คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : "I have something for you."
“กัปตัน”
“มีอะไรหรือ?”
ชินโดขานรับเสียงเรียกของสึรุกิ ส่งยิ้มให้เล็กน้อย เห็นแวววิตกกังวลบนใบหน้าของเจ้าตัวแล้วก็สงสัยว่าครั้งนี้มีอะไรอีกหนอ เจ้าเด็กคนนี้มีบุคลิกดูลึกลับน่ากลัวก็จริง แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังแววกังวลแบบนั้นมักเป็นเรื่องเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็ได้แก่อาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าเข้ามาทักทายเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หรือไม่ก็เหตุที่เพิ่งเกิดวันนี้สด ๆ ร้อน ๆ หลังจบการซ้อม...ทำหน้าเคร่งเครียดตั้งนาน สุดท้ายก็แค่อยากถามรุ่นพี่ว่าอยากได้คนมาช่วยตรวจความเรียบร้อยในสนามกับห้องพักนักกีฬาหรือเปล่า
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง(ซึ่งเขาไม่คิดจะเข้าไปสอดรู้สอดเห็น เขาเคารพความเป็นส่วนตัวของหมอนี่) เรื่องง่าย ๆ ที่คนอื่นพูดออกมาได้อย่างสะดวกใจเป็นเรื่องลำบากพอสมควรสำหรับสึรุกิ เด็กนี่เข้ากับคนไม่เก่งเอาเสียเลย แม้สองสามวันมานี้จะเริ่มคุ้นกับตนมากพอพูดเล่นกันได้น้ำไหลไฟดับแล้วก็ตาม แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่เรียกความประหม่าของรุ่นน้องคนนี้กลับมาอยู่ดี ซึ่งพอเป็นอย่างนั้น เจ้าตัวก็จะกลับไปเป็นพวกพูดน้อย ใช้ความแข็งกร้าวมาปกปิดความเคอะเขินอีกรอบ คงต้องค่อย ๆ ปรับตัวไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมตอบคำถาม ตาสีทองมองมาที่ใบหน้าของกัปตันของตน แต่ไม่ยอมสบตาตรง ๆ ริมฝีปากเม้ม ข้อนิ้วขาวซีดกำแน่น
ไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรกันแน่ หากก็ไม่ได้ไปเร่งรัดอะไร ยังคงยืนรออย่างใจเย็น คนเงียบ ๆ พูดไม่เก่งก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้วละว่าตนเองเงียบ ๆ พูดไม่เก่ง เขาไม่จำเป็นต้องไปช่วยตอกย้ำซ้ำเติมอีกแรงหรอก
ผ่านไปพักหนึ่ง เหมือนคนตรงหน้าจะรวบรวมความกล้าได้ในที่สุด แววตาฉายความมุ่งมั่นจนเกือบเรียกได้ว่าดุดัน
เป็นประกายตาที่ทำให้รู้สึกใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อย่างบอกไม่ถูก
“สึรุกิ?”
ไม่มีเสียงตอบ มือของสึรุกิพุ่งเข้ามาฉวยข้อมือข้างซ้ายของชินโดโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ดึงเข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว!
...ก่อนจะหย่อนถุงกระดาษถุงหนึ่งลงแหมะกลางฝ่ามือของรุ่นพี่ จากนั้นก็เสมองไปทางอื่น…
“ขอบใจนะ”
ชินโดค่อยหายใจได้ทั่วท้อง เป็นการส่งของให้ที่ไดนามิกสูงส่งเหลือเกิน...เกือบเผลอนึกว่าจะโดนผลักหลังกระแทกล็อกเกอร์หรืออะไรทำนองนั้นเสียแล้ว...ไม่สิ จะโล่งอกโล่งใจทำบ้าอะไร เขาบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะเชื่อใจสึรุกิ แค่เห็นท่าทางแข็ง ๆ ทำตัวไม่ถูกของเจ้าตัวกลับตื่นตูมไปได้ เจ้าเด็กนี่ต้องไม่ทำอะไรเขาแหงอยู่แล้ว ยังมีใจมาระแวงผวาไม่เข้าเรื่องแบบนี้จัดว่าเป็นรุ่นพี่และกัปตันที่ใช้ไม่ได้...
คิดตำหนิตนเองพลางพิจารณา ‘ของขวัญ’ จากอีกฝ่าย ถุงนี้น่ารักมาก ได้รับการออกแบบให้เหมือนบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ส่วนหูหิ้วทำให้เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนหน้าจั่วบ้าน ใช้สีโทนเดียวกับช็อกโกแลต ส่วนตัวบ้าน(ถุง)เป็นสีขาวครีมนวลตา มีลายหน้าต่างกับประตูวาดไว้ด้วยสีเดียวกับส่วนหลังคา เหนือประตูมีป้ายเขียนอักษรเล่นหางว่า ‘Truly Happy’ จึงค่อยนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่รูปบ้าน แต่เป็นรูปตัวร้าน
เอาเป็นว่ารู้แล้วละนะว่าสึรุกิซื้อขนมมาจากร้านไหน...เขาจำได้ เหมือนเคยผ่านร้านชื่อนี้ระหว่างทางไปเรียนพิเศษ ใช่แล้ว ร้านที่พื้นปูไม้เพอร์เพิลฮาร์ทร้านนั้นแหละ...พยายามหักห้ามความรู้สึกว่าภาพเจ้ารุ่นน้องคนนี้เข้าร้านขนมหวานหน้าตาน่ารักมาก ๆ ที่ชื่อแปลได้ว่า ‘มีความสุขจริงจริ๊ง’ เป็นอะไรที่แปลกพิลึกมากขณะหยิบของในถุงออกมา (จริงอยู่ว่าการแกะของขวัญต่อหน้าผู้ให้ทันทีเป็นการเสียมารยาท แต่เขาก็ไม่คิดว่านี่เป็นของขวัญตรงตามธรรมเนียมนักหรอก ตัวคนให้เองก็ไม่น่าถือด้วย) เป็นก้อนสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลนวล ๆ ขนาดเท่าฝ่ามือของผู้ใหญ่ มีพลาสติกใส ๆ หุ้มอยู่ ติดป้ายเขียนหนังสือตัวกระจิดไว้ว่า ‘เค้กชาใส่เลมอนกับราสเบอร์รี่’ พอแกะออกก็มีกลิ่นหอมของการอบกับกลิ่นชาลอยฟุ้งมาแตะจมูก
ที่เจ้าตัวอาสาอยู่ช่วยหลังเลิกซ้อมทั้งที่ปกติรีบกลับบ้าน...ก็คงมีเจตนาจะให้เค้กชานี่กับเขา
ก็ดีแล้วนี่นา...แสดงว่าเด็กนี่อยากแสดงความเป็นมิตร และนึกถึงคนอื่นมากจนอุตส่าห์หาของขวัญมาให้ เค้กแบบนี้ไม่ใช่ของถูกนักสำหรับเด็กม.ต้นเสียด้วย
ขนมชิ้นนั้นเย็นชืดแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม พอแตะเนื้อเค้กด้วยปลายนิ้วก็คล้ายจะมีสัมผัสอบอุ่น เมื่อผนวกกับกลิ่นหอมหวานที่อวลอยู่แล้วก็ยิ่งเกิดความรู้สึกดี ๆ ในอก
คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย สึรุกิยังคงมองไปทางอื่น แต่หางตาก็ยังเหลือบมาทางเขา แววตาแฝงความกังวลว่าผู้รับจะชอบของขวัญหรือไม่…
โถ...เจ้าเด็กดีท่ามากเอ๊ย...เขาอดนึกระอาปนเอ็นดูไม่ได้
“กินด้วยกันไหม?”
ชินโดเอ่ยชวนอย่างเป็นมิตร
เด็กหนุ่มผู้พยายามทำตนให้รุ่นพี่ลืมว่าตนเองมีตัวตนอยู่แถวนั้นด้วยเกือบสะดุ้งให้เสียมาดเยือกเย็น...โอเค แค่เกือบ เจ้าตัวก็ยังยืนเก๊กท่าไม่แคร์อะไรบนโลกทั้งสิ้นเหมือนปกตินั่นแหละ แล้วก็ยังคงไม่ยอมสบตากันอยู่ดี
“ผมซื้อมาให้กัปตัน ไม่กินคนเดียวล่ะครับ คิดยังไงมาใจบุญสุนทาน?”
ถ้อยคำและน้ำเสียงติดจะกระด้าง ห้วนสั้น หากก็ยังฟังออกว่ามาจากความประหม่ามากกว่าอย่างอื่น อากัปกิริยาคล้ายยังรับตนเองไม่ใคร่จะได้...ไม่ทราบว่ารับตนเองไม่ได้เรื่องให้ของขวัญน่ารักน่ากินกับกัปตันของตน หรือเรื่องท่าทางการให้ของขวัญที่ถ้ามองไม่ดีจะตีความว่าเจ้าตัวมีเจตนาท้าต่อยได้กันแน่...
คนอายุมากกว่ายิ้มแบบระอาปนเอ็นดู...เรื่องให้ของขวัญคนอื่นได้โดยไม่อายหน้าม้านนี่คงยังอีกยาวไกลสำหรับเจ้าเด็กนี่สินะ...
“ชิ้นตั้งขนาดนี้กินคนเดียวหมดที่ไหน แบ่งกันเถอะ”
ลงมือฉีกเค้กเป็นสองส่วนเท่ากันก่อนอีกฝ่ายจะทันได้อ้าปากโต้แย้งอะไร แล้วยื่นชิ้นหนึ่งให้เป็นเชิงคะยั้นคะยอ จงใจถือในองศาที่ดูเย้ายวนที่สุด(เห็นเนื้อเค้กนวลเนียนกับราสเบอร์รี่สดฉ่ำสีหวาน และจงใจจ่อใกล้จมูกให้ได้กลิ่นหอมไปเต็ม ๆ) สึรุกิประกายตาเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่สีหน้าก็ยังคงเซ็งโลกเหมือนเดิม แล้วก็ยังคงสั่นศีรษะ
เขายังคงรอคอยอย่างสงบ แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าถ้าฝ่ายนั้นไม่ยอมรับส่วนแบ่ง ตนเองก็จะไม่ยอมกินเช่นกัน ทางรุ่นน้องก็ดื้อรั้นได้คงเส้นคงวา ทำหน้านิ่งประหนึ่งไม่ได้มีขนมมาจ่อใกล้จมูกอีกต่างหาก
ทว่า ความมุ่งมั่นของชินโดก็ไม่ได้วูบไหว เขายังรอ รอ รอ และรอต่อไป มือนิ่งมาก ไร้ซึ่งอาการเมื่อยล้าใด
ผ่านไปได้สักพัก คนอายุน้อยกว่าก็ถอนหายใจหนัก ๆ หนึ่งที ยอมรับเค้กจนได้
###
นี่พวกเขาเพิ่งเล่นกันใช่ไหม
สึรุกิงุนงง ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์บ้า ๆ บอ ๆ อย่างเมื่อครู่นับเป็นการเล่นกันระหว่างเพื่อนหรือเปล่า เขาไม่มีเพื่อนปกติเป็นมาตรฐานเปรียบเทียบ(ยกเว้นคุณจะนับเทนมะกับชินสุเกะที่เจอกันทีไรก็ชวนแต่เตะบอล) จึงไม่แน่ใจว่าเรื่องประเภท ‘ชินโดถือขนมเค้กนิ่งไม่ขยับต่อหน้าเขาจนกว่าจะยอมรับขนม’ ควรจัดอยู่ในหมวดไหนดี และมันอารมณ์ไหนกัน? กัปตันคิดอะไรอยู่ถึงได้มาทำแบบนั้น? หรือแค่กินหมดคนเดียวไม่ไหวอย่างที่บอกมาจริง ๆ?
เพราะมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นก็เลยไม่ค่อยใส่ใจรสชาติของเค้กในปากเท่าที่ควร มันก็อร่อยใช้ได้ เนื้อเค้กเบา นุ่มฟู มีกลิ่นชาหอม ๆ กับกลิ่นเลมอนสดชื่นอวลกรุ่น รสหวานแบบพอดีของเค้ก รสเปรี้ยวอ่อน ๆ ของเลมอน กับรสราสเบอร์รี่สดฉ่ำเข้ากันได้ดี แต่อร่อยยังไงมันก็เป็นอาหารอย่างหนึ่งเท่านั้น ชิ้นขนาดเท่านี้ กัดคำโต ๆ ได้ห้าหกคำ พอกลืนลงคอแล้วก็หมดไป จึงไม่ได้เห็นว่ามันสำคัญพิเศษอะไรมากมาย
แอบใช้หางตาชำเลืองมองคนนั่งข้าง ๆ อีกครั้ง...ถึงจะไม่เข้าใจการกระทำของทางนั้น แต่ที่ตนให้ขนมเค้กก็เพราะเคยกินมาแล้วก็รู้ว่ารสชาติไม่เลว ก็เลยอยากให้ชินโดได้กินบ้าง อยากรู้ว่าจะชอบหรือเปล่า...ถ้าชอบก็ดี
...อยากให้ชินโดดีใจ…
เขาทำผิดต่อรุ่นพี่คนนี้มามากมายเกินไป ทั้งยังติดค้างการให้อภัยที่ตนไม่แน่ใจว่าควรได้รับ จึงรู้สึกว่าต้องชดใช้ให้ทุกทางที่ทำได้...แม้เค้กชาแค่ชิ้นเดียว(แถมพอแบ่งกันก็กลายเป็นครึ่งชิ้น)จะไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าเพียงพอแม้แต่น้อย และยิ่งผ่านไปนานยิ่งรู้สึกว่าเป็นของขวัญที่ไร้หัวคิดที่สุด...เจ้าตัวไม่เคยบอกสักคำว่าชอบเค้กชา ดันซื้อมาให้เสียเสร็จสรรพ พอเป็นของขวัญก็เหมือนเป็นมารยาทกลาย ๆ ว่าต่อให้ไม่ชอบก็ต้องกิน แถมซื้อมาตอนเช้า มาป่านนี้ก็เย็นชืด หมดอร่อยไปโขแล้ว...นี่เขาคิดบ้าอะไรอยู่นะ
แต่ท่าทางของอีกฝ่ายก็ทำให้ความกังวลของเขาเหมือนจะปลิวหายไปกับสายลม
ชินโดกัดเค้กที่ประคองไว้ในมือเข้าไปคำหนึ่งแล้วก็ตาโตเป็นประกาย ยิ้มออกมานิดหน่อย จากนั้นก็ละเลียดเนื้อเค้กทีละนิดไปเรื่อย ๆ กินไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป หลับตาพริ้ม ส่งเสียงอืมยาว ๆ ในคอ
ดูมีความสุขเสียเหลือเกิน
...แบบนี้สินะที่เขาเรียกกันว่ากินได้น่าอร่อย...แบบที่ร้านเบเกอรี่อยากจ้างไปเป็นพรีเซนเตอร์กินขนมโชว์...
สึรุกิออกความเห็นในใจขณะเคี้ยวขนมส่วนของตนเองตุ้ย ๆ...ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเผลอเปลี่ยนอิริยาบถจากแอบมองด้วยหางตาเป็นจ้องแบบตรง ๆ เสียแล้ว
กัปตันทีมไรมงปรือตาขึ้นมานิดหน่อย และสิ่งแรกที่เห็นก็คือตาสีอำพันเจิดจ้าเพ่งเขม็งมาทางตนประกอบกับสีหน้าอึ้ง ๆ ของเจ้าของดวงตาคู่นั้น...จึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองกินขนมอย่างเพลิดเพลินไปหน่อย รู้สึกว่าแก้มพลันร้อนผ่าวขึ้นมา หลังกระแอมกระไอแก้เก้อสองสามทีก็เร่งชวนคุยหันเหความสนใจ
“อันนี้อร่อยดีนะ ขอบใจจริง ๆ ที่อุตส่าห์ซื้อมาให้”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ ชอบก็ดีแล้ว”
คนให้อุบอิบตอบกลับไป เพิ่งสำเหนียกได้เช่นกันว่าอาการจ้องคู่สนทนาเขม็งขนาดเมื่อครู่ไม่สุภาพเท่าใดนัก จึงเลี่ยง ๆ สายตาไปทางอื่นบ้าง
ชินโดงับขนมเข้าไปอีกคำ ไม่ได้หลับตาเคลิบเคลิ้มหรือส่งเสียงอืมในคออีก แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันอร่อยมากเหมือนเดิม ส่วนนี้มีราสเบอรี่อยู่ด้วย ยิ่งอร่อยชุ่มฉ่ำเป็นพิเศษ รู้สึกว่าดีแล้วที่แบ่งกันกินกับรุ่นน้อง มันอร่อยเกินไปที่จะเก็บไว้กินคนเดียวจริง ๆ ตอนนั้นเองที่เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา จึงรีบหันไปบอกคนข้างกายทันที
“สึรุกิ เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ซื้อขนมไปฝากคนอื่นในทีมกันดีไหม? ถือซะว่าฉลองหลังแข่งเสร็จไปด้วยเลยไง”
สึรุกิชะงักไปครู่หนึ่ง เกือบสำลัก เขาไม่ชินกับการที่มีใครนอกจากพี่ชายเห็นว่าความคิดของเขามีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจ ก่อนหน้านี้ มีแต่ฝีมือฟุตบอลของเขาเท่านั้นที่สำคัญ มีแต่ฝีมือด้านฟุตบอลเท่านั้นที่ทำให้เขามีคุณค่า ฟิฟท์ เซคเตอร์แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าสึรุกิมีความคิดเป็นของตนเองด้วย
...กระทั่งตัวเขาเองก็ขว้างความรู้สึกทุกอย่างนอกจากความต้องการช่วยพี่ชายทิ้งไปเช่นกัน…มันไม่จำเป็น มีแต่จะเกะกะ
“สึรุกิ?”
เสียงเรียกของอีกฝ่ายดึงเขากลับมาสู่ความจริง สึรุกิรีบไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนตอบ
“ผมว่าก็ดีครับ นิชิโซโนะคงดีใจมาก”
นั่นเป็นคำตอบเรียบ ๆ ไม่มีอะไรเลย แต่มันกลับทำให้ชินโดแย้มยิ้มจาง ๆ ออกมา
“นายใส่ใจคนรอบตัวมากขึ้นแล้วนี่”
“ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจสังเกต ทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้วนี่ครับว่าวัน ๆ นิชิโซโนะยัดข้าวปั้นลงท้องได้เป็นสิบก้อน”
คนอายุน้อยกว่าแก้ตัวในทันใด หากก็ไม่ได้จริงจังมากนัก รอยยิ้มบนใบหน้าของคนเป็นรุ่นพี่กว้างขึ้นนิดหน่อย บ่นในใจอีกครั้งว่า...เจ้าเด็กดีท่ามากเอ๊ย…
“นัดต่อไปก็วันเสาร์นี้แล้ว เครียดไหม?”
สึรุกิก้มหน้ามองตักตนเองพักหนึ่งก่อนตอบ
“ก็เครียดอยู่บ้างครับ”
เด็กหนุ่มอยู่แต่กับการเล่นฟุตบอลมาครึ่งชีวิตก็จริง แต่นัดนี้เป็นนัดสำคัญ...เป็นฟุตบอลที่แท้จริง เป็นนัดที่เขาจะลงเล่นในฐานะสึรุกิ เคียวสุเกะ ไม่ใช่ในฐานะ Seed เป็นสมาชิกทีมไรมงอย่างเต็มตัว
ถึงสึรุกิจะบอกตนเองมาตลอดว่าความฝันที่แท้จริงของตนคือได้เห็นพี่ไปยืนอยู่บนสนามฟุตบอลโลก หากนั่นเป็นคำโกหก เขาเองก็รักกีฬานี้มากเช่นกัน เพียงแต่รู้สึกผิดเกินไปที่จะมุ่งหน้าไปสู่อนาคตโดยทอดทิ้งพี่ไว้บนรถเข็นคนพิการ แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่วิ่งหนี จะไม่เอาแต่หมกมุ่นกับอดีตอีก การแข่งนัดหน้ารวมถึงนัดต่อ ๆ ไปจะเป็นการต่อสู้เพื่อตัวเขาเองและเพื่อให้ความฝันของพี่ชายไม่ตายไป
ทว่า ยิ่งสำคัญก็ยิ่งทำให้เขากลัวว่าตนจะทำอะไรผิดพลาดไป และทุกอย่าง...รวมถึงสิ่งสำคัญที่เพิ่งได้คืนมา...ก็จะพังครืนไปในพริบตา
สัมผัสอ่อนโยนตรงไหล่ทำให้สึรุกิได้สติ เมื่อเหลียวไปมองก็เห็นมือเรียวยาวของกัปตันของตน เจ้าตัวตบบ่าเพื่อนร่วมทีมเบา ๆ แทนการปลอบโยนสองสามครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล
“ไม่เป็นไรหรอก นายตั้งใจซ้อมมาก...ฉันเห็น นายจะไม่ทำอะไรพลาดแน่ เชื่อฉันเถอะ”
เขาอยากเชื่อ...แม้อนาคตจะไม่มีอะไรแน่นอนก็ตาม
“ขอบคุณที่คิดอย่างนั้นครับ”
เด็กหนุ่มได้แต่ตอบแผ่วเบา เริ่มคุ้นเคยกับความปรารถนาดีและความเชื่อมั่นของชินโดแล้ว พอไม่คิดว่าท่าทีเช่นนี้เป็นเรื่องประหลาดใด มันก็ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นดีทีเดียว
“งั้นมาเรื่องขนมกันต่อ” พูดเรื่องทำนองนั้นมาก ๆ เจ้าตัวก็คงเขินเป็นเหมือนกัน เขาเข้าใจ เขาเองก็เป็นเหมือนกัน เผลอ ๆ เป็นหนักกว่าด้วย “เดี๋ยวไปซื้อด้วยกันที่ร้านที่นายซื้อเค้กชานี่มาดีไหม”
“ร้านที่ผมซื้อเค้กนี่มา?”
สึรุกิเกือบสะดุ้ง ร้านที่เขาซื้อเค้กนี่มาก็คือ ‘ร้านนั้น’ ใช่ ร้านที่เคยถูกกล่าวถึงในตอนที่สองว่ามีคุณป้าเจ้าของร้านกับลูกคุณป้าคอยดูแลร้าน จริงอยู่ว่าเด็กหนุ่มยังกัดฟันทนไปซื้อขนมให้พี่ชายกับกัปตันชินโดได้ แต่นั่นเขาไปคนเดียว และเขาไม่อยากนึกเลยว่าถ้าพารุ่นพี่ควบตำแหน่งกัปตันคนนี้ไปด้วยจะได้ปฏิกิริยาพรรค์ไหนกลับมา
“มีอะไรหรือเปล่า? ไม่อยากไปด้วยกันเหรอ?”
คนข้างกายดูใจแป้วไปถนัดตา สึรุกิเห็นดังนั้นแล้วก็แตกตื่น รีบแก้ต่างเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ! ตะกี้ผมแค่จำผิดไปว่ามีธุระตอนวันอาทิตย์ แต่ที่จริงไม่มีครับ! ผมไปกับกัปตันได้จริง ๆ นะครับ ไปได้จริง ๆ! อย่าร้องไห้เลย”
พอพูดแบบนั้นไปแล้ว สีหน้าที่สลดไปเมื่อครู่ก็กลายเป็นขบขันแทน ซึ่งก็ดีแล้วละ หัวเราะน่ะดีกว่าร้องไห้เยอะเลย
“นายนี่ยังไงนะ...ฉันไม่ได้ขี้แยกับเรื่องแค่นี้สักหน่อย”
ชินโดส่ายหน้าไปมาพลางหัวเราะเบา ๆ ตะกี้เขาก็แค่กลัวเจ้าเด็กนี่จะมีปัญหายุ่งยากอะไร หรือยังไม่ชอบหน้าเขาอยู่ในใจเท่านั้นแหละ
ถึงจะมั่นใจว่าสึรุกิไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ก็ยังอดสงสัยในใจบ้างไม่ได้ว่าที่เขามาชวนมนุษย์สันโดษนี่คุยบ่อย ๆ มันเป็นการสร้างความรำคาญหรือเปล่า
“งั้นก็ดีแล้วครับ”
สึรุกิค่อยคลายใจลงบ้าง แต่เมื่อนึกถึงกำหนดการไปร้านขนมนั้นกับชินโดที่เลี่ยงไม่ได้อีกแล้วก็ต้องเสริมว่า
“เจ้าของร้านนั้นรู้จักผมมาตั้งแต่เด็ก บางทีอาจจะพูดอะไรแปลก ๆ ออกมาบ้าง กัปตันก็อย่าคิดอะไรมากเลยนะครับ”
“อะไรแปลก ๆ?”
คนอายุมากกว่าเลิกคิ้ว หากก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม หันไปรีดถุงกระดาษใส่เค้กให้เรียบ เวลาใครห่อของขวัญแบบสวย ๆ มาให้ เขาจะชอบเก็บสะสมมันเอาไว้เสมอ ถึงนี่จะนับเป็นการห่อของขวัญจริง ๆ ไม่ได้ก็ตาม
พอมองกระดาษสีนวลตานั้น ชินโดก็พลันครุ่นคิดขึ้นมา...สึรุกิอุตส่าห์ซื้อเค้กมาฝาก...จะให้อะไรตอบแทนดีนะ…
และแล้วก็จำได้แทบทันทีว่าตนมีของตอบแทนอยู่พอดี พอเก็บถุงกระดาษลงกระเป๋าไปแล้วก็เปิดกระเป๋าช่องด้านหน้า หยิบของที่อยู่ข้างในออกมา
“สึรุกิ ถือซะว่านี่เป็นของตอบแทนเค้กนะ”
มันเป็นบัตรกำนัลหนึ่งพันเยนสำหรับร้านหนังสือ เขาเคยคิดว่าจะเก็บไว้ใช้เอง แต่ช่วงนี้ไม่ได้อยากซื้อหนังสืออะไรเป็นพิเศษ อีกอย่าง ด้วยฐานะบ้านของเขา บัตรกำนัลไม่ค่อยมีความจำเป็นเท่าใดนัก
เป็นของขวัญที่มักง่ายสิ้นดี เทียบกับเค้กชาของหมอนี่ซื้อมาให้ไม่ได้เลย...อดหวั่นใจไม่ได้ขณะมองใบหน้าที่แสดงอารมณ์น้อยนิดจนอ่านไม่ออกว่าพอใจหรือไม่ของคนข้างกาย แต่แล้วก็เห็นประกายวาวปรากฏขึ้นในดวงตาสีอำพัน เป็นประกายที่มีรอยยิ้มอยู่ด้วย
“ขอบคุณมากครับ”
มือขาวซีดยื่นมารับของตอบแทนไป สึรุกิไม่ได้เก็บมันลงกระเป๋าในทันที แต่ถือไว้ในระดับอก จ้องมันไม่กะพริบตาอยู่นานสองนานทีเดียว ราวกับบัตรกำนัลร้านหนังสือเป็นของขวัญที่มีความหมายที่สุดในโลก คนเป็นรุ่นพี่เห็นแล้วก็รู้สึกละอายในใจ สัญญากับตนเองว่าโอกาสหน้าจะหาของขวัญที่ดีกว่านี้มาให้
แต่คิดเรื่องแบบนี้ไปตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้อะไรสักเท่าไหร่ ชินโดจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
“วันอาทิตย์นี้เจอกันสักสิบโมงจะสะดวกไหม?”
“ได้เลยครับ”
สึรุกิบอกขณะเก็บบัตรลงกระเป๋ากางเกง กัปตันทีมไรมงนึกอยากแนะนำให้อีกฝ่ายเก็บของในที่ที่เป็นระเบียบกว่านั้นหน่อย แต่ก็คิดว่าจะเป็นการจุ้นจ้านเกินขอบเขตไปหน่อย ก็เลยไม่ได้ว่าอย่างไร
“ผมเองก็ขอรบกวนกัปตันสักเรื่องได้ไหมครับ?”
“อะไรหรือ?”
ฝ่ายรุ่นน้องหันหน้าไปทางอื่น พึมพำอะไรบางอย่างที่ดังกว่าเสียงยุงไม่เท่าไหร่ออกมา แต่หูดี ๆ ของชินโดก็จับความได้อยู่ดี
เจ้าเด็กนี่พูดว่า “ถ้าวันไหนว่าง ๆ ไปช่วยผมเลือกหนังสือได้ไหมครับ?”
“ได้สิ”
ชินโดตอบรับด้วยความเต็มใจ แม้จากมุมนี้จะมีปอยผมสีเข้มของเจ้าตัวบังอยู่ แต่เขามั่นใจว่าเห็นสึรุกิยิ้มที่มุมปาก
“งั้นวันไหนดีล่ะครับ?”
“ก็เอาเป็น...”
ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมากแล้วจริง ๆ
สักวันพวกเขาคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้โดยไม่มีเรื่องติดค้างในใจ
++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น