คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : "I really mean it."
ในเช้าวันอาทิตย์ที่ใคร ๆ เขาก็ถือโอกาสตื่นสายกัน สึรุกิกลับตื่นมาจ้องเพดานตาเบิกโพลงตั้งแต่ตีห้าครึ่ง หลังจากหัวว่างเปล่าขาวโพลนอยู่ชั่วครู่ ความทรงจำก็ค่อย ๆ กลับมา ใช่แล้ว เมื่อวานแข่งฟุตบอลชนะ...พี่ชายดีใจมาก...ทุกคนก็ดีใจมากเหมือนกัน...มีหลายคนมาตบบ่าเขาแล้วบอกว่าทำได้ดีมาก…
แล้ววันนี้...กัปตันก็นัดไปซื้อขนมมาฉลองกับเพื่อนร่วมทีมด้วย
สึรุกิลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจหนึ่งทีแก้ความเมื่อยขบตามเนื้อตัว โซฟาในห้องผู้ป่วยนอนไม่สบายนัก และเมื่อคืนเขาคงนอนผิดท่า อีกนานกว่าจะถึงเวลานัด แต่จะให้นอนต่อ เขาก็นอนไม่หลับ
เสาร์อาทิตย์นี้พ่อแม่อยู่บ้าน ไม่ได้ไปทำงานต่างจังหวัด สึรุกิก็พลอยไม่ต้องอยู่เฝ้าบ้านกันขโมย เลยถือโอกาสหอบผ้าผ่อนมานอนค้างกับพี่ชายที่โรงพยาบาล แม่ชอบบอกว่าเขาเป็นเด็กน่ารัก โตขนาดนี้แล้วยังติดพี่ชายอีก พอพูดจบก็ชอบขยี้หัวเขา...เหมือนพี่ไม่มีผิด ไม่สิ ต้องบอกว่าพี่ได้รับถ่ายทอดพฤติกรรมของแม่มาเต็ม ๆ กรรมพันธุ์ช่างน่ากลัวจริง ๆ
สึรุกิไม่อยากถูกหาว่าติดพี่ จริงอยู่ว่าเขาชอบอยู่กับพี่ คุยกับพี่ได้ทุกเรื่อง และหลังจากเรื่องฟิฟท์ เซคเตอร์ เขาก็แทบไม่มีความลับอะไรกับพี่อีก แต่นั่นก็เพราะพี่เป็นคนดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เขาไม่ใช่ลูกแหง่ที่พอมีอะไรก็วิ่งไปขอให้พี่แก้ปัญหาให้เสียหน่อย เขาพยายามทำตัวให้เป็นภาระกับพี่น้อยที่สุดแล้ว
เมื่อวานพี่ยังบ่นอยู่เลยว่างอแงเยอะ ๆ หน่อยสิ ช่วยกลับไปขี้อ้อนเรียกพี่จ๋า ๆ แบบตอนเด็กที ไม่งั้นก็ทำตัวดื้อรั้นเกเรหน่อย พี่อยู่มาถึงปูนนี้แล้ว พี่อยากมีโมเมนต์ถูกน้องชายวัยกำลังต่อต้านมาทำงอนงี่เง่าใส่อย่างคนอื่นเขาบ้าง ช่วยงดทำตัวเป็นผู้ใหญ่ย่อส่วนมีเหตุมีผลสักวันได้ไหม...สึรุกิไม่รู้เหมือนกันว่าการถูกน้องทำตัวงี่เง่าใส่มันเป็นเทรนด์ที่ต้องทำตามประเภทไหน ที่แน่ ๆ เขาไม่อยากทำตัวงี่เง่า และรู้สึกว่าการที่พี่มาขอแบบนี้มันออกจะ เอ่อ…ประสาทไม่ปก...ไม่ เขาจะไม่คิดถึงพี่ชายตนเองในทางไม่ดี เด็กหนุ่มก็เลยทำหูทวนลมไปเสียดื้อ ๆ
ตอนนี้พี่ยังหลับอยู่ มีหนังสือเล่มที่อ่านค้างจากเมื่อคืนวางไว้ข้างหมอน สึรุกิลงจากโซฟาไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเงียบเชียบ แล้วส่งข้อความบอกพี่ว่าตนเองออกไปไหน ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะได้เวลาที่นัดไว้กับกัปตัน เมื่อนอนต่อไม่ลง เขาก็ตัดสินใจจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์สักหน่อย
สึรุกิเดินไปที่ร้านเบเกอรี่ที่นัดไว้กับกัปตัน ร้านเปิดเก้าโมงโน่นก็จริง แต่คนที่นั่นเริ่มทำงานกันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า ในเมื่อเขาตื่นเช้ามากนัก ก็จะทำตัวมีประโยชน์ด้วยการไปช่วยสองแม่ลูกที่อุตส่าห์ลดราคาขนมให้ครอบครัวของเขาถูกมากจนเกือบเรียกได้ว่าให้เปล่า ยัดเยียดของแถมกองเท่าภูเขาให้ ฯลฯ มาตั้งแต่เขายังเด็กแล้วกัน ถือเสียว่าเป็นการตอบแทน
มันไม่ได้เป็นงานพิเศษอะไรหรอก เด็กหนุ่มแค่ไปอาสาช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างเป็นครั้งคราว งานที่ทำไม่ใช่งานยากหรือละเอียดอ่อนอะไร และแน่นอนว่าเขาไม่ได้มีส่วนช่วยในการทำขนมเค้กสวย ๆ ทั้งหลายแหล่แน่นอน เป็นพวกงานใช้แต่แรงงาน ไม่ต้องคิดอะไรมากประเภทช่วยแบกวัตถุดิบไปเก็บในคลังของร้าน ทำความสะอาดห้องครัว ล้างอุปกรณ์ทำขนม หั่นส่วนผสม หรือนวดแป้งขนมปังนั่นแหละ ซึ่งคนที่ร้านก็จะตอบแทนด้วยการให้เลือกขนมกลับบ้านไปได้หนึ่งอย่างโดยไม่คิดเงินหรืออะไรทำนองนั้น
ตอนที่เขาไปถึง ลูกชายเจ้าของร้านกำลังแบกกระสอบวัตถุดิบขนาดยักษ์ลงจากรถบรรทุกอยู่พอดี ร้านนี้เป็นร้านเล็กเลยจ้างคนไม่มาก มีแค่คนทำขนมสองคนเป็นตายายคู่หนึ่ง กับพนักงานรับลูกค้าเป็นคุณน้าผู้หญิงคนหนึ่ง นอกนั้นก็มีแต่เจ้าของร้านกับลูกชาย ซึ่งหมายความว่าถ้าสึรุกิไม่มาช่วย งานใช้แรงงานหนักทั้งหลายจะตกอยู่กับลูกเจ้าของร้านคนเดียว ถึงแม้เจ้าตัวจะย้ำอยู่บ่อย ๆ ว่าชินแล้ว ไม่ได้เหนื่อยยากลำบากอะไร สึรุกิก็ยังอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ไม่ได้มาช่วยบ่อยนัก
ลูกชายเจ้าของร้านพอเห็นเขาก็ร้องทักอย่างดีใจ ยิ้มกว้างทีเดียว ท่าทางเหมือนพร้อมจะโยนภาระแบกกระสอบที่เหลือบนรถให้สึรุกิได้ทุกเวลา แต่ก็ไม่ได้ทำ กลับออกปากอย่างเจ้ากี้เจ้าการว่า “มาเช้าขนาดนี้ กินอะไรรองท้องมาหรือยัง? ถ้ายังไม่ได้กินห้ามทำงาน เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไง? ไปขอให้คุณแม่ที่อยู่ในครัวช่วยทำอะไรให้กินก่อนไป๊!” แล้วก็กลับไปแบกกระสอบข้าวต่อด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ทำนองว่าข้ามีความแน่วแน่ดั่งเหล็กกล้า ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด
สึรุกิไม่ได้ใส่ใจจะพูดความจริง เขาเพียงพยักหน้ารับส่ง ๆ ไปเป็นเชิงว่ากินแล้ว และคว้ากระสอบแป้งสาลีมาแบกพาดบ่าอย่างรู้งาน ท่าทีเขาคงจะดูไม่ค่อยง่อยเปลี้ยเพลียแรงเท่าไหร่นัก ลูกชายเจ้าของร้านจึงจับโกหกไม่ได้ แต่สุดท้ายพอเสร็จงานแบกของ เจ้าตัวก็ผลุบหายเข้าครัวไปหยิบขนมปังทาเนยกับโกโก้มาให้อยู่ดี แถมยังกำชับว่าถ้ายังกินไม่หมด ห้ามเข้ามาในครัว
ทั้งขนมปังกับโกโก้ร้อนมากจนต้องค่อย ๆ กิน กว่าเขาจะเข้าไปในครัว งานเตรียมแป้งสำหรับอบขนมก็คืบหน้าไปได้พอสมควรแล้ว ตายายกำลังช่วยกันผสมถั่วกับผลไม้ใส่เนื้อแป้ง เจ้าของร้านกำลังเตรียมส่วนผสมอบเค้ก ส่วนลูกเจ้าของร้านก็กำลังเตรียมทำขนมปังแบบพื้นฐานที่สุด (อาจจะใช้กินเปล่า ๆ ทั้งอย่างนี้หรือเอาไปใส่ไส้ทีหลัง) ทำท่าบุ้ยใบ้ให้สึรุกิมาช่วยนวดแป้ง...เจ้าตัวชอบชมเขาแปลก ๆ อยู่บ่อย ๆ ว่ามือหนัก แรงวัวแรงควายดี นวดแป้งแป๊บเดียวขึ้นฟูเลย...เขาเองก็ไม่รู้จะดีใจหรือจะรู้สึกอะไรดี
เด็กหนุ่มตั้งใจจะบอกสองแม่ลูกเรื่องกัปตันชินโดจะมา แต่สุดท้ายงานในครัวก็วุ่นจนเพิ่งมาสบโอกาสพูดตอนเหล่าขนมเข้าไปอยู่ในเตาหมดแล้ว
“พี่ครับ” สึรุกิเรียก ลูกชายเจ้าของร้านสะดุ้ง ถอนสายตาจากขนมปังที่กำลังพองฟูในเตา (งานอดิเรกของแกคือจ้องขนมอบที่ค่อย ๆ สุกในเตาอบด้วยแววตาเป็นประกาย) แล้วหันขวับมาทางสึรุกิ ถามเสียงนุ่มนวลใจดีว่ามีอะไรหรือ
“พี่จำตอนที่ผมซื้อเค้กชาแล้วบอกว่าจะเอาไปฝากรุ่นพี่ที่ชมรมได้ไหมครับ?”
ลูกชายเจ้าของร้านหัวเราะร่า “จำได้สิ จำได้! ตอนนั้นนายมาแต่เช้าเชียว มาแล้วก็จด ๆ จ้อง ๆ ขนมในร้านอยู่ตั้งนานสองนาน กลุ้มใจไม่รู้จะเลือกอะไรไปดี คนอื่นจะช่วยเลือกให้ก็ไม่ยอม บอกว่าจะให้ของรุ่นพี่เขาเองก็ต้องตัดสินใจเอง ถ้าคนไม่รู้คงนึกว่านายจะซื้อไปฝากแฟนไปแล้ว แถมนายยัง...”
“พอเถอะครับ” สึรุกิรู้สึกเหมือนความดันจะขึ้นรับอรุณ รีบตัดบทคำพูดรำลึกความหลังแล้วเข้าประเด็น “รุ่นพี่คนที่ผมพูดถึงจะมาซื้อขนมวันนี้ ซื้อเยอะด้วยเพราะจะเอาไปเลี้ยงคนทั้งชมรม...”
เขาหยุดกะทันหันเพราะดวงตาที่เบิกกว้างเท่าไข่ห่านกับสีหน้าว่างเปล่าของลูกชายเจ้าของร้านทำให้ไม่แน่ใจว่าทางนั้นฟังอยู่หรือเปล่า
เจ้าตัวจ้องเขานิ่งไม่วางตาด้วยแววตาเบิกโตผิดธรรมชาตินั่นโดยไร้ความเคลื่อนไหวได้สักพัก ก็อุทานดังลั่น...เหมือนจะมีเสียงคุณป้าเจ้าของร้านกรี๊ดเบา ๆ ว่า ‘ตาเถรหกตกหล่น!’ แซมมาด้วย
“หา! เคียวสุเกะคุงพาเพื่อนมาที่ร้านแล้ว! นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย” ลูกชายเจ้าของร้านสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตะโกนดังหูแทบดับ “ไอ้พี่ก็นึกว่านายจะพามาตอนขึ้นมหาลัยเสียอีก!”
นี่ ตกลงคิดว่าทักษะการเข้าสังคมของเขามันต่ำแค่ไหนกันเชียว...สึรุกิเริ่มหรี่ตา พอดีกับที่เสียงคุณป้าดังตามมา...เหมือนจะช่วยชีวิต (?)
“ลูกพูดเกินไปแล้ว! มันไม่น่าช้าขนาดนั้นมั้ง แม่ก็บอกแล้วไงว่าเคียวสุเกะคุงเขาจะเริ่มพาเพื่อนมาเที่ยวร้านตอนใกล้จบม.ปลายต่างหาก! ถึงจะชอบแต่งตัวสไตล์จิตทุรนทุราย แขนเสื้อมีก็ไม่ใส่มันซะงั้น แถมชอบกรีดอายไลเนอร์ดำปื้ดด้วย แต่เคียวสุเกะคุงเขาก็เป็นเด็กดีนะ ต้องหาเพื่อนได้อยู่แล้ว!”
...ลำพังไม่พูดยังพอทำเนา...พอพูดทีนี่คือกะขุดหลุมฝังศพให้กันชัด ๆ ใช่ไหม...สึรุกิได้แต่จ้องภาพตรงหน้าด้วยสายตาตายซาก ไร้ปากไร้เสียงไปโดยสิ้นเชิง
“จ่ายแม่มาเสียดี ๆ! ถึงที่แม่พนันไว้ว่าเคียวสุเกะคุงจะพาเพื่อนมาที่ร้านตอนใกล้จบมัธยมจะผิดเหมือนกันก็จริง แต่แม่ก็เดาได้ใกล้เคียงกว่าลูก เพราะฉะนั้นแม่ชนะ!” คุณป้าอาศัยทีเผลอ พยายามแย่งกระเป๋าสตางค์ที่ลูกชายเก็บไว้ในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนตรงหน้าท้องมาครอง
ลูกชายเจ้าของร้านกอดกระเป๋าสตางค์ของตนเองอย่างหวงแหน “ไม่ครับ! คนที่ชนะพนันคือลูกพี่ยูอิจิต่างหาก ลูกพี่เขาเดาถูกเป๊ะว่าเคียวสุเกะคุงจะพาเพื่อนมาร้านตอนขึ้นม.ต้น เพราะฉะนั้นพวกเราสองคนต้องไปจ่ายเงินให้พี่เขาต่างหากล่ะครับ!”
อ้อ...กระทั่งพี่ชายแท้ ๆ ยังเอาน้องมาพนันได้ลงคอสินะ...สึรุกิไม่แม้แต่จะโกรธ เศร้าหรือสิ้นหวังอีกแล้ว หลังเพ่งมองอากาศว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเลื่อนลอยได้สักพัก เขาก็ทำได้แค่ไปช่วยตายายยกขนมออกจากเตา รอให้สองแม่ลูกออกทะเลเต็มอิ่มแล้วจะได้ดึงกลับเข้าเรื่องเสียที
+++++++++++
ชินโดมาถึงก่อนเวลานัด
แถมยังเหลือเวลาอีกราวห้านาทีกว่าจะถึงเวลาเปิดร้าน เขายืนรออยู่แถวนั้น ตั้งคำถามกับตนเองว่าทำไมถึงต้องกระวนกระวายนั่งไม่ติดแค่เพราะนัดกับรุ่นน้องมาซื้อขนมด้วย บางที เขาอาจยังเกร็งกับสึรุกิมากกว่าที่คิดก็ได้
ข้างหลังกระจกหน้าร้านเบเกอรี่มีคนคนหนึ่งเดินไปรอบ ๆ ห้องเหมือนจะตรวจตราความเรียบร้อย คนคนนั้นไว้ผมยาวสีชมพูอ่อนยุ่งฟูรวบเป็นหางม้า สวมผ้ากันเปื้อนแบบคลุมทั้งตัวที่มีกระเป๋าตรงหน้าท้อง และหลังจากเดินไป ๆ มา ๆ ได้สองสามรอบก็มาพลิกป้ายไม้หน้าร้านจาก Closed เป็น Open ก่อนเวลาอันควรไปถึงสองสามนาที
ชินโดสาวเท้าเดินเข้าหาร้าน ไม่ได้เคร่งครัดอะไรมากกับความไม่ตรงเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่น พอเปิดประตูก็มีกลิ่นหอมของขนมอบใหม่ลอยมาแตะจมูก เป็นกลิ่นที่ดี ทำให้รู้สึกอบอุ่น
กวาดตามองไปก็เห็นว่าห้องนี้มีการจัดหมวดหมู่วางขนมเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ชั้นวางฝั่งขวาเป็นขนมปัง ชั้นวางฝั่งซ้ายเป็นขนมหวานที่ยังหอมกรุ่นอยู่ ส่วนข้างหลังของห้องเป็นตู้กระจกใส่ขนมที่ควรเก็บไว้ในที่เย็น ข้างซ้ายของตู้กระจกเป็นเคาเตอร์จ่ายเงิน ข้างขวาเป็นประตูบานสวิงแบบที่เห็นได้บ่อย ๆ ในหนังคาวบอย มีป้ายติดอยู่ข้างบนว่าเป็นโซนสำหรับนั่งทานขนมที่ร้าน นอกจากพื้นที่เป็นไม้สีม่วงแดงมันปลาบแล้ว ห้องนี้ก็แต่งด้วยไม้ที่เป็นสีออกแดงเช่นกัน ทอกับแสงแดดสีทองแล้วให้บรรยากาศที่สดใสน่าอยู่มากทีเดียว เสียงฮัมเพลงสบายอารมณ์เบา ๆ ในคอขณะทำงานของพนักงานผมสีชมพูคนนั้นยิ่งขับบรรยากาศให้นุ่มนวลเป็นมิตรกว่าเดิม
กว่าสึรุกิจะมาคงอีกนาน ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเด็กนั่น เป็นเขานั่นแหละที่มาเร็วเกินไป ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเหมือนกัน ชินโดตั้งใจจะลองเล็ง ๆ ขนมที่บรรดาเพื่อนร่วมทีมชอบดูก่อนเป็นการฆ่าเวลา พวกทาร์ตไข่ ขนมปังมีไส้เป็นของประเภทที่ซื้อไปอย่างไรก็มีคนกินแน่ ๆ...เค้กชาที่รุ่นน้องเคยซื้อมาฝากก็อยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดดี คิริโนะ รุ่นพี่ซันโกคุ กับคุรามะน่าจะชอบ ซื้อด้วยแล้วกัน เอาพวกขนมญี่ปุ่นด้วยก็ดี...
เสียงฝีเท้าที่แว่วมาจากอีกห้อง ตามด้วยเสียงประตูบานสวิงเปิดขัดจังหวะเสียงฮัมเพลงของพนักงานและความคิดของชินโด เขายังไม่ทันหันไปมองให้ชัดก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูมากจนทำให้ต้องชะงัก
“พี่ลืมเบรดพุดดิ้งไว้ในครัวแน่ะ แล้วนี่ยังทำความสะอาดครัวไม่เสร็จ เปิดร้านได้ไง...เฮ้ย!”
เสียงอุทานทั้งยังพูดไม่จบประโยคดีนั่นยิ่งยืนยันข้อสงสัยของชินโดให้แน่ชัด ยิ่งไปกว่านั้น นั่นก็คือสึรุกิจริง ๆ เจ้าตัวถือถาดเบรดพุดดิ้งหน้าตาน่ากินอยู่ สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเรียบ ๆ มีแป้งเหนียว ๆ แบบผสมแล้วเลอะแขนจนถึงข้อศอก ตามผมและเสื้อผ้าก็มีผงขาว ๆ เกาะพราว ตาเบิกกว้างตกใจทีเดียว ไม่รู้เพราะได้เห็นเขาเร็วเกินคาด หรือเพราะตะลึงที่ตนเองดันมาถูกเห็นในสภาพเละเทะแบบนี้
“ผมมาช่วยเขาทำงาน” ฝ่ายรุ่นน้องอธิบายตนเองเร็วปานสายฟ้าแลบ ขณะที่พนักงานมองทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างงุนงงได้สักพักก่อนจะเหมือนปะติดปะต่อเรื่องได้ จึงทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือ ร้องเสียงใสว่า
“อ๋อ รุ่นพี่คนที่เคียวสุเกะคุงใช้เวลาเลือกขนมให้ตั้งครึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ นี่เอง!”
หา...ชินโดอึ้งไป สมองยังตีความสารที่ได้รับมาไม่ถูก ส่วนหนึ่งก็เพราะสึรุกิขึ้นเสียงโต้กลับพนักงานรบกวนสมาธิเขาอยู่ข้าง ๆ นี่เอง
“ไหนว่าจะไม่พูดไงครับ เรื่องแบบนั้นมันน่าเล่าให้ใครฟังที่ไหน!?”
“พี่ก็เห็นว่าน่าเล่าออกนี่นา” พนักงานอุบอิบเสียงอ่อยขณะเล่นนิ้วตนเอง ก้มหัวแบบสำนึกผิด “เขาจะได้รู้ไงว่านายใส่ใจ มันไม่ดีตรงไหน”
ถ้าตาไม่ฝาด เหมือนใบหน้าซีดขาวของสึรุกิมีสีเลือดฝาดปรากฏขึ้นมา
“ใส่จงใส่ใจอะไรกัน ใครเขาสนล่ะครับ ของนามธรรมพรรค์นั้นมันกินไม่ได้สักหน่อย!” เจ้าตัวโวยวาย ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเอาทื่อ ๆ ว่าจะซื้อขนมไปฉลองที่ชมรม รีบมากเพราะทุกคนกำลังตั้งตาคอย ต้องรีบซื้อให้เสร็จเร็ว ๆ (ชินโดอยากจะทัดทานว่าไม่ได้นัดทุกคนไว้เช้าขนาดนี้ แต่เห็นสีหน้าร้อนรนของเพื่อนร่วมทีมแล้วก็ตัดสินใจยอม ๆ ไป) จะรีบซื้อรีบไป วันหลังจะมาช่วยงานต่อ และอะไรทำนองนั้น สรุปคือสึรุกิกำลังชักแม่น้ำทั้งห้าหาข้ออ้างชิ่งหนีจากร้านเบเกอรี่ให้เร็วที่สุดนั่นเอง
“หลัง ๆ มานี้ไม่ยอมเล่นกับพี่เลยนะ...ความรู้สึกเดียวดายของวัยไม้ใกล้ฝั่งเป็นแบบนี้นี่เอง เออ เลือกขนมตามสบาย สังสรรค์กับเพื่อนให้สนุกนะ” พนักงานที่ดูอย่างไรอายุก็ไม่น่าเกินสิบหกสิบเจ็ดรับถาดขนมมา บ่นกระปอดกระแปด แล้วเดินจากไป ทิ้งชินโดกับสึรุกิไว้สองคน
ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายเหลียวกลับมามองด้วยรอยยิ้มแบบพี่ชาย พร้อมทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้
“ที่โรงเรียนก็ฝากดูแลมันดี ๆ ด้วยนะครับ” พอเห็นตาโต ๆ ของชินโดกับหน้าเหวอ ๆ ของสึรุกิก็หัวเราะร่วน “มันเป็นเด็กประหลาด มีอะไรไม่ชอบให้ใครช่วย ถามอะไรไม่ค่อยยอมตอบ แถมหน้าบางอีก แต่ก็เป็นเด็กดี...”
“พี่ครับ!”
คนถูกพาดพิงท้วงเสียงลั่นอย่างลืมตัว ตาเริ่มเป็นประกายวาวโรจน์น่ากลัว พนักงานหน้าจ๋อยตัวลีบขึ้นมาทันตา ปากร้องขอโทษขอโพย รีบวางขนมเข้าที่ ก่อนวิ่งไปหลบภัยหลังร้าน ฝ่ายรุ่นพี่ได้แต่อ่อนใจ และทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเมื่อครู่ไปเสีย
“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหม?” ชินโดแนะ เจ้าเด็กนี่ได้ฟังแล้วก็สะดุ้งราวกับลืมไปว่าตนเองมีสารรูปเหมือนเพิ่งตกถังผสมแป้งมา พอพูดขอตัวจบก็กระวีกระวาดจากไปทันที ไม่กี่นาทีต่อมาก็กลับมาในสภาพสะอาดสะอ้าน ผ้ากันเปื้อนก็ถอดไปเก็บแล้ว ดูเรียบร้อยเป็นปกติดี ถ้าไม่ติดว่าเส้นผมดูลีบ ๆ ชื้น ๆ...เจ้าเด็กนี่ยังอุตส่าห์รวบผมเป็นหางม้าอยู่อีก
เขาถอนหายใจ “ไม่เคยได้ยินหรือว่ามัดผมตอนผมเปียกมันไม่ดี”
คนถูกเตือนยักไหล่ “ช่างมันเถอะครับ ผมไม่คิดว่ามันจะแย่ไปกว่านี้ได้แล้วละ” พูดจบยังกล้ามาแค่นยิ้ม ท่าทางเหมือนเห็นเป็นตลกไปเสียอย่างนั้น
“ที่จริงแย่กว่านี้ได้นะ” ชินโดแย้ง “ถ้าผมร่วงหรือเป็นรังแคขึ้นมา ดูไม่จืดกว่านี้ได้แน่นอน”
ท่าทางเขาคงดูจริงจังมากจนสึรุกิอดขำไม่ได้ แม้จะไม่ได้แสดงอาการอะไรมากไปกว่ายกมุมปากขึ้นนิดหน่อยก็ตาม แน่นอน เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมฟังอยู่ดีนั่นเอง “อากาศแบบนี้ เดี๋ยวก็แห้งเองแหละครับ อย่าไปสนใจมันมากดีกว่า เสียเวลาเปล่า” คนตัวเล็กกว่ายังไม่ทันได้อ้าปากท้วง อีกฝ่ายก็เปลี่ยนเรื่องขัดคอ “อีกอย่าง ที่สำคัญคือต้องซื้อขนมไปให้ทุกคนก่อนไม่ใช่หรือครับ?” พูดไม่พูดเปล่า ยังเดินไปหยิบถาดพร้อมคีมคีบขนมอย่างละสองอันมาจากข้างชั้นวางขนมปัง ยื่นให้กัปตันของตนเป็นเชิงตัดบทอีกต่างหาก
ชินโดถอนหายใจ บอกตนเองว่าบางครั้งก็ต้องปล่อย ๆ เด็กมันไปบ้าง รับของมาแล้วก็ถามว่ามีขนมอะไรแนะนำบ้าง ซึ่งอีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ขนมชิ้นไหนรสชาติใช้ได้ก็ชี้ให้ดู ชินโดสนใจอะไรก็อธิบายให้ฟัง
ดูจากท่าทางคุ้นเคยกับร้าน บทสนทนาแบบที่ไม่น่าใช่คนเพิ่งรู้จักกันกับพนักงานคนนั้น ประกอบกับเรื่องที่มาช่วยทางร้านทำงานได้ เจ้าตัวคงเป็นลูกค้าของร้านนี้มานานแล้ว
นึก ๆ ไปก็รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว เมื่อไม่นานมานี้พวกเขายังเป็นอริต่อกัน เขาไม่รู้จักสึรุกิ ทั้งยังไม่สนใจจะรู้จัก แต่ตอนนี้ เขารู้แล้วว่าสึรุกิชอบหรือไม่ชอบอะไร รู้ว่าเด็กนี่เป็นคนคุยไม่เก่ง แต่ก็เป็นคนใจดี รู้ว่ามันอาจจะเป็นลูกค้าประจำของร้านขนมร้านนี้ และรู้ว่าคนคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีได้
เวลาเปลี่ยนอะไรได้มากจริง ๆ
“กัปตัน...ชอบอะไรครับ”
ชินโดเบือนสายตาจากพายไส้ผลไม้หอมกรุ่นไปหารุ่นน้อง เห็นว่าสึรุกินำหน้าตนอยู่ก็จริง แต่ก็เหลียวมามอง ดวงตาสีทองคู่นั้นมีแววจริงจัง
คนตัวเล็กกว่ายังคิดคำตอบไม่จบ ก็ได้ฟังคำขยายความยาวเป็นพรวน “คืออย่างนี้ รอบที่แล้วที่ซื้อเค้กชาไปให้ ผมไม่ได้ถามกัปตันก่อนสักคำว่าชอบหรือเปล่า ก็เผื่อ...คราวหน้าซื้อให้อีกจะได้แน่ใจหน่อย”
ตอนพูดตอนแรกก็เสียงดังฟังชัดดีอยู่หรอก แต่ช่วงท้าย ๆ จังหวะการพูดก็เริ่มสะดุด เสียงค่อยลง ตาก็ไม่ค่อยยอมสบกันตรง ๆ เท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ชินโดก็ดูออกว่าอีกฝ่ายเจตนาดี เพียงแต่ประหม่าไปหน่อยเท่านั้น
“อืม” เขานิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง “ฉันชอบผลไม้ แล้วก็อะไรที่กลิ่นหอม ๆ คราวที่แล้ว นายเดาได้ดีมากเลยนะ รู้ไหม?” สึรุกิได้ฟังแล้วก็พยักหน้า ก่อนเงียบไป คงนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ
“แล้วนายล่ะ?”
“ครับ?” เจ้าตัวเหมือนไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอการตอบรับแบบนี้ ถึงกับนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ชินโดยิ้มให้ท่าทีนั้น
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันนี่” เขาบอกไป “นายคงไม่ได้คิดว่านายจะเป็นฝ่ายเดียวที่ให้ขนมกับฉันตลอดเวลาที่พวกเราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม?”
“เปล่านี่ครับ” ทางนั้นรีบส่ายหน้า ท่าทางดูประหม่าลนลานแปลก ๆ แม้จะลดลงจากตอนที่เริ่มคุยกันแรก ๆ มากแล้วก็ตาม กระนั้น ดวงตาก็ยังฉายรอยยิ้มเล็ก ๆ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า...แต่สึรุกิจะดูแปลกใจและดีใจมากทุกครั้งที่ชินโดแสดงท่าทีใส่ใจว่าตนชอบอะไร สนใจอะไร คิดเห็นต่อเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างไร...มากจนทำอะไรไม่ค่อยถูก ราวกับไม่ค่อยมีใครมาทำอย่างนี้ด้วยบ่อยนัก
“ช็อกโกแลต” คนอายุน้อยกว่าตอบในที่สุด “ที่จริงผมเป็นพวกลิ้นจระเข้ อะไรก็กินได้หมด แต่ที่ชอบที่สุดก็ช็อกโกแลตนั่นแหละ”
“งั้นวาเลนไทน์มาถึง นายคงชอบใจเลยละสิ” ชินโดยิ้มมุมปาก สึรุกิหัวเราะหึ ๆ แล้วส่ายหน้า
“ตลกตายละครับ เขาไม่นึกว่าผมเป็นผีเพิ่งลุกขึ้นจากโลงแล้วสวดส่งวิญญาณใส่หน้าก็บุญโขแล้ว”
“ไม่แน่หรอกนะ แนวผีเพิ่งลุกขึ้นจากโลงนั่นแหละที่เขาฮิตกันอยู่”
“ฮิตจนกรี๊ดเลยใช่ไหมล่ะครับ เมื่อคืนวันก่อน ผมตื่นมาดื่มน้ำกลางดึก ลงไปในครัวมืด ๆ แม่เห็นผมแล้วกรี๊ดลั่นบ้านเลย”
“นายเลิกเล่นมุกทำร้ายตนเองเถอะ”
ฝ่ายรุ่นพี่อดขำไม่ได้จริง ๆ ใครจะไปนึกว่าเจ้าเด็กหน้าตายนี่แหละที่อารมณ์ขันดันคลื่นตรงกับเขาพอดี พอคุยกันเลยถูกคอกันเกินคาด
“รู้ไหม” เขาอดสงสัยตนเองไม่ได้ว่ายกเรื่องนี้ขึ้นมาเร็วไปหรือเปล่า ควรให้เวลาสึรุกิปรับตัวมากกว่านี้ไหม แต่คำพูดมันก็หลุดออกจากปากมาแล้ว “ถ้านายคุยกับคนอื่นในทีมอย่างที่คุยกับฉันบ้าง เดี๋ยวเดียวก็จะเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยละ”
ใบหน้าที่เพิ่งสดใสขึ้นเมื่อครู่หมองลงไปถนัด เจ้าตัวก้มหน้าลงมองแต่ขนมในถาดที่ตนถืออยู่ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว
“วันนี้ผมจะขอโทษทุกคน” สึรุกิพูดขึ้นมากะทันหัน “จะพูดให้เป็นเรื่องเป็นราว ผมขอโทษกัปตันแล้วก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้ขอโทษคนอื่นอยู่ดี”
“ก็ดีแล้วนี่” ชินโดสนับสนุน เขาหมายความที่พูดจริง ๆ แต่ก็เข้าใจเช่นกันว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูไม่สบายใจอย่างนั้น เขารู้จักสึรุกิดีพอควรแล้ว จึงเพียงแต่ยืนมองนิ่ง ๆ รอรับฟังสิ่งที่เพื่อนร่วมทีมจะพูดต่อไป
“หลายคนอาจจะไม่ให้อภัยผม” เด็กหนุ่มลังเล หากก็หลุดเรื่องในใจออกมาในที่สุด “ซึ่งก็สมควรอยู่ แต่ผมก็ต้องขอโทษอยู่ดี มันดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แล้วผมก็ต้องตั้งใจทำเพื่อทีม...ตั้งใจให้มากกว่าคนอื่นหลาย ๆ เท่า ไม่อย่างนั้น...”
...ไม่อย่างนั้น...ก็ไม่มีวันคู่ควรกับโอกาสที่ได้รับ…
...ไม่อย่างนั้น...ก็ไม่มีวันดีพอ…
ฝ่ายรุ่นพี่ลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะเอ็นดูหรือปวดหัวกับเจ้ารุ่นน้องคนนี้ดี สึรุกิไม่เหมือนกับเทนมะกับชินสุเกะที่เป็นเด็กดี นิสัยใจคอกระจ่าง มีความตั้งใจ ไม่ทำตัวเป็นปัญหา และไม่เหมือนคาริยะที่เจ้าปัญหา เอาแน่เอานอนไม่ได้ หัวรั้น แต่เป็นเด็กเจ้าปัญหาที่ดันเป็นเด็กดีในเวลาเดียวกัน...
“อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ” ชินโดตัดสินใจบอกไปอย่างนั้น “ถึงยังไง พวกเราก็เป็นทีมเดียวกัน ปล่อยให้เรื่องมันค้าง ๆ คา ๆ ก็ไม่ดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
“ครับ” เจ้าตัวรับคำขึงขังเหมือนรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชามากกว่าจากเพื่อนร่วมทีม คนตัวเล็กกว่าอดยิ้มไม่ได้ขณะที่กำมือข้างหนึ่งยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย สึรุกิเห็นแล้วก็ทำตาโต ไม่รู้ว่าเป็นความไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อสายตาตนเอง
“ที่แน่ ๆ รู้ไว้อย่างหนึ่ง” เขาบอกอย่างอ่อนโยน “ที่ฉันบอกว่าฉันเห็นนายเป็นเพื่อนร่วมทีม ฉันหมายความตามนั้นจริง ๆ ดังนั้น ไม่ว่าคนอื่นจะว่ายังไง นายก็มีฉันคนหนึ่งเป็นเพื่อนนะ เข้าใจไหม”
...ถึงความจริง พวกนั้นจะไม่มีคนไหนเกลียดนายจริงจังแล้วก็เถอะ...กัปตันทีมไรมงแอบต่อในใจ...คราวก่อนที่นายต้องรับบาปโดนโค้ชคิโดเทศน์ ลงโทษ ใช้งานแทนคนทั้งทีม พวกนั้นก็เริ่มมองนายเปลี่ยนไปเยอะแล้วนะ แต่นายคงไม่รู้ตัวหรอก...ซึ่งก็ อืม พวกนั้นบางคนอย่างคุรามะก็ปากแข็งเกินไปจริง ๆ
“แล้วก็...เทนมะ ชินสุเกะ คาริยะ กับฮามาโนะด้วย” เขายกชื่อคนที่ไม่มีทางแค้นเคืองอะไรอีกฝ่ายแหง ๆ แบบเถียงไม่ได้มาเสริมความหนักแน่น
สึรุกิได้ฟังก็ส่ายหน้า แต่ยิ้มจริง ๆ เป็นครั้งแรกของวัน กำมือของตนเองบ้าง ก่อนใช้กำปั้นของตนกระทบกับกำปั้นของชินโดอย่างแผ่วเบา
ตอนนั้นเอง ก็มีเสียงเตือนกรุ๋งกริ๋งดังมาจากกระเป๋าเสื้อของชินโด มือเรียวบางหยิบขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นรูปแมวลายสีเทาทำตาแป๋วที่มีตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่โคตรบิดามารดาเขียนกำกับไว้ว่า ‘ลงแดงขนมแล้ว’ มันเป็นข้อความในแชทกลุ่มทีมฟุตบอลไรมง
คนตัวสูงกว่าเผลอมองโดยไม่ตั้งใจ “ผมคิดว่ากัปตันจะเซอร์ไพรส์ทุกคนเสียอีก” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว
“คืออย่างนี้...” ชินโดหันไปคีบขนมต่อแก้เก้อ “จำเมื่อวานที่ฉันไปเตือนนัดกับนายได้ไหม คิริโนะกับรุ่นพี่ซันโกคุมาเห็นเข้าพอดี แล้วเขาก็อยากรู้ว่า...พวกเราคุยอะไรกัน” ที่จริง อยากแน่ใจด้วยว่านายไม่ได้ข่มขู่อะไรฉันอีกใช่ไหม แต่ฉันไม่บอกนายหรอก “ฉันนึกเรื่องโกหกไม่ทัน ก็เลยเผลอบอกความจริงไป แล้วพอดีคาริยะอยู่แถวนั้นด้วย ก็เลยไปบอกชินสุเกะกับเทนมะต่อ แล้วทีนี้...นายก็นึกภาพออกใช่ไหม พอสองคนนั้นรู้ ทุกคนในทีมก็รู้”
สึรุกิพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่แววตาแสดงความหน่ายโลกออกมาชัดเจน “แล้วตะกี้คนส่งภาพนี่ใครครับ รุ่นพี่ฮามาโนะหรือ?”
“เปล่า” ชินโดส่ายหน้า “โค้ชเอนโดต่างหาก”
สีหน้าอึ้ง ๆ ของอีกฝ่ายเรียกร้องให้เขาอรรถาธิบายเพิ่มเติม “โค้ชเขาบอกว่านาน ๆ ทีก็อยากเปลี่ยนรสชาติจากฝีมือภรรยาบ้าง...อยากทานอะไรที่เหมือนอาหารคนจริง ๆ บ้าง เอาเป็นว่า...แกตั้งตาคอยขนมยิ่งกว่าเพื่อนร่วมทีมพวกเราอีก”
ที่จริงแล้ว...ฝีมือทำอาหารของภรรยาโค้ชมันเป็นยังไงกันแน่นะ...
เอาเป็นว่า...ช่างมันเถอะ...
“อ้อ” ชินโดอุทานขึ้นมากะทันหันอย่างนึกขึ้นได้ “ทำไมนายไม่รับแอดเพื่อนคนในทีมสักทีล่ะ เข้าห้องแชทของทีมเถอะ จะได้ตามข่าวอะไรสะดวก ๆ หน่อยไง”
เมื่อถูกดวงตากลมวาวคู่นั้นจ้องมาอย่างแน่วแน่ สึรุกิก็ทำได้แค่ตอบส่ง ๆ ว่าเดี๋ยวจะรับแอด เดี๋ยวจะยอมโดนลากเข้ากลุ่ม เขาจะตอบไปได้อย่างไรว่าตั้งแต่สมัครเป็นต้นมา เฟซบุ๊กแอคเคาท์ของตนเองก็มีไว้เพื่อจุดประสงค์เพียงสามอย่างเท่านั้น ซึ่งก็คือประดับบารมี(เพราะใคร ๆ เขาก็มีกัน) เล่นเกม กับเป็นเป้าก่อกวนแก้เบื่อของพี่ยูอิจิเวลาเจ้าตัวไม่มีอะไรทำ (เป็นต้นว่าส่งคลิปตลกกับ meme ไร้สาระ หรือภาพชุดสัตว์โลกน่ารักให้น้องทั้งวัน อ้อ อย่าลืมภาพอาหารน่ากินชวนน้ำลายสอตอนดึก ๆ ด้วย)
จะว่าไปก็น่าประหลาดใจดีเหมือนกันที่เฟซบุ๊กของเด็กเสพติดโทรศัพท์อย่างหมอนี่มีสภาพไม่ต่างจากสถานที่รกร้างเท่าใดนัก
.+++++++++++++++++++++++
ความจริงแล้วการเลี้ยงขนมขอบคุณทุกคนก็ไปได้ด้วยดีทีเดียวละ (...ดูจากท่าสวาปามเหมือนผีตายอดตายอยากมาเกิดของหลาย ๆ คน...โดยเฉพาะโค้ชเอนโดแล้ว) และบางทีอาจจะไม่มีอะไรแย่ ๆ เกิดขึ้นเลยก็ได้ เขาก็แค่ประหม่าและมองโลกในแง่ร้ายเกินไป หลังจากขอโทษทุกคนอย่างเป็นงานเป็นการไปเรียบร้อยแล้ว ก็ทนการเป็นศูนย์รวมสายตานับสิบคู่ของเพื่อนร่วมทีมไม่ไหว เลยหยิบกระเป๋าขึ้น อ้างว่ามีธุระ แล้วรีบชิ่งหนีออกมา
...ไม่ได้พูดอะไรผิดไปใช่ไหม...เด็กหนุ่มคิดทบทวนอย่างวิตกจริต...ที่แน่ ๆ น่าจะพูดจาฟังรู้เรื่อง ได้ใจความ และไม่เวิ่นเว้อเท่าตอนขอโทษกัปตัน เพราะซ้อมมาราวสี่ห้ารอบแล้ว...แต่ก็นั่นแหละ มันคงชวนโล่งใจกว่ามาก ถ้าหลังจากวันนี้ ทุกคนจะทำตัวตามปกติ เหมือนเขาไม่เคยลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นั่งของตน ขอเวลาทุกคนสองนาที สาธยายคำขอโทษชวนกระดาก และโค้งขอขมาแบบเก้ ๆ กัง ๆ ปิดท้าย
สึรุกิยิ่งไม่อยากนึกถึงความจริงที่ว่าตอนที่ตนประหม่าถึงขีดสุดจนเกือบพูดอะไรไม่ออก สายตาของเขาก็เลื่อนไปหาชินโด แล้วคนคนนั้นก็ยิ้มบางพร้อมพยักหน้าน้อย ๆ ให้...มอบความกล้าพอให้เขาพูดจบได้ ตกลงนี่เห็นกัปตันเป็นอะไรไปแล้ว อย่างกับเด็กที่แข่งกีฬาสีไม่ได้ถ้าแม่ไม่มาคอยเชียร์แน่ะ น่าขายหน้าชะมัด
ความรู้สึกหน้าชาที่ยังค้างคาอยู่ทำให้เด็กหนุ่มไม่ค่อยอยากกลับไปหาพี่ชายที่โรงพยาบาลเท่าใดนัก แม้ว่าถ้าไม่กลับไปขนสัมภาระที่ตนทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลกลับบ้านแต่ยังหัววันจะต้องเจอเรื่องยุ่งยากแน่ ๆ...แต่จะให้ไปหาพี่ยูอิจิที่นั่งยิ้มหวานรออยู่ ถามเขาว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้างแบบอยากรู้คำตอบจริง ๆ เขาก็รู้ตัวว่าตนเองจะต้องเล่าไปหมดทุกอย่างแบบปิดบังหรือโกหกอะไรไม่ได้...และตอนนี้ สึรุกิก็ยังไม่พร้อมเล่า
โดยเฉพาะหลังจากที่พี่เพิ่งส่งข้อความมาทางเฟซบุ๊กเมื่อไม่กี่นาทีก่อนว่า ‘เคียวสุเกะ เด็กพี่มันเอะอะโวยวายใหญ่ว่านายพารุ่นพี่ผู้ชายไปร้านขนมมัน รุ่นพี่น่ารักมากด้วย มันตื่นเต้นดีใจมากว่านายมีเพื่อนแล้ว สแปมอีโมติคอนเต็มไปหมด แถมเติมเครื่องหมายอัศเจรีย์ล้านตัวได้ ตกลงเกิดอะไรขึ้น’ โดยมีสัญรูปอารมณ์หน้าตายิ้มแย้มเบิกบานตามหลัง
เห็นพี่ชายของตนเองใช้คำว่า‘เด็กพี่’แทนลูกชายเจ้าของร้านเบเกอรี่กี่ครั้ง สึรุกิก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้เสียที...เมื่อก่อนพี่ยูอิจิกับคุณพี่ร้านเบเกอรี่ก็เป็นเพื่อนกันตามประสาปกติมนุษย์ แต่เมื่อปีกลาย สองคนนี้ก็เกิดนึกสนุกเล่นโรลเพลย์บ้าบอใส่กัน ทั้งยังติดลมจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิกเล่น (คาดว่าเขาคงพาพี่มาเดินเล่นนอกเขตโรงพยาบาลน้อยเกินไปจริง ๆ...จินตนาการพี่ถึงได้เจริญงอกงามดีเหลือเกิน) คุณพี่ร้านเบเกอรี่ก็เรียกพี่ว่าลูกพี่ยูอิจิ ส่วนพี่ยูอิจิก็กล่าวว่าคุณพี่ร้านเบเกอรี่เป็นลูกน้องหรือเด็กใต้การคุ้มครองของตน แถมยังเรียกขนมนมเนยที่‘ลูกน้อง’เอามาฝากว่า‘ค่าคุ้มครอง’ วันดีคืนดีกลายเป็น‘เครื่องเซ่น’อีกต่างหาก สึรุกิฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าและบอกว่าเอาที่สบายใจเลยครับ
เอาเป็นว่า...สำหรับตอนนี้ เขาจะไปสงบจิตสงบใจด้วยการยิงซอมบี้สักสี่สิบห้าสิบตัวที่เกมอาร์เคดแล้วกัน
เกมเป็นสิ่งที่สึรุกิชอบรองมาจากฟุตบอล สมัยเด็ก ๆ เดินผ่านเกมอาร์เคดเมื่อไหร่ ก็ต้องร้องขอเศษสตางค์จากพ่อแม่มาหยอดตู้เกม และผลาญเงินเก็บไปกับเกมแผ่นใหม่แทบทุกเดือน โตมา พฤติกรรมก็ไม่ได้ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ นอกจากเปลี่ยนเป็นใช้เงินเก็บของตนเองแล้ว ก็มีแค่ว่าหลังเป็นสมาชิกทีมไรมงเต็มตัว เขาก็เข้าเกมอาร์เคดถี่น้อยลงมาก จากวันเว้นวันเหลือแค่ตอนสุดสัปดาห์
เด็กหนุ่มจับเจ่าอยู่หน้าตู้เกมยิงซอมบี้อยู่ราวครึ่งชั่วโมงจนนิ้วเหมือนไร้ความรู้สึกไปแล้ว จึงลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นยืดสาย ผลสรุปคืออาทิตย์นี้ก็ยังไม่มีใครทำลายสถิติไฮสกอร์ที่สึรุกิทำไว้เองเมื่อสามอาทิตย์ก่อนได้...รวมทั้งตัวเขาเองด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นตนเองถึงรัวยิงได้บ้าเลือดขนาดนั้น...
กราฟฟิคห่วยแตกไร้ซึ่งความสมจริงของเลือดแดง ๆ กับเนื้อเละ ๆ ที่ดูเหมือนแยมสตรอว์เบอร์รีจะน่ากลัวกว่าทำให้ความรู้สึกหน้าม้านของสึรุกิหมดไปนานแล้ว เขามองดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยไปทางตะวันตก ตัดสินใจว่าจะไปเก็บข้าวของจำเป็นที่ทิ้งไว้ที่ห้องของพี่ชายกลับบ้านเสียที
อย่างน้อยก็จนกระทั่งดวงตาสีทองเหลือบไปเห็นแผ่นหลังเล็กคุ้นตากับผมหยักศกยาวประบ่า(หรือที่เขาแอบเรียกในใจว่าทรงคุณชาย)อยู่หน้าเกมทุบหัวตัวตุ่น มือเรียวบางถือค้อนปลอมแบบหลวม ๆ...เป็นท่าทางของคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด
“กัปตัน” สึรุกิส่งเสียงเรียกไปก่อนตัว แต่คนถูกเรียกก็ยังสะดุ้งจนเกือบทำค้อนหลุดมืออยู่ดี ถึงอย่างนั้นชินโดก็ไม่ได้โกรธอะไร เจ้าตัวหันมามองทางเขา ครั้นแล้วก็ยิ้มพลางพยักหน้าให้
คนอายุน้อยกว่าเดินเข้าไปหาได้โดยไม่มีอาการเกร็งหรือประหม่าเหมือนเมื่อก่อน การเจอกันนอกโรงเรียนของทั้งสองไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปแล้ว หลังจากสองสามครั้งแรก พวกเขาก็พูดคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้เป็นธรรมชาติ ครั้งหนึ่งที่สึรุกิบังเอิญเดินผ่านหน้าต่างโรงเรียนกวดวิชาที่กัปตันทีมไรมงเรียนอยู่ เจ้าตัวถึงขั้นยิ้มและพยักหน้าให้จากหลังบานกระจกด้วยซ้ำ
“จะเล่นเกมนี้หรือครับ” สึรุกิถามโดยกดจิตสำนึกเด็กขลุกร้านเกมของตนเองให้จมลงไปลึก ๆ เพราะเจ้าจิตสำนึกที่ว่านั่นกำลังพล่ามยาวเหยียดทีเดียวว่าจะมาเสียเวลากับเกมทุบหัวตัวตุ่นทำไม มีเกมอื่นสนุกกว่านี้ตั้งเยอะตั้งแยะ
“ฮื่อ” ชินโดพยักหน้า หมุนค้อนในมือเล่น “ฉันผ่านเกมอาร์เคดนี่บ่อย ๆ ตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่เคยเข้ามาเลย แล้วก็อยากรู้มานานแล้วว่าตกลงทุบหัวตัวตุ่นมันสนุกตรงไหน เลยว่าจะลองดู แล้วนายล่ะ?” ทางนั้นถามเขาบ้าง “มาเล่นที่นี่บ่อยหรือ?”
“ครับ ความจริงจะว่าผมเป็นไอ้เด็กติดเกมก็ไม่ผิดหรอก” สึรุกิด่าตนเองหน้าตาย คนตัวเล็กกว่าฟังไปก็ส่ายหน้า แกล้งทำท่าเอาค้อนทุบหัวรุ่นน้องไปหนึ่งที ก่อนหันไปหยอดเหรียญ แล้วตั้งหน้าตั้งตาทุบสิ่งที่ค้อนถูกออกแบบมาให้ทุบจริง ๆ เสียที
แค่ดูก็รู้ว่าไม่เคยเล่นมาก่อน...ตอนตัวแรกโผล่มาก็ตื่นเต้นจนเกือบทุบไม่ทัน แถมพอเริ่มโผล่พร้อมกันหลาย ๆ ตัวก็มือไม้ปั่นป่วนไปหมด สึรุกิวิพากษ์วิจารณ์ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแต่ยืนดูอยู่เงียบ ๆ นึกดีใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ทุบตนเองรุนแรงโหดเหี้ยมอย่างที่ทุบตัวตุ่น
ชินโดไม่พอใจกับผลงานครั้งแรกของตนเองจนต้องหยอดเหรียญเพิ่มเพื่อเล่นอีกรอบ เจ้าตัวเรียนรู้เร็วจนชวนตะลึง พอรอบที่สองก็มีตัวตุ่นผู้โชคดีรอดจากค้อนไปได้น้อยกว่ารอบแรกไปกว่าครึ่ง
“เป็นไง” กัปตันทีมไรมงหันมาถามความเห็น ประกายตาสดใสขึ้นมาก ท่าทางดูพอใจกับตนเองแล้ว สึรุกิกอดอกทำท่าครุ่นคิด
“ก็ดีแล้วนะครับ” เขาพยายามฝืนกดมุมปากตนเองลงไปไม่ให้ยิ้ม “แต่ที่จริงไม่ต้องรุนแรงเหมือนตัวตุ่นมันไปด่าพ่อด่าแม่กัปตันมา เขาก็นับคะแนนนะครับ”
“นั่นมันคำเปรียบเทียบบ้าอะไรกัน!” คนอายุมากกว่าแกล้งทำท่าทุบหัวอีกฝ่ายอีกที คนโดนทุบก็ตอบสนองด้วยเสียงเรียบไร้อารมณ์ออกมาว่า “เจ็บจังเลยครับ โคตรเจ็บจนไม่รู้สึกอะไรเลยครับ”
“นายนี่มัน...” ชินโดกลั้นหัวเราะสุดชีวิต ใจอยากจะทุบเข้าให้จริง ๆ สักหลายยก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ และในที่สุดก็หลุดหัวเราะออกมา สึรุกิเองก็พลอยหัวเราะไปด้วย
ชินโดเพิ่งรู้ตัวว่าเขาชอบเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย เสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น...เสียงที่ฟังก็รู้ว่าเพื่อนของเขามีความสุขอยู่จริง ๆ
++++++++++++++++++++++
จากใจเรา
2/4/2559
ตอนนี้แทบไม่เหลือความฝืนแล้ว
สุดท้ายพอเจอกันบ่อย ๆ ก็เลยเริ่มเป็นความชิน เริ่มเป็นอะไรที่ไม่ต้องอาศัยความพยายาม อาจจะต้องบอกด้วยว่าเห็นความดีความน่ารักของอีกฝ่าย ทำให้อยากอยู่ด้วยโดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไรเลย
สึรุกิก็ยังไม่เลิกเคร่งครัดกับตนเอง อะไรที่เห็นว่าทำแล้วถูก ยังไงก็จะทำให้ได้ แถมยังติดเกมด้วย มาดนักเลงถูกเราทำลายไปเกือบหมดแล้ว ถถถถถถถถถ แถมยังมีน้ำใจกับร้านที่ตนเองไปอุดหนุนเป็นประจำอีก แล้วก็ยังนวดแป้งขนมปังเก่ง โอย ขำหนักมากกกก
ชินโดที่ไม่เคยเล่นเกมอาร์เคดมาก่อนได้มาลองเล่นเป็นครั้งแรกน่ะน่ารักจริง ๆ นะ ชินโดที่ชอบเสียงหัวเราะสึรุกิก็น่ารัก ทีมชินโดเป็นสิ่งมีชีวิตโมเอะ ขอเสียงหน่อยค่ะ! //ยกมือ
ความคิดเห็น