ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Inazuma Eleven Go] More than Words (Tsurugi x Shindou)

    ลำดับตอนที่ #1 : "I'm sorry."

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 60


    ...ถ้อยคำที่อยากพูดออกไปมาตลอด…


    “ขอโทษ”


    “หือ อะไรนะ สึรุกิ”


    ชินโดหันมามองด้วยใบหน้างง ๆ กัปตันทีมไรมงกำลังจดจ่ออยู่กับการเขียนรายงานผลการฝึกซ้อมให้โค้ชคิโดจอมเฮี้ยบ สรรพเสียงรอบกายก็ไม่ได้ยินไม่รับรู้ หรือต่อให้ได้ยินก็จับความไม่ได้เสียอย่างนั้น


    “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”


    สึรุกิตอบเสียงราบเรียบประดุจเมื่อครู่ไม่ได้ถูกเมินใส่ พลางหยิบกระดาษอีกแผ่นมากรอกรายละเอียด เขาอาสามาช่วยอีกฝ่ายทำงาน ซึ่งก็ได้ช่วยกันทำงานสมพรปากจริง ๆ ไม่ได้หยอกล้อคุยเล่นกันเลยแม้แต่คำเดียว

    ก็สมควรอยู่กระมัง ในเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน สึรุกิยังประกาศปาว ๆ อยู่เลยว่าจะทำลายชมรมฟุตบอลไรมง ส่วนชินโดก็มองเขาด้วยสายตาเหมือนอยากขยี้ให้แหลกคามือ จริงอยู่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นหลังสึรุกิตัดขาดจากฟิฟท์ เซคเตอร์แล้ว ทว่า พวกเขาก็ไม่เคยได้ปรับความเข้าใจกันดี ๆ เลยสักครั้งเดียว


    ความจริงคือถ้าญาติดีกันสิแปลก


    ไม่สิ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็แปลกพอแล้ว...นัยน์ตาสีทองเหลือบมองร่างที่นั่งข้าง ๆ อย่างเคลือบแคลง อาการที่บ่งบอกว่าหวาดระแวงหรือไม่สบายใจที่ต้องอยู่ห้องเดียวกับอดีตสมาชิกฝ่ายศัตรูนั้นไม่มีให้เห็นเลย จะบอกว่ายังระวังตัวอยู่แต่เก็บอาการได้ดีก็ไม่ใช่ เพราะเล่นก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว


    ทำไมรอบตัวสึรุกิถึงมีแต่คนแปลก ๆ นะ พี่ชายที่ต้องเป็นคนพิการเพราะเขาก็ยิ้มให้กันได้ทุกวันเหมือนไม่รู้สึกรู้สา เจ้ามัตสึคาเซะที่แทบจะถูกสึรุกิใช้เตะแทนลูกบอลก็ประกาศออกมาเป็นคนแรกว่าเชื่อใจเขา เจ้ากัปตันนี่ก็ผิดปกติไม่ใช่น้อย ๆ เล่นประกาศออกมาว่าเชื่อใจคนอย่างเขาตามมัตสึคาเซะด้วย จริงอยู่ว่าคนอื่น ๆ ก็ปล่อยให้สึรุกิลงแข่งเหมือนกัน แต่เชื่อเถอะ พนันด้วยอะไรก็ได้ พวกนั้นยอมเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วต่างหากล่ะ


    ...ทำไมคนคนนี้ถึงได้...บอกว่าเชื่อใจเรา…


    พี่ชายของสึรุกิกับเทนมะยังเป็นกรณีที่เข้าใจได้คือเป็นพวก‘คนดีเกินความเป็นไปของโลก’ แต่กัปตันชินโดไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นคนเลว แต่หมายถึงเลือกเป็นว่าควรดีกับใครหรือควรร้ายใส่ใคร ไม่ใช่ใจดีเรี่ยราดไปหมดแบบสองคนข้างต้น


    แม้จะไม่คิดว่าฝ่ายนั้นโกหก แต่ก็ทำใจให้เชื่อว่านั่นเป็นความจริงไม่ลงเช่นกัน


    ในเมื่อตั้งแต่ย่างเท้าเข้าโรงเรียนนี้มา สึรุกิไม่เคยทำเรื่องอะไรที่เรียกได้ว่าไม่เฮงซวยกับชินโด เหยียบย่ำชมรมฟุตบอลที่เจ้าตัวรักยังไม่สาแก่ใจ ต้องไปตามกลั่นแกล้งรังควานเป็นการส่วนตัว ทั้งยังไม่เคยแสดงท่าทีว่าสำนึกเสียใจอีกด้วย


    ถามว่าแล้วชาตินี้คิดจะขอโทษบ้างมั้ย


    คิดสิ แต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็รู้สึกว่าชดใช้เรื่องที่เคยทำไว้ไม่ได้ อย่างเมื่อกี้ก็เป็นความพยายามครั้งหนึ่ง แต่พอหลุดปากออกไปแล้วก็รู้สึกว่าฟังดูงี่เง่าชะมัด


    ทว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง...เรื่องนั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน


    ไม่รู้กระทั่งว่าการที่ตนได้รับโอกาสจากใครสักคน หลังจากทำเรื่องผิดมหันต์มากมายถึงเพียงนั้น...ถูกต้องสมควรแล้วจริงหรือไม่


    ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง


    “...รุกิ สึรุกิ...”


    เจ้าของชื่อสะดุ้ง สิ่งแรกที่เห็นหลังตื่นจากภวังค์คือมือเรียวยาวแบบนักเปียโนที่โบกไปโบกมาอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นก็เห็นลูกแก้ว ไม่สิ ดวงตาสีน้ำตาลกลมวาวซึ่งเบิกกว้างมองสึรุกิเหมือนเป็นกังวล


    “ตะกี้ดูเหม่อ ๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่า”


    กระทั่งน้ำเสียงยังคล้ายจะเจือความห่วงใย...หรือว่าเขาควรจะพักจากการทำงานก่อนจริง ๆ


    “สบายดีครับ”


    หลุบตาลงต่ำก่อนตอบ รีบจรดปากกาลงกับกระดาษอีกครั้ง ราวกับรอให้ทั้งห้องกลับไปมีแต่เสียงปากกากับเสียงพลิกหน้ากระดาษไม่ไหวแล้ว


    ทว่า หยดหมึกยังไม่ทันได้แต้มกระดาษ นิ้วของนักเปียโนนั่นก็แตะลงบนหลังมือของเด็กหนุ่มเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงฟังกลั้วหัวเราะหน่อย ๆ


    “งานเสร็จตั้งนานแล้วแน่ะ”


    คนถูกเตือนผิวแก้มอุ่นวาบ ใจหนึ่งนึกอยากเงยหน้าขึ้น อยากเห็นรอยยิ้มกับประกายวิบวับในแววตาที่เหมือนลูกแก้วของชินโด อยากเห็นหลักฐานอะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่าตนเป็นที่ยอมรับ บอกว่าคนตรงหน้าสนิทใจกับตนบ้าง แต่อีกใจหนึ่งก็ขายหน้า...ส่วนใจลึก ๆ นั้นกลัวไปเสียทุกอย่าง...กลัวอย่างไม่แน่ใจเลยว่ากลัวอะไร หรือกลัวไปเพื่ออะไร…


    โชคดีที่ชินโดไม่ได้มาคาดคั้นอะไรกับเขามากมาย กัปตันทีมไรมงละมือจากไปและเริ่มรวมรายงานที่เขียนกันอยู่เป็นชั่วโมงให้เป็นปึก ระหว่างนั้นก็พูดเป็นเชิงชวนคุยไปด้วย เป็นคำพูดที่ฟังดูจริงใจ อบอุ่น อย่างน้อยสึรุกิก็รู้สึกอย่างนั้น


    “ขอบใจมากนะ สึรุกิ ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะเลย”


    คนอายุน้อยกว่าพยักหน้า ปากเม้มเงียบสนิท


    “อ้อ นายเขียนได้ละเอียดดีมากด้วยนะ”

    “ขอบคุณที่ชมครับ”


    ไม่ค่อยแน่ใจว่าตนเองเค้นเสียงออกมาตอบได้อย่างไร ในเมื่อความกระดากแทบจะอุดคอตายอยู่แล้ว


    “นายนี่รู้งานดี ไม่ต้องบอกมากก็รู้หมดว่าต้องทำอะไรยังไง”


    ไม่ ผิดแล้ว เขาไม่รู้...ไม่รู้อะไรเลยสักนิด


    เด็กหนุ่มพยักหน้าไว ๆ สามสี่ที หันหน้าหนีเจ้าของเสียงนั้น...เสียงที่ชมเชยอย่างอ่อนโยนเกินไป ให้กำลังใจเกินไป...อบอุ่นเกินจะเชื่อว่าเป็นจริง


    ยิ่งทางนั้นทำตัวผิดจากที่คาดการณ์เอาไว้มากเท่าไหร่ สึรุกิก็ยิ่งสับสน ทำอะไรไม่ถูก


    เขารีบลุกขึ้นยืน ยกเป้ขึ้นจะสะพายกับบ่า เตรียมออกจากห้องให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


    “สึรุกิ เดี๋ยวก่อน”


    มือที่เพิ่งใช้สะกิดสึรุกิเมื่อไม่นานมานี้คว้าข้อมือขาวซีดเอาไว้อย่างฉับพลัน ไม่ได้บีบแน่นอะไร แต่ก็เรียกไม่ได้ว่าหลวมเช่นกัน


    คนอายุน้อยกว่าหันมามองหน้าอีกคนด้วยความรู้สึกตุ้ม ๆ ต่อม ๆ คาดว่าจะเจอแววตำหนิติเตียนทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีมาเป็นอาทิตย์ ๆ แล้ว หากก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าชินโดดูกระดากไม่น้อยไปกว่าตนสักเท่าไหร่ ใบหน้านวลนั้นเรื่อสีแดงจาง ๆ แถมถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าแอบกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อยอีกด้วย


    “ขอโทษที่รั้งไว้แบบนี้นะ แต่เราต้องคุยกัน”


    ดูจากสายตามุ่งมั่นแรงกล้านั่นแล้ว น่ากลัวว่าสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือ‘จับเข่าคุยกันให้รู้เรื่อง’ ซึ่งเรื่องที่จำเป็นต้องจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่องนั้นมักไม่ใช่เรื่องน่าเพลิดเพลินใจนักหรอก แถมไอ้เรื่องประเภทที่ว่าระหว่างชินโดกับสึรุกิก็มีอยู่เยอะเสียด้วยสิ


    คนที่ฉลาดกว่าสึรุกิอาจจะหาข้ออ้างดี ๆ ฟังขึ้นหนีกลับบ้านไปได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กระทั่งข้ออ้างอย่างเลวฟังไม่ขึ้น เขาก็หาไม่ได้ เอาแต่พยักหน้าลูกเดียวอยู่นั่น


    “นั่งลงก่อน”


    ชินโดผายมือไปทางเก้าอี้ที่สึรุกิเพิ่งนั่งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มฝืน ๆ อันชวนให้อึดอัดกว่าเดิม คนอายุน้อยกว่าทำตามคำเชิญ พยายามบังคับตนเองให้สบตาอีกฝ่าย ร่างตรงหน้าสูดหายใจลึกครั้งหนึ่งก่อนเริ่มพูด


    “คืออย่างนี้...นายก็รู้ใช่ไหมว่าพวกเราเริ่มต้นกันได้...ไม่ดีนัก...”


    ...ไม่ดีนักอะไรกัน เลวร้ายสิไม่ว่า...สึรุกิแก้ให้ในใจ หากก็พยักหน้าให้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เป็นไปได้ว่าหลังคุยจบ คอของเขาจะเคล็ดไปเลย

    “แต่อย่างที่นายก็รู้ พวกเราต้องต่อต้านฟิฟท์ เซคเตอร์ไปด้วยกัน แสดงว่าในอนาคตพวกเรายังต้องร่วมมือกัน...อยู่ทีมเดียวกัน ดังนั้น มีเรื่องอะไรก็...ก็...ควรมาเคลียร์กันให้เข้าใจ โอเคนะ?”


    สึรุกิไม่ได้คัดค้านอะไร ทว่า ทั้งคู่ก็ไม่เห็นจะดู‘โอเค’ตรงไหนเลย ดูจากที่ชินโดซึ่งปกติเป็นคนพูดจาฉะฉานยังตะกุกตะกักก็รู้แล้ว


    ดูราวกับว่าพวกเขากำลังเล่นเกมจ้องตาฉบับกระอักกระอ่วนที่สุดในโลกอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีใครละสายตาจากกันหรือกะพริบตา ไม่มีถ้อยคำใดหลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก


    เงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของกันและกัน


    เป็นเช่นนั้นอยู่นานพอสมควร ฝ่ายที่รวบรวมความกล้าทำลายความเงียบได้ก่อนคือชินโด


    “ฉันเชื่อใจนายนะ”


    เสียงนั้นแฝงความกระดาก แผ่วเบากว่าครั้งก่อน แต่คำพูดกลับก้องกังวานอยู่ท่ามกลางบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ อาจจะติดหูสึรุกิไปอีกเป็นปี ๆ


    คนฟังตัวแข็งทื่อ จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายเคยพูดเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่มันไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเป็นริมสนามฟุตบอลที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกวุ่นวาย แต่นี่เป็นในห้องที่เงียบสงัด มีเพียงแค่พวกเขาสองคน


    ยิ่งไปกว่านั้น ความหนักแน่นที่เคยถ่ายทอดมาในครั้งนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด


    ชินโด ทาคุโตะเชื่อใจเขา...เชื่อใจสึรุกิ เคียวสุเกะจริง ๆ …


    ...ทำไม…


    “อาจจะฟังดูแปลก ๆ นะ แต่ฉันเชื่อใจนายตั้งแต่นัดที่แข่งกับมันโนวซากะ ตั้งแต่ตอนที่นายช่วยเทนมะ” เว้นจังหวะอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนั้น นายโกรธ...โกรธอย่างที่ไม่มีทางแกล้งทำได้เป็นอันขาด”


    นัยน์ตาวาวใสดุจลูกแก้วมองลึกเข้าไปในสีอำพันกระจ่าง แววตาที่เคยราบเรียบคล้ายจะเกิดคลื่นเล็ก ๆ ภายใน ชินโดอดรู้สึกไม่ได้ว่าถ้อยคำของตนได้เข้าไปกระตุกส่วนใดสักส่วนของจิตวิญญาณของสึรุกิด้วย


    “อันนี้ฉันคิดเองเออเองนะ” ทางนั้นออกตัวก่อนด้วยเสียงหัวเราะแห้ง ๆ “แต่มีชั่ววูบหนึ่ง...เหมือนนายจะร้องไห้”


    คนอายุน้อยกว่าเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้ว ไม่มีมนุษย์หน้าไหนชอบเวลาถูกทักว่าร้องไห้ ชินโดรู้ตัวว่าไปแตะต้องส่วนที่ไม่ควรเข้า จึงรีบขยายความทันที


    “ไม่ได้เหมือนจะปล่อยโฮ เป็นแบบร้องไห้อยู่ข้างในน่ะ นายเข้าใจมั้ย?”

    “แล้วไงครับ?”


    ฝ่ายรุ่นน้องยกมือขึ้นกอดอก เกือบหลุดปากออกมาว่า‘ใครมันจะไปขี้แยเหมือนกัปตันครับ’ หากด้วยความที่พ่อแม่สั่งสอนให้มีมารยาทกับคนอายุมากกว่ามาดีเกิน ก็เลยไม่ได้พูดออกไป อีกอย่าง เขาก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนคนนี้ต้องร้องไห้เหมือนกัน


    จริงอยู่ว่าไม่ควรรู้สึกอะไรกับแค่โดนทักแค่นี้ หากก็รู้สึกอยู่ดี


    คนตรงหน้าเห็นสิ่งที่เขาสู้อุตส่าห์สร้างกำแพงหลายต่อหลายชั้นเพื่อผนึกให้มันอยู่ในส่วนลึกที่สุด...เพื่อเก็บซ่อนไม่ให้คนทั้งปวงเห็น…


    ฟังดูไร้สาระ ใช่ แต่ข้อสังเกตของชินโดทำให้สึรุกิรู้สึกไม่ปลอดภัย ราวกับว่าที่กำบังส่วนตัวซึ่งให้ความอุ่นใจมายาวนานมีคนบุกรุกเข้ามา เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นก็ต้องการป้องกันตัว จึงแสดงท่าทีก้าวร้าวออกมาอย่างหยุดไว้ไม่ทัน


    สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน...สร้างความกระอักกระอ่วนกับทั้งสองฝ่ายชัด ๆ…


    เขาไม่ควรตกลงอยู่คุยด้วยเลย


    สึรุกิลดสายตาลงมองตักตนเอง ชินโดเห็นดังนั้นก็เกิดความคิดอยากถอนหายใจแรง ๆ ขึ้นมาชั่ววูบ แต่ก็ไม่ได้ทำ


    เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าตนรู้สึกเหนื่อยหน่าย


    “พอเห็นนายเป็นแบบนั้นแล้ว...” คนเป็นรุ่นพี่พยายามเลือกใช้คำ “...ฉันก็คิดได้ว่านายอาจไม่เลวร้ายนัก”


    “อาจไม่เลวร้ายนัก?” สึรุกิแทบสะดุ้ง เขาเงยหน้าขึ้นจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทวนด้วยโทนเสียงไม่อยากเชื่อ “แค่นั้นเองเหรอครับ? แค่นั้นก็พอให้คุณเชื่อใจผมแล้วเหรอ?”


    ชินโดพยักหน้าด้วยอาการหนักแน่น สายตาเอาจริงเอาจังที่สุด


    “ใช่”


    สึรุกิพยายามเหยียดยิ้ม นั่นเคยเป็นหนึ่งในกลไกป้องกันตัวที่เด็กหนุ่มชอบใช้ที่สุดมาตลอด แต่ก็ทำไม่ได้...ไม่ได้อีกต่อไป


    เขาไม่เหลือเหตุผลอะไรที่ควรยิ้มอย่างน่ารังเกียจเช่นนั้นอีกแล้ว


    เขาไม่อยากมีรอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว


    โดยไม่ทันตั้งตัว ชินโดจับไหล่ข้างหนึ่งของคนตัวสูงกว่าด้วยมือขวา เป็นท่าทางเดียวกับตอนที่ตัวสึรุกิเองเย้ยหยันอีกฝ่ายว่าไร้พลัง ต้องยอมรับเชื่อฟังโดยไร้ทางต่อกร...ทว่า มือนุ่มเนียนอย่างคุณชายไม่เคยทำงานหนักนั่นกลับมอบความอ่อนโยนและการปลอบประโลมให้ แววตาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นไม่คลอนแคลนและความบริสุทธิ์ใจชนิดหนึ่ง


    สึรุกิไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนถึงหยุดหายใจไปหนึ่งชั่วขณะจิต


    “นายโกรธเพื่อคนอื่นเป็น” ชินโดต่อด้วยเสียงเยือกเย็นหนักแน่น “นายเสียใจเมื่อเห็นคนอื่นถูกทำร้าย แสดงว่านายมีสำนึกผิดชอบชั่วดี สำหรับฉัน แค่นั้นก็เพียงพอให้เชื่อใจนายแล้ว”


    ทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกเจ็บแปลบในอกขึ้นมานะ…


    ...ไม่ดีเลย…


    ...การเปิดเผยความรู้สึก...ควักหัวใจส่วนหนึ่งออกมาให้คนอื่นเห็นนี่มัน...ไม่เห็นมีอะไรดี


    ...ความรู้สึกที่ลึกเกินไป เข้มข้นเกินไปแบบนั้นน่ะ...ควรเก็บไว้ กระทั่งตนเองก็ควรทำเป็นไม่เห็น ไม่สิ ควรลืมไปเสียว่ามันมีตัวตนอยู่ต่างหาก…


    ชั่วระยะเวลายาวนานที่ถูกฟิฟท์ เซคเตอร์เคี่ยวกรำมา สึรุกิบอกตนเองเช่นนั้นมาตลอด


    แต่เขาไม่มีแก่ใจจะแยแสอีกต่อไปแล้ว


    “ตานายพูดแล้ว” ชินโดชะงัก “ไม่สิ ถ้าไม่สบายใจไม่ต้องก็...”


    “ผมจะพูดครับ” คนเป็นรุ่นน้องขัด “ขอเวลาเรียบเรียงคำหน่อย”


    เมื่อรุ่นพี่จริงใจอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่อยากตอบโต้กลับด้วยการปิดบังอีกต่อไป


    ถึงอย่างไรเขาก็ยังเด็กมาก ความรู้สึกตรงไปตรงมาของใครสักคนย่อมมีผลกระทบต่อเขาอย่างรุนแรง หลักการอะไรที่บอกตนเองไว้ก็สั่นคลอนไปได้ชั่วคราว


    กระนั้น ไม่ว่าอย่างไร สึรุกิก็หาประโยคเหมาะ ๆ มาขึ้นเรื่องไม่ได้ ราวกับว่าถ้อยคำนับร้อยพันที่จุกอยู่ในลำคอไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ไหนแต่ไรมา เขาก็ไม่ใช่คนพูดเก่งอยู่แล้ว


    เค้นสมองคิดเข้าสิ...พี่ชายเคยบอกว่า...เริ่มเบนเข็มไปหาอะไรที่เก่าแก่กว่าหลักการที่ตนเองสร้างไว้เกลี้ยกล่อมตนเอง...จะตะกุกตะกักก็ไม่เป็นไร จะติดอ่างก็ช่าง ผิดพลาดก็อย่าสน...ที่สำคัญคือต้องจริงใจ ต้องสื่อความรู้สึกออกไปให้ได้…


    สิ่งที่สึรุกิ เคียวสุเกะอยากสื่อสารออกไปมากที่สุด...คำที่อยากพูดมาตลอด…


    “ผมขอโทษครับ”


    เยี่ยม


    โคตรเยี่ยม


    เยี่ยมแบบหาอะไรมาเทียบไม่ได้จริง ๆ เหนือชั้นมาก ขึ้นแบบไม่มีต้นไม่มีปลาย เป็นเทคนิคเล่าเรื่องขั้นสูง


    โอเค เขาประชด


    เฮงซวยที่สุด ถ้าไม่ติดว่าอาจถูกอุ้มไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพยาบาลโรคประสาท เขาจะโขกหัวกับโต๊ะสิบครั้งติดเดี๋ยวนี้แหละ


    ชินโดนิ่งไป เอียงคอน้อย ๆ อย่างฉงน สึรุกินึกอยากให้คนมองกะพริบตาโต ๆ นั่นเสียบ้าง เผื่อตนจะกระดากน้อยลงกว่านี้สักสิบมิลลิกรัมก็ยังดี


    ...ปล่อยให้ความรู้สึกของนายทำงานของมัน เคียวสุเกะ…


    และแล้วยอดชายนายสึรุกิผู้เห็นว่าคำสั่งสอนของพี่ชายยังทำตนเองหน้าม้านไม่พอก็ปล่อยให้คำพูดพรั่งพรูออกมาเป็นชุด ๆ แทบไม่พักหายใจ ทั้งที่พูดไปก็อยากกัดลิ้นตายไป


    “ผมขอโทษกับทุกอย่างที่เคยทำลงไปจริง ๆ ผมไม่มีข้อแก้ตัว ต่อให้ที่พยายามทำลายไรมงเป็นคำสั่งของฟิฟท์ เซคเตอร์ ความเลวบัดซบของผมก็ไม่ได้ลดอยู่ดี เอาจริง ๆ ที่ดูถูกทุกคนไว้นั่นมันงี่เง่าชัด ๆ ! พวกกัปตันไม่เคยผ่านการฝึกแบบของ Seed สักหน่อย ทุกคนเก่งที่สุดเท่าที่จะเก่งได้ตามมาตรฐานเด็กมัธยมต้นทั่วไปแล้ว โว้ย!”


    เด็กหนุ่มแทบจะทึ้งหัวตนเองอยู่รอมร่อ พร่ำเพ้อบ้าบออะไรออกมาวะเนี่ย!?


    “สรุปก็คือ ผม...ผม...ผม...ผมขอโทษ...”


    จบได้ดีพอ ๆ กับตอนเริ่มเลย


    เยี่ยม


    โคตรเยี่ยม


    ใช่ เขาประชดอีกแล้ว


    สึรุกิหอบฮั่ก รอดูปฏิกิริยาของชินโด ทั้งที่อยากวิ่งหนีออกไปเสียให้พ้น ๆ การซื่อตรงกับความรู้สึกเกินไปก็ยังคงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเขาอยู่ดี


    คนตรงหน้านิ่งอึ้ง เบิกตาจนกลมกว้างกว่าปกติอย่างชวนให้นึกถึงแมวกำลังตกใจ แต่พอทำความเข้าใจกับสารที่อีกฝ่ายส่งมาได้แล้ว มุมปากก็กระตุกด้วยความพยายามกลั้นขำอย่างสุดชีวิต ตาแบบแมวตกใจก็หยีลง แต่ยังไงก็ซ่อนยิ้มไม่ได้ เป็นภาพที่น่ารักมาก ถึงจะไม่มากพอหยุดไม่ให้คนเป็นรุ่นน้องทำตาขวางใส่ก็ตาม


    กัปตันทีมไรมงเห็นท่าทางนั้นแล้วก็อยากหยุดขำเพื่อเห็นแก่อีกฝ่ายเหมือนกัน หากความรู้สึกอยากหัวเราะกลับไม่ยอมหายไปง่าย ๆ


    นี่ไม่ใช่หัวเราะเพราะขบขันเสียทีเดียว มันมาจากความโล่งใจด้วย...บรรยายไม่ค่อยถูกนักหรอก ความจริงก่อนมาขอคุยปรับความเข้าใจก็กังวลมากอยู่เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วจะไม่เข้าใจกัน แม้จะเชื่อใจ หากความทรงจำเลวร้ายกับอีกฝ่ายที่มีอยู่มากเกินไปก็ทำให้ในใจเผลอสร้างผลลัพธ์น่ากลัวออกมาหลายรูปแบบ


    เมื่อเห็นสึรุกิดูจะให้ความสำคัญกับความเชื่อใจที่ได้รับ สำนึกผิดอย่างจริงใจ ทั้งยังออกท่าทีลุกลี้ลุกลนไม่ต่างจากที่ตนรู้สึกอยู่เหมือนกัน...ก็อดดีใจไม่ได้ ความกังวลคล้ายถูกยกออกไปหมด


    “ฉันรับคำขอโทษนะ”


    ชินโดตบบ่าลูกทีมหลังสงบกิริยาอาการได้แล้ว รอยยิ้มอบอุ่นและเป็นธรรมชาติกว่าตอนเริ่มบทสนทนามาก


    “ขอบคุณครับ”


    สึรุกิยิ้มตอบทั้งหน้าร้อนฉ่า แม้ว่าจะไม่รู้ตัว แต่ยิ้มของเขาเองก็สดใสแบบคนที่ไม่มีเงามืดในหัวใจ เป็นยิ้มจริง ๆ


    ถึงจะเริ่มต้นอย่างกระอักกระอ่วน แต่ก็พูดได้ว่าพวกเขาดีใจที่ได้ปรับความเข้าใจกัน อย่างไรเสีย การพูดกันให้เข้าใจจริง ๆ ก็ดีกว่าปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างเอาแต่วาดภาพของอีกฝ่ายในใจแบบที่ตนเชื่อว่าต้องเป็น


    คุณคาดหวังให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างปุบปับไม่ได้ แต่เชื่อเถอะว่าพวกเขาสนิทใจกันขึ้นมากแล้ว และใกล้ชิดกันมากขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป


    แม้ว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานเข้า ถ้อยคำที่อยากพูดออกไปแต่ไม่อาจพูดได้จะยิ่งเพิ่มพูนก็ตาม


    ...แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวต่อจากนี้...



    ++++++++++++++


    จากใจเรา...นังเดลหรือนังอุ้ม เรียกชื่อไหนก็ได้ แล้วแต่เลย


    2/4/2559


    อะไรที่มันไม่มี เราก็ต้องทำให้มี เราจะรอปาฏิหาริย์จากฟากฟ้าไม่ได้


    เช่นเดียวกับฟิคเคียวทาคุที่หาในไทยแล้วยากประดุจงมเข็มในมหาสมุทร รอปาฏิหาริย์ว่าสักวันจะมีนักเขียนเทพ ๆ มาชอบคู่นี้แล้วเขียนฟิคยาวห้าสิบตอนไม่ได้ นักหัดเขียนอย่างเราจึงต้องลงมือเขยนเอง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะรักคู่นี้มาก คิดถึงคู่นี้มากเกินไปจนเก็บไว้คนเดียวไม่ได้ อยากให้คนที่ชอบเหมือนกันมาอ่านและได้แบ่งปันความฟินไปด้วยกัน


    เรายังมีส่วนที่ต้องพัฒนาอีกมาก เห็นว่าเราควรปรับปรุงตรงไหนก็ขอให้บอกเถอะ เราอยากให้ฟิคนี้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เรารีดเค้นพลังงานและความรักมาพิมพ์จนดึกดื่น และบางทีก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่สุด เราทำได้ดีกว่านี้ แต่ตัวเรามองเองก็ไม่เห็นว่าควรแก้ตรงไหน ขอให้ช่วยชี้แนะด้วย


    มาถึงเรื่องของตอนนี้..."ขอโทษ"


    คำว่าขอโทษนี่เป็นคำที่ถ้าพูดด้วยความจริงใจจะช่วยไม่ให้เรื่องเลวร้ายหลายอย่างลุกลามได้เลย แต่ถ้าพูดแบบไม่จริงใจหรือประชดนี่จะยิ่งทำให้ต่างฝ่ายขุ่นใจไปมากขึ้นเปล่า ๆ


    อย่างแรกเลยคือคนขอโทษต้องรู้ตัวว่าตนเองผิดจริง รู้ว่าตนเองต้องแสดงความรับผิดชอบ...ซึ่งสึรุกิก็ทำได้ไปแล้ว เจ้าเด็กนี่ในหัวของเราเป็นเด็กที่เคร่งครัดกับตนเองมากเกินไปและพูดไม่เก่งเอาซะเลย เอาแต่คิดนั่นคิดนี่วุ่นวายกับตนเองไปหมด


    เราคิดว่าสึรุกิที่ขายขี้หน้าแทบตายแต่ก็รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบเลยขอโทษไม่หยุดปากโดยบังคับตนเองให้สบตาชินโดตลอดเวลา กับชินโดที่รู้สึกกังวลนิด ๆ แต่ก็อยากให้โอกาส และได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าความจริงแล้วสึรุกิเป็นเด็กดีท่ามากคนหนึ่งจนเอ็นดูขึ้นมาอย่างอดไม่ได้เป็นคนที่น่ารักมากทั้งคู่ ด้วยคำว่าขอโทษคำเดียว อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปมากมาย


    พวกเขาเป็นคนน่ารัก อยากให้เอ็นดูและเอาใจช่วยกันไปเรื่อย ๆ นะคะ


    ปล. พิมพ์เม้าแบบสวย ๆ มันไม่ใช่ตัวตนของดาววววววว ตอนหน้าจะเม้าแบบรั่วให้ดู แง่งงงงงงงงง




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×