คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : "It's no big deal."
สึรุกิรับสมาชิกชมรมไรมงหลายคนเป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊กแล้ว
พอมีเพื่อนมากคนเข้าก็รู้สึกว่าชีวิตมันยุ่งยากชอบกล โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนที่ว่าเป็นคนรู้จักในชีวิตจริง ต่อให้ทางนั้นโพสต์หรือแชร์อะไรชวนคิ้วกระตุกมาขึ้นหน้าแรกเฟซบุ๊กของตนเองมากแค่ไหนก็อันเฟรนด์ไม่ได้ โชคดีที่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่จำเป็น จะไม่ค่อยมีใครมายุ่งอะไรกับเขามากนัก (ยกเว้นเทนมะกับชินสุเกะที่เจออะไรเกี่ยวกับฟุตบอลแล้วจะชอบแท็กชื่อเขารวมกับสมาชิกคนอื่นในชมรม)
แต่การรับกัปตันชินโดเป็นเพื่อนไม่ได้สร้างปัญหาดังกล่าวเลย ส่วนใหญ่แล้ว วันหนึ่ง ๆ เจ้าตัวก็แชร์พวกรูปภาพสวย ๆ เรื่องน่าสนใจ เพลงเพราะ ๆ และ...แมวน่ารักน่าเอ็นดู (แถมมาไลค์รูปแมวที่พี่ยูอิจิแท็กชื่อเขาอีกต่างหาก) สรุปคือเป็นอะไรที่ดูแล้วมีผลด้านบวกกับจิตใจ บางครั้ง เจ้าตัวก็จะทักเขามาทางแชทบอกซ์ ส่วนมากตอนต้นจะเป็นเรื่องจำเป็นประเภทเตือนเวลาซ้อม ปรึกษาเรื่องกลยุทธ์ หรือเรื่องในทีม แต่คุยไป ๆ มา ๆ ก็จะกลายเป็นคุยเล่นเสียอย่างนั้น ทั้งยังออกรสออกชาติมากทีเดียว คงคล้าย ๆ วาทะหนึ่งที่ว่า I’m more funny on Internet where I can’t stutter. (ฉันเป็นคนตลกบนโลกอินเทอร์เน็ตเพราะฉันพูดติดอ่างทางนั้นไม่ได้) นั่นเอง
สึรุกิ ชินโดทักมาในเย็นวันเสาร์ สึรุกิพิมพ์ถามกลับว่ามีอะไรหรือเปล่าครบถ้วนประโยคภายในไม่กี่วินาทีตามประสาเด็กติดมือถือ แต่ตอนที่กำลังจะกดส่งก็เห็นข้อความบอกว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์อยู่จึงรอต่ออีกสักพัก
พรุ่งนี้ที่จะไปร้านหนังสือด้วยกัน จำที่นัดกับเวลาได้ใช่ไหม
อ๋อ เตือนความจำนี่เอง...เด็กหนุ่มกดลบข้อความเมื่อครู่ด้วยความเร็วสูงก่อนพิมพ์ข้อความใหม่ จำได้ครับ หน้าห้างกลางเมือง ตอนบ่ายโมง
ดี เขาแทบเห็นสีหน้าอมยิ้มอยู่ในทีของคู่สนทนาลอยมาตรงหน้า แล้วนายจะไปยังไง ให้ฉันไปรับดีไหม
ไม่กล้ารบกวนหรอกครับ นิ้วขาวซีดรัวพิมพ์ ผมไปทางรถเมล์ ยังไงก็รู้ที่นัดอยู่แล้ว ไม่หลงกันหรอก
ทางนั้นเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า โอเค ก่อนจะส่งลิงก์เพลงคลาสสิกมาให้ บอกว่าให้เอาไปฟังก่อนนอน ตามด้วยรูปแมวที่นอนเหยียดยาวยวบยาบอยู่กับพื้นที่มีบรรยายใต้ภาพว่า ‘แมวสามารถเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวได้’ เป็นสัญญาณบ่งบอกได้อย่างดีว่าพวกเขาได้เข้าสู่โหมดคุยเล่นไร้สาระนอกเรื่องแล้ว ดูเหมือนว่าพอเป็นเรื่องแมวแล้ว ชินโดจะคลายความเคร่งครัดจากปกติมากทีเดียว
สึรุกิหลุดขำออกมาทีหนึ่ง แล้วส่งรูปแมวตัวหนึ่งที่มีขนฟูฟ่องพลิ้วไหวราวกับก้อนเมฆกลับไปให้ พร้อมคำอธิบายภาพว่า ‘เป็นแก๊สก็ได้นะครับ’
ชินโดคงไม่คิดว่าจะใช้ตัวอักษรบรรยายอารมณ์ของตนเองในตอนนี้ได้เหมาะสม จึงส่งสติกเกอร์รูปแมวดำหัวร่องอหายมาให้ คนอ่อนวัยเห็นแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ กับตนเอง นึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นสีหน้าหรือได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายกับตัว
+++++++++++++++++++
สึรุกิเดินมาถึงที่นัดหมายด้วยความรู้สึกคล้ายพลังวิญญาณถูกสูบออกจากร่าง เป็นความเหนื่อยคนละแบบกับความเหนื่อยหลังออกกำลังกายเสร็จ ตัวการก็ไม่ใช่อะไรนอกจากฝูงชนที่เบียดเสียดอัดแน่นเป็นอาหารกระป๋องบนรถเมล์ และแน่นอนว่าตลอดทาง เด็กหนุ่มไม่ได้สัมผัสเบาะนั่งเก้าอี้เลยสักครั้ง
กวาดตามองไม่นานก็พบว่ากัปตันนั่งคอยอยู่บนม้านั่งที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก เขาก้มหัวทักทาย เดินเข้าไปหา ทิ้งตัวลงนั่งพักข้างอีกฝ่าย ก่อนหายใจหนัก ๆ ทีหนึ่ง รู้สึกรำคาญปอยผมชื้นเหงื่อที่แนบติดกับข้างแก้ม แต่ก็ขี้เกียจจะไปทำอะไรกับมัน
“เหนื่อยไหม...อยากดื่มอะไรหน่อยหรือเปล่า” ชินโดเปลี่ยนคำถามที่เห็นคำตอบอยู่โทนโท่กลางคันก่อนส่งน้ำแอปเปิลกระป๋องที่ยังมีหยดน้ำเล็ก ๆ เกาะพราวมาให้ ความอ่อนเพลียและคอที่แห้งผากทำให้เขายื่นมือจะไปรับแทบทันที แต่ตอนที่ปลายนิ้วแตะผิวโลหะเย็นเฉียบนั่น เด็กหนุ่มก็พลันได้สติขึ้นมา
“แล้วกัปตันไม่หิวน้ำหรือครับ?”
อีกฝ่ายส่ายหน้าแทบจะทันทีที่เขาถามจบ “นายดื่มไปเถอะ ฉันไม่ได้คอแห้งอะไรเลย นายนั่นแหละ ท่าทางเหมือนจะขาดน้ำตายอยู่รอมร่อ”
พอดูรุ่นพี่ของตนที่ท่าทางสดชื่นดีเทียบกับตนเองที่รู้สึกว่าในหัวเบาโหวงมาได้สักพักแล้ว สุดท้าย ความเกรงใจก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สึรุกิเอ่ยขอบคุณก่อนรับน้ำแอปเปิลมาดื่ม คงเป็นเพราะกระหายน้ำมากนั่นเอง ถึงได้รู้สึกว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่หอมหวานและสดชื่นที่สุดที่เคยดื่มมา…
เขาไม่ทันได้ดูราคาว่ามันแพงกว่าน้ำผลไม้ที่ตนเองดื่มอยู่ปกติเกือบเท่าตัว และพอดื่มหมดก็โยนกระป๋องลงถังขยะตามหน้าที่พลเมืองดีโดยไม่ได้สังเกตอะไรแม้แต่น้อย
“ไปกันเถอะครับ” สึรุกิเอ่ยเร่งพลางตั้งท่าจะลุกขึ้นยืน แต่คนอายุมากกว่ากลับรั้งแขนของเขาไว้ก่อน ดึงไว้ให้นั่งลงตามเดิม
“พักหายใจก่อนเถอะ ไม่ต้องรีบหรอกน่า ร้านหนังสือมันไม่ย้ายสาขาหนีนายไปไหนหรอก” ถึงปากจะพูดอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริง ชินโดก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาพักหายใจอย่างสงบนักหรอก ระหว่างนั้นก็ยื่นมือไปช่วยจัดปกเสื้อสึรุกิให้ตรง ลูบ ๆ ตบ ๆ เสื้อแจ็คเก็ตให้เรียบ ทั้งยังอุตส่าห์เก็บปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าปรกตาไปทัดหูให้อีกต่างหาก ปากก็เทศน์ไปเรื่อย ๆ ว่าควรจะใส่ใจรูปลักษณ์ของตนเองมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ให้ดูเรียบร้อยหน่อย เจ้าตัวทำเรื่องเหล่านั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการขัดเขินอะไรเลย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ชินโดเคยช่วยจัดเสื้อแสงผมเผ้าให้สึรุกิแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ครั้งแรกทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร(ปนกับทนไม่ได้ ตอนนั้น ในสายตาชินโด สารรูปเขาคงดูไม่ได้ขนาดนั้นจริง ๆ) หลังจากนั้นก็ขัด ๆ เขิน ๆ ไปนิดหน่อย แต่พอเห็นรุ่นน้องไม่ว่าอะไร นิ่งเป็นเบื้อ จัดท่าจัดทางง่ายดี ก็เลยยังทำแบบนั้นต่อไป สุดท้ายก็กลายเป็นความเคยชิน
“เอ้า เสร็จแล้ว” ชินโดละมือออกจากตัวเขาในที่สุด มองสำรวจผลงานของตนเองด้วยท่าทางพออกพอใจ ทางคนถูกจัดระเบียบก็รู้สึกคล้าย ๆ ว่าตนเองเพิ่งโดนจับไปซัก ตาก รีดชนิดครบถ้วนทุกกระบวนการ
“ขอบคุณมากนะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่” คนตัวเล็กกว่ายิ้มหวานให้ ท่าทางยังดูภาคภูมิใจกับผลงานอยู่ พอเห็นแล้ว สึรุกิก็อดยิ้มตามไม่ได้
...มีเพื่อนเป็นรุ่นพี่ที่ชอบจู้จี้จุกจิกกับรุ่นน้อง...ก็คงต้องเป็นแบบนี้เอง...
+++++++++++++++++++
“นายไม่ชอบหนังสือที่จบเศร้าหรือ?”
ชินโดขมวดคิ้วก่อนวางหนังสือเรื่อง Les Misérables ที่บังเอิญมาลดครึ่งราคาวันนี้พอดีกลับคืนชั้น เขารู้อยู่เต็มอกว่าต่อให้วรรณกรรมระดับโลกเรื่องนี้จะเลิศเลอขนาดไหน ตอนจบของมันก็ใช้คำจำกัดความว่าแฮปปี้เอนดิ้งมาเรียกไม่ได้เป็นอันขาด
“ครับ” สึรุกิตอบพลางไล้นิ้วไปตามสันปกหนังสือ ไม่มองหน้าเขาตรง ๆ “ผมจะเสียเวลาอ่านทำไม ถ้าเอาใจช่วยตัวเอกที่พยายามแก้ไขปัญหาสุดชีวิตมาทั้งเรื่อง แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็ล้มเหลวหมด ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ไอ้เรื่องแบบนั้น ในชีวิตจริงก็มีมากเกินพอแล้ว เรื่องอะไรจะต้องมาอ่านอีกล่ะ” เจ้าตัวหยุดไปครู่หนึ่ง ท่าทางคล้ายเสียดายว่าตนไม่น่าพูดเช่นนั้นออกมา สึรุกิหันมาทางรุ่นพี่ก่อนแค่นยิ้มให้ “ผมคงพูดจาเหมือนเด็กไม่ยอมโตสินะ”
เขาอดจ้องมองสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ รอยยิ้มนั้นดูเศร้าพิกล บรรยายได้ไม่ถูกนักหรอก แต่เหมือนจะมีแววเย้ยหยันตนเองปนกับความสิ้นหวังจนปลงตกได้บางอย่างอยู่ แม้ร่องรอยความรู้สึกดังกล่าวจะคงอยู่เพียงเสี้ยววินาทีจนเป็นไปได้ว่าอาจเป็นภาพลวงตาก็ตาม
“ไม่หรอก” ชินโดตัดสินใจส่ายหน้า “ความสุขไม่ได้เป็นเรื่องของเด็กอมมือสักหน่อย การอ่านน่ะมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจไม่ใช่หรือ ถ้านายรู้สึกสบายใจตอนอ่านเรื่องที่จบมีความสุข นั่นก็ตรงจุดประสงค์การอ่านพอ ๆ กับคนที่อ่านเรื่องเสียดสีสังคมชีวิตบัดซบนั่นแหละ”
“นั่นสินะครับ” สึรุกิหยิบนิยายสยองขวัญเรื่องหนึ่งมาดูหลังปกก่อนวางคืนชั้น “ความจริงผมก็ชอบเรื่องที่อ่านแล้วทำให้ร้องไห้ได้อยู่นะ แต่...เรื่องที่ผมไม่ชอบมัน...คือมันก็ทำให้อยากร้องไห้เหมือนกัน แต่...คนละแบบ”
เจ้าตัวทำหน้ายุ่ง เหมือนจะหงุดหงิดเลือกคำไม่ถูก แต่ชินโดเข้าใจความหมายที่อีกคนต้องการสื่อดี จึงไม่มีปัญหาอะไร
“ร้องไห้เพราะซาบซึ้งกับร้องไห้เพราะจิตตกมันต่างกันใช่ไหมล่ะ?” พอเห็นสึรุกิพยักหน้า ตาเบิกกว้างนิดหน่อยเหมือนตกใจที่เขาจำกัดความสิ่งที่ตนเองพูดไม่ถูกออกมาได้เป็นข้อความสั้น ๆ เขาก็ถือโอกาสบ่นไปด้วย “ฉันเข้าใจ มีเรื่องหนึ่งที่ตัวเอกชีวิตบัดซบทั้งเรื่องแล้วก็มาตายอย่างโหดร้าย ตอนอ่านก็อยากร้องไห้เหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากอ่านซ้ำอีกรอบหรอก” นิ้วเรียวบางเริ่มไล้ไปตามเรื่องย่อหลังปกของนิยายแปลเรื่องหนึ่งที่หยิบติดมือมาแบบไม่คิดอะไร “เข้าใจไหม ข้อคิดเดียวที่ฉันได้จากหนังสือเรื่องที่ว่านั่นคือชีวิตมันบัดซบ...อย่างกับฉันไม่รู้อยู่แล้วอย่างนั้นแหละ”
คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าก่อนออกความเห็น “ผมคิดว่าที่ผมไม่ชอบเรื่องแบบนั้น เพราะผมอ่านหนังสือเพื่อหนีความจริงโหดร้าย พอมันยังอุตส่าห์ตามมาในหนังสือได้อีกเลยขัดใจละมั้งครับ”
“ฉันก็ประเภทเดียวกับนายนั่นแหละ” ชินโดหันไปมองด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
ทั้งคู่เงียบกันไปครู่หนึ่งก่อนฝ่ายรุ่นพี่จะเปลี่ยนเรื่อง
“งั้นนายชอบหนังสือแบบไหนล่ะ?”
คนถูกถามยักไหล่ “ในเมื่อไหน ๆ ในหนังสือมันก็ไม่ใช่ของจริงอยู่แล้ว ผมก็เลยชอบเรื่องใส่อะไรประหลาดเหนือจริงพิลึกโลกไว้เยอะ ๆ น่ะครับ เออ พวกแฟนตาซี ไซไฟ เอเลียนบุกโลกนั่นแหละ”
“เอเลียนบุกโลกหรือ?” ชินโดทวนคำ “ไอ้ประเภทนี้แหละที่ตอนจบ คนชอบถูกจับไปผ่าทุกที ฉันละอยากลองอ่านเรื่องที่มนุษย์เป็นตัวอันตรายบุกดาวอื่นบ้างจัง มนุษย์เราน่ากลัวกว่าที่คิดนะ รู้ไหม?”
“ถ้าเอาให้จบดี ๆ แบบจรรโลงใจก็ต้องให้มนุษย์ได้เรียนรู้ว่าการกระทำตนเองเป็นเรื่องผิดเลยสงบศึกกับดาวอื่นและสร้างสัมพันธไมตรีทางการทูตใช่ไหมครับ?” สึรุกิรับมุกอย่างยืดยาว
“คิดพล็อตเรื่องได้ขนาดนี้ไปเขียนเองเลยไป๊” คนอายุมากกว่าหัวเราะเสียงใส ก่อนจะไปสะดุดตากับหน้าปกหนังสือเล่มหนึ่ง เคราะห์ร้ายที่มันอยู่สูงถึงระดับที่ต้องให้เขาต้องเขย่งปลายเท้าถึงจะสามารถเห็นหนังสือที่อยู่บนชั้นได้เต็มตา ชินโดกำลังกำลังบ่นกระปอดกระแปดในใจประท้วงว่าตนเองไม่ได้เตี้ยพอดีกับที่เจ้ารุ่นน้องตัวสูงจนน่าโมโหเดินมาข้างหลัง และหยิบลงมาให้ได้โดยไม่มีอุปสรรคอะไรเลย
...โกรทฮอร์โมนหลั่งเกินขนาดเอ๊ย...รุ่นพี่ตัวเล็กเผลอคิดกับตนเองอย่างขุ่นมัว แต่ก็ไม่ได้หมกมุ่นกับเรื่องนี้อยู่นานนัก ถึงอย่างไร เขาก็มาที่นี่เพื่อช่วยเพื่อนร่วมทีมเลือกหนังสือ ไม่ได้มีจุดประสงค์มากระฟัดกระเฟียดงี่เง่ากับเรื่องหยุมหยิมอย่างส่วนสูง
“ขอบใจ” ถึงอย่างไรก็ต้องบอกไปอย่างเสียไม่ได้
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่ครับ” พอพูดจบ เด็กนี่ก็หันไปสนอกสนใจกับหนังสือที่หยิบลงมาแทน
“นิทานกริมม์หฤโหด?” สึรุกิอ่านชื่อหนังสือแล้วมองกัปตันของตนเป็นเชิงถาม หน้าปกของมันเป็นเงาดำของเด็กชายและเด็กหญิงกลางป่ามืดทะมึนที่มีโครงเงาบิดเบี้ยวของอะไรต่อมิอะไรอยู่เต็มไปหมด ยิ่งพิจารณาร่วมกับชื่อเรื่องยิ่งไม่เห็นความน่ารักสดใส
“นี่ไงล่ะ” ชินโดพยายามนึกหาคำพูด “มันดัดแปลงมาจากนิทาน เพราะฉะนั้นแฟนตาซีแน่นอน อีกอย่าง...” เขาตัดสินใจบอก ๆ ไปให้หมดเรื่อง “ฉันเคยอ่านรีวิวทางอินเทอร์เน็ตแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้จบเศร้าอะไรหรอก”
“อ้าว จู่ ๆ มาสปอยล์ผมซะอย่างนั้น ทำไมกัปตันเป็นคนแบบนี้ครับ รู้ตอนจบแล้วใครมันจะไปอ่านสนุกอีก” สึรุกิหัวเราะร่วน แต่แน่นอน เขาแค่พูดเล่น หลังจากนั้น พวกเขาก็ตัดสินใจหยิบเล่มสองและสามของชุดนิทานกริมม์หฤโหดมาด้วยเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
พอเด็กนี่ได้หนังสือแล้วก็มาขอบคุณเขาอีกหลายครั้ง ท่าทางดีอกดีใจมากทีเดียว เขาเห็นดังนั้นแล้วก็ดีใจเหมือนกัน
+++++++++++++++++++++++++++++
“ว่าไงนะครับ อยากลองขึ้นรถเมล์ดูหรือ?”
คิ้วเรียวของคนตรงหน้าเลิกขึ้น ใบหน้าที่ปกติเรียบเฉยแสดงความสงสัยออกมาอย่างเห็นได้ชัด ชินโดเองก็รู้ว่าสิ่งที่ตนเองพูดไปมันแปลกพิลึกอยู่ แต่เขาก็ทำใจกล้าพูดต่อไป บอกตนเองว่าไม่ได้จะทำอะไรไม่ดีสักหน่อย
“ก็แค่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง” ชินโดรู้สึกว่าแก้มร้อนวาบขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นอย่างเดียวเท่านั้นจริง ๆ ตั้งแต่จำความได้ ถ้าต้องไปที่ที่ไกลเกินกว่าจะเดินเท้าหรือขี่จักรยานได้ เขาก็เดินทางด้วยรถส่วนตัวนั่งสบายของครอบครัวเสมอ รถเมล์เป็นอะไรที่ไกลตัวพอสมควร...พูดง่าย ๆ คือคุณชายน้อยผู้มีฐานะความเป็นอยู่เลอเลิศผู้นี้ไม่เคยขึ้นรถเมล์มาก่อน เพื่อนในชมรมที่รู้เรื่องนี้ต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ใกล้เคียงคำจำกัดความว่า ’เจ้าชายบนหอคอยงาช้าง’ ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาแล้ว
“เอาเถอะครับ” สึรุกิสั่นศีรษะ ในตามีแววหัวเราะ “ถ้ากัปตันอยากมีประสบการณ์กับการคมนาคมแบบยืนทนก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่อย่าลืมบอกคนที่มาส่งแล้วกัน เดี๋ยวเขาจะคอยเก้อ”
“ไม่ลืมอยู่แล้วน่า” ชินโดหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรบอกคนขับรถสั้น ๆ ว่าไม่ต้องรอแล้ว กลับบ้านไปได้เลย ก่อนเดินตามเพื่อนร่วมทีมไปที่ป้ายรถเมล์ ระหว่างที่รออีกคนซื้อตั๋วเสร็จ ดวงตากลมโตก็สอดส่องไปรอบ ๆ อย่างทึ่งเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาเคยเห็นป้ายรถเมล์ผ่านกระจกหน้าต่างรถมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยสังเกตมันอย่างจริงจัง ไม่เคยรู้ว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้
พอสึรุกิกลับมาแล้วยื่นตั๋วให้ ชินโดก็อดถามไม่ได้ว่า “คนเยอะจัง วันนี้มีอะไรหรือเปล่า”
“วันหยุดก็ต้องคนเยอะสิครับ” คนอายุน้อยกว่าหันหน้าไปทางอื่น ท่าทางเหมือนกำลังจับตาดูรถเมล์ที่เลี้ยวเข้าหัวมุมมา แต่เขาจับได้ว่าเจ้าตัวแอบยิ้ม...เป็นยิ้มคล้ายคนเอ็นดูเด็กที่เพิ่งเห็นสัตว์ในสวนสัตว์เป็นครั้งแรก ชินโดอดไม่พอใจขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้
“นี่นายยิ้มอะ...” ยังพูดไม่ทันขาดคำ รถเมล์ก็จอดลงตรงหน้า และเพราะเข้าแถวอยู่ ชินโดจึงต้องรีบเดินขึ้นรถเมล์ไปเพื่อไม่ให้คนข้างหลังเสียเวลา คำถามจำต้องพับเก็บลงกระเป๋าไปก่อนชั่วคราว
พอสองเท้าก้าวเข้ามาในรถได้ เขาก็หันรีหันขวางอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมที่นั่งบนรถถึงเต็มแน่นได้รวดเร็วขนาดนี้ สึรุกิซึ่งอยู่ตำแหน่งแทบจะสุดคันรถทำท่าบุ้ยใบ้ให้รุ่นพี่ไปหา ชินโดทำตามนั้นด้วยสมองที่กำลังตกอยู่ในสภาพมึนงงพอสมควร
“ที่เต็มหมดแล้วหรือ” คนอายุมากกว่าหลุดคำถามที่รู้คำตอบแน่ ๆ อยู่แล้วออกมา พอพูดจบแล้วก็อดรู้สึกว่าตนเองพูดอะไรไม่เข้าเรื่องไม่ได้
“ผมไม่ได้แตะต้องเบาะนั่งบนรถมาสองปีแล้ว” สึรุกิยักไหล่ “พูดให้ถูกก็คือผมมันโตเร็ว ตอนป.ห้านี่ก็คนเห็นก็คิดว่าเด็กม.ต้นแล้ว เขาลุกให้เฉพาะเด็กประถมลงไปกับคนท้องเท่านั้นแหละ”
“แสดงว่าเราต้องยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าจะถึงที่อย่างนั้นหรือ?” ชินโดควบคุมเสียงตนเองไม่ให้ฟังดูตกอกตกใจมากเกินไปได้ทัน จนถึงเมื่อครู่ เขานึกมาตลอดว่าไอ้วาทะ ‘การคมนาคมแบบยืนทน’ นั่นแค่ล้อกันเล่นเฉย ๆ แต่ดวงตาก็เบิกกว้างไปแล้วอยู่ดี คนตรงหน้ายิ้มอ่อน ๆ ให้ พูดเหมือนจะปลอบใจ
“คิดในแง่ดีเถอะครับ กัปตัน พวกเราเป็นนักฟุตบอล...ต้องฝึกขาให้แข็งแรง”
“นายนี่มันจริง ๆ เล...เหวอ!” เป็นอีกครั้งที่มีอุปสรรคมาขัดขวางไม่ให้เขาพูดจบ รถเมล์เจ้ากรรมดันมาออกตัวในเวลานี้พอดี ชินโดไม่ทันได้หาที่ยึดเกาะก็เสียหลัก เซจนเกือบล้ม...อาจล้มไปแล้วจริง ๆ ถ้าคนตัวสูงกว่าไม่ช่วยรั้งต้นแขนของเขาและประคองเอาไว้
“ผมขอโทษที่ลืมบอกกัปตันให้หาที่เกาะนะครับ” ใบหน้าซีดขาวสลดไปอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวรอจนรุ่นพี่ยืนเองได้มั่นคงดีแล้วค่อยปล่อยมือ คนตัวเล็กอดรู้สึกโหวงขึ้นมานิดหน่อยไม่ได้ เหมือนพื้นที่ยืนอยู่ไม่มั่นคงเพียงพอ คงเป็นเพราะรถกำลังแล่นอยู่ ไม่ใช่เพราะพอมีมือของสึรุกิคอยประคองแล้วทำให้วางใจได้มากเกินไปหรอก
“ฉันจะไปว่าอะไรนายทำไม” เขามองหาอยู่พักหนึ่งก็เห็นราวจับที่อยู่เหนือหัว สึรุกิเองก็จับมันอยู่เหมือนกัน “ขอบคุณมากนะ” จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่อยากมองตาอีกฝ่ายตรง ๆ ขึ้นมาเสียเฉย ๆ ก็เลยเสมองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปหาทิวทัศน์ที่คล้อยหลังไปเรื่อย ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
รุ่นน้องเองก็เหมือนจะใจตรงกันขึ้นมากะทันหัน มองออกไปนอกหน้าต่างด้วย เงียบกันไปนานทีเดียว จนกระทั่งรถแล่นผ่านร้านไอศกรีมที่มีเพนกวินใส่แว่นตาเป็นโลโก้ร้านหนึ่ง ความคิดที่ผุดขึ้นมาทันทีที่เห็นเจ้านกบินไม่ได้นั่นของพวกเขาคงเหมือนกันเป็นแน่ เพราะทั้งคู่ต่างหันขวับมามองหน้ากัน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กันแบบที่คนที่ไม่ใช่นักฟุตบอลไรมงคงไม่เข้าใจเหตุผล ชินโดรู้สึกว่าไหล่ตนเองสั่นน้อย ๆ เพราะกลั้นหัวเราะ
หลังจากนั้น พวกเขาก็กลับมาคุยกันได้ตามปกติ
โดยสรุปแล้ว ถ้าไม่จำเป็น ชินโดคงไม่มาขึ้นรถเมล์อีก เพราะขยาดต่อความขาดแคลนที่นั่ง และกิจกรรมยืนทนที่ทำให้เมื่อยขาจนแทบหมดความรู้สึก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้เห็นว่ามันเลวร้ายจนรับไม่ได้ขนาดนั้น แค่ว่าถ้ามีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าก็คงไปเลือกอย่างอื่นแทน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาขึ้นรถเมล์ในช่วงที่คนซาไปมากแล้ว จึงไม่ได้สัมผัสด้านที่เลวร้ายที่สุดของการใช้รถเมล์เดินทาง...อันได้แก่...ถูกบรรดาผู้โดยสารคนอื่นเบียดเสียดจนบี้แบนคารถ
อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพอมีสึรุกิอยู่ด้วย พอได้รอให้เวลาผ่านไปด้วยการพูดคุย หัวเราะด้วยกันกับอีกฝ่าย อะไร ๆ ก็เหมือนจะไม่เลวร้ายเกินไป
+++++++++++++
ความคิดเห็น