คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : "Let's Talk."
วันนี้วันจันทร์ การซ้อมเป็นไปอย่างค่อนข้างราบรื่น
ดีแล้ว...แต่จะดีพอหรือเปล่า...ชินโดนึกพลางใช้ดินสอขีด ๆ เขียน ๆ กลยุทธ์การเล่นลงกระดาษอีกครั้ง... ถึงจะเชื่อมั่นในฝีมือเพื่อนร่วมทีม แต่มาถึงจุดนี้แล้ว การประมาทก่อนแข่งจริงก็จัดได้ว่าเป็นอะไรที่โง่เขลาที่สุด
ปัญหาในทีมดูเหมือนไม่ใหญ่มากก็จริง แต่ก็ต้องระวังเอาไว้ คิริโนะกับเด็กใหม่นั่น...คาริยะดูไม่ค่อยถูกกัน ตอนชินโดลองถามว่าคิดยังไงกับคาริยะ เพื่อนสนิทของเขาก็บอกว่าเป็นเด็กหน่วยก้านดี แค่ต้องปรับสไตล์การเล่นนิดหน่อย...ถ้าดูแค่ประโยคที่พูดจะฟังดูเหมือนชื่นชม แต่ชินโดดันจับสังเกตได้ว่าคิริโนะกัดฟันพูด
...ไม่สิ ไม่ต้องให้เพื่อนสนิทอย่างเขามาจับสังเกตหรอก ณ จุดนี้ เพื่อนร่วมทีมกว่าครึ่งก็ดูออกกันหมดแล้วละว่ากองหลังสองคนนี้เขม่นกัน หากก็เห็นพ้องต้องกันว่าปล่อยให้ไปเคลียร์กันเองจะดีกว่า...แค่อย่าให้ความขัดแย้งมาสร้างปัญหาตอนแข่งจริงเป็นพอ
อีกเรื่องก็คือรุ่นพี่มินามิซาว่าก็ย้ายโรงเรียนไปที่อื่นแบบไม่ยอมบอกกล่าว ส่งผลให้บรรดารุ่นพี่ปีสามที่เหลือซึมไปตาม ๆ กัน ต่อให้ทางนั้นจะยังซ้อมด้วยความมุ่งมั่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน และบอกว่าไม่เป็นไรยังไง กัปตันทีมไรมงก็ยังเป็นห่วงไม่น้อยอยู่ดี เพราะเนื้อในของเขาไม่ใช่ผู้นำไร้หัวใจที่เห็นว่าตราบใดที่ลูกทีมยังทำผลงานได้ดีอยู่ เรื่องอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่เป็นผู้นำประเภท ‘คุณแม่สามัญประจำทีม’ ชอบคิดแทนเพื่อนร่วมทีม เอาความรู้สึกเพื่อนร่วมทีมมาแบกบนบ่าตนเองตลอด
เอาเถอะ อย่ามัวแต่ไปห่วงพะวงกับเรื่องที่ตนเองไม่มีปัญญาแก้ไขจะดีกว่า ตอนนี้ต้องจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้ ต้องคิดถึงสิ่งที่ตนเองมีอยู่ในมือและใช้ให้คุ้มค่าที่สุด...ชินโดถอนใจก่อนพับกระดาษเก็บลงกระเป๋า ตอนนี้ยังคิดอะไรดี ๆ ไม่ค่อยออกเท่าไหร่ ความจริงแล้วคิดไปก็อาจจะไม่มีประโยชน์เมื่อถึงเวลาแข่งจริง ทว่า วิสัยเขาก็เป็นคนแบบนี้เอง เวลาเครียด ๆ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างให้ยุ่งเข้าไว้ ใจจะไม่สงบ
จริงอยู่ว่าถ้าได้ฟุตบอลที่แท้จริงกลับมาหลังจากชนะในการแข่งนี้จะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุด และชินโดก็มีความสุขกับการได้เล่นฟุตบอลอย่างเอาจริงเอาจัง แต่มันก็สร้างความเครียดไม่น้อยเหมือนกัน ไม่ใช่แบบที่กดทับลงมาจนหายใจไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นแบบที่ทำให้ตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด ชินโดเป็นคนประเภทที่พยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้องเสมอ ก็เลยยิ่งกระวนกระวายเข้าไปใหญ่
“กัปตัน”
ชินโดเงยหน้าขึ้น ดวงตาวาวใสสีน้ำตาลประสานกับสีทองกระจ่าง สึรุกิยืนอยู่ตรงหน้าเขา มือสองข้างล้วงกระเป๋าเช่นเคย ต้องก้มหลังพอควรถึงมองหน้าคนอายุมากกว่าที่นั่งอยู่ได้ สูงตระหง่านค้ำหัวอย่างน่าโมโห (และกัปตันทีมไรมงก็รู้ดีว่าต่อให้ตนยืนตรงแหน่วแค่ไหนก็ระดับคิ้วของตนเองก็ตรงกับปลายจมูกของอีกฝ่ายอยู่นั่นเอง เขาเองก็ไม่ได้เตี้ยอะไรแท้ ๆ เจ้าเด็กปีหนึ่งคนนี้โกรทฮอร์โมนหลั่งเกินขนาดหรือไงนะ?) มีฉากหลังเป็นขอบฟ้าที่เรืองสีทองกับผืนฟ้าซึ่งเริ่มเจือสีน้ำเงินอ่อน จึงรู้ได้โดยไม่ต้องดูนาฬิกาว่าตนเองเอาแต่นั่งวางแผนสำหรับการแข่งนัดต่อไปจนเพื่อนร่วมชมรมทุกคน(ยกเว้นเจ้าเด็กที่ยืนหัวโด่อยู่นี่)กลับบ้านกันหมดแล้ว
สงสัยได้ชั่ววูบหนึ่งว่ารุ่นน้องมีธุระอะไรก็ระลึกขึ้นได้ว่าสึรุกิคงมาเพราะตนไปชวนไว้เมื่อวันเสาร์ว่าดู Inside Out จบแล้วให้มาคุยกัน ก็เลยส่งยิ้มจาง ๆ ให้ ผายมือไปตรงที่ว่างข้าง ๆ แล้วเอ่ยชวนว่า
“นั่งก่อนสิ”
มันดันไปคล้ายกับเหตุการณ์เมื่อเย็นวันศุกร์อย่างประหลาด แต่คราวนี้ คนตรงหน้าไม่ได้นั่งลงตามคำเชิญ ใบหน้าซีดขาวที่หันมาทางชินโดนั้นบ่งบอกอยากพูดอะไรสักอย่าง หากถ้าให้เดาว่าอยากพูดอะไรก็เดาไม่ออก ช่างเป็นมนุษย์ที่สีหน้าแสดงความรู้สึกได้จำกัดดีเหลือเกิน
กัปตันทีมไรมงอดหวังอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาชั่ววูบหนึ่งไม่ได้...ถ้ามองทะลุหัวเจ้าเด็กนี่เข้าไปเห็นบรรดาอารมณ์หน้าตาเหมือนสึรุกิตัวจิ๋วที่กำลังเต้นเหยง ๆ เอะอะมะเทิ่งได้ก็ดีสิ เผื่อเขาจะเข้าใจเจ้าหมอนี่ขึ้นมาอีกนิด...
ขณะที่คนเป็นรุ่นพี่กำลังคิดวิเคราะห์เล่น ๆ ว่าอารมณ์ตัวไหนของรุ่นน้องเป็นตัวควบคุมหลัก ฝ่ายนั้นค่อยเริ่มบทสนทนา ชินโดสาบานได้ว่าเห็นสึรุกิกลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนเปิดปากพูด น้ำเสียงคล้ายจะมีความไม่แน่ใจอยู่ด้วย
“กัปตันอาจจะจำไม่ได้ แต่เมื่อวานซืน...ที่ร้านซีดี...”
“ฉันจำได้”
คนเป็นรุ่นพี่ตัดบท ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเป็นการให้ความอุ่นใจ สึรุกิถอนหายใจเสียงเบาจนเขาเกือบจับสังเกตไม่ได้แล้วจึงพูดต่อ
“ผมจะบอกว่าผมยังไม่ได้ดูเรื่องนั้น เครื่องเล่นซีดีมันเสีย”
เจ้าตัวดูสำนึกเสียใจหน่อย ๆ ชินโดเองก็ค่อนข้างเสียดายอยู่บ้าง เวลาคนเราชอบอะไรก็อยากหาคนคอเดียวกันมาคุยกันเยอะ ๆ เป็นธรรมดา ที่สำคัญ เขาอุตส่าห์คิดว่ามันเป็นหัวข้อที่เหมาะเหม็งในการสนทนากับเพื่อนร่วมทีมคนนี้ เป็นเรื่องที่สนุก ไม่มีประเด็นอ่อนไหวที่อาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ และเขาก็อยากรู้อยู่เหมือนกันว่าคนแบบสึรุกิจะคิดกับการ์ตูนเรื่องนี้ซึ่งตนชอบมากอย่างไร แต่ในเมื่อเหตุการณ์มันกลายเป็นเช่นนี้เสียแล้วก็ช่วยไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก ไว้ทีหลังก็ได้”
อีกฝ่ายผงกศีรษะตอบรับ สีหน้าดูโล่งใจขึ้น
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้เหมือนหลายคนจะลืมเก็บบอลกลับเข้าที่”
สึรุกิปรายตามองลูกกลมสีขาวดำเปื้อนฝุ่นดินหลายลูกที่กลิ้งเกลือกอยู่บริเวณนั้น แสดงให้เห็นว่าคำว่า ‘ขอตัว’ ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงขอหนีหน้ากลับบ้าน แต่หมายถึงอยู่คุยไม่ได้ ต้องไปเก็บกวาดสนามให้เรียบร้อย
จะว่าไป...ลูกฟุตบอลกระจัดกระจายอย่างกับระเบิดลงแบบนี้ไม่น่าใช่แค่ลืมเก็บบอลเข้าที่แล้วนะ ถึงจะตั้งสมาธิกับการคิดกลยุทธ์การเล่นมากแค่ไหน เขาก็ยังจำภาพที่เห็นจากหางตาได้ราง ๆ ว่าหลังเสร็จสิ้นการซ้อม ฮามาโนะเกิดนึกคึกอะไรขึ้นมาไม่ทราบ กอบบอลเต็มอ้อมแขนมาโยนไปทั่วพลางหัวเราะฮ่า ๆ อย่างรื่นเริงบันเทิงใจไปด้วย บรรดาเพื่อนร่วมชั้นปีรวมถึงรุ่นพี่ที่เคราะห์ร้ายโดนบอลฟาดหัวจึงพากันรุมปาบอลใส่เจ้าคนก่อเรื่องคืน ทางด้านรุ่นน้องปีหนึ่ง(ยกเว้นสึรุกิที่ดูจะไม่เคยตื่นเต้นอะไรไปกับชาวบ้านเขาเลย)ก็เฮฮาไปกับเขาด้วย แถมยังเห็นเป็นการฝึกรูปแบบใหม่เสียอีก
...ผลสุดท้าย...เหมือนทุกคนจะเห็นประกายแว่นดำน้ำสำหรับใส่บนบกของโค้ชคิโดมาแต่ไกลก็เลยพากันสลายวงวิ่งหนีเอาตัวรอดจ้าละหวั่น และพอดี...สึรุกิมัวแต่ยืนเฉยทำหน้าเบื่อโลก ไม่ได้หนีไปกับเขาด้วย จึงต้องยืนเฉยทำหน้าเบื่อโลกอยู่ตรงนั้นต่อไปจนโค้ชคิโดเทศน์จบ ทั้งยังถูกสั่งให้แก้ไขความผิดที่ตนไม่ได้ร่วมก่ออีกด้วย เหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเจ้าตัวเดินมาหากัปตันของตน
“ฉันช่วยเก็บด้วยละกัน เห็นเละเทะแบบนี้ทนมองไม่ค่อยไหว”
ชินโดลุกขึ้นตามเพื่อนร่วมทีมอย่างกระฉับกระเฉง สึรุกิซึ่งความจริงเป็นคนขี้เกรงใจกว่าที่แสดงออกอ้าปากจะทัดทาน แต่คนอายุมากกว่ารู้ทัน จึงขัดคอเสียก่อน
“ให้ฉันช่วยเถอะ กัปตันประเภทไหนกันปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมทำงานงก ๆ คนเดียว”
ค่อนข้างมั่นใจว่าเดี๋ยวเจ้าเด็กนี่ต้องเถียงแน่ แล้วจะยิ่งกลายเป็นต่อความยาวสาวความยืดเข้าไปใหญ่ ก็เลยตัดบทด้วยการคุกเข่าลงไปเก็บลูกบอล พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นรุ่นน้องทำตาโตจ้อง สีหน้าเหลอหลาราวกับไม่คุ้นเคยกับการมีคนมาอาสาช่วยเหลือตนเท่าไหร่นัก เห็นอย่างนั้นชินโดก็ยิ้มสดใสให้ บอกไปว่า
“ทำงานไปคุยกันไปดีไหม?”
สึรุกิชะงักไปชั่ววูบก่อนยิ้มตอบ
“ดีครับ”
ยิ้มนั้นแฝงอาการขัด ๆ เขิน ๆ อยู่บ้าง แต่เจ้าตัวก็ดูดีใจ คนอ่อนวัยกว่าคุกเข่าลงมาเก็บบอลด้วยเพื่อให้คุยกันถนัด
เขาเองก็ดีใจเหมือนกันที่อีกคนยอมพูดคุยกัน รอยร้าวของความสัมพันธ์ของทั้งสองเพิ่งเริ่มสมานตัว กัปตันทีมไรมงจึงอดนึกไม่ได้ว่าการทำเรื่องต่าง ๆ ด้วยกันเพื่อให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นมาก ๆ เป็นเรื่องจำเป็น และแอบถือว่าการพูดคุยสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนร่วมทีมคนนี้เป็นหน้าที่ที่รุ่นพี่และกัปตันที่ดีควรปฏิบัตินิด ๆ เสียด้วย
“ความจริงแล้ว ไม่ช่วยก็ไม่เป็นไรหรอกนะครับ” เจ้าเด็กนี่ยังคงออกตัวเช่นนั้นอยู่ดี “ต่อให้ไม่ช่วย ผมก็ว่ารุ่นพี่เป็นกัปตันที่ดี”
“ขอบใจที่คิดแบบนั้นนะ”
ชินโดหัวเราะเบา ๆ ก่อนชวนคุยหัวข้ออื่น
“เดิมว่าจะมาคุยเรื่อง Inside Out กันก็จริง แต่ถ้าไม่ได้ดูมาก็ไม่เป็นไร คุยเรื่องนี้แทนแล้วกัน...ปกตินายชอบดูหนังแนวไหน”
สึรุกิก้มหน้าก้มตามองพื้นอย่างตั้งอกตั้งใจผิดปกติ
“ผมไม่ค่อยได้ดูหนัง” เขาต่อด้วยน้ำเสียงที่ฟังยากกว่าปกตินิดหน่อย “ผมชอบดูอนิเมมากกว่า”
“เรื่องยูกิโอหรือเปล่า” คนอายุมากกว่าพูดเป็นเชิงล้อ แต่แล้วก็เห็นว่าคนข้างกายเกือบทำลูกบอลหลุดมือ...อย่าบอกนะว่าเดาเล่น ๆ แต่ดันถูก...เขาแค่อนุมานแบบมั่วซั่วจากลักษณะการแต่งตัวที่เผอิญไปละม้ายพระเอกอนิเมเรื่องนั้นกับการ์ดเกมที่ทางนั้นชอบแอบหยิบมาดูตอนช่วงพักเท่านั้นเองนะ!
คนอายุน้อยกว่ากลับพยักหน้ารับรองให้เสียอีก สายตาที่เหลือบมาเป็นแววตาแบบ ‘รู้ได้ไง(วะ)ครับ’ ปนเปกับความคาดหวัง
“แล้วกัปตันชอบดูยูกิโอไหมครับ” ท่าทางสึรุกิจะเป็นประเภทเดียวกับชินโด...เวลาชอบอะไรแล้วจะมีแนวโน้มอยากหาพวกเยอะ ๆ
คนถูกถามส่ายหน้าดิก หากก็รีบต่อหลังเห็นใบหน้าขาวซีดที่สลดลง “ไม่ใช่ดูแล้วไม่ชอบนะ แต่เคยดูแค่แบบผ่าน ๆ น่ะ คาแรกเตอร์ดีไซน์กับลายเส้นน่าสนใจดี ว่าจะดูจริง ๆ จัง ๆ สักวันเหมือนกัน”
“ดูเถอะครับ ผมว่าสนุกทุกภาค” ฝ่ายรุ่นน้องสนับสนุนแบบไม่ค่อยอวยอนิเมเรื่องโปรด โทนเสียงสดใสแฝงความตื่นเต้นต่างกับลักษณะการพูดเนิบนาบตามปกติ ทว่า ยังไม่ทันที่ชินโดจะคิดว่าตนชอบน้ำเสียงแบบนั้นของสึรุกิจบ เจ้าของเสียงก็กระแอมกระไอเหมือนมีเศษดินเศษหญ้าล่องหนจากพื้นสนามกระเด็นไปติดคอกะทันหัน ก่อนเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงที่เครือเล็กน้อย (ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นอาการมักเกิดหลังจากที่คนเราแกล้งไอ แกล้งสำลัก หรือ...แกล้งกระแอมกระไอเพื่อกลบเกลื่อนกิริยาบางอย่างหรือเบี่ยงเบนความสนใจของคู่สนทนา)
“แล้วกัปตันชอบดูหนังแบบไหนเหรอครับ”
พวกเขาลุกขึ้นยืน เดินไปทางกล่องเก็บลูกบอลซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควรโดยมีลูกบอลเต็มอ้อมแขน (สึรุกิถือสามลูก ชินโดถือสองลูก) ระหว่างนั้น บทสนทนาก็ยังดำเนินต่อไป คนตัวเล็กกว่าเอียงคอครุ่นคิดอยู่ไม่กี่วินาที จากนั้นก็ตอบเสียยืดยาว(และแอบนอกเรื่อง)
“ฉันชอบอะไรที่ภาพสวย ๆ เนื้อเรื่องดี ๆ มีคุณค่าหน่อย ดูแล้วต้องได้อะไรกลับไปคิดบ้าง ไม่ใช่แบบพวกแนวมาฆ่ากันเถอะบ้าเลือดทั้งเรื่อง สรุปตอนดูสะใจเลือดสาด ออกจากโรงไม่ได้อะไร...โอเค สรุปคือถ้าเป็นอนิเมก็พวกตระกูลจิบลิ การ์ตูนก็ของดรีมเวิร์ค พิกซาร์ แล้วก็ดิสนีย์เรื่องที่ไม่ใช่แนวเจ้าหญิงโลกสวย นอกสตูดิโอพวกนั้นก็ได้นะถ้าดีจริง อย่างเรื่อง Song of the Sea ส่วนหนังก็พวก Forest Gump, Singin’ in the Rain, Rent กับพวกละครบรอดเวย์อย่าง Les Mis กับ Wicked ด้วย อะไรที่เพลงเพราะ ๆ นี่จะชอบมากเป็นพิเศษเลย”
ชินโดหยุดพักหายใจ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เห็นสีหน้าที่ดูอมยิ้มอยู่ในที กับแววตาพราวระยับผิดธรรมดาแล้วก็รู้สึกว่าแก้มสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย...สงสัยเขาจะลืมควบคุมท่าทีตัวเองดี ๆ ก็เลยออกอาการกระตือรือร้นเกินงามไป(ไม่)หน่อย...คงเป็นอะไรที่น่าขำมากแหง ๆ
โชคยังดีที่เจ้าเด็กนี่ยังมีความเคารพรุ่นพี่ก็เลยไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อะไร และถามต่อราวกับชินกับท่าทางแบบนี้ของฝ่ายตรงข้ามมาเนิ่นนานจนไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่เพิ่งคุยเล่นกันเป็นครั้งแรก
“กัปตันชอบเรื่อง Treasure Planet หรือเปล่าครับ”
ชินโดพยักหน้ารัว ๆ อย่างลืมตัว ตื่นเต้นไปหน่อยที่มีคนรู้จักเพราะปกติเรื่องนี้เป็นการ์ตูนนอกสายตา พอพูดชื่อออกไป ชาวบ้านมักทำหน้ามึนอยู่เรื่อย “ชอบสิ! ชอบตอนเริ่มเรื่องด้วยที่มันเป็นพระจันทร์เสี้ยว แล้วก็ซูมเข้าไปเรื่อย ๆ จนเห็นว่ามีเมืองใหญ่อยู่บนพระจันทร์...” เขาชะงัก แล้วเริ่มกระแอมกระไอตามรอยสึรุกิ เสียงเครือนิดหน่อยตามรอยสึรุกิเช่นกัน “แต่ชอบลีโลแอนด์สติทช์มากกว่า ประเด็นให้คิดเยอะดี”
“เช่นอะไรบ้างเหรอครับ?” พ่อเพื่อนร่วมทีมคนนี้ก็ช่างเปิดช่องให้เหลือเกิน
“ก็เช่น...”
ว่าแล้วก็ร่ายปาฐกถายาวเหยียดเรื่องครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เด็กที่เข้ากับเพื่อนไม่ได้ สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างมาเพื่อทำลายแต่ไม่มีอะไรให้ทำลายเริ่มพบความหมายใหม่ ๆ ในสรรพสิ่ง ฯลฯ ผู้ฟังก็พยักหน้าไป ออกความเห็นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่ก็แค่เออออไปด้วย...ตามความสัตย์ แค่ฟังรุ่นพี่พูดก็เพลินใช่ย่อยแล้วละ
อันที่จริง การที่ชินโดหลุดบ่อยเพราะความรักงานศิลป์ประเภทแอนิเมชันมากเกินไปอาจจะเป็นผลดีก็ได้ เพราะสึรุกิก็เริ่มรู้สึกเป็นกันเองกับกัปตันของตนมากขึ้น ส่วนชินโดเห็นรุ่นน้องไม่ล้อเลียนความกระตือรือร้นเกินขนาดของตนก็ผ่อนคลายมากขึ้นเช่นกัน บรรยากาศขัด ๆ เขิน ๆ เบาบางลงไปมากทีเดียว พูดให้ชัดคือ...ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนแทบไม่ใส่ใจว่าตนเองเก็บลูกบอลขึ้นมากี่ลูก
“ผมเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่เฉย ๆ กับเรื่อง Frozen?”
“ไม่หรอก! ฉันก็ไม่ค่อยชอบเรื่องนั้นเหมือนกัน เนื้อเรื่องมันไม่ค่อยมีอะไร ไม่อธิบายหลายจุด ทั้งที่ความรักพี่น้องเป็นแกนสำคัญของเรื่องก็ดันไม่ให้พี่น้องแสดงว่ารักกันเท่าไหร่ เรื่องภาพน่ะหรือ? เอฟเฟ็กต์หิมะน้ำแข็งของเรื่อง Rise of the Guardians ที่เก่ากว่าดันอลังกว่าซะอีก ที่ดีหน่อยก็มีแต่เพลงเนี่ยแหละ เรื่องนี้มันไม่ได้มาตรฐานดิสนีย์เรื่องอื่น อย่าอวยมากจะดีกว่า เดี๋ยวทางนั้นเกิดความคิดประเภท ‘ทำการ์ตูนไม่ต้องเลิศมากก็ได้ แปะยี่ห้อดิสนีย์ก็ขายได้แล้ว’ ก็เลยผลิตแต่การ์ตูนคุณภาพกลาง ๆ ออกมาก็แย่น่ะสิ!”
...ดุเดือดเชียว...กัปตันเป็นพวกบ้างานศิลป์จริง ๆ ด้วยสินะ...สึรุกิแอบคิดในใจพลางส่งเสียงรับในลำคอเป็นเชิงเห็นด้วย ออกความเห็นตามไปว่า
“ผมว่าเรื่อง Big Hero 6 ดีขึ้นนะ ดังนั้นเรื่องที่กัปตันกลัวก็น่าจะหมดห่วงได้”
คนเป็นรุ่นพี่ดูสดชื่นขึ้น “อื้อ เรื่องนั้นจัดว่าเยี่ยม ถึงฉันจะแอบคิดว่า How to Train Your Dragon ภาคสอง ไม่ก็ Song of the Sea ควรจะได้ออสการ์มากกว่าก็เถอะ ไม่รู้สิ บางทีอาจจะเพราะสองเรื่องนี้ตรงรสนิยมฉันมากกว่าก็ได้”
“เพลงเพราะด้วยสินะครับ แนวคลาสสิก ๆ หน่อย” ฝ่ายตัวสูงกว่าว่าอย่างเริ่มจับทางความชอบของอีกคนได้แล้ว “ว่าแต่นอกจากแนวคลาสสิกแล้ว กัปตันชอบเพลงอะไรอีกบ้าง”
ผู้ถูกถามตั้งใจจะยกมือขึ้นนับนิ้ว หากลืมไปว่าตนถือลูกบอลอยู่ก็เลยทำตก ต้องคุกเข่าลงไปเก็บอีกรอบ น่าแปลกที่เขาไม่ค่อยอายหลังจากแสดงท่าทีที่ปกติเก็บซ่อนเอาไว้มิดชิดและทำตัวซุ่มซ่ามต่อหน้ารุ่นน้องติดกัน สาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะกำลังพิจารณาหาคำตอบอยู่ เจ้าตัวค่อนข้างชอบคำถามนี้อยู่มากเอาการ
“พวกเพลงที่ทำนองน่าสนใจ ใช้เครื่องดนตรีแบบลงตัวหน่อย คนร้องเสียงกังวาน ๆ ล่ะมั้ง? อย่าง Emil Sande, Kelly Clarkson แล้วก็ Florence+The Machine น่ะ วง The Beatles ก็ดีนะ แล้วนายล่ะ?”
สึรุกิผู้ยังเค้นสมองไม่เสร็จว่าเคยได้ยินชื่อ Emil Sande จากที่ไหนหรือเปล่าก็ตอบไปแบบสั้น ๆ “พวกร็อค เฮฟวีเมทัลน่ะครับ”
...กะแล้วว่าต้องตอบแบบนี้...ชินโดแอบขำในใจ...เจ้าเด็กนี่ไม่ยอมบอกใครแฮะว่าชอบเพลงโรแมนติกยุค 80’s คงเขินสินะ...
ดูท่าสึรุกิจะไปสร้างความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับรสนิยมการฟังเพลงของตนเองโดยไม่รู้ตัวเข้าเสียแล้ว
กัปตันทีมไรมงไม่ค่อยสันทัดเรื่องเพลงตระกูลที่เพื่อนร่วมทีมชอบเท่าไหร่ หลังจากถกกันเรื่องวง Queen ไปได้สี่ห้าประโยคก็เหมือนทั้งคู่จะเริ่มหมดมุก...ซึ่งเป็นธรรมดาของคนเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แค่คุยกันยาวจนช่วยกันเก็บบอลไปได้เกือบหมดก็จัดว่ายอดมากแล้ว ทางรุ่นพี่ก็เลยโยนหัวข้อใหม่เข้ามาเสียดื้อ ๆ
“นายชอบวิชาอะไรเหรอ?”
รุ่นน้องกะพริบตาปริบ ๆ ด้านคนโยนคำถามก็คิดใคร่จะตบหน้าผากตนเองแรง ๆ...คุยเรื่องอะไรไม่คุย เปลี่ยนจากเรื่องแนวเพลงที่ชอบมาเป็นการเรียนเนี่ยนะ?...มันจะเป็นความเปลี่ยนแปลงร้อยแปดสิบองศาเกินไปแล้วหรือเปล่า
ขณะที่กำลังอ้าปากเบนหัวข้อกลับไปหาเรื่องเกี่ยวกับหนังการ์ตูนอนิเมใหม่ คนตัวสูงกว่าก็ตอบด้วยเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์ เอาการเอางานอย่างยิ่งว่า
“พักกลางวันกับเลิกเรียนครับ”
หา...นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองหาแววทะเล้นบนใบหน้าคม แต่หาไม่เจอ...ได้แต่อนุมานว่าหูดี ๆ ของตนเองเฝื่อนไปเสียแล้วกระมัง และทวนถามอีกครั้งเพื่อความถูกต้องแม่นยำ
“อะไรนะ?”
คนอายุน้อยกว่าชะงักไปวูบหนึ่ง ลูกบอลเกือบลื่นหลุดจากมือ ดีที่เจ้าตัวก็คว้าไว้ทัน ค่อยทวนสนองให้อีกรอบอย่างละล้าละลัง ความมั่นใจลดฮวบจากรอบแรกโขอยู่ “พัก...กลางวันกับ...เลิกเรียน...ครับ”
ชินโดจ้องตาสึรุกิไม่กะพริบติดต่อกันห้าวินาทีถ้วนก่อนไล่มองจากศีรษะจรดเท้า เท้าขึ้นไปหาศีรษะใหม่อีกรอบจึงค่อยเข้าใจความนัย กล่าวแบบปลง ๆ ว่า
“นี่เจตนาจะเล่นมุกสินะ?”
คนเล่นมุกแป้กเพราะหน้าตายเกินได้แต่พยักหน้า แลดูสลดไปถนัดตาทั้งที่กล้ามเนื้อบนใบหน้ายังไม่ค่อยยอมขยับจากที่เดิมเท่าไหร่ ถ้าใบหูไม่แดงก่ำนี่คงยากที่จะเดาอารมณ์ของหมอนี่จริง ๆ
ช่างเป็นภาพที่ชวนให้นึกถึง...หมาฮัสกี้เจ้านายไม่รัก...
ไม่ค่อยทราบสาเหตุนัก ทว่า จู่ ๆ ภาพตรงหน้าประจวบกับคำบรรยายที่ผุดขึ้นมาในหัวกะทันหันก็ไปกระตุกต่อมอะไรสักอย่างของชินโด และแล้วไหล่บางของเจ้าตัวก็เริ่มสั่นสะท้าน...ต้องยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นหัวเราะอย่างสุดจิตสุดใจเลยทีเดียว
“พอรู้ว่าเป็นมุกก็ขำทันทีเลยเนี่ยนะ...นี่ก็เล่นมุกอยู่เหมือนกันใช่ไหมครับ...”
ความตายซากเบื่อโลกในน้ำเสียงของสึรุกิทำให้คนเป็นรุ่นพี่กลั้นหัวเราะไม่อยู่อีกต่อไป แทบจะถึงขั้นตัวโยน เสียงหัวเราะใสกระจ่างลอยอยู่ในบรรยากาศบริเวณนั้น ผู้เป็นรุ่นน้องกลอกตาขึ้นสูงประหนึ่งจะประชดประชันฟ้าดิน ทำให้อีกคนยิ่งขำหนักกว่าเก่า
“ผมไม่เคยคิดเลยว่ากัปตันจะเป็นคนแบบนี้”
คนตัวสูงพึมพำกับตนเองแบบจงใจให้คนข้างกายได้ยิน ไม่เข้าใจปฏิกิริยาตอบสนองต่อมุขอันเชื่องช้าและรุนแรงนั่นเอาเสียเลย ถึงเสียงหัวเราะจะน่ารักน่าฟังมากก็เถอะ...
“นายนั่นแหละ เกิดไม่เคยพบเคยเจอใครหน้าตายเท่านี้มาก่อน”
ชินโดผู้หยุดขำได้ในที่สุดนวดชายโครงที่ปวดแปลบ
“เอ้า สรุปคือขำหน้าผมสินะ”
สึรุกิว่าอย่างกึ่งฉิวกึ่งขัน (โต้ในใจว่า “พูดเหมือนหน้าตนเองแสดงอารมณ์เยอะมากนะครับ”) ไม่แน่ใจว่าจะโกรธหรือหัวเราะไปกับรุ่นพี่ดี ที่แน่ ๆ คือตั้งใจมุ่งมั่นแล้วว่าคราวหน้าถ้าเล่นมุกอะไรกับกัปตันของตนอีกจะต้องแสดงท่าทีให้เห็นชัดเจนว่ากำลังเล่นมุก...แต่ไม่น่าใช่เร็ว ๆ นี้หรอก เข็ดแล้ว ไม่อยากตกเป็นจำเลยข้อหาฆ่าลูกคุณหนูคุณชายควบตำแหน่งกัปตันทีมผู้เป็นที่รักของทุกคนด้วยการทำให้หัวเราะจนหายใจไม่ทัน
“มันก็ไม่แย่หรอกนะ อย่างนายเขาเรียกตลกหน้าตาย”
หันมาปลอบใจอย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนัก คนเป็นลูกทีมก็ได้แต่ยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่ใส่ใจ ไม่คิดอะไร จะหัวเราะเยาะเย้ยผมก็หัวเราะไปเถอะ ผมไม่ถือสา แค่เก็บความแค้นไว้ในใจเท่านั้นเอง...
คนหัวเราะก็ยังหัวเราะต่อไปอีกสักพัก ถึงตอนนี้ ฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินจัด หลอดไฟข้างสนามฟุตบอลเรืองแสงสีเหลืองนวล ตอนนี้เย็นมากจนทั้งสองเริ่มเห็นหน้ากันไม่ชัดแล้ว ลูกฟุตบอลก็เก็บกลับเข้าที่หมดเรียบร้อยแล้ว
หน้าที่ของพวกเขาก็หมดแล้วสินะ
“ไปก่อนนะครับ”
สึรุกิหันหลังเดินไปทางห้องพักนักกีฬาแบบดื้อ ๆ ตามประสาคนไม่คุ้นกับการมีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้าน ตั้งใจจะไปหยิบชุดนักเรียนนอกเครื่องแบบของตนออกจากล็อกเกอร์ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วตรงดิ่งกลับบ้านเลย แต่ก้าวขาออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงที่ตนออกความเห็นในใจว่าน่าฟังมาจากข้างหลัง
“รอก่อนสิ ฉันก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกันนะ!”
พอหันไปก็เห็นชินโดวิ่งเหยาะ ๆ ตามมาก็เลยหยุดนิ่งจนกระทั่งร่างเล็กกว่าอยู่ข้าง ๆ เจ้าตัวยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เสยผมบางส่วนไปทัดหลังใบหู ยิ้มให้ด้วยแววตาเป็นประกายใต้แสงไฟสลัว ก่อนเสนอว่า
“เดินไปคุยไปดีมั้ย? เรายังไม่ได้คุยกันเรื่องมังงะที่ชอบเลยนะ”
“ก็ดีครับ”
สึรุกิพยักหน้า
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็ยังนั่งคุยกันต่ออีกนานพอสมควร และแล้ว...รู้ตัวอีกที ก็มีเสียงกรุ๊งกริ๊งดังมาจากโทรศัพท์มือถือของฝ่ายรุ่นน้อง หน้าจอขึ้นเตือนว่าเป็นเวลาห้าโมงสี่สิบห้า แน่นอนว่าเกินเวลาที่พ่อแม่ผู้ปกครองที่ไหนก็ตามจะยินดีให้บุตรหลานอยู่นอกบริเวณบ้าน ชินโดเห็นอย่างนั้นก็รู้ตัวทันทีว่าถึงเวลาต้องแยกย้ายกันแล้ว จึงต้องจบบทสนทนาลงด้วยคำบอกลา ประกายสดใสยังคงไม่หายไปจากแววตา
“ขอบคุณนะ สึรุกิ วันนี้สนุกมากเลย”
“ผมก็สนุก ขอบคุณเช่นกันครับ”
คนอายุน้อยกว่าตอบไปอย่างสุภาพและเสริมว่า
“คราวหน้าไว้มาคุยกันใหม่นะครับ”
“โอเค”
ชินโดโบกมือให้ หยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นมา แล้วลุกขึ้นยืน เดินจากไปคนละทางกับสึรุกิ รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า
เวลาคุยกันดี ๆ น่ะ...มันสนุกมากจริง ๆ นะ
แต่เหมือนเรื่องที่พอคุยกันได้ก็เอามาคุยกันหมดแล้ว...ที่บอกว่าคราวหน้าไว้คุยกันใหม่ จะคุยเรื่องอะไรดีก็ไม่รู้เหมือนกัน
คงต้องคอยสรรหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูดกันให้มากหน่อยกระมัง
อืม จะว่าไป...เหมือนพวกเขาจะลืมเช็ดลูกบอลให้สะอาดหรือเปล่านะ
เฮ้อ...ช่างมันเถอะ
แน่นอนว่าวันต่อมา โค้ชคิโดก็มีเรื่องให้ต้องบ่นเด็กตั้งแต่เช้า
+++++++++++++++++++++++++++++
Omake: ว่าด้วยสาเหตุที่เครื่องเล่นซีดีของสึรุกิโรงพยาบาลเสีย
ความจริงคือมันเป็นเครื่องเล่นซีดีของโรงพยาบาล
และมันก็ไม่ได้เสีย
“พี่ครับ”
ท่ามกลางแดดอ่อน ๆ ของเช้าวันอาทิตย์ เคียวสุเกะเดินเข้ามาในห้องพักของพี่ชาย ยูอิจิปิดหนังสือเล่มหนาในมือ นำไปวางไว้ข้างเตียง แล้วยิ้มอบอุ่นให้เหมือนทุกที
“วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ เคียวสุเกะ”
เด็กหนุ่มยิ้มตอบจาง ๆ ก่อนหยิบถุงของร้านซีดีในกระเป๋าออกมาส่งให้พี่ เฝ้ารอปฏิกิริยาอย่างใจจดใจจ่อ อีกฝ่ายรับไปด้วยท่าทางกระตือรือร้น พูดขอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนแกะเทปที่ปากถุง
ฝ่ายน้องชายอยากให้นี่เป็นของขวัญให้ประหลาดใจ แต่ดูจากแววตาพราวระยับแบบรู้ทันของพี่ชายแล้วคงไม่น่าเป็นไปได้ เขาแอบตั้งชื่อแววตาแบบนี้ในใจอย่างค่อนข้างยืดยาวว่าแววตา ‘เคียวสุเกะ พี่รู้ทันนายทุกอย่าง แต่พี่อยากให้นายมีความสุข ดังนั้น อะไรที่นายไม่อยากให้พี่รู้ พี่ก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้’ เป็นแววตาที่คุ้นเคยดีเลยทีเดียว คงไม่ต้องบรรยายให้มากความว่าช่วงที่เคียวสุเกะยังทำงานให้ฟิฟท์ เซคเตอร์ แววตาดังกล่าวของยูอิจิสร้างความหวาดผวาปนร้อน ๆ หนาว ๆ ให้เขาได้มากเพียงใด
“โห พี่แค่พูดลอย ๆ นายซื้อมาให้จริง ๆ เลยเหรอ!” ยูอิจิอุทานด้วยท่าทางที่หลอกเคียวสุเกะให้เชื่อว่าพี่ประหลาดใจจริง ๆ ได้เมื่อราวห้าหกปีก่อน “ขอบคุณมากนะ นายนี่มันสุดยอดน้องแห่งปีชัด ๆ” ว่าแล้วก็ยื่นมือใหญ่ ๆ นั่นมายีหัวสีเข้มทรงประหลาด ๆ ของน้องชายจนยุ่งเหยิงไปหมด เลื่อนขั้นกลายเป็นทรงผมที่ควรค่าแก่การอยู่บนผืนผ้าใบศิลปะนามธรรมไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนไรมง
มันน่าปลาบปลื้มก็จริงที่พี่ชายรักและอยากให้เขามีความสุข แต่เด็กหนุ่มก็อายุสิบสามแล้ว จะเกิดความรู้สึกอยากเป็นเอกเทศทางความคิดจากครอบครัว ไม่อยากให้ความคิดตนเองเป็นหนังสือที่พี่ชายอ่านได้อย่างสะดวกดายบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
“อยากดูเลยมั้ยครับพี่?”
เคียวสุเกะปกป้องเส้นผมอันน่าสงสารของตนที่เกิดมาผิดมนุษย์มนายังไม่พอต้องมาถูกย่ำยีบีฑาอีกด้วยการถอยหลังไปหาโทรทัศน์ของทางโรงพยาบาลประมาณสี่ห้าก้าวให้พ้นรัศมีเงื้อมมือมาร ชายหนุ่มผู้แกล้งน้องจนสมใจแล้วก็ตัดสินใจปล่อย ๆ เด็กมันไปชั่วคราว และหันไปตอบรับอย่างยินดีว่าอยากดู
“ว่าแต่สายไหนเป็นสายไหนเนี่ย...”
มือขาวซีดหยิบบรรดาสายไฟหลากสีสันที่ระโยงระยางกันอยู่ข้างหลังเครื่องเล่นซีดีมาพินิจพิเคราะห์ แอบบ่นขรมในใจว่าทำไมไม่วางคู่มือการใช้งานไว้แถวนี้เนี่ย กะจะให้ญาติผู้ป่วยได้เรียนรู้การติดตั้งเครื่องเล่นซีดีอย่างถูกต้องด้วยวิธีแบบลองผิดลองถูกหรือไง
“ลองเสียบสายสีฟ้าใส่ตรงช่องซ้ายมือสุดสิ”
เด็กหนุ่มทำตามที่เสียงอ่อนโยนของพี่ชายชี้แนะ...พี่รู้เสมอว่าควรทำอย่างไร...เวลาอยู่กับพี่ ต่อให้เขาเป็นคนที่ขาดี ไปไหนต่อไหนได้อิสระกว่า ควรจะรู้เห็นอะไรมากกว่า แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวพี่มากอยู่ดี...พี่มีลักษณะบางอย่างที่ดูพึ่งพาได้...ทำให้คนรู้สึกวางใจ…
เป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เขาจำความได้ พี่ก็คอยสอนสิ่งต่าง ๆ คอยชี้ทางที่ควรไปให้เขา
...พี่รู้เสมอ...เสียเมื่อไหร่…
ดวงตาสีทองเบิกกว้างจ้องเขม็งที่สายไฟซึ่งพันกันเป็นเงื่อนซับซ้อนแบบที่ต้องแก้กันสามวันสลับกับรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชวนให้สงบจิตใจของพี่ชายอันเหมือนจะแทนคำพูดว่า ‘ไม่ต้องห่วง เคียวสุเกะ พี่จะอยู่เคียงข้างนายเสมอ ไม่ว่านายจะผิดพลาดสักกี่ครั้ง พี่จะไม่ตัดสินนาย พี่แค่จะคอยประคับประคองและเฝ้ามองนายด้วยความรักเท่านั้นเอง’
...และเริ่มบรรลุถึงสัจธรรมบางอย่างของชีวิต...
“ตกลง...พี่ก็ทำไม่เป็นเหมือนกันใช่มั้ย”
เขาตัดสินใจถามไปตรง ๆ
“อื้อ จะไปเป็นได้ยังไง แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ?”
ยูอิจิยักไหล่อย่างระรื่นชื่นบาน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าได้ทำให้ศรัทธาที่เด็กหนุ่มวัยสิบสามคนหนึ่งมีต่อตนเองแตกปร่างเป็นรอยร้าวฝังลึก
...แล้วไอ้ท่าทางเหมือนผู้เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีก่อนหน้านี้มันคืออหิวาต์เหวอะไรกัน…
ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ...ไม่งั้นผมจะ…จะ...จะ...
...จะอะไรเล่า...ผมเคยทำร้ายพี่ลงแม้แต่ปลายเล็บด้วยเรอะ...
เคียวสุเกะทำได้เพียงกุมขมับ และบอกตนเองว่าจะไปหาวิธีติดตั้งสายไฟที่ถูกต้องมาใช้ในภายหลัง...
ที่แน่ ๆ คือจะไม่หวังพึ่งพี่ชายอีกแล้ว!
++++++++
ความคิดเห็น