่ชินโดที่ร้องไห้แต่พยายามไม่ร้องนั้นช่างชวนให้คนเห็นอยากดึงเข้ามากอดแน่น ๆ แล้วโอ๋เหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ สึรุกิไม่ได้บังอาจถึงขนาดทำอย่างนั้นหรอก เพียงแต่เสยผมที่ยุ่งเหยิงตกระใบหน้าไปทัดหูให้ ผมของเจ้าตัวเส้นเล็กละเอียด นุ่มมาก จับแล้วรู้สึกละมุนมือ
“นี่ปาดน้ำตาแรง ๆ แล้วยังกัดปากอีกเหรอครับ?” เขาแกล้งกระเซ้า “แย่เลยทีนี้ ตาบวมแล้วยังปากแตก...เอ้อ ขาฟกช้ำด้วยอีกอย่าง”
“เด็กนี่...พูดจา...ไม่มีสัมมาคารวะ” เสียงแหบเครือซึ่งยังคงความดุไว้ได้ดังขึ้นขัด ติดขัดเป็นพัก ๆ เพราะแรงสะอื้น ฝ่ายรุ่นน้องก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น แนบถุงประคบกับรอยช้ำแดงจาง ๆ ตรงใกล้หัวเข่า พยายามเบามือที่สุด ถึงอย่างนั้นคนเจ็บก็ยังสะดุ้งอยู่ดี
“ขอโทษนะครับ” สึรุกิพึมพำ
“เปล่า แค่เย็นเฉย ๆ” อีกฝ่ายแก้ความเข้าใจผิด น้ำเสียงบ่งบอกว่าหยุดร้องไห้ได้แล้ว ทั้งคู่เงียบไปอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งปฐมพยาบาลเสร็จสิ้น สึรุกิลุกขึ้นเอาถุงประคบเย็นกลับไปเก็บในตู้เย็นแล้วเดินกลับมา ถามคนที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาว่า
“ค่อยยังชั่วขึ้นไหมครับ?” ไม่รู้ว่าหมายถึงสภาพจิตใจ อาการบาดเจ็บ หรือว่าทั้งสองอย่าง
คำตอบคือการพยักหน้าอย่างคลุมเครือไม่แพ้กัน ครั้นแล้วเจ้าตัวก็เริ่มออกปาก สีหน้ายังไม่ค่อยดีนัก
“ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะเจ็บแผลนะ”
“ผมรู้ครับ”
“ไม่ได้ร้องไห้เพราะฝึกท่าไม้ตายไม่สำเร็จด้วย”
“อื้ม”
“ขอโทษนะที่มาทำตัวทุเรศให้เห็น” ดวงตากลมวาวยังมองแต่มือที่วางอยู่บนตักของตน เขาสังเกตเห็นว่ารุ่นพี่ของตนกำหมัดแน่นทีเดียว “ต่อไปจะพยายามควบคุมตนเองให้มากกว่านี้”
“ไม่ได้ทุเรศสักหน่อย ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ”
สึรุกิรู้ดีว่าคำพูดที่จะออกมาจากปากตนเองต่อไปนี้จะสร้างความกระดากให้ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง แต่ในฐานะเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่ง เขาก็คิดว่าควรพูดออกไป อย่างน้อยชินโดก็จะได้รู้ว่าต่อให้ตนเองบกพร่อง ผิดพลาด หรือมีปัญหาอย่างไร...ก็จะมีคนอยู่ข้าง ๆ เสมอ ไม่ใช่แค่สึรุกิหรอก ทุกคนในทีมไรมงเลย
“ชินโดซังตอนอารมณ์ดี ๆ ไม่ทุเรศยังไง ตอนอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ได้ทุเรศอย่างนั้นแหละครับ” เด็กหนุ่มลังเลอยู่ชั่วขณะ “พวกเราไม่ได้รู้จักกันมานานนัก ผมอาจจะละลาบละล้วง และคนอื่นอาจจะเคยพูดไปแล้ว แต่ถ้ามีอะไรเครียด ๆ เล่าให้ผมฟังเถอะครับ ไม่งั้นให้ใครฟังก็ได้ ยอมให้คนอื่นช่วยบ้างเถอะ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลาขนาดนั้นก็ได้ ทุกคนก็ห่วงกัปตัน อยากช่วยกัปตันกันทั้งนั้น”
“อีกอย่าง เพื่อนร่วมทีมก็เคารพชินโดซังก็เพราะคุณหวังดีกับทุกคน ใครมีปัญหาอะไรมาก็คอยช่วยแบบไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ไม่ใช่เพราะเวลาเจออะไรแย่ ๆ ก็ปิดปากเงียบ เก็บทุกอย่างไว้คนเดียวนะครับ...ผมทำแบบนั้นตลอดแหละ แล้วดูซิ มีใครเคารพผมบ้างไหม?”
ชินโดหัวเราะกับคำพูดติดตลกนั้นอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนักแม้คราบน้ำตาบนใบหน้าจะแห้งเหือดไปแล้ว ท่าทางดูเหนื่อยอ่อน
“วันนี้ฉันคงไม่โอเคจริง ๆ แหละ” เจ้าตัวยอมรับอย่างเก้อเขิน แววตาวูบไหวเกือบคล้ายจะร้องไห้อีกรอบเมื่อฝ่ามืออบอุ่นของคนอ่อนวัยกว่าตบลงมาบนไหล่อย่างแผ่วเบา "เหมือนอะไร ๆ ที่เครียดสะสมมาตลอดมันร่วงลงมาใส่พร้อมกัน"
“ไม่โอเคก็ไม่เป็นไรหรอกครับ” สึรุกิตบบ่าปลอบโยนอีกครั้งด้วยกิริยาเก้ ๆ กัง ๆ สุดท้ายเขาก็ยังเป็นไอ้เด็กเข้าสังคมไม่ได้ความ ไม่รู้จะทำอะไรอื่นอีกได้ จึงทำได้แค่ย้ำคำพูดของตน “ไม่โอเคก็ไม่เป็นไร”
ดวงตากลมวาวหลุบลงต่ำ นิ้วเรียวยาวของเจ้าตัวคว้าชายเสื้อของรุ่นน้องเอาไว้หลวม ๆ ลังเลอย่างคนต้องการที่ยึดเหนี่ยวแต่กลัวถูกปฏิเสธ เขาพยักหน้า ยิ้มมุมปากให้เป็นการบอกว่าไม่ถือสาอะไร คราวนี้รุ่นพี่ตัวเล็กของเขาจึงกำเนื้อผ้าตรงชายเสื้อแน่นทีเดียว จากนั้นก็ก้มหัวลงจนเส้นผมนุ่มกระทบบ่าของสึรุกิเบา ๆ ลักษณะท่าทางเกือบจะเป็นการซบ ชินโดเหนื่อยมากจนไม่รู้ตัว สึรุกิก็ไม่ได้ท้วงอะไร
“ฉันกังวลเรื่องโค้ชเอนโด” นั่นคือคำพูดพยายามเลียนแบบความเข้มแข็งของเด็กคนหนึ่งที่ไม่แน่ใจ หวาดกลัว กังวลจนปิดไว้ไม่มิดอีกต่อไป “ไม่รู้ว่าไปทำธุระอะไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับโค้ชล่ะ? แล้วถ้าพวกเราเกิดแพ้ขึ้นมาจะมีหน้าไปเจอโค้ชได้ยังไง?”
“ถ้าเราพยายามดีที่สุดแล้ว โค้ชจะไม่มีทางว่าเราครับ” คนอ่อนวัยกว่าได้แต่ตอบสิ่งที่ตนมั่นใจออกมา “ส่วนเรื่องโค้ชจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า...แกเก่งขนาดนั้น ต้องเอาตัวรอดได้อยู่แล้วครับ อีกอย่างหนึ่งคือแกมีชื่อเสียงระดับนั้น ฟิฟท์เซคเตอร์ไม่มีทางเสี่ยงไปทำร้ายหรอก อย่างทีมไรมงของเราไงครับ มีชื่อเสียงเหมือนกัน ทางนั้นก็ไม่กล้ายุบทิ้งระหว่างแข่ง เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น คนจะรู้เป็นวงกว้าง ผลกระทบมากเกินไป” ถึงขั้นยกเหตุผลที่ฟิฟท์เซคเตอร์ปิดไว้เป็นความลับมาอ้าง...ช่างมันสิ เขาทิ้งองค์กรนั่นมาแล้ว แฉลากไส้หมดเปลือกแค่ไหนก็ไม่ถือว่าทรยศ ไม่สิ ต้องพูดว่าเขาทรยศมานานแล้วต่างหาก
“จริงหรือ? ดีจัง” สีหน้าหมองหม่นนั้นเริ่มสดใสขึ้นมาบ้าง สึรุกิรับรองว่าจริงไปพลางก็เผลอลืมตัวลูบผมชินโดไปพลาง เจ้าตัวหลับตาลง ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนตัวคนลูบพอรู้ตัวก็รีบชักมือหนีทันที
“คิโดคาว่า เซย์ชูนั่น...ปีที่แล้วพวกเราเล่นเต็มที่ก็ยังแพ้ได้” ยังไม่ลืมตาขึ้นมา แต่คิ้วเริ่มขมวดมุ่น “ทีมของเราดีขึ้นมากแล้วก็จริง แต่ฉันก็ยังอดกลัวไม่ได้ คิดมากเกินไปใช่ไหม?”
“จะคิดอย่างนั้นมันก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ เราก็ทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุด สุดท้ายต่อให้แพ้ ก็ต้องได้อะไรกลับมาบ้างละมัง...”
สึรุกิรับฟังทุกอย่างที่ชินโดระบายออกมาอย่างสงบ ไม่ได้บอกว่าไม่เป็นไรหรือทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะนั่นเป็นคำโกหกและคำสัญญาที่อาจจะรักษาไม่ได้ เขาไม่รู้จักวิธีอื่นที่ดีกว่าการยอมรับ ชีวิตที่เคี่ยวกรำเด็กหนุ่มอย่างไร้ปรานีสอนไว้แค่นั้น
ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือร้าย เมื่อมันเป็นความจริงก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ ยิ่งฝืนก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างยากไปเปล่า ๆ
ถึงอย่างไร สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องผ่านไปอยู่ดี
ชินโดก็เช่นกัน...เขามองรุ่นพี่ที่เล่าไปเล่ามาก็ร่ำ ๆ จะร้องไห้อีกรอบแต่พยายามห้ามตนเองไว้อย่างอ่อนใจ....เมื่อเจ้าตัวแบกรับปัญหามากมายเอาไว้ไม่ไหวจริง ๆ สึรุกิก็ไม่คิดจะไปฝืนให้แบกไหว
...อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาให้โล่งใจเถอะ...เขาย้ำขณะตบหลังอีกฝ่ายอย่างเห็นอกเห็นใจอีกครั้ง...ถ้าเก็บไว้นาน ๆ จนร้องไม่ออกขึ้นมาจะแย่เอา จะเหมือนหายใจไม่ออกตลอดเวลา อย่าให้เป็นแบบนั้นเลย...ไม่นึกหงุดหงิดอะไรเมื่อน้ำตาบางหยดทิ้งรอยไว้บนเสื้อของตน
ชินโดที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นอยู่ตอนนี้...ก็คือคนเดียวกับกัปตันของเขา กัปตันที่เข้มแข็ง เป็นรุ่นพี่ที่ดีที่สุด คนที่ให้อภัยคนที่เคยทำร้ายตนเองไว้มากมาย คนที่ขี้บ่น เจ้ากี้เจ้าการเพราะเป็นห่วง คนที่ใจดีและคอยให้กำลังใจเขาเมื่อต้องการอยู่เสมอ...เมื่อสึรุกิอยู่ข้างชินโดตอนเข้มแข็งได้ เขาก็ไม่มีทางผลักไสเมื่ออีกฝ่ายล้มลง
ทุกอย่างย่อมผ่านพ้นไป ไม่นาน ชินโดก็จะกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม
สึรุกิเชื่ออย่างนั้น ชินโดอาจร้องไห้ให้เขาเห็นมาหลายครั้ง แต่เขาก็เห็นมาหลายครั้งแล้วเช่นกันว่าคนคนนี้ไม่ได้อ่อนแอเลย
สรุปแล้ว เอาเข้าจริง รุ่นพี่ของเขาก็ไม่ได้เล่าเรื่องหนัก ๆ ให้ฟังมากขนาดนั้น เหมือนจะยังเก็บส่วนใหญ่ไว้ในใจอยู่นั่นเอง กำแพงที่ตั้งไว้สูงมากจริง ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก
แค่สบายใจขึ้นก็พอแล้ว
+++++++++++++++++++++++++
วันต่อมา กัปตันทีมไรมงก็สุขภาพจิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด...ชัดพอ ๆ กับรอยฟกช้ำที่ขา เพื่อนร่วมทีมรวมหัวกันห้ามเจ้าตัวใช้งานขาหนักเกินไปถึงสองวันเต็ม ๆ ทั้งยังนัดกันหูหนวกยกทีมตอนคนขาเจ็บประท้วงว่านั่นเป็นแค่แผลเล็ก ๆ เท่านั้นเอง
ชินโดผู้ถูกจับให้นั่งอยู่เฉย ๆ อย่างเรียบร้อยทั้งวันเพิ่งมาตะหงิดได้ตอนบ่ายแก่ ๆ นั่นเองว่าสึรุกิที่เปลี่ยนมาเรียกตนเองว่า ‘ชินโดซัง’ เมื่อเย็นวานก็กลับไปเรียกว่ากัปตันเหมือนเดิมแเล้ว แต่มันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยจนไม่น่าถาม เขาก็เลยไม่ได้พูดอะไร
เป็นสองวันที่น่าเบื่อหน่าย เขาอยากกลับไปเล่นฟุตบอลได้อีกเร็ว ๆ
การฝึกท่าไม้ตายคู่กับสึรุกิไม่ควรถูกทิ้งไว้นานเกินไป
+++++++++++++++++++++++++
จากใจเรา
ขอโทษจริง ๆ นะคะ ไม่เกินกำหนดว่าจะเว้นช่วงอัพไม่เกินเจ็ดวันก็จริง แต่ก็มาซะดึกเลย
เราพยายามเขียนให้เร็วโดยคงคุณภาพให้มากที่สุดแล้ว หวังว่าจะยังชอบกันนะคะ เราเป็นสายเขียนช้าเพราะมาตรฐานสูงกว่าฝีมือจริง ๆ ตนเองมาก เขียนไปแล้วไม่ได้ดั่งใจก็ลบแล้วเขียนใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะได้ที่ถูกใจ
มาถึงเรื่องของตอนนี้ค่ะ ตอนแรกที่คิดจะเขียนเรื่องนี้ก็วางแพลนในหัวคร่าว ๆ ว่าจะเป็นตอนที่ทั้งสองคนฝึกท่า Joker Rains ด้วยกัน เป็นอะไรแบบน่ารัก ๆ ประเภทฝึกเสร็จแล้วแปะมือกันอะไรอย่างนี้ แต่ก็กลายมาเป็นอะไรเครียด ๆ แบบนี้ซะได้
เราอดคิดถึงชินโดไม่ได้ว่าเป็นคนที่เคร่งครัดกับตนเองมาก แบกหน้าที่ไว้มาก ก็เลยคิดว่าสุดท้ายก็คงต้องกดดันและเครียดมากจนระเบิดออกมาได้สักวัน และชินโดก็แสดงให้เห็นในเรื่องหลายครั้งด้วยว่าเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหว เลยเกิดมาเป็นตอนนี้ค่ะ
ส่วนตัวเราไม่คิดว่าชินโดอ่อนแอขี้แยนะคะ เจ้าตัวทนมามากแล้วจริง ๆ มากจนไม่ไหวแล้ว ก็เลยต้องร้องไห้ออกมาและปรับทุกข์กับใครสักคน ดังนั้นเจ็บแค้นเคืองโกรธมาตบเราเลย แต่อย่าว่าชินโดนะ ขอร้องละ กระซิก ๆ
สึรุกิตามที่เราตีความไว้เคยเจอเรื่องหนัก ๆ มามากตอนอยู่กับฟิฟท์เซคเตอร์ค่ะ จนต้องหาวิธีลงให้ใจตนเองสงบให้ได้ ก็เลยเป็นคนที่ไม่ตัดสินใครและยอมรับอะไรได้ง่าย ๆ...อาจจะง่ายเกินไป
"ไม่โอเคก็ไม่เป็นไร" นี่เป็นประโยคที่เวลาเหนื่อย ๆ ก็อยากให้ใครสักคนมาพูดด้วยนะคะ เพราะสภาพตอนนั้นมันรู้สึกไม่โอเคจริง ๆ พอคิดว่าต้องโอเคแล้วก็รู้สึกตนเองไม่ได้เรื่องขึ้นมา ยอมรับได้แล้วไปพักผ่อนถึงค่อยดีขึ้นค่ะ เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างในชีวิต เราก็ต้องยอมรับว่ามันไม่โอเคจริง ๆ นะ ไม่งั้นสุดท้ายจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย
นี่เราเอาความรู้สึกตนเองไปยัดเยียดให้ชินโดหรือเปล่านะ...
ใครอ่านแล้วรู้สึกว่ามีข้อติตรงไหนบอกได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือการตีความตัวละคร เราจะเอาไปปรับใช้ ส่วนอะไรที่อ่านแล้วชอบก็บอกด้วย เราจะได้เอาไปพัฒนาและมีกำลังใจค่ะ
20/4/2559
เราขอโทษจริง ๆ ค่ะ ด้วยความรีบ ทำให้เราเขียนตอนหนึ่งของเรื่องผิด
ความจริงตอนท้าย ๆ มันต้องเป็นว่าสึรุกิกลับไปเรียกชินโดว่ากัปตันเหมือนเดิมในวันต่อไป ไม่ใช่เปลี่ยนไปเรียกชินโดซังเลยถาวร เราเบลอเลยเขียนผิด ขอโทษอีกครั้งจริง ๆ นะคะ
ความคิดเห็น