ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Inazuma Eleven Go] More than Words (Tsurugi x Shindou)

    ลำดับตอนที่ #8 : "You're funny."

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 59


    เวลาเช้ามืด ฝนเกือบหยุดตกแล้ว


    วันนี้สึรุกิเป็นเวรจัดเตรียมอุปกรณ์ฝึกซ้อมภาคเช้า จึงออกจากบ้านตั้งแต่ตอนที่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดี เขาเก็บร่มลงกระเป๋าไปตั้งแต่เมื่อครู่เพราะขี้เกียจถือ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ร่มอีกต่อไป ความรู้สึกที่ได้จากหยาดฝนตอนนี้เหมือนกับมีคนมาสะกิดนาทีละสองสามครั้งเท่านั้นเอง ปริมาณไม่มากพอให้เปียกโชก ไม่พอให้ป่วยไข้แต่อย่างใด


    ตอนนี้ยังเช้ามืดอยู่ ตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางที่แสงสลัว ๆ พอส่องให้เห็นได้เปียกชุ่มจนกลายเป็นสีดำแวววาว ราวกับทั้งเมืองถูกชำระล้าง...ถ้าเป็นสองแม่ลูกร้านเบเกอรี่คงเปรียบเทียบว่าเหมือนถูกเคลือบด้วยน้ำตาล สองคนนั้นหายใจเข้าออกเป็นเรื่องทำขนม


    พอเดินไปถึงตรงหัวมุมถนนหนึ่ง เด็กหนุ่มก็เห็นอะไรบางอย่างที่เกือบกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง มันเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเล็กนิดเดียว เขาคงจะมองผ่านมันไป ถ้าไม่ติดว่าเจ้าก้อนนั่นสั่นระริกได้ และมีหูเล็ก ๆ โผล่มาจากตรงที่ควรเป็นหัว...


    มันคือลูกแมวดำที่นอนขดตัวอยู่ คงไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือคนเท่าไหร่ ทั้งยังเปียกซกไปทั้งตัวและหนาวสั่น


    สึรุกิเข้ากับแมวไม่ค่อยได้ อาจเป็นเพราะแมวที่เขาเคยเจอล้วนแต่เป็นแมวจรจัดที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนจนกลายเป็นแมวดุร้ายเขี้ยวเล็บโง้ง หรือไม่ก็แมวนึกครองโลกที่มักปรายตามองคนอย่างหยามเหยียดราวเห็นเป็นข้าทาส ที่แน่ ๆ คือปฏิกิริยาที่พวกมันมีต่อเขาล้วนแต่เป็นมองผ่าน ไม่ก็ขู่ฟ่อใส่ และถ้ายังขืนแตะตัวมันอีก ก็จะได้รอยข่วนเล็ก ๆ สามรอยเป็นของกำนัลกลับไป ทั้งที่เด็กหนุ่มไม่เคยรังแกแมวมาก่อนเลยในชีวิตแท้ ๆ เขาจึงอดปันใจไปให้หมามากกว่าไม่ได้ พวกมันเป็นมิตรและเข้าใจง่ายกว่า


    ถึงอย่างนั้น สึรุกิก็คุกเข่าลง ถอดเสื้อนอกออกห่มให้ลูกแมวน้อย แล้วอุ้มขึ้นมาแนบอก ตัวมันเล็กนิดเดียว นอนขดบนฝ่ามือสองข้างของเขาได้สบาย


    ไม่ว่าอย่างไร เขาทนปล่อยมันทิ้งไว้โดยไม่ทำอะไรไม่ได้ ขัดกับมโนธรรมเกินไป มันจะขู่แฟ่ใส่แค่ไหนก็ตามสบาย ข่วนเลยก็ยังได้ อุ้งเท้าจิ๋วสีชมพูกระจุ๋มกระจิ๋มพรรค์นี้จะมีพิษสงแค่ไหนกันเชียว


    แต่มันก็ไม่ได้ขู่ฟ่อใส่ ทั้งยังไม่ได้พยายามประทุษร้ายอะไรผู้ช่วยเหลือ มันเอียงคอมอง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่ใสแจ๋วเบิกกว้างอย่างอยากรู้อยากเห็น...ชวนให้นึกถึงคนคนหนึ่งที่ชอบมองตนเองลักษณะนี้เช่นกันเหลือเกิน ใช่แล้ว คนที่เป็นกัปตันทีมฟุตบอลนั่นแหละ


    “เหมียว” เสียงเล็ก ๆ หลุดออกมาจากปากของลูกแมว มันเริ่มใช้อุ้งเท้าแตะตามตัวเด็กหนุ่มเหมือนพยายามทำความรู้จัก...แต่ความจริงแล้วมันอาจจะแค่อยากข่วนเขาแต่ไม่มีเล็บก็เป็นได้ ช่างมันเถอะ อย่างน้อยมันก็ดูสดชื่นแข็งแรงดี ไม่ได้มีอาการเซื่องซึมอะไร


    “เดี๋ยวถ้าเห็นว่าไม่สบายจะพาไปหาหมอนะ” สึรุกิกระซิบบอกมัน งงตนเองมากว่าทำไมต้องพูดกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าจะเข้าใจภาษาคนด้วย...ลูกแมวน้อยยังอุตส่าห์ร้องเหมียวออกมาอีกครั้งราวกับจะรับคำ เป็นเสียงที่น่ารักน่าเอ็นดูจนน่าจะทำให้หัวใจคนรักแมวหลอมละลายได้เลยทีเดียว


    พอเห็นแมวก็อดนึกถึงกัปตันชินโดที่ชอบมองตนเองแบบเดียวกับแมวไม่ได้ เจ้าตัวใช้ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือเป็นรูปแมวสองตัวกับโน้ตดนตรี บอกว่าหน้าตาเหมือนแมวที่บ้าน ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นคนรักแมวคนหนึ่ง


    ถ้าเห็นเจ้านี่...กัปตันจะว่ายังไงบ้างนะ...เด็กหนุ่มอดครุ่นคิดไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ลูกแมวตัวนี้คงไม่ได้อยู่ให้เห็นนานนักอยู่แล้ว มันอาจจะมีเจ้าของ และต่อให้ไม่มีก็คงต้องยกให้คนอื่นเลี้ยงไป บ้านเขาไม่เหมาะกับการเลี้ยงสัตว์ และโค้ชคิโดก็ไม่น่ายอมให้มีแมวมานอนอ้วนขนมันในห้องเป็นมาสคอตชมรมฟุตบอลอยู่นานนักหรอก ถ้าเป็นเพนกวินค่อยว่าอีกเรื่อง


    สึรุกิเป็นคนแรกที่มาถึงห้องชมรม เขาวางลูกแมวลงตรงมุมห้อง เซิร์ชทางมือถือครู่หนึ่งว่าลูกแมวกินอะไรได้บ้างโดยไม่เป็นอันตราย สุดท้ายก็ต้องสละไข่ต้มสุกที่พกมาเป็นอาหารเช้าตนเองให้ วันนี้กะกินขนมปังทาเนยคู่กับไข่ต้มก็จริง...แต่ช่างมัน ขนมปังทาเนยกินเดี่ยว ๆ ก็ไม่จืดสักหน่อย...พร้อมกับขอชามเก่า ๆ จากโรงครัวมาใส่น้ำสะอาดด้วย มันมอง ๆ อยู่พักหนึ่งแล้วก็งับไข่ต้มจากมือเขากินด้วยท่าทางหิวจัดจนไม่เหลือความเกี่ยงงอน เขาเอาเสื้อนอกตนเองกลับมา เช็ดตัวให้ หาผ้าขนหนูอีกผืนมาห่มให้แทน ก่อนออกไปทำหน้าที่ของตน


    จัดเตรียมอุปกรณ์ไม่ใช่งานยากเย็นใช้เวลานานอะไร เพียงแต่ต้องมาให้เช้า ครู่เดียวเด็กหนุ่มก็ทำงานเสร็จ รีบกลับไปดูลูกแมว มันเป็นความรับผิดชอบของเขา ต่อให้พอมันเห็นหน้ากันอีกครั้งจะเริ่มนึกขึ้นได้ว่าเกลียดขี้หน้าเขาดีกว่าแล้วแยกเขี้ยวพองขนใส่ก็ตาม


    สิ่งแรกที่ได้ยินตอนเปิดประตูเข้ามาในห้องคือเสียงร้องเหมียวจากลูกแมว มันกินอาหารหมดเกลี้ยงและนอนหมอบเป็นก้อนขนฟู ๆ อยู่บนพื้นด้วยท่าทางเป็นสุข ขนบริเวณปากเปียกชุ่มกับหนวดเส้นจิ๋วมีหยดน้ำเกาะอยู่สองสามหยด


    เหมือนมันจะไม่ต้องการการดูแลอะไรอีก สึรุกิจึงไม่พยายามเข้าไปแตะต้อง เพียงแต่จับจองที่นั่งที่อยู่ใกล้มุมห้องที่สุด และจับตามองลูกแมว ดวงตาใสแจ๋วนั่นก็มองกลับมา สบตาสีทองของมนุษย์นิ่งทีเดียว


    “ถ้าง่วงก็หลับไปเลยก็ได้ ถ้าคนอื่นมา ฉันจะอธิบายเอง” เด็กหนุ่มพูดกับแมวอย่างขี้เกียจสงสัยตนเองแล้ว และเริ่มถือเสียว่าไอ้การร้องเหมียว ๆ นั่นเป็นการแสดงว่ามันเข้าใจแล้วกัน


    ความจริงแล้ว มันอาจจะไม่เข้าใจ เพราะมันลุกขึ้นยืน สลัดผ้าขนหนูทิ้ง ก่อนจะเดินเตาะแตะเข้ามาหาสึรุกิโดยยังไม่ยอมเบือนสายตาไปทางอื่น สุดท้ายก็มานั่งแปะอยู่ตรงแทบเท้าของเขา ครั้นแล้วก็ยกอุ้งเท้าเล็กจิ๋วขึ้นแตะ ๆ รองเท้ามนุษย์ แถมยังดมฟุดฟิดอีกต่างหาก ตอนแรกสึรุกิคิดว่ามันคงอยากรู้อยากเห็นไม่ก็อยากใช้เป็นที่ฝนเล็บ แต่ผลออกมาว่าที่คาดเดาไว้ผิดทั้งหมด เจ้าลูกแมวใช้หัวเล็กจ้อยฟูฟ่องคลอเคลียข้อเท้าของเขาไปมา สัมผัสนุ่มให้ความรู้สึกจั๊กจี้อยู่บ้าง มนุษย์มองตาปริบ ๆ อย่างคนเพิ่งเคยพบแมวที่ไม่ได้ประสงค์ร้ายกับตนเป็นครั้งแรก


    หลังจากออกท่าออกทางเหมือนออดอ้อนได้พักหนึ่ง เจ้าสิ่งมีชีวิตขนฟูตัวจ้อยก็เริ่มใช้รองเท้าเป็นฐานแรกของการปีนขึ้นมาตามขาของเขาอย่างมุ่งมั่น...อุ้งเท้าที่ดูไร้พิษสงนั่นพอจะมีเล็บงอกขึ้นมาแล้วจริงเสียด้วย หลักฐานก็คือความปวดแปลบจาง ๆ ตรงส่วนที่มันใช้เป็นที่ยึดเกาะเท้านั่นเอง สึรุกิได้แต่นั่งนิ่ง ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี ในที่สุด มันปีนขึ้นมาถึงบนตักเขา วางท่าอย่างผู้มีชัยก่อนทิ้งตัวลงนอน เจตนาบอกชัดว่าหวังยึดครองตักคนเป็นอาณานิคมที่นอน


    สึรุกิใช้นิ้วชี้เกลี่ยไปตามหัวเล็ก ๆ นุ่มฟูอย่างแผ่วเบาและระมัดระวัง เขาเชื่อฝังหัวไปเสียแล้วว่าตนเองเป็นคนทำอะไรรุนแรง มือหนัก จึงออกจะกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อต้องรับมือกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อ่อนแอ ช้ำในง่าย แต่ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็ปลื้มอยู่หรอกที่มีลูกแมวมาสนอกสนใจตนเองขนาดนี้


    ลูกแมวส่งเสียงครางครืด ๆ ในคอ เอาหัวนุ่ม ๆ ถูไถกับนิ้วของเขาไปมา หรี่ตาลงจนกลายเป็นหลับตาพริ้ม…และเสี้ยววินาทีหนึ่ง สึรุกิก็ไม่เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมบนโลกใบนี้ถึงมีคนรังเกียจแมว แต่แล้วก็จำแมวดุร้ายตาเขียวปั้ดที่กระโจนจากกำแพงลงมาจิกเล็บใส่หนังหัวเขาเมื่อหลายเดือนก่อนได้


    ...เจ้าตัวนี้อาจจะไม่ดุเพราะเป็นลูกแมวละมัง...เด็กหนุ่มได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆ นานาขณะลูบหัวลูกแมวจนมันขดตัวเป็นวงกลม จังหวะหายใจเริ่มสม่ำเสมอ คงหลับไปแล้ว


    เออ หลับได้ก็ดีแล้ว...ว่าแต่จะทำยังไงต่อไปดี จะอุ้มมันกลับไปนอนตรงมุมห้องก็กลัวมันตื่น แต่ถ้าปล่อยให้นอนตรงนี้ต่อไป เขาจะลุกไปทำงานทำการได้อย่างไร...ทำไงดี...ทำไงดี...


    สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร


    ดวงตาสีทองได้แต่จับจ้องลูกแมวน้อยที่กำลังนอนหลับอุตุอย่างสบายอุราด้วยความสิ้นหวังและความสงสัยว่าเมื่อไหร่มันจะลุกออกไปนะ


    ชินโดมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน สึรุกิรับคำเมื่อรุ่นพี่ร้องถามมาว่ามีใครอยู่ในห้องหรือเปล่า แต่กลับลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ไม่ได้ เหมือนเจ้าตัวเล็กนี่จะคิดว่าตักเขานอนสบาย ทางขาเขากลับไม่สบายเท่าไหร่ เริ่มชาขึ้นมาแล้วอีกต่างหาก


    กัปตันทีมไรมงเปิดประตูเข้ามาเอง มองเขาแล้วก็ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำตาโตเมื่อสังเกตเห็นลูกแมวตัวนั้น รีบถลันเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ทันที ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่ยิ่งดูยิ่งคล้ายตาแมวจ้องรุ่นน้องอย่างขอคำอธิบาย


    “เจอระหว่างทางไปโรงเรียนน่ะครับ ตัวเปียกฝนอยู่เลยเก็บมาให้กินอะไรหน่อย แล้วก็เช็ดตัวให้ด้วย” ระหว่างที่สึรุกิเล่า ชินโดก็ไม่ได้ละสายตาอันเป็นประกายสุกใสไปจากลูกแมวเลย แถมยังใช้นิ้วจิ้มอุ้งเท้าเบา ๆ ทีหนึ่งอีกต่างหาก ครั้นแล้วก็ยิ้มอย่างรู้สึกผิดทีหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาเพื่อมารยาทอันดี


    “กัปตันครับ ผมจะทำยังไงกับมันดีครับ?” คนอ่อนวัยกว่าถามอย่างออกกระดาก “มันขึ้นมานอนตักผมเองแล้วก็หลับปุ๋ยไปเลย จะอุ้มไปนอนที่อื่นก็ไม่กล้า เดี๋ยวมันตื่น”


    รุ่นพี่เห็นสีหน้าไร้ซึ่งทางออกของอีกคนแล้วก็นึกอยากตอบแกล้งไปประมาณว่า ‘ก็ปล่อยมันไปสิ มีลูกแมวนอนตักทั้งวันออกจะเป็นเรื่องดี’ แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่ทำดีกว่า เพียงแต่บอกไปว่าถ้าต้องลุกไปไหนจริง ๆ ก็อุ้มมันไปปล่อยที่อื่นก็ได้ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับมันขนาดนั้น


    “ปกติแล้ว แมวมันจะหลับเฉพาะในที่ที่มันสบายใจ รู้ไหม?” เขาบอกไป ขณะมองสึรุกิที่กำลังพยายามทำใจแข็งรบกวนการนอนหลับสบายของเจ้าเหมียว “นายไปทำอะไรให้เจ้าตัวนี้ล่ะนี่? เหมือนมันจะถูกใจนายเข้าแล้วนะ”


    “ก็แค่เช็ดตัว แล้วก็ให้ข้าวให้น้ำไปนิดหน่อย” รุ่นน้องตอบแผ่วเบา นิ้วยังลูบหัวแมวไปมาไม่เลิก กิริยาดูทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง ชินโดคิดว่าเป็นภาพที่น่ารักดี สึรุกิที่ตัวสูงโปร่งเทียบกับลูกแมวตัวจ้อยแล้วก็ยักษ์ดี ๆ นี่เอง ยักษ์ที่พยายามอ่อนโยน บีบตัวตนใหญ่โตให้เล็กลีบที่สุดเพื่อสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ...เขาอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้


    “ยิ้มอะไรเหรอครับ?” สึรุกิเลิกคิ้ว สายตาบอกชัดเจนว่าไม่เข้าใจ ชินโดไม่ทันได้คิดอะไรจึงหัวเราะแล้วตอบไปตามตรง


    “ไม่แปลกหรอกที่มันจะติดนาย ถ้าฉันเป็นแมวตัวนี้ ฉันก็ติด” ดวงตาสีทองเบิกกว้าง ความงุนงงยิ่งทวีขึ้นกว่าเดิม “ก็สมมติว่าฉันเป็นลูกแมวตัวเล็กจิ๋วขนาดนี้นอนเปียกฝนอยู่แล้วมียักษ์อุ้มฉันขึ้นมา แล้วคอยดูแลแบบใจดีอย่างนี้ ฉันจะไม่ชอบได้ยังไง”


    รุ่นพี่ตัวเล็กไม่รู้ตัวว่าคำพูดของตนเองฟังดูทะแม่ง ๆ ตรงไหน มีแต่คนฟังที่เริ่มเสมองไปทางอื่น ใบหูเรื่อขึ้นเล็กน้อย ก่อนหยิกแขนตนเองแรง ๆ หนึ่งทีเป็นการลงโทษที่จินตนาการภาพตามคำบรรยายเป็นอะไรมิบังควร


    “กัปตันนี่ตลกดีนะครับ” สึรุกิหยอกล้อกลบเกลื่อนท่าทีของตนเอง “มียักษ์มาอุ้มแบบนั้นควรกลัวสิถึงจะถูก”


    “พูดอะไรดูตนเองหน่อยเถอะ!” ชินโดว่ากลับเข้าให้อย่างขัน ๆ “ไอ้ยักษ์ไส้เต้าหู้อย่างนายมันน่ากลัวแค่ภายนอกเท่านั้นแหละ”


    “อ้าว ทำไมจู่ ๆ มนุษย์ปกติอย่างผมถึงมีไส้เป็นเต้าหู้ได้ครับเนี่ย แล้วถ้าผมไส้เต้าหู้ กัปตันล่ะไส้อะไร? ช็อกโกแลตหรือไง?” ยักษ์ไส้เต้าหู้เริ่มกล่าวหามนุษย์


    “ใช่ ดาร์คช็อกโกแลตใส่เครื่องเทศด้วย” มนุษย์รับมุก...ยอมรับคำกล่าวหาหน้าตาเฉย


    “คนอะไร...ขนาดไส้ในยังหรูได้...ระวังผมจับกินแล้วกัน ของชอบพอดี”


    “แค่โดนหาว่าเป็นยักษ์ไส้เต้าหู้นี่ถึงขั้นจะฆ่าแกงกันกินเลยเหรอ ศีลธรรมนายไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว!”


    “ไม่ได้โกรธเรื่องนั้นครับ...แค่ชอบดาร์คช็อกโกแลตเฉย ๆ และผมไม่แกงกัปตันหรอกครับ กินมันสด ๆ นี่แหละ เผลอ ๆ จะไม่ฆ่าก่อนด้วย”


    “หนักกว่าเดิมอีก!”


    ระหว่างที่พวกเขาโต้เรื่องไร้สาระกันไปมาฆ่าเวลา เจ้าแมวก็ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นเหยียดตัวบิดขี้เกียจ ตั้งท่าจะกระโจนลงพื้นไปเอง แต่สึรุกิผู้กังวลถึงสวัสดิภาพของลูกแมวเกินเหตุก็คว้าตัวไว้ทัน อุ้มขึ้นไปวางตรงมุมห้องตามเดิม ลืมเรื่องที่คุยกับรุ่นพี่อยู่ไปเสียสนิท ชินโดตามไปติด ๆ พลางจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องวิธีอุ้มแมวที่ถูกต้องกรอกหูไปด้วย


    หลังจากนั้นน่ะหรือ?


    วันนี้ทั้งวัน เจ้าแมวตัวนี้ก็กลายเป็นศูนย์รวมความรักใคร่ของสมาชิกชมรมฟุตบอลไรมง ทุกคนพากันไปจด ๆ จ้อง ๆ มันด้วยความสนใจระดับค้นพบสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก (ซึ่งก็ถูกแล้วเพราะสิ่งมีชีวิตที่ครองโลกย่อมสำคัญกว่าสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก...เดี๋ยวนะ) ตอนกลางวันก็หาโน่นหานี่มาให้กินจนอิ่มหมีพีมันราวกับราชา แม้ว่าอาหารกว่าครึ่ง อันได้แก่ นมวัว ช็อกโกแลต ชาเขียว ลูกอม ฯลฯ จะถูกชินโดผู้ที่บ้านเลี้ยงแมวยึดไปหมด พร้อมกับเทศนาเชิงให้ความรู้อีกยืดยาวว่า ไม่รู้หรือไงว่ากระเพาะแมวมันย่อยนมวัวไม่ได้ ช็อกโกแลตมันมีสารที่อันตรายกับแมว คาเฟอีนก็ด้วย พวกลูกอมก็เหมือนกัน ฯลฯ สุดท้ายคนเอามาให้ก็ต้องกินเอง


    สึรุกิโพสต์รูปเจ้าแมวลงในมูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ของเมือง ซึ่งก็มีคนจำได้ว่ามันเป็นลูกของแมวจรที่ถูกรถชนตายไปเมื่อวันก่อน เท่ากับว่า...ไม่มีเจ้าของ สายตาแวววาวอย่างคาดหวังนับสิบคู่หันไปมองโค้ชคิโดเป็นตาเดียว แต่แกก็ทำหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่เห็น ซ้ำยังบอกว่าจะยอมให้มันอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว แต่ต้องเริ่มหาเจ้าของให้เย็นนี้ (บางคนแอบบ่นอุบอิบว่า...ถ้าเป็นเพนกวิน ไหนเลยโค้ชจะมีปฏิกิริยาเยี่ยงนี้) สุดท้าย คุณป้าแม่ครัวของโรงเรียนก็มารับไปเลี้ยง ซึ่งทุกคนก็พออกพอใจกับผลลัพธ์นี้ดี เพราะแสดงว่ามันก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวโรงครัวนั่นเอง ไม่ได้ไปไหนไกล


    คุณป้าแม่ครัวใจดีมาก ทั้งยังเลี้ยงแมวเป็น...ปัญหาอย่างเดียวคือแกตั้งชื่อลูกแมวว่า...ลอร์ดโวลเดอมอร์ เล่นเอาหลายคนนึกอยากเปลี่ยนใจหาเจ้าของคนอื่นให้เสียตรงนั้นเอง (ภายหลังยังทราบว่าที่บ้านแกมีหมาชื่อแกนดาล์ฟกับดาร์ธเวเดอร์ และแมวแก่อีกตัวชื่ออัสลาน)


    เจ้าแมวน้อย...ลอร์ดโวลเดอมอร์ได้กินดีอยู่ดีจนอ้วนขนมัน ทั้งยังกลายเป็นขวัญใจของนักเรียน มีหน้าที่ให้มนุษย์เอาอกเอาใจ มันทำตัวเสียแมวด้วยการเป็นมิตรกับคนทั่วไปและขี้อ้อน คลอเคลียขาใครเขาไปทั่ว ราวกับรู้ว่ากิริยาชนิดนี้จะยิ่งเรียกความรักความเอ็นดูเข้าหาตนเองได้เป็นเท่าตัว


    ถึงอย่างนั้น นักเรียนคนเดียวที่มันกระโดดขึ้นไปนอนตักก็คือเด็กหนุ่มหน้าโหดท่าทางนักเลงคนหนึ่ง เมื่อถูกจู่โจมแบบนั้นแล้ว เด็กคนนั้นก็จะเผยด้านอ่อนโยนที่ยากพบเห็นออกมา เขาจะค่อย ๆ ลูบหัวแมวไล่ไปตามสันหลังและเกาคางให้ บางครั้งยังปล่อยให้มันนอนตักตนเองตามสบายและลุกออกไปเองเมื่อมันพอใจจนเป็นเหตุให้เข้าเรียนสาย


    ถ้าคุณตัวเล็กนิดเดียวจนนอนบนฝ่ามือของยักษ์ตนหนึ่งได้ และยักษ์ตนนั้นก็อุ้มคุณขึ้นอย่างนุ่มนวล ให้อาหารและที่นอนกับคุณ ดูแลและคอยปกป้องคุณอย่างดี...คุณก็คงลืมยักษ์ตนนั้นไม่ได้ง่าย ๆ กระมัง


    +++++++++++++++++++


    เวลาบ่ายแก่ ๆ ฝนยังตกอยู่พรำ ๆ


    เม็ดฝนกระทบกระจกหน้าต่างดังเปาะแปะ รุ่นพี่ของเขานั่งหลับตาแต่ไม่ได้หลับ ท่าทางอารมณ์ดีและผ่อนคลาย เขารู้จักชินโดดีพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ศิลปินด้านบวก...ถ้าให้อธิบายก็ทำนองว่ารู้สึกมีความสุขอิ่มเอม โลกนี้ช่างงดงาม หรืออะไรเทือกนั้น (อารมณ์ศิลปินด้านลบของเจ้าตัวก็ประมาณว่ารู้สึกโกรธจนอยากจับใครสักคนหักคอ แต่ก็แสดงความรู้สึกแย่ ๆ ออกมาด้วยการเล่นเปียโนแทน) เขาผู้ค่อนข้างจะขาดอารมณ์สุนทรีย์ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าคราวนี้อีกคนไปรู้สึกว่าอะไรงามเข้าอีก จึงอดถามออกไปไม่ได้ว่ามีอะไรหรือ


    “เสียงฝนไง” ชินโดยิ้มกว้างขึ้น อธิบายต่อเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องยังคงเลิกคิ้ว “มันเหมือนเสียงเพลงออกไม่ใช่หรือ? เพลงฟังสบายหู แต่ไม่ใช่เพลงช้านะ ไม่ใช่เพลงเร็วด้วย คล้าย ๆ กลอง มัน...” เจ้าตัวหาคำพูดไม่ถูก “นายเข้าใจใช่ไหม?”


    “ผมไม่รู้เรื่องดนตรีเท่ากัปตัน จะฟังเสียงฝนเป็นเพลงอะไรได้” เขาตอบอย่างไอ้เด็กไม่มีจินตนาการ


    อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ เสียงรื่นหูพลางส่ายหน้า “นายฟังไม่ถูกวิธีเองต่างหาก นั่งลงดี ๆ” คนตัวเล็กดันบ่ารุ่นน้องตัวโตกว่าให้นั่งบนเก้าอี้ แถมยังเจ้ากี้เจ้าการสั่งไม่หยุดปาก “นั่งดี ๆ นี่ไม่ได้หมายถึงนั่งหลังตรงแหน่วแบบนี้ นั่งให้มันสบาย ๆ เอนหลังเลยก็ได้ เอ้า หลับตาด้วย แล้วก็...ฟังดี ๆ” ดวงตาสีน้ำตาลกลมวาวจ้องมาอย่างมุ่งมั่น บอกยากว่าเป็นการออกคำสั่งหรือขอร้อง แต่สึรุกิก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ จะแบบไหนเขาก็ทำตามอยู่ดี


    เรื่องแค่นี้จะเอาใจชินโดก็ไม่เสียหายอะไร...เขายอมหลับตาลงแต่โดยดี เงี่ยหูฟังเสียงเปาะแปะไร้ความหมายท่ามกลางความมืดหลังเปลือกตา พยายามฟังให้มันเป็นเพลง


    ซึ่งมันก็พออนุโลมเรียกว่าเพลงได้จริง ๆ และเช่นเดียวกับที่อีกคนว่าไว้...ไม่ใช่เพลงเร็วหรือเพลงช้า สายฝนโปรยปรายลงมาเรื่อย ๆ ท่วงทำนองหนุนเนื่องต่อกันเรื่อยไป สม่ำเสมอ เป็นเพลงที่เอาคำว่าเพราะหรือไม่เพราะมาวัดไม่ได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกสบายใจ เหมือนมีอากาศเย็นสบายชนิดหนึ่งโอบล้อมส่วนลึกในอก เหมือนถูกกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหยาดฝนมากมาย


    คงเป็นเพลงที่ใช้ได้ละมัง ทว่า เขารู้สึกว่าถ้ายังฟังอย่างนี้ต่อไปอีกหน่อยจะเผลอหลับเลยลืมตาขึ้นมา หันไปหารุ่นพี่ ตั้งใจจะหยอกว่าฟังออกแล้วขอรับท่านนักดนตรีใหญ่ เป็นเพลงจริง ๆ แถมเป็นเพลงน่าง่วงด้วย


    แต่คำพูดนั้นก็ไม่ได้หลุดออกมา สึรุกิได้แต่มองชินโดอย่างเงียบงัน ไม่กล้าขัดจังหวะเสียงเพลงของสายฝน เจ้าตัวหลับตาพริ้ม ริมฝีปากอมยิ้มเล็กน้อย สีหน้าดูสบายใจ สงบอย่างยิ่ง…แปลกดี ก่อนหน้านี้ เขาไม่ยักเคยสังเกตว่าขนตาของเจ้าตัวยาวและหนาพอสมควรสำหรับผู้ชาย ไปจนถึงว่าผิวที่มองผาด ๆ ดูเนียนใสมีฝ้าและกระจุดเล็ก ๆ จากการกรำแดดตามสันจมูกและผิวแก้ม จมูกเล็ก ๆ คล้าย ๆ กระต่ายหรือแมวซึ่งปลายเชิดขึ้น รวมถึงเรียวปากที่เรื่อสีน้อย ๆ อย่างน่ารัก


    สึรุกิรู้แก่ใจมาตลอดว่ากัปตันของตนหน้าตาน่ารัก เรื่องนั้นใครมองปราดเดียวก็รู้กันทั้งนั้น แต่ในชั่ววินาทีนั้น เขาเห็นว่ารุ่นพี่ของเขา...สวย สวยยิ่งกว่าใครที่ตนเคยเห็นมาทั้งหมด ไม่หรอก เขาไม่ได้คิดเปรียบเทียบว่าชินโดเหมือนผู้หญิง ความสวยบางครั้งก็แบ่งแยกด้วยเพศไม่ได้ ความสวยบางอย่างอยู่เหนือกว่าขอบเขตแบบนั้น...


    มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบ แต่ก็สร้างความกระดากให้พอแรงอยู่ คนอ่อนวัยกว่าไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ เมื่อเจ้าตัวลืมตาขึ้นมา เพียงแต่บอกว่าเป็นเพลงที่น่าฟังดี ชินโดหัวเราะเบา ๆ ชี้ไปทางหน้าต่างพร้อมกับดึงแขนเสื้อคนตัวสูงกว่าเบา ๆ เป็นเชิงเรียกให้ดูด้วย


    “ฟังแล้วก็ลองมองหน่อยดีไหม?” สึรุกิชมวดคิ้วมองทางน้ำฝนที่ไหลผ่านหน้าต่าง พยายามขบคิดว่าคนอายุมากกว่าต้องการให้ตนเห็นอะไร “มีอะไรหรือครับ?” สุดท้ายก็ต้องถามออกไปอย่างเสียไม่ได้


    “เห็นอะไรก็ลองบอกมาดูสิ” ใบหน้าน่ารักปรากฏยิ้มพราย เจ้าตัวเอียงคอมองด้วยประกายตาจดจ่อ ท่าทางจะไม่ยอมบอกคำตอบง่าย ๆ เขาลอบถอนหายใจ เข้าใจทันทีว่าชินโดกำลังเอานิสัยไม่ชอบบอกอะไรตรง ๆ ของพวกคนโต ๆ มาใช้กับตนบ้างแล้ว แต่ก็ยังยอมเล่นตามไปด้วยอยู่ดี


    “มีน้ำฝนไหลผ่านหน้าต่างครับ” เด็กหนุ่มลังเลก่อนเสริมขึ้น “บางส่วนก็กลายเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ กลม ๆ รี ๆ แต่พอถูกทางน้ำฝนมาชะก็เสียรูป รวมไปกับทางน้ำด้วย”


    ชินโดพยักหน้า พยายามซ่อนยิ้ม “ใช่ แล้วยังไงอีก?”


    สึรุกิกอดอก เขม้นมองหนักขึ้น นอกจากน้ำฝนแล้ว บนหน้าต่างจะมีอะไรได้อีก เขาหันกลับไปมองคนข้าง ๆ เหมือนจะขอคำใบ้ แต่เจ้าตัวก็จงใจมองตรงออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับเห็นอะไรที่ไกลออกไปหลังม่านน้ำฝน... 


    คำตอบหนึ่งวาบขึ้นมาในหัวคนอ่อนวัยกว่า แม้จะไม่แน่ใจนักก็ตาม


    “ภาพของฟ้า ต้นไม้ ตึก อะไร ๆ นอกหน้าต่างดูผิดรูปไปครับ” สึรุกิยกคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนอย่างหยุดตนเองไม่ทัน “คงเป็นเพราะแสงที่ส่องผ่านน้ำฝนมันหักเห ภาพที่เห็นก็เลย...”


    “ฉันไม่ใช่ครูวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องอ้างเหตุผลละเอียดอะไรขนาดนั้นหรอก! นายนี่ตลกพิลึก” ชินโดหลุดขำกับท่าทางเอาจริงเอาจังเกินเหตุของรุ่นน้อง “ฉันแค่อยากให้นายเห็นภาพแบบนี้ด้วยกัน ตอนฝนตก ทุกอย่างก็เหมือนจะต่างออกไปหมดเลย ใช่ไหมล่ะ?”


    หลังม่านน้ำฝนที่ดูโปร่งใสนั้น ทุกสิ่งกลับดูเลือนราง วูบไหวราวกับความฝัน เห็นรูปทรงแค่พอให้เดาออกว่าเป็นอะไรกันแน่ ซึ่งถ้าจงใจลืมไปชั่วคราว และมีจินตนาการมากพอ ก็อาจมองมันเป็นน้ำตกที่ขวางหน้าดงไม้รูปร่างประหลาด หรือกระทั่งดินแดนใต้สมุทรก็ยังได้


    “โลกในสายตากัปตันนี่มีอะไรน่าดูเยอะไปหมดเลยนะครับ” สึรุกิเท้าคาง เหม่อมองโลกนอกหน้าต่างที่ดูผิดแผกไปได้ครู่หนึ่งก็หันมาชินโดอีก ดวงตากลมวาวนั้นสงบนิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีประกายนุ่มนวลเลื่อนลอยคล้ายกับเคลิ้มฝัน ใบหน้าที่มักแฝงด้วยแววเครียดขึงอ่อนโยนลง ท่าทางอิดโรยที่ปกติใช้ความมุ่งมั่นดึงดันกลบไว้ได้มิดชิดก็พลอยเผยออกมาด้วย...ชั่วระยะสั้น ๆ นี้ เหมือนรุ่นพี่ของเขาจะอนุญาตให้ตนเองเป็นสิ่งที่เป็นจริง ๆ...ไม่ใช่กัปตันผู้เป็นที่พึ่งของทุกคน ไม่ใช่อัจฉริยะที่รู้เสมอต้องทำอะไร แต่เป็นเพียงเด็กอายุสิบสี่คนหนึ่งที่แบกรับภาระไว้เกินตัว


    สึรุกิหันกลับไปมองหน้าต่างอีกครั้ง ฟังเสียงเพลงของสายฝนและเสียงลมหายใจหนักอึ้งของคนข้างตัว แต่ไหนแต่ไรมา เขาก็ไม่เคยเป็นคนพูดเก่ง การเงียบและตั้งใจฟังเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุด


    จนสุดท้าย ชินโดก็จามออกมา เป็นอันว่าทั้งสองคนตื่นจากภวังค์ทันที และสึรุกิก็ส่งผ้าเช็ดหน้าให้รุ่นพี่ใช้อย่างรวดเร็ว


    +++++++++++++++++++++++++


    บ่อยครั้ง ความทรงจำเล็ก ๆ น้อย ๆ น่าขันที่ไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญก็กลับมาเยี่ยมเยียน


    ความทรงจำของคนเรานั้นแปลกอยู่อย่าง ต่อให้ไม่สำคัญ...เป็นแค่เรื่องตลก ถ้ามันอยากเก็บ มันก็จะเก็บเอาไว้


    อาจจะเป็นเพราะว่าลึก ๆ แล้ว...เจ้าของความทรงจำก็ไม่ได้อยากลืมเช่นกัน


    +++++++++++++++++++++++





























    Omake: เห็นว่าเพื่อน(ควบตำแหน่งรุ่นพี่)น่ารักนี่...ยังปกติอยู่ใช่ไหม?


    (ราวกับเป็นธรรมเนียมหรืออาถรรพ์ โอมาเกะทุกอันต้องมีพี่ยูอิจิเป็นคู่ขวัญ)


    เคียวสุเกะสีหน้ายุ่งขณะเปิดประตูเข้าไปในห้องพักของพี่ชาย...คำถามที่ตนเองตอบไม่ได้ยังคงวงเวียนไปมาในหัว ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป…


    ...ตอนนั้นที่เขาเห็นชินโดสวย หมายถึง...น่ารัก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดเกินเลยกับเพื่อนขึ้นมาชั่ววูบ หรือเป็นเพราะแสงไฟ กระแสลม มุมใบหน้าที่มองเห็น ไปจนถึงอิทธิพลอหิวาต์อะไรก็ดีที่ทำให้เขาเกิดจิตพิเรนทร์ขึ้นมาชั่วขณะ...


    อ้อ ส่วนเรื่องที่เขาคิดภาพตามคำพูดชินโดที่ว่าเขาเป็นยักษ์ในตอนนั้นไม่มีอะไร ออกจะน่ารักจนชวนตบหน้าผากตนเองด้วยซ้ำ เขาดันจินตนาการชินโดเป็นสัดส่วนจิบิขนาดเท่าลูกแมวตัวนั้น (ใช่ เสื้อผ้าครบชิ้นเต็มยศ ทำไมคุณถึงทำหน้าผิดหวังล่ะ) แล้วก็อุ้มไปเช็ดตัวแล้วคอยดูแลเหมือนที่ทำกับ เอิ่ม ลอร์ดโวลเดอมอร์ทุกประการนั่นแหละ น่ารักก็จริง...แต่อัปรีย์และปัญญาอ่อนพิลึกเลยรับตนเองไม่ค่อยได้


    ยูอิจิไม่ได้อยู่คนเดียว คุณพี่ลูกชายเจ้าของร้านเบเกอรี่อยู่ด้วย สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังชอบเล่นอะไรกันเป็นเด็กโข่ง...ความจริงอาจเป็นความผิดของเคียวสุเกะเองที่ดูแลพี่ไม่ดีพอ…


    “เคียวสุเกะ ลูกกระจ๊อกพี่มันทำบราวนี่มาเซ่นเป็นกระตั้กเลยละ ช่วยพี่กินด้วย ออกกำลังกายก็ไม่ค่อยพอ ยังมาโดนยัดของอร่อยให้อีก เจอคนแบบนี้ในสังคมแย่มากเลย”


    พี่ชายยิ้มหวานพูดจายาวเหยียดเป็นหางว่าว ขณะเนียนส่งขนมครึ่งกล่องให้ผู้เป็นน้องที่พึมพำเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าเอาที่สบายใจเลยครับ


    “ขอโทษนะ เคียวสุเกะคุง พี่ลืมส่วนของนายน่ะ เดี๋ยวขากลับแวะไปเอาที่ร้านดีไหม”


    เสียงนุ่มใสของลูกชายเจ้าของเบเกอรี่แฝงด้วยแววขอโทษขอโพย เจ้าตัวยังหน้าตาเหมือนทุกครั้งที่จำได้ หน้าหวานระดับคนเห็นคิดว่าผู้หญิง ยิ้มแย้ม คิ้วโค้งลง หางตาตก และท่าทางใจดี เคียวสุเกะส่ายหน้าบอกว่าไม่ถือสาอะไร


    “ช่วงนี้ผมไม่ค่อยอยากกินอะไรเป็นแป้งเยอะ ๆ เท่าไหร่ พี่ไม่ต้องทำให้เยอะแยะก็ได้ครับ”


    “หา ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” ลูกกระจ๊อกของพี่ชายเขาดูเป็นกังวลขึ้นมาทันที “ช่วงนี้กินข้าวไม่ลงหรือ?”


    “เปล่าครับ แค่ไม่อยากกินอะไรหนักท้องเกินไปเท่านั้นเอง” เพื่อนของพี่ชายเขาก็รับมือยากตรงนี้เอง ใจกว้างขวางจนชวนให้คนหน้าม้าน จะรับของก็เกรงใจและไม่รู้จะเอาของกองพะเนินเทินทึกไปวางไว้ทีไหน จะปฏิเสธก็ยังกลัวเสียน้ำใจอีก


    “งั้นเอาเป็นวุ้นผลไม้แช่แข็งเย็นเจี๊ยบแบบตอนที่เคียวสุเกะคุงกลับจากค่ายนั้นใหม่ ๆ ดีไหม ตอนนั้นเห็นกินข้าวไม่ค่อยลงเหมือนกันนี่” เจ้าตัวว่าอย่างพาซื่อ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่น้องสึรุกิถึงมีอาการเกือบสะดุ้งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย...ค่ายนั้น...เป็นคำที่เคียวสุเกะใช้หลอกคนอื่นตอนที่ไปฝึกกับฟิฟท์ เซคเตอร์


    “เรื่องขุนเคียวสุเกะไว้ทีหลังเถอะ” พี่ชายของเขาเร่งเปลี่ยนเรื่อง...ด้วยการหันมาแกล้งน้องแทน “วันนี้มีปัญหาอยากปรึกษาพี่ละสิ มองหน้าก็รู้แล้ว”


    เคียวสุเกะพยักหน้ารับ ลูกชายเจ้าของเบเกอรี่เห็นแล้วก็ถามอย่างเอาใจใส่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเปล่า อยากให้ออกไปก่อนไหม


    ...ใช่... อย่างมากเลย...


    “นายอยู่เถอะ” ยูอิจิยิ้มแบบชวนให้ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ให้น้อง “พี่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เรื่องเด็กสมัยนี้บางทีมันก็เกินปัญญาพี่เหมือนกัน นายช่วยชี้แนะหน่อยเถอะ ไหน ๆ เคียวสุเกะมันก็ได้นายคอยให้น้ำให้ข้าวมาตั้งแต่เด็กนะ”


    “ผมจะพยายามครับ” เพื่อนของพี่ชายรับคำอย่างหนักแน่น “แต่เรื่องความรักจะช่วยมันได้หรือเปล่าไม่รู้นะครับ รุ่นพี่ผู้หญิงที่ผมชอบ ป่านนี้เขายังคิดว่าผมเป็นผู้หญิงอยู่เลย”


    “ฟังเพลงมู่หลานมาก ๆ แล้วทุกอย่างจะดีเอง” ยูอิจิแนะนำอย่างช่วยอะไรไม่ได้เป็นรูปธรรม ความจริง...ไม่น่าช่วยอะไรได้เลยแหละ “เอ้า เคียวสุเกะ คราวนี้มีปัญหาหนักอกหนักใจอะไรอีก ฮึ?”


    “คือ...” เขาพยายามเรียบเรียงคำ แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพี่มักไม่ชอบให้น้องพูดจบประโยคก่อน


    “นายไปมีเรื่องชกต่อย?” ยูอิจิกอดอก เสียงเข้มขึ้นทีเดียว ฝ่ายน้องชายเร่งสั่นศีรษะปฏิเสธ ยังไม่ทันได้เปิดปาก สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคุณพี่ลูกเจ้าของร้านเบเกอรี่ก็โพล่งขึ้นมา


    “ลูกพี่ครับ เคียวสุเกะคุงเห็นแบบนี้มันก็ไม่ได้บ้าดีเดือดขนาดนั้นมั้งครับ นายอยากผูกมิตรกับเพื่อนในห้องต่างหาก ใช่ไหม เคียวสุเกะ?” ประโยคหลังหันมาถามเจ้าของปัญหาที่ยิ่งส่ายหน้าเป็นพัลวัน


    “ข้าวกลางวันที่โรงเรียนไม่อร่อย?” พี่ชายร่วมสายเลือดตาพราวระยับแบบที่แค่มองก็รู้ว่าแกล้งกัน เขาตอบไปว่าไม่ใช่ด้วยโทนเสียงที่เริ่มขุ่นมัว


    “หรือว่า...” เพื่อนของพี่ชายยกปลายนิ้วขึ้นแตะคาง มองเขาราวกับประเมิน คล้ายว่ามองทะลุไปถึงจิตใจของเขาได้ ลากเสียงอย่างครุ่นคิดจนเคียวสุเกะเสียวสันหลังวาบ


    “...เรียนไม่ทันเพื่อน?”


    “ทั้งคู่รบกวนอยู่เงียบ ๆ ฟังผมพูดให้จบด้วยครับ ขอละ” เขาขอร้องด้วยน้ำเสียงและใบหน้าอันซังกะตาย


    ลูกกระจ๊อกของพี่ชายก้มศีรษะขอโทษพร้อมรอยยิ้มแหย ๆ แต่ฝ่ายลูกพี่หาได้มีอาการสำนึกใดใดไม่


    “คือว่า...”


    “ว่า?”


    “ผมขออีกครั้งนะครับ เงียบแป๊บหนึ่ง!”


    +++++++++++++++++++++


    “นี่ละครับ ผมคิดว่าเพื่อนในชมรมน่ารัก...มันไม่ใช่อย่างที่พวกพี่คิดนะครับ!?” เคียวสุเกะรีบขัดตาทัพความคิดสร้างสรรค์อันล้นเหลือของผู้อาวุโสกว่าทั้งสอง “คือ...เขาตัวเล็กกว่าผม ตาโต ๆ แถมชอบมองคนอย่างกับแมว นิสัยดีด้วย ผมมอง ๆ ไปก็เกิดคิดว่าเขาน่ารักขึ้นมาบ่อยมาก มัน...ปกติหรือเปล่าครับ?”


    เขาจบประโยคอย่างหวั่นใจ ไม่ทราบว่าจะได้รับปฏิกิริยาแบบใดมา ทั้งคู่นิ่งคิดไปเนิ่นนานในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม แต่สุดท้าย ลูกชายเจ้าของร้านเบเกอรี่ก็เปิดปาก เคียวสุเกะกำมืออย่างเครียด ๆ


    “คนไหนหรือ เคียวสุเกะคุง?” เจ้าตัวขมวดคิ้ว “ใช่กองหลังคนที่ตัวกะเปี๊ยกเดียว กระโดดเก่ง ๆ นั่นหรือเปล่า” รอยยิ้มพลันผุดขึ้นมา “พี่ว่าปกติออกนะ พี่ยังว่าน่ารักเลย อย่างกับกระต่ายแน่ะ ถ้าได้เจอจะขออุ้ม”


    “ไม่ใช่คนนั้นครับ” เคียวสุเกะพลันรู้สึกเหมือนตัดสินใจพลาด บางที เขาอาจควรเก็บปัญหานั้นไว้กับตัวตราบจนสิ้นชีวาสัญ


    “งั้นกองหน้าคนที่ออกมาช่วยแล้วใช้ท่าดับเบิ้ลวิงสำเร็จคนนั้นหรือเปล่า” เจ้าตัวยังพยักหน้าหงึกหงักเห็นพ้องกับตนเองเสียอีก “ตากลมป๊อก ผมทรงอย่างกับหนูแฮมสเตอร์ น่ารักจริง ๆ นั่นแหละ”


    “ไม่ใช่อีกนั่นแหละครับ”


    คราวนี้เล่นมั่วไกลถึงคาเงยามะเลยหรือ? เคียวสุเกะคิ้วกระตุก


    “งั้นกองกลางคนที่ตาโต ๆ ทรงผมเหมือนปีกติดหัว...”


    “เลิกมั่วเถอะครับ!”


    “งั้นกองหลังผมฟ้า ๆ เขียว ๆ...”


    “บอกให้เลิกไงครับ!”


    “กัปตันของนายสินะ?” ยูอิจิเสนอขึ้นอย่างเนิบ ๆ


    ...พี่ต้องเคยเป็นฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงของผมมาก่อนแน่ ๆ...


    เคียวสุเกะชะงักไปชั่ววูบ พยักหน้าอย่างไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี แทบไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนพี่ชายที่อยู่ข้าง ๆ


    “อ้อ! คนนั้นเอง มิน่าล่ะ เห็นเป็นรุ่นพี่เลยลืมนึกถึง แต่ก็น่ารักมากจริง ๆ นั่นแหละ แถมมีผมหยิก ๆ อีก คิด ๆ ไปแล้วดูฟูนุ่มดีแฮะ...”


    “พี่ว่านายปกติดีทุกอย่างนา” ลูกเจ้าของเบเกอรี่ให้กำลังใจเด็กหนุ่มที่เอ็นดูเหมือนเป็นน้องอย่างว่องไวทันใจ “หน้าตาน่ารัก จะคิดว่าน่ารักก็ถูกแล้ว จะให้คิดว่าไม่น่ารักจะทำได้ไง ให้ไปเปลี่ยนรสนิยมใหม่หรือ?”


    “อืม พี่เห็นด้วย” ยูอิจิพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นายเห็นว่าเขาน่ารักมันก็เป็นความเห็นธรรมดา ไม่ได้ชั่วร้ายหยาบโลนอะไรเลย เวลาใครบอกว่าน้ำตกสวย คนคนนั้นก็ไม่ได้อยากจีบน้ำตกเป็นแฟนสักหน่อย สบายใจแล้วหรือยัง? แหม มีปัญหามาปรึกษาพี่แบบนี้ค่อยสมกับเข้าสู่มหายุคแห่งวัยรุ่นขึ้นมาหน่อย”


    ...แล้วถ้าเห็นว่าสวยล่ะ...เคียวสุเกะนึกสงสัยขึ้นมาชั่ววินาที แต่แล้วก็ปลอบตนเองได้ด้วยคำที่พี่ชายยกมา...คนที่บอกว่าน้ำตกสวยก็ไม่ได้อยากจีบน้ำตกเป็นแฟนสักหน่อย…


    ว่าแต่ว่า...มหายุคแห่ง...อะไรนะ?


    “ดูแต่งตัวก็รู้แล้วครับ” ลูกชายเจ้าของเบเกอรี่หัวเราะร่วน “พูดแล้วคิดถึง สมัยผมอยู่ม.ต้นก็ชอบแต่งตัวแบบพระรอง West Side Story เหมือนกัน”


    ...ทำไมพี่พูดเหมือนมันนานมาแล้ว พี่อายุสิบหก อยู่ม.4 ไม่ใช่เหรอ ม.ต้นก็เพิ่งปีที่แล้วเองนี่…สึรุกิคิ้วกระตุกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบได้...แล้วผมจะแต่งตัวแบบนี้มันเรื่องอะไรที่พวกพี่ต้องมาวิจารณ์...


    “คิดถึงอะไรกัน พี่เพิ่งเห็นแกแต่งแบบนั้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว” ยูอิจิเสยด้วยหมัดฮุกอันรุนแรง ทั้งที่หน้าตายังยิ้มแย้มอยู่


    สรุปคือวันนั้นทั้งวันก็ผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อยทางจิตใจสำหรับสึรุกิ เคียวสุเกะเป็นอย่างมาก เขารักพี่ชาย และชอบเพื่อนของพี่ชายคนนี้เอาการอยู่ แต่ความรักความชอบก็เติมพลังใจที่เสียไปกับการกลั่นแกล้งและเล่นทำตัวเด็กโข่งใส่กันไม่ได้…


    ...บางที ครั้งต่อไปที่มีปัญหา เขาอาจควรหาทางออกเอาเอง...


    ++++++++++++++++++

    คุยกับเรา

    ตอนนี้ควรเสร็จเร็วกว่านี้ แต่เพราะคอมที่บ้านมีปัญหาก็เลยขลุกขลักพอสมควร ยังดีที่ได้ตอนนี้ภายในอาทิตย์เดียวอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้

    สองเหตุการณ์ในตอนนี้เกิดขึ้นห่างกันพอสมควรค่ะ และจะเห็นว่า เอ่อ น่ารักไร้แก่นสารเช่นเคย เอาอะไรเบา ๆ น่ารักไปรับประทานก่อนนะคะ สองสามตอนต่อ ๆ ไปอาจจะมีอะไรหนัก ๆ มากขึ้น แล้วก็กลับไปเบา ๆ เรื่อย ๆ เหมือนเดิม เอาเป็นว่าถ้าถูกใจอะไรยังไงก็ติดตามต่อไปด้วยนะคะ ถ้าคอมเมนต์เราจะซึ้งใจมากค่ะ แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร เราเข้าใจว่าความสะดวกแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่ามันจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงพลังใจของเรานะเออ

    คุณพี่ลูกชายเจ้าของร้านขนมคนนี้ เรากำลังทดลองเล่นค่ะ ดูซิว่าจะเขียนถึงคนที่ไม่บอกชื่อได้โดยไม่ทำให้เรื่องสะดุดหรือเปล่า คุณพี่คนนี้เป็นคนดี นิสัยคล้ายคุณยายใจป้ำ เป็นเพื่อนกับพี่ยูอิจิและเคียวสุเกะมาตั้งแต่เด็ก ความจริงก็ไม่ได้มีผลต่อเรื่องนี้ขนาดนั้น เอามาประกอบฉากเฉย ๆ...เอาเป็นว่าไม่ต้องจำรายละเอียดของคุณพี่มากนักก็ได้ ระดับความสำคัญก็ดูเถอะ...ขนาดชื่อยังไม่มีเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×