คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : "Let me help you."
ช่วงนี้สมาชิกทีมไรมงบางคนเป็นหวัดกันงอมแงม
ดูจากฝนที่ตกชุกในช่วงนี้ และความมุ่งมั่นแรงกล้าที่จะฝึกต่อไปท่ามกลางสายฝนโดยไม่หวั่นเกรงต่อเชื้อไข้หวัดนานาสายพันธุ์ของเหล่านักฟุตบอลรุ่นเยาว์แล้ว...เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจอะไรเลย
ฮายามิสูดจมูกแรง ๆ แทบจะตลอดเวลา คุรามะเจ็บคอจนเกือบพูดไม่ได้ คาริยะนั้นเห็นอาการได้ชัดที่สุดเพราะจมูกแดงก่ำเลยทีเดียว ทั้งยังไอค่อกแค่กไม่หยุด สมาชิกคนอื่นเห็นเพื่อนเป็นแบบนั้นก็เริ่มตระหนักว่าร่างกายตนเองมีขีดจำกัดจึงหันมาใส่ใจสุขภาพตนเองมากขึ้น เปียกฝนมาก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้านอนแต่หัวค่ำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์...เอาเป็นว่าวิธีการใช้ชีวิตดีต่อสุขภาพขึ้นมาโขอยู่ แฟชันฮิตของช่วงนี้ก็ไม่พ้นหน้ากากอนามัยเพื่อปกป้องตนเองและผู้อื่นจากโรคภัยไข้เจ็บ
ถึงอย่างนั้น...ความเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ยากหลีกเลี่ยง
ชินโดสังเกตได้หลังซ้อมเสร็จในเย็นวันศุกร์ สึรุกิหน้าซีดเซียวจากปกติที่ซีดอยู่แล้ว แววตาพร่าเลือนพิกล และถ้าตั้งใจมอง จะเห็นว่าฝีเท้าก็อ่อนล้าลงไปเล็กน้อย ไม่กระฉับกระเฉงอย่างทุกวัน
“ให้ผมช่วยถือไหมครับ?” รุ่นน้องถาม เจ้าตัวหมายถึงกล่องใบใหญ่ที่ไม่ต้องลองถือดูเองก็รู้ได้ว่าต้องหนักมาก แถมคนถืออย่างชินโดยังแขนสั่นน้อย ๆ ให้ดูเป็นประจักษ์พยานเสียอีก แต่กัปตันทีมไรมงก็มองข้ามคำพูดของอีกฝ่ายและอาการร้องอุทธรณ์ของช่วงแขนตนเองไป
“นายรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามเพื่อนร่วมทีมอย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายส่ายหน้าดิกแบบไม่หยุดคิดด้วยซ้ำ แต่ฝ่ายรุ่นพี่รู้จักเจ้าเด็กท่ามากนี่ดีขึ้นแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นสบตา จ้องเขม็งแบบคาดเค้นหาความจริง จนสุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องยอมแพ้
“แค่เหนื่อยนิดหน่อยเองครับ” ชินโดเลิกคิ้ว ยังไม่ยอมละสายตา รุ่นน้องถอนหายใจก่อนเอ่ยต่อ “แล้วก็ปวดหัวด้วย แต่อย่างที่บอกครับ นิดหน่อยเท่านั้นเอง นอนพักแป๊บเดียวก็หาย”
รุ่นพี่ตัวเล็กขมวดคิ้ว ยกฝ่ามือขึ้นทาบบนหน้าผากคนตัวสูงกว่า ครั้นแล้วก็นิ่วหน้าหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้ว่าผิวไร้สีเลือดฝาดนั้นร้อนจัดจนเกือบเรียกได้ว่าไหม้
“เนี่ยนะนิดหน่อยของนาย?” ชินโดถอนมือออกมาก่อนเริ่มเปิดฉากไล่บี้
"เป็นมานานเท่าไหร่แล้ว?"
"สักวันจันทร์ได้แล้วมั้งครับ"
"เป็นมานานขนาดนี้ทำไมไม่รีบดูแลตนเอง"
"ก็ผมคิดว่ามันจะหายเอง..."
"แล้วมันหายเองไหม?"
"...ไม่ครับ..."
“เป็นไงล่ะ ตอนเปียกฝน คนอุตส่าห์บอกให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ฟังบ้างไหม? ก็ไม่...”
สึรุกิยืนนิ่ง ก้มหน้ารับฟังคำบ่นว่าอย่างไร้ปากเสียง ไม่มีกระทั่งประกายตาหยอกเย้าเอ็นดูที่มักปรากฏขึ้นตอนมองเขาทำตัวจู้จี้จุกจิกหรืออะไรก็ตามที่เจ้าตัวเห็นว่าน่าขำดี มีแต่ความพร่าเลือนเหนื่อยล้า ราวกับว่าต้องใช้สมาธิส่วนใหญ่ไปกับการเตือนตนเองว่าต้องยืนอยู่อย่างนี้ไปก่อน...อย่าเพิ่งล้ม...จนกว่ากัปตันของตนจะพูดจบ
“เอาเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว คราวหน้าก็ดูแลตนเองดี ๆ หน่อยแล้วกัน” สุดท้ายชินโดก็ใจอ่อน ว่าไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ตัดบทตนเองดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น “นายรีบกลับไปนอนพักก่อนเถอะ บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวจะไปส่ง”
อีกฝ่ายนวดหัวคิ้วตนเองแรง ๆ หลายทีก่อนส่ายหน้า “ไม่รบกวนดีกว่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก กลับบ้านเองได้อยู่แล้ว สบายมาก”
“ไม่ได้!” ชินโดยืนกรานเสียงเฉียบขาด “เดี๋ยวเกิดเป็นลมเป็นแล้งระหว่างทางกลับบ้านขึ้นมาจะทำไง!?”
“ผมไม่ได้ใช้การไม่ได้ขนาดนั้น” ทางรุ่นน้องก็ยังเถียงคำไม่ตกฟาก เจ้าตัวพยายามทำเสียงให้ดูแข็งกร้าว...ให้เหมือนไม่ได้เป็นอะไร แต่คนหูดีอย่างกัปตันทีมไรมงก็จับความอ่อนระโหยจาง ๆ ในน้ำเสียงนั้นได้
“มันไม่ใช่เรื่องใช้การได้หรือไม่ได้!” ชินโดวูบหนึ่งเกิดนึกอยากกระชากคอเสื้อเด็กนี่ลงมาแล้วพูดเน้นกรอกหูทีละพยางค์ว่า ป่วย - แล้ว - อย่า - บัง - อาจ - มา - ปาก - กล้า แต่มันอาจจะรุนแรงเกินไปหน่อยสำหรับคนป่วย เขาก็เลยตัดสินใจเจรจาด้วยเหตุผลก่อน “มันก็แค่ว่าถ้าไม่สบายขึ้นมาก็ต้องมีคนดูแล เรื่องแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ!”
สึรุกิเบือนสายตาไปทางอื่น ไม่ได้พูดอะไร เริ่มงัดทักษะดื้อเงียบมาใช้โดยสมบูรณ์ แถมขายังตั้งท่าจะก้าวออกจากห้องชมรมกลับบ้านไปคนเดียวเสียอีก ชินโดต้องปราดเข้าไปฉุดแขนไว้ ถอนหายใจอย่างหมดความอดทน
“โอเค งั้นที่บ้านนายมีใครอยู่บ้าง” สุดท้ายก็คงต้องยอมถอยให้บ้าง “พอจะว่างมารับนายได้ไหม?”
คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้า “พ่อแม่ไปทำงานต่างจังหวัดครับ กลับวันพุธหน้า”
“แล้วพี่เลี้ยงกับแม่บ้านล่ะ?” เขาซักต่อ ออกจะไม่เข้าใจที่เห็นสึรุกิทำสีหน้าแปลก ๆ ก่อนส่ายหน้า
“ไม่มีทั้งนั้นแหละครับ”
ว่าไงนะ...ชินโดตาเบิกกว้าง จ้องรุ่นน้องอย่างไม่อยากเชื่อ
“เด็กอายุขนาดนายปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียวได้ด้วยหรือ?”
สึรุกิหัวเราะหึ ๆ มองเขาแบบที่ทำให้รู้สึกกึ่งฉิวกึ่งขันเช่นทุกครั้ง...สายตาเอ็นดูเหมือนเห็นรุ่นพี่เป็นเด็กที่ไม่ประสาอะไร
“ได้สิครับ ความจริงแม่สั่งไว้เลยละว่าผมต้องเฝ้าบ้านให้ดี ขโมยมาให้เตะบอลอัดมันหน้าแหก”
ให้เตะบอลอัดหน้าขโมยเนี่ยนะ? ชินโดฟังแล้วคิ้วกระตุก แต่พอนึกถึงนัดแรกที่แข่งกับเจ้าตัวขึ้นมาได้ก็ต้องยอมรับว่าเตะบอลอัดหน้าแหกเป็นวิธีป้องกันตัวที่ใช้ได้ผลจริง ๆ สำหรับเจ้าเด็กนี่
“แต่สภาพนายตอนนี้เตะบอลอัดหน้าใครแหกไม่ไหวหรอก” เขาไม่ยอมหลุดประเด็นง่าย ๆ ยิ่งได้รู้ว่าสึรุกิต้องอยู่บ้านคนเดียวทั้ง ๆ ที่ไม่สบายก็ยิ่งยอมความไม่ได้
พ่อแม่ของเขาทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน ไม่ใคร่จะได้กลับบ้านก็จริง แต่เด็กหนุ่มไม่เคยต้องอยู่บ้านคนเดียว ในบ้านมีทั้งพ่อบ้าน แม่บ้าน ไปจนถึงคนครัว ยิ่งถ้าคุณชายน้อยของบ้านอย่างเขาไม่สบาย คนเหล่านั้นก็แทบจะแย่งกันมาเฝ้าไข้ พะเน้าพะนอสารพัด ขนาดกระดิกนิ้วยังเกือบไม่ต้องทำเอง
และแม้ว่าจะไม่เคยต้องประสบกับเรื่องเช่นนั้น...ชินโดก็พอเข้าใจ การที่ไม่สบายแล้วต้องมานอนแซ่วอยู่คนเดียว ไม่มีใครคอยมาดูแลเป็นห่วงเป็นใยคงเป็นความรู้สึกที่แย่มาก...คงเหงามาก
ชินโดมองเข้าไปในตาสีทองคู่นั้น เกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ให้ฉันช่วยนายเถอะ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ?”
สึรุกิพยักหน้า ยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่งเป็นรอยยิ้ม ยอมรับน้ำใจของรุ่นพี่ในที่สุด
+++++++++++++++++++
ฝนตกขึ้นมาอีกห่าใหญ่ตอนที่ใกล้เดินมาถึงบ้านสึรุกิแล้ว มันไม่แม้แต่จะเว้นจังหวะรอให้แอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่เกิดจากการตกเมื่อบ่ายอ่อน ๆ แห้งเหือดไปก่อนด้วยซ้ำ
คงเป็นโชคร้ายที่ทั้งคู่มัวแต่ต่อปากต่อคำกันตอนอยู่ในห้องชมรม สุดท้ายก็กลายเป็นว่าไม่มีใครจำได้เลยว่าต้องหยิบร่มออกมาด้วย แต่โชคดีที่แค่เป็นระยะทางสั้น ๆ จนการหยุดหลบฝนข้างทางนับเป็นการเสียเวลา จึงไม่มีใครต้องเปียกปอนถึงระดับลูกหมาตกน้ำ
ถึงอย่างนั้น ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน สึรุกิผู้ซึ่งแท้จริงแล้วมีทักษะเจ้ากี้เจ้าการในระดับพอฟัดพอเหวี่ยงกับชินโดก็วิ่งไปหยิบเสื้อผ้าแห้ง ๆ มาให้แล้วไล่รุ่นพี่ไปอาบน้ำ ไม่มีความประมาณตนและไร้ซึ่งความสำออยอันคนป่วยพึงมีโดยสิ้นเชิง
เหมือนห้องน้ำที่เจ้าบ้านยัดเยียดให้ชินโดใช้จะอยู่ในห้องนอนของพ่อแม่เจ้าตัว แม้จะรู้ว่าคงไม่สมควรเท่าไหร่ เขาก็อดมองสำรวจไปรอบห้องไม่ได้ มันเล็กกว่าห้องนอนของเขาหลายเท่า เตียงใหญ่ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และตู้หนังสือทำจากไม้สีน้ำตาลไหม้ รูปแบบเรียบง่ายจนแทบเรียกได้ว่าไม่ตกแต่งเลย ถึงอย่างนั้นก็เหมือนจะมีของที่จำเป็นต้องใช้ครบถ้วนและสะอาดมาก ให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
สองข้างกระจกเงาบานใหญ่ของโต๊ะเครื่องแป้งมีชั้นวางที่ต้องเปิดบานพับกระจกใสออกก่อนถึงจะหยิบของที่อยู่ข้างในออกมาได้ ซึ่งคงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นบ่อยเท่าไหร่นัก ของที่อยู่ข้างในไม่ใช่ของใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เป็นการ์ดอวยพรจากกระดาษแข็งหลายใบ เนื้อกระดาษสีจางบอกให้รู้ว่ามันเก่ามากแล้ว แต่ไม่มีฝุ่นจับเลย คงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นลายมือ(พยายาม)บรรจงตัวโต ๆ แบบที่ดูก็รู้ว่าเป็นของเด็ก มันเขียนว่าสุขสันต์วันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ วันแม่ วันพ่อ วันคริสต์มาส และไม่เคยลืมบอกว่ารักพ่อแม่ที่สุดในโลก เป็นการ์ดที่ดูแล้วเห็นพัฒนาการของคนทำชัดเจน ใบเก่าที่สุดมีรูปวาดอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ใบใหม่ที่สุดมีแค่รูปเดียวโดด ๆ กลางหน้ากระดาษกับลายตกแต่งตรงขอบ และดูเหมือนคนทำจะวาดรูปคนน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ตัดสินใจจะไม่วาดอีกเลย นอกจากนี้ สีสันที่เคยสดใส ตัดกันไปคนละทิศละทาง นานเข้าก็เริ่มสดใสแสบตาน้อยลงและกลมกลืนกันมากขึ้น
นี่คงเป็นของสึรุกิตอนเด็ก ๆ...ชินโดคิด ดูแค่การ์ดอวยพรพวกนี้ก็เหมือนจะทำให้รู้ว่าตอนเด็กเคยเป็นคนอย่างไร คงเป็นเด็กที่รักพ่อแม่ และทำอะไรตั้งใจจริง จะว่าไปคงไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไหร่หรอก
แต่มีอะไรแปลก ๆ เขาเขม้นมองอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจ การ์ดอวยพรที่อยู่บนชั้นวางฝั่งซ้ายขวานั้นลายมือกับลายเส้นวาดรูปไม่เหมือนกัน ฝั่งซ้ายกดดินสอแรงมากจนกระดาษแทบทะลุ ช่องไฟแคบมาก ลายมือผอมและดูเป็นเหลี่ยม ลายเส้นเวลาวาดรูปดูเกร็ง ๆ พยายามให้สัดส่วนถูกต้องมากที่สุด รายละเอียดแน่นเอี้ยดจนดูรก ส่วนทางฝั่งขวาที่การ์ดดูเก่ากว่าพอสมควรไม่กดดินสอ ลงน้ำหนักมือไม่หนักหรือเบาไป ช่องไฟกำลังพอดี ตัวหนังสือดูอ้วนกลมกว่า ทั้งรูปวาดก็ดูง่าย ๆ และเป็นอิสระมากกว่า มันต่างกันเกินกว่าจะเป็นของคนเดียวกันได้
หรือว่าสึรุกิจะมีพี่น้อง...ข้อสันนิษฐานนี้มีหลักฐานสนับสนุนเป็นชื่อที่ลงเอาไว้ใต้คำอวยพร ทางฝั่งซ้ายเป็นชื่อเคียวสุเกะ ส่วนทางฝั่งขวาเป็นชื่อยูอิจิ แต่ชินโดก็ตัดสินใจว่ารีบอาบน้ำให้เสร็จก่อนค่อยไปถามเรื่องคนที่น่าจะเป็นพี่ชายของสึรุกิจะดีกว่า เกิดเขาไม่สบายตามอีกคนขึ้นมาจะยุ่งเอา
ห้องน้ำเล็กกว่าบ้านเขาเช่นกันและมีแต่ฝักบัว แต่สะอาดดี น้ำอุ่นก็มี เด็กหนุ่มจึงไม่มีปัญหาอะไร...ปัญหามาอยู่ตรงเสื้อผ้าที่เจ้าบ้านให้มา กางเกงขายาวจนต้องพับตั้งหลายทบให้มันมาอยู่ระดับเข่า โชคดีที่เป็นฟรีไซส์เลยไม่มีปัญหาหลวมโพรกสุมขึ้นมาอีก...ไม่หรอก มีสิ ไอ้ที่หลวมน่ะเสื้อต่างหาก แขนเสื้อยาวเกือบคลุมปลายนิ้วมิด...ต้องมีมหกรรมพับอีกหลายตลบ แถมคอเสื้อยังร่นจนเกือบเปิดไหล่อีกด้วย แต่คงเรียกร้องอะไรมากไม่ได้ ดีไม่ดี นี่อาจจะเป็นเสื้อผ้าที่พอดีตัวชินโดที่สุดที่สึรุกิมีแล้วก็ได้
พอลงไปข้างล่างก็พบว่าเจ้าบ้านอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ทั้งยังเข้าครัวไปชงชามาให้ถ้วยหนึ่งอีกด้วย
“ขอบใจ” เขาเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ขณะรับถ้วยอุ่น ๆ นั้นมา สึรุกิเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดคอกลมสีดำกับกางเกงวอร์มสีเทา สีหน้าดีขึ้นพอสมควร แต่ถึงอย่างไร กัปตันทีมไรมงก็อยากให้เพื่อนร่วมทีมคนนี้ไสหัวไปไปนอนพักเสียทีอยู่ดีนั่นเอง
“รอแป๊บหนึ่งนะครับ” เหมือนคนป่วยจะยังไม่สำเหนียกถึงสิ่งที่ตนเองสมควรทำเลยแม้แต่น้อย “เสื้อผ้ากัปตัน ผมมีวิธีทำให้แห้งได้เร็ว ๆ เดี๋ยวพอเสื้อผ้าแห้งแล้วผมจะให้ยืมร่มกับเสื้อกันฝน จะได้กลับบ้านได้สะดวก ๆ หน่อย”
“รีบไล่กันจังเลยนะ” ชินโดเปรยเสียงเรียบ จิบชาเขียวที่เจ้าบ้านอุตส่าห์ฝืนสังขารยกมาบริการอึกหนึ่ง รสชาติของมันขมจัดและไม่หอมเท่าชาที่เขาดื่มอยู่เป็นประจำ แต่ก็ชุ่มคอดีและทำให้รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว
“เปล่านะครับ!” สึรุกิรีบปฏิเสธ ท่าทางร้อนรน แต่ครู่หนึ่งก็เหมือนจะสงบจิตสงบใจลงได้ คำพูดต่อไปที่ออกมาจึงค่อนข้างฟังดูไร้อารมณ์เหมือนปกติ “ถ้าทำให้คิดอย่างนั้นก็ขอโทษด้วยนะครับ ผมแค่ไม่อยากให้กัปตันอยู่ที่นี่จนเย็นเกินไป เดี๋ยวจะกลับบ้านลำบาก”
“นายไม่ต้องห่วงหรอกน่า” เขาตอบสั้น ๆ ไม่ได้โมโหอะไรหรอก เพียงแต่จดจ่ออยู่กับการสำรวจรอบข้างเท่านั้น บางอย่างของบ้านนี้ก็คล้ายชาที่เขาดื่มอยู่อย่างอธิบายไม่ถูก เรียบง่าย แทบไม่มีการตกแต่งอะไร แต่ก็มีร่องรอยการใช้ชีวิต...มีความอบอุ่นชนิดหนึ่งที่ทำให้ดูออกว่าคนในบ้านนี้เขาอยู่กันอย่างไร อย่างถ้วย จาน ชามที่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เตาทำอาหารที่ขัดจนสะอาด ถุงมือกันความร้อนสีน้ำตาลอ่อนที่แขวนไว้เหนืออ่างล้างจาน และแม่เหล็กติดตู้เย็นหลายรูปแบบ (เขาเห็นไว ๆ ว่ามีแบบของทีมอินาซึมะเจแปนด้วย ของโกเอนจิ ชูยะเยอะเป็นพิเศษ)
“ว่าแต่ไอ้เคล็ดลับทำให้เสื้อผ้าแห้งเร็ว ๆ ของนายนี่มันยังไง” ชินโดบังคับตนเองให้ยิ้มเล็กน้อย พยายามให้บรรยากาศผ่อนคลายลง คนตรงหน้าคงจับเจตนาของเขาได้จึงยอมยิ้มออกมาที่มุมปาก ก่อนส่ายหน้า
“ไม่ใช่เคล็ดลับอะไรหรอกครับ”
+++++++++++++++++++++
“ไดร์เป่าผมเนี่ยนะ?”
ชินโดเลิกคิ้วขึ้นสูง มองไดร์เป่าผมสีเขียวในมือเจ้าบ้านสลับกับชุดนักเรียนของตนเอง ครั้นแล้วก็เลื่อนสายตาไปหาใบหน้าของสึรุกิ พยายามหาแววที่บอกว่าเจ้าตัวล้อเล่น แต่ก็หาไม่เจอ
“เสื้อมันจะแห้งกรอบหน่อยนั่นแหละครับ แต่ก็ช่วยไม่ได้...กัปตันคงพอไปซักไปเติมน้ำยาปรับผ้านุ่มเองทีหลังให้มันนุ่มลงได้ใช่ไหม” คนอ่อนวัยกว่ายักไหล่ สีหน้าเรียบเฉย ดวงตามองมาทางเขาอย่างรอคอยปฏิกิริยามากกว่าจะเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่อะไร แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง แววตาสีทองนั้นก็ฉายแววหัวเราะขึ้น
“ความจริงไดร์เป่าผมนี่สารพัดประโยชน์มากนะครับ” สึรุกิก้มหน้าลง แกล้งทำเป็นว่าเสื้อนักเรียนรุ่นพี่มีอะไรน่าสนใจนักหนา แต่ไม่รู้ทำไม ชินโดไม่ต้องเห็นหน้าอีกฝ่ายก็รู้ว่าคงกำลังยิ้มขันอยู่
“สมัยเด็ก ๆ เวลาผมกับพี่ชายวางแผนโดดเรียน” สึรุกิเกริ่น “พวกผมจะเอาไดร์เป่าผมมาเป่าตามตัว แล้วก็เล่นละครหลอกแม่ ทำเสียงอ่อย ๆ แหบ ๆ บ่นว่าปวดหัว ลุกไม่ไหว ได้ผลทุกครั้งเลยละ”
“นั่นมันประโยชน์บ้าอะไร!?” ชินโดหัวเราะพลางส่ายหน้าให้ “ที่แท้ก็เป็นเด็กเกเรนี่เอง”
“เกเรอะไรกัน”สึรุกิหัวเราะออกมาบ้าง “พวกผมไม่เคยป่วยการเมืองเวลาเจอสอบเก็บคะแนน วิชาที่ไม่ชอบ หรืออาหารกลางวันไม่อร่อยเลยนะ แค่โดดเรียนเพราะวันนั้นมีของที่อยากซื้อมาวางขาย...กัปตันก็รู้ใช่ไหมครับ พวกขนมของเล่นหลอกเด็กนั่นแหละ ดันทำเป็นรูปทีมอินาซึมะเจแปนซะได้ ถ้าเป็นรูปอื่น พวกผมไม่คลั่งสะสมขนาดนั้นหรอก แล้วที่ต้องโดดเรียนก็เพราะต้องชิงไปแต่หัววันนั่นแหละ เย็นหน่อยเด็กก็แน่นร้านแล้ว การแข่งขันสูงมาก รู้ไหมครับ?”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย” รุ่นพี่แกล้งดุ “หลอกลวงบุพการีมันบาปนะจะบอกให้ แล้วทีตอนไม่ได้ป่วยยังมาสำออยแกล้งป่วยได้ ทีตอนป่วยจริงนี่ขยันเชียวนะ เมื่อไหร่จะพักสักที เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก”
“นั่นมันตอนเด็ก ๆ ผมเปลี่ยนไปแล้ว” สึรุกิเสียบปลั๊กไดร์เป่าผมก่อนจัดแจงอบแห้งผ้าสูตรเร่งด่วนจะรีบไปตายที่ไหนมิทราบให้ ท่าทางดูตั้งอกตั้งใจมาก ชินโดได้แต่ถอนหายใจ ไม่ลืมเตือนว่าผ้าแห้งแล้วรีบไปนอนเลยนะ
“ว่าแต่นายมีพี่ชายด้วยหรือ” ชินโดฉุกคิดขึ้นมาได้ทั้งจากการ์ดอวยพรที่โต๊ะเครื่องแป้งและจากคำพูดของอีกคนจึงถามไปลอย ๆ
“ครับ ชื่อยูอิจิ” ชินโดคิดว่าเจ้าบ้านคงหยุดเล่าแค่นี้ แต่เสียงทุ้มนุ่มกลับว่าต่อไป “อายุมากกว่าผมห้าปี เป็นคนดีมาก ถ้ากัปตันได้รู้จักจะชอบพี่เขามากเลยละครับ”
“นายดูสนิทกับพี่ดีนี่” รุ่นพี่อดนึกเอ็นดูเด็กนี่ไม่ได้ เขาชอบท่าทางสึรุกิตอนพูดถึงพี่ชาย เจ้าตัวดูมีความสุขเหมือนจะพูดเรื่องพี่ชายไปได้เรื่อย ๆ ทั้งวัน คงรักและนับถือพี่ชายมากทีเดียว
“พี่เขาบอกว่าตอนผมเกิด พี่กำลังอยากทำตัวเป็นพี่คนพอดี” สึรุกิเล่าด้วยน้ำเสียงนุ่ม เรียบเรื่อยอย่างคนระลึกความหลัง “พี่เลยคอยดูแลผม สอนผมหลายเรื่อง ไปไหนก็หิ้วผมไปด้วย สาเหตุที่ผมชอบฟุตบอลส่วนหนึ่งก็เพราะพี่ชอบชวนผมเล่นนี่แหละ พี่เขาเล่นเก่งมากด้วยนะ...”
มาถึงตรงนี้ สึรุกิก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แววตาเปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่อ่านไม่ออก เกือบคล้ายตอนนั้น...แววตาเหมือนอยากร้องไห้ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นจริง ๆ เจ้าตัวยกเสื้อขึ้นมาพลิกดูด้านหน้าด้านหลัง ท่าทางคล้ายว่าไม่มีอะไรในใจจริง ๆ
“แห้งดีแล้วครับ” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยก่อนส่งของให้ “กัปตันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านเลยหรือเปล่าครับ”
“ตอนแรกก็กะว่าจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน” ชินโดยักไหล่ “แต่ตอนนี้รู้สึกว่าถ้าไม่ได้เห็นนายนอนพักก่อนคงวางใจไม่ได้ คนอะไรไม่รู้ ภารกิจเยอะเหลือเกิน”
“ผมอยู่บ้านคนเดียว ถ้าผมไม่ทำ ผีที่ไหนจะมาทำให้ นี่พื้นก็ยังไม่ได้ถู ห้องน้ำก็ยังไม่ได้ล้าง...” เจ้าบ้านท้วง แต่หลังจากถูกดวงตากลมโตเหมือนแมวจ้องเขม็งไม่วางตาได้สักพักก็ยอมอ่อนข้อให้ “เฮ้อ...ก็ได้”
พอพูดขาดคำ รุ่นพี่ก็จัดแจงคว้าแขนอีกฝ่ายแล้วจูงไปชั้นบน ดูจนแน่ใจว่านอนบนเตียงเรียบร้อยดีแล้ว คลายผมที่มัดเป็นหางม้าให้ แถมยังห่มผ้าให้ตั้งแต่คอจรดปลายเท้าเสียด้วย
คนป่วยตัดสินใจหลับตาลงเพื่อให้คนเฝ้าไข้พอใจเสียที บางที...หลับสักตื่นก็คงดีเหมือนกัน
“จริงสิ!” ดวงตาสีทองปรือขึ้นอีกครั้ง ยิ้มน้อย ๆ มองรุ่นพี่ที่ทำตัวขี้เป็นห่วงช่างดูแลเหมือนเป็นแม่ของใครสักคนก็มิปาน พลางนึกหยอกในใจ...ไหนว่าอยากให้นอนพักนักหนาไง…
“นายยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนี่ หิวหรือเปล่า?” ชินโดพูดไปก็เอามือแตะหน้าผากวัดไข้เขาไป บ่นกับตนเองเบา ๆ ว่าเดี๋ยวต้องจับกรอกยาลดไข้แล้ว “อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม? ถ้าไม่ใช่ของเสาะท้องกับไอศกรีม จะเอาอะไรก็ได้”
“อะไรที่เป็นน้ำ ๆ ซดคล่องคอหน่อยแล้วกันครับ” พอหลับตาลงก็รู้สึกว่าแสงจ้าจากโคมไฟเต้นตุบอยู่หลังเปลือกตา อาการปวดหัวที่เกือบลืมไปแล้วเริ่มกลับมาอีกครั้ง
“งั้นเอาเป็นซุปได้ไหม?” ชินโดหันมาถามความเห็น “แล้วอยากได้ของหวานอะไรหรือเปล่า? เอาพุดดิ้งดีไหม?”
“...ยังไงก็ได้...” การอ้าปากพูดเหมือนจะยากกว่าปกติ สึรุกิหลับตาลงแน่นขึ้นอีก ขมวดคิ้วเพราะรู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิด กระทั่งลมหายใจของตนเองยังกลายเป็นไอร้อน เขาอาจจะฝืนตนเองมากเกินไปจริง ๆ อย่างที่อีกฝ่ายว่าก็ได้...
อีกคนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือเข้ามาหา หยุดไว้กลางอากาศครู่หนึ่งด้วยท่าทางลังเล แต่สุดท้ายก็ลูบผมรุ่นน้องตัวโตกว่าไปมาอย่างเบามือ ปากพึมพำอะไรสักอย่างที่ฟังเหมือนปลอบโยนหรือกล่อมให้หลับ...สัมผัสนุ่มนวลนั้นทำให้รู้สึกเย็นสบาย แต่ในขณะเดียวกันก็อบอุ่นมากเช่นกัน
ครั้นแล้วเจ้าตัวก็ออกไปจากห้อง ปิดประตูตามแบบเกือบไม่มีเสียง สึรุกิถือโอกาสยื่นเท้าข้างหนึ่งออกนอกผ้าห่ม...อาการไข้หวัดก็น่ารำคาญอย่างนี้ ถ้าไม่ห่มผ้าก็จะหนาวสั่น แต่พอห่มผ้าก็ร้อนจนทนไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องสงบศึกด้วยการห่มผ้าแค่แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย ถึงอย่างนั้น เขาก็ตัดสินใจช่าง ๆ มันไป
สึรุกิเพลียกว่าที่ตนเองคิด จึงผล็อยหลับไปในเวลาไม่นาน
ในตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น...คนป่วยคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงประตูแง้มเปิดเบา ๆ กับเสียงถอนหายใจ และรู้สึกได้ว่าผ้าห่มถูกดึงมาปิดปลายเท้าจนมิดอีกครั้ง
+++++++++++++++++
เด็กนี่ดูแลตนเองไม่เป็นจริง ๆ...ชินโดส่ายหน้าให้ภาพแรกที่เห็นหลังเข้ามาในห้อง อดช่วยห่มผ้าให้ดี ๆ ไม่ได้ก่อนนั่งลงข้างเตียง จากนั้นก็ลองแตะหน้าผากวัดไข้อีกรอบ เขาตั้งใจจะอยู่ดูจนรุ่นน้องได้ทานข้าวอิ่มดีแล้วนอนพักต่ออีกรอบก่อนค่อยกลับบ้าน
ไข้ยังสูงอยู่ แต่รอให้ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยเช็ดตัวแล้วกัน...คิดแล้วก็รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากรอให้แม่บ้านที่เพิ่งโทรไปฝากให้ช่วยซื้อข้าวเย็นมาถึง เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ไปใช้ให้คนออกจากบ้านตอนฝนกำลังตกอยู่ แต่ไหล่มันปวดมากจนไม่อยากถืออะไรหนัก ๆ อีกแล้ว โชคดีที่ฝนซาลงจากตอนที่เดินมาส่งรุ่นน้องที่บ้านมาก จัดว่าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้คนเดินถนนมากมายอะไร...
สึรุกิเหมือนจะหลับสนิทใช้ได้ ผมสีน้ำเงินยาวประบ่าที่แผ่กระจายบนหมอนตัดกับเปลือกตาซีดขาวปิดสนิท คิ้วขมวดเล็กน้อย แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะเชื่องช้าสม่ำเสมอ นอกจากเสียงหายใจขลุกขลักเพราะอาการป่วยเป็นระยะแล้ว เจ้าตัวก็สงบนิ่งมากจนน่ากลัว นอนหงายตามสบายและแทบไม่ขยับตัว...ไม่ต้องพูดถึงดิ้นหรือพลิกตัวด้วย ดูเครียดเกร็งแม้แต่ตอนหลับอยู่ นิ้วเรียวยาวเสยกลุ่มผมชุ่มเหงื่อที่แนบติดกับแก้มให้พ้นใบหน้าคม นึกอยากช่วยได้มากกว่านี้ แต่ไม่รู้ว่าควรช่วยอย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรช่วยอะไร...
หลังมองคนหลับได้สักพัก ชินโดก็มองสำรวจห้องนอนของเพื่อนร่วมทีมเพื่อฆ่าเวลา เทียบกับส่วนอื่น ๆ ของบ้านที่ดูเป็นระเบียบ เรียบง่าย ไร้การเสริมแต่งแล้ว ห้องนี้จัดว่ามีร่องรอยการใช้ชีวิตตามใจตนเองของใครสักคนมากที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่ารกเละเทะอะไรหรอก แต่ก็มีอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ฟุตบอล การ์ตูนการ์ดเกม กับวงดนตรีสไตล์กอธิคที่แปะอยู่เต็มผนัง ตู้ไม้ที่ติดกับผนังมีหนังสือเรียงแน่นขนัด...ส่วนมากเป็นมังงะ ไลท์โนเวล กับนิตยสารฟุตบอล แต่ก็มีนิยายอยู่มากเหมือนกัน มีทั้งนิยายตามกระแสนิยมที่อ่านง่าย นิยายแฟนตาซี และวรรณกรรมเยาวชน ผู้มาเยือนนิ่วหน้าเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ กวาดตามองหาอยู่พักหนึ่ง ก่อนยิ้มบางเมื่อพบว่าหนังสือที่ไปเลือกซื้อกับสึรุกิเมื่อวันก่อนอยู่บนชั้นวางเหนือหัวเตียงนี่เอง แต่กลับมีเฉพาะเล่มสามซึ่งมีที่คั่นหนังสือยื่นออกมาจากส่วนที่ใกล้จบเล่มแล้ว สองเล่มแรกหายไปไหนไม่รู้ นอกจากหนังสือแล้วก็มีกรอบรูปขนาดทั้งเล็กใหญ่อยู่หลายอัน
รูปพวกนั้นเป็นภาพถ่ายครอบครัวในหลาย ๆ โอกาส ชินโดได้เห็นว่าเจ้าตัวเปลี่ยนแปลงไปจากตอนเด็กมาก เด็กชายในรูปตัวเล็กนิดเดียวและมีรอยยิ้มสดใส แต่สึรุกิ เคียวสุเกะที่เขารู้จักตัวสูงกว่ารุ่นพี่ปีสองบางคนและเคร่งขรึมจนมองเป็นความเย็นชาได้ ไม่รู้ว่าเป็นกาลเวลาหรืออะไรที่เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเช่นนั้น...ที่แน่ ๆ คือ ต่อมาเด็กชายยิ้มง่ายในรูปก็เข้าร่วมกับฟิฟท์เซคเตอร์ และคงต้องเสียอะไรไปมากมาย
เขาเบือนสายตาหนีจากรูป รู้สึกผิดเหมือนกำลังล่วงล้ำเรื่องส่วนตัวของเจ้าของห้อง ทว่า ถึงอย่างนั้นก็เจอแล้วว่าพี่ชายของรุ่นน้องคือคนไหนในรูป ทั้งคู่หน้าตาคล้ายกันมากจริง ๆ
มือเรียวบางหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกหน้ากระดาษเล่นสองสามหน้า วางกลับที่เดิม แล้วเดินไปดูโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่มุมห้องใกล้ ๆ ข้างโต๊ะหนังสือเป็นฉากกั้นทำจากไม้อัดสีน้ำตาลอ่อน เหมือนมันจะแบ่งห้องนี้ออกเป็นสองส่วน จะว่าไปแล้ว...โต๊ะเขียนหนังสือนี่ก็เป็นโต๊ะสองตัวมาวางต่อกัน ตั้งหนังสือเรียนกับโคมไฟเล็กอยู่บนโต๊ะเหมือนจะใช้พื้นที่กว้างใหญ่เกินเหตุได้ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ยิ่งไปกว่านั้น เก้าอี้ก็มีสองตัว
คำตอบง่าย ๆ ชินโดแทบจะหัวเราะตนเองที่คิดไม่ได้ตั้งแต่แรก เห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่าสึรุกินอนห้องเดียวกับพี่ชาย ในเมื่อบนชั้นสองนี่ก็มีประตูห้องอยู่แค่สองบานเท่านั้น
เขาพลันนึกถึงคำพูดที่เคยได้ยินมา...บนโลกใบนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องมีอยู่สองแบบ ได้แก่ ‘เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราไปไหนมาไหนด้วยกัน เราตายด้วยกัน’ กับ ‘ไอ้หมอนั่นมันเป็นใครหรือครับ ชีวิตนี้ผมไม่เคยเห็นหน้ามันมาก่อนเลยครับ’ นอกจากนี้ก็มีวาทะที่ว่า ‘ยิ่งพี่น้องอายุห่างกันมากเท่าไหร่ ยิ่งเสมือนเป็นสิ่งมีชีวิตคนละดาวเคราะห์กันมากขึ้นเท่านั้น’ ชินโดเป็นลูกคนเดียว จึงไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านั้นเชื่อได้หรือไม่ได้ แต่เหมือนพี่น้องสึรุกิจะมีความสัมพันธ์แบบแรก และดูท่าคำพูดหลังจะใช้กับพวกเขาไม่ได้ สึรุกิดูรักเคารพพี่ชายที่แก่กว่าตนเองพอสมควรคนนั้นมากทีเดียว
แต่พี่ชายของสึรุกิไม่อยู่บ้าน เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเจ้าตัว…บางทีอาจจะไปธุระนอกบ้านหรือเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว...ชินโดไม่อยากเดาสุ่มเรื่องนี้มั่วซั่วเท่าไหร่นัก นี่เป็นเรื่องของสึรุกิ ถ้าเจ้าของเรื่องอยากให้เขารู้ก็คงเล่าให้ฟังเองไปแล้ว และในเมื่อเด็กนี่ไม่อยากเล่า เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปสอดรู้สอดเห็น
ดูเหมือนการเดินท่อม ๆ ไปรอบห้องของสึรุกิมากกว่านี้จะไม่เข้าท่าเสียแล้ว...คุกคามความเป็นส่วนตัวมากเกินไป เด็กหนุ่มกลับมานั่งข้างเตียงตามเดิม แล้วหยิบมือถือออกมาเล่น เขาอยากฟังเพลงคลาสสิกซิมโฟนีออเคสตร้าอลังการแบบกระหึ่มทั้งห้อง แต่เนื่องจากเกรงใจคนป่วย ก็เลยเปลี่ยนเป็นเพลงเปียโนแบบชวนผ่อนคลายแทน
ความจริงแล้ว เพลงนี้ก็ดีมากเหมือนกัน เขาหลับตาลง นึกรำคาญอาการปวดไหล่จากการขนของหนักเมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียนที่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมหายไปเสียที...ช่วงนี้ยิ่งอยู่ระหว่างโฮลี่โรดอยู่ด้วย ถ้าไม่รีบหายต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ในนัดต่อไปควรใช้กลยุทธแบบไหนดี แล้วเพื่อนในทีมคนอื่นเป็นไงบ้างแล้ว...พออยู่กับตนเอง ที่หมุนวนวุ่นวายไปมาในหัวก็คล้ายจะมีแต่ความคิดประดานั้น
ในตอนที่เขาพอลืมความปวดขบได้บ้างนั่นเอง ริงโทนมือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียงเปียโน แม่บ้านโทรมาบอกว่าใกล้เดินทางมาถึงแล้ว
++++++++++++++++++++++++
เขาไม่อยากรบกวนคนกำลังพักผ่อนเท่าไหร่นัก ถึงขั้นรอเกือบชั่วโมงจนฝนหยุดตก อาหารเย็นหมดและต้องยกไปอุ่นในไมโครเวฟ ถ้ารอจนมันเย็นชืดไปอีกรอบ...ก็ต้องอุ่นอีกรอบ คงไม่ไหวเหมือนกัน
“สึรุกิ...” เสียงนุ่มทดลองเรียกอย่างออกเกรงใจคนป่วย
ทันทีที่ชินโดเรียกชื่อจบ สึรุกิก็ลุกขึ้นผลุงมานั่งหลังตรงเหมือนติดสปริงทั้งที่ตายังปรือ ๆ อยู่ คนอายุมากกว่าออกตกใจกับกิริยาเกือบคล้ายสะดุ้งนั้นเหมือนกัน แต่เจ้าตัวก็ดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไร ยืดตัวบิดขี้เกียจและขยี้ตาเร็ว ๆ สองสามครั้ง ก่อนหันมาหาเขา สีหน้าดูสดชื่นขึ้นมาก ไม่มีอาการหงุดหงิดอยากกลับไปนอนต่อ
“มีอะไรหรือครับ?” เสียงฟังดูมีกังวานเกือบเท่าปกติ แทบไม่เหลือร่องรอยของคนป่วย คนเฝ้าไข้ดีใจจนอดยิ้มไม่ได้
“กินข้าวก่อนเถอะแล้วค่อยนอนพักต่อ” ชินโดบอกอย่างอ่อนโยน “อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือนายแน่ะ”
บนโต๊ะมีซุปใสที่ใส่ผักเต็มไปหมด กลิ่นหอมฉุยทีเดียว ซองยาลดไข้ กับน้ำแก้วหนึ่ง สุดท้ายพอคนป่วยไม่ได้ขอ เขาก็ไม่ได้ฝากให้แม่ครัวซื้อขนมมาด้วย
สึรุกิหันกลับมามองเขา ก้มศีรษะให้จนผมที่ปล่อยยาวตกลงมาปิดตา
“ขอบคุณมากนะครับที่อุตส่าห์ดูแลมากขนาดนี้” คนอ่อนวัยกว่าเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “แล้วก็ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวนตั้งหลายเรื่อง ผมจะหาทางตอบแทนให้ได้”
“ไม่ต้องหรอกน่า” ชินโดส่ายหน้าปฏิเสธ “นายเป็นลูกทีมของฉัน ถ้าลูกทีมเป็นอะไร กัปตันก็มีหน้าที่ต้องดูแลอยู่แล้ว นายไม่ใช่คนแรกที่ ‘รบกวน’ ฉันหรอก” เขายิ้มเล็กน้อย “อย่างปีที่แล้ว ฮามาโนะก็ได้คืบจะเอาศอก ซุปธรรมดากินไม่ได้ ต้องราสซอสพริกกับมายองเนสก่อนถึงกินได้ ส่วนปีนี้ก็มีคุรามะโวยวายจะดื่มนมตามยาขม ๆ ไปล้างปากท่าเดียว ถึงนายจะดื้อไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับพวกนั้นแล้ว นายเป็นคนป่วยที่ดูแลง่ายมาก รู้ตัวไหม?”
คนป่วยไม่พูดอะไร ยอมนั่งลงกินอาหารอย่างเรียบร้อย รับยาอย่างว่าง่าย แต่ดันไม่ยอมกลับไปนอนพักบนเตียง กลับถามเขาด้วยเสียงเอาจริงเอาจัง
“คือ...ผมดีขึ้นมากแล้ว” เกริ่นด้วยคำพูดอึกอัก “ขอผมไปถูบ้านสักชั้นหน่อยได้ไหมครับ?”
“ไม่ได้!”
ชินโดตอบโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิด...ความเจ้ากี้เจ้าการของเขาให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจในที่สุด สึรุกิพยักหน้า ยอมกลับไปซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มดี ๆ ไม่ประท้วงอะไรอีก
“เพิ่งฟื้นไข้ก็จะฝืนตนเองอีกแล้ว ทำอย่างนี้ชาติไหนจะหาย” คนอายุมากกว่าบ่นขณะแตะมือวัดไข้อีกครั้ง “ดีนะที่ไข้ลดแล้ว ไม่ต้องเช็ดตัว แต่คืนนี้ทั้งคืน ต่อให้ฉันไม่ได้อยู่เฝ้า ก็อย่าได้ฝืนลุกขึ้นจากเตียงมาทำงานทำการอะไรอีกนะ นอนยาวถึงเช้าไปเลยจะได้หายสนิท เข้าใจไหม?”
“ครับ” คนป่วยรับคำอย่างขึงขัง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่นอนลง กลับยังจ้องหน้าเขาแน่วนิ่งต่อไป ท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง คนเฝ้าไข้ถอนหายใจ อนุญาตให้เจ้าตัวพูดได้
“ช่วงนี้กัปตันดูเครียด ๆ...” ชินโดอยากจะโต้ให้ว่าเพราะมีลูกทีมไม่เชื่อฟังแบบนายไงล่ะ ทว่า ก็ยังคงเงียบ รอฟังอยู่ “คุณแบกรับอะไรไว้มากเกินไป ทั้งเรื่องทีม เรื่องการแข่ง แล้วก็ยังคอยใส่ใจดูแลทุกคนอีก
ผมว่ากัปตันก็ฝืนตนเองมากเกินไปเหมือนกัน”
“อ้าว ก็ถ้าฉันไม่ทำ ใครจะทำ!?” เขาขัดอย่างลืมตัว อดรู้สึกกระดากไม่ได้ที่ตนเองช่างอ้างได้คล้ายกับอีกฝ่ายเมื่อก่อนหน้านี้เหลือเกิน
“ผมก็ไม่ได้กะแย่งงานกัปตันหรอก แค่ว่า...” เด็กนี่จ้องตาเขาตรง ๆ ดวงตาสีทองฉายความจริงใจชัดเจน ยืนยันว่าเจ้าตัวหมายความตามที่พูดทุกคำ
“อย่าแบกไว้คนเดียวเลยครับ ถ้ายังไง...ให้คนอื่น...ให้ผมช่วยบ้างก็ได้ เหมือนกับที่คุณอุตส่าห์มาช่วยดูแลผมไง” สึรุกิพอพูดจบก็หัวเราะเบา ๆ “กัปตันต้องดูแลลูกทีม ก็จริง แต่ถ้าลูกทีมไม่ได้มีไว้ให้จิกหัวใช้ จะเลี้ยงไว้ให้เสียข้าวสุกทำไมล่ะครับ”
กัปตันทีมไรมงนิ่งงัน...ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรดีอยู่ครู่ใหญ่ คิริโนะกับซันโกคุก็เคยพูดเตือนทำนองนี้เหมือนกัน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะสองคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับรุ่นพี่ที่เคารพ แต่นี่...กระทั่งรุ่นน้องก็มาว่าอย่างนี้ใส่แล้ว บางทีเขาคงหักโหมมากเกินไปจริง ๆ
“แล้วนายคิดจะช่วยฉันยังไงล่ะ?” รุ่นพี่ถามออกไปเมื่อหาเสียงของตนเองเจอในที่สุด “แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าช่วยฉันแล้วต้องลุกจากที่นอนละก็...ไว้วันหลังไปเลย”
รุ่นน้องยิ้มเหมือนคาดไว้แล้วว่าจะเจอคำตอบแบบนี้ “ไม่ต้องลุกหรอกครับ อย่างที่บอก กัปตันแบกอะไรไว้มากเกินไป...อย่างกระเป๋าสะพายไหล่กับไอ้กล่องใบใหญ่เกือบเท่าตัวกัปตันกล่องนั้น” สึรุกิพูดจาราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบราวกับคิดว่าความช่วยเหลือที่ตนเองเสนอเป็นเรื่องปกติสามัญ “แค่ดูตอนเดินกับตอนถือของก็รู้แล้วว่าปวดไหล่ อยากให้ผมนวดไหล่ให้หน่อยไหมล่ะครับ?”
เขาตาเบิกกว้าง เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พูดไม่ออกติดต่อกันถึงสองครั้ง...เจ้าหมอนี่สุดท้ายแล้วเนื้อแท้ก็เป็นคนทื่อตรง เมื่อหวังดีก็แสดงออกมาได้แต่แบบซื่อ ๆ ตรงประเด็นจนชวนให้คนอึ้ง…
เห็นกัปตันของตนอึ้งไปนานอย่างนี้ ลูกทีมก็เริ่มหน้าเสียขึ้นมา “ผมพูดอะไรแปลก ๆ ไปสินะครับ ขอโทษด้วย ผมลืมคิดไป ผมนวดให้พ่อกับแม่บ่อย ๆ ก็เลย...” เจ้าตัวลดเสียงเบาลงจนเกือบเรียกได้ว่างึมงำ “ผมแค่อยากให้กัปตันสบายใจ...อยากช่วยอะไรบ้าง...”
ท่าทางร้อนรนทำอะไรไม่ถูกนั้นแสดงความปรารถนาดีที่ไม่มีอะไรแฝงออกมาให้เห็นชัดเจน เตือนให้เขานึกได้อีกครั้งว่าคนตรงหน้าเป็นเด็กคนหนึ่ง...เด็กที่ยินดีทำแทบทุกอย่างเพื่อเอาใจคน เด็กที่พยายามอย่างสุดกำลังเพราะเชื่อว่าตนเองยังไม่ดีพอและไม่รู้ว่าแบบไหนถึงเรียกว่าพอแล้ว เด็กที่ซื้อขนมมาให้เขาโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร...เป็นเด็กดี
และชินโดก็คิดว่าตนควรรับความหวังดีนั่นไว้ อย่างน้อยก็เพื่อให้สึรุกิเห็นว่าความรู้สึกของเจ้าตัวสำคัญ
คนเฝ้าไข้พยักหน้า หันหลังให้อีกคน สึรุกิพอเข้าใจเจตนาแล้วก็ยื่นมือมากดไหล่แบบบางเบา ๆ สองสามที ใช้ปลายนิ้วคลึงเบา ๆ เหมือนคลำหาอะไรสักอย่าง พลางบ่นกับตนเองเบา ๆ
“เส้นตึงขนาดนี้เชียวหรือ...ก็น่าอยู่หรอก”
รุ่นพี่ตัวเล็กยังไม่ทันได้ตั้งคำถาม รุ่นน้องก็เริ่มนวดจริง ๆ คงกะแรงมือที่พอเหมาะได้แล้ว...เด็กนี่นวดดี ไม่แรงหรือเบาไป และนวดตรงจุดที่ปวดอยู่ได้โดยไม่ต้องบอก มือยังร้อนนิด ๆ ตามประสาคนป่วย แต่สำหรับเขาแล้ว...มือคู่นั้นอุ่นกำลังดี น่าสบายทีเดียว
ชินโดหลับตาลง ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้น เขาก็เลิกกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ และปล่อยให้ตนเองเป็นฝ่ายได้รับการดูแลบ้าง
ความคิดเห็น