ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] 22 :: KrisYeol

    ลำดับตอนที่ #2 : 22 :: When Morning Comes

    • อัปเดตล่าสุด 30 มิ.ย. 56






                   เสียงไซเรนหวีดร้องลั่นไปตามท้องถนนอันมืดมิดเงียบสงัดยามค่ำคืนของกรุงโซล หลายบ้านลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างเพื่อหาที่มาของต้นตอที่ทำให้รถตำรวจหลายคันต้องวิ่งวุ่นกันในช่วงที่ประชาชนพลเมืองเขากำลังหลับพักผ่อนอยู่แบบนี้





    “มีผู้เสียชีวิตทั้งหมดในที่เกิดเหตุมีสองรายครับ ส่วนอีกหนึ่งรายไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล สาเหตุการเสียชีวิตเหมือนกันทั้งสามศพ คือเสียเลือดมากไปครับ” เจ้าหน้าที่รายงานผลคร่าวๆให้กับชายหนุ่มที่เพิ่งเดินข้ามเทปสีเหลืองเข้ามาในบริเวณที่เกิดเหตุ กลิ่นคาวเลือด กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงกลิ่นหอมเย็นๆของอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มทำจมูกฟุดฟิดนิ่วหน้าเล็กน้อย ไม่ถูกกับกลิ่นของพวกเครื่องหอมแบบนี้เลยให้เถอะ




    “อาวุธล่ะครับ?”




    “นี่ครับ” พูดพร้อมหยิบซองพลาสติกสีใส ที่ภายในนั้นบรรจุสายกีต้าร์ชนิดสายเหล็กส่งให้




    “ผู้ต้องหาล่ะครับ?”




    อีกฝ่ายพยักเพยิดไปทางมุมหนึ่งของห้อง ปรากฏร่างของชายหนุ่มที่กำลังนั่งชันเข่าก้มหน้านิ่ง ตั้งแต่มีคนโทรไปแจ้งเหตุ และทันทีที่ทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนมาถึง ผู้ชายคนนี้ไม่แม้แต่จะขยับ ไม่พูด ไม่สนใจความเคลื่อนไหวใดๆภายในห้องทั้งสิ้น สองมือที่เปื้อนเลือด รวมไปถึงเสื้อผ้าเนื้อดีก็เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด ดวงตาฉายแววเลื่อนลอย




    “กำลังรอผลตรวจหาสารเสพติดอยู่ครับ”



    อีกคนพอจะเข้าใจ ดูท่าทางที่เหมือนคนสติหลุดลอยแบบนั้น แถมตอนนี้ยังพ่วงตำแหน่งผู้ต้องสงสัยเข้าไปอีก ไม่แปลกหรอกที่เจ้าหน้าที่จะต้องสงสัยไว้ก่อน





    “เป็นสมาชิกวงดนตรีร็อคครับ คุณพอจะรู้จักไหม?”




    “เป็นนักร้องหรอครับ ไม่ยักจะเคยเห็นมาก่อน”




    “ไม่เชิงว่าเป็นวงดนตรีเต็มตัวหรอกครับ” เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเดินมาสมทบ “เป็นพวกลูกคุณหนูมีเงินแล้วมาตั้งวงกันเล่นๆน่ะครับ ทำเพลงเอง ขายเอง เพลงเขาดีทีเดียวนะครับ” พูดอย่างคนที่เคยติดตามผลงานมาอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่ดังในสื่อหลักอย่างโทรทัศน์แต่วงร็อคสมัครเล่นกลุ่มนี้ก็ฝีมือฉกาจและเป็นที่รู้จักแพร่หลายในแวดวงสังคมอินเทอร์เน็ต




    “ขัดผลประโยชน์กันหรือครับ?”  ถามขึ้นหลังจากที่สวมถุงมือเดินเข้าไปตรวจดูสภาพศพ ที่ลำคอมีร่องรอยถูกของมีคมบาดเป็นแนวยาว นั่นน่าจะเกิดจากสายกีต้าร์ที่อยู่ในถุงพลาสติกนั่นสินะ



    “แล้วอีกศพล่ะครับ?”



    เจ้าหน้าที่ร่างท้วมผายมือไปอีกมุมหนึ่งของห้อง ตรงนั้นมีเปียโนหลังสวยวางตั้งไว้อยู่ รอยเลือดบนพื้นไม้ปาเก้ยังคงปรากฏชัดแก่สายตา



    “ส่วนท้ายทอยถูกฟาดลงอย่างแรงกับเปียโนครับ”




    “สรุปว่าในวงมีสี่คนสินะครับ” พูดพร้อมมองไปทางร่างของเด็กผู้ชายที่ยังคงนั่งกอดเข่าก้มหน้ามองพื้น



    “จริงๆมีห้าค่ะ” เจ้าหน้าหญิงสาวเดินเข้ามาตอบคำถามแทน




    “แต่อีกคนแยกกลับบ้านไปตั้งแต่คอนเสิร์ตเลิก มีพยานบุคคลยืนยันตัว เพราะฉะนั้นคนที่ถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัย จึงมีเพียงแค่....” พูดก่อนจะหันไปมองที่ร่างตรงมุมห้องเป็นตาเดียวกันหมด





    ชายหนุ่มเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะสนใจกับรายงานเอกสารในมือ เท่าที่ดูก็คือเหตุฆาตกรรมปกติธรรมดา หลักฐานและผู้ต้องหาอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีรอยเท้าแฝง ไม่มีการบุกรุกเข้ามาในตัวบ้าน ถ้าจะพูดให้ถูกเรียกได้ว่าที่นี่คือคฤหาสน์หลังย่อมเลยทีเดียว ระบบการรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม ไม่มีอะไรเลยที่จะดูต่างจากรูปคดีอื่นๆที่เคยพบ เรื่องของสาเหตุนั้นก็คงต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สืบสวนของทางเขตสั่งสืบกันเองว่าเกิดจากอะไร



    ยังไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกับเขา ถึงต้องเรียกเขามาทั้งๆที่ข้ามท้องที่กันมาแล้วชัดๆ



    “ผู้ต้องสงสัยอายุ 24 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสหรัฐอเมริกา เป็นทายาทของนักธุรกิจชื่อดังท่านหนึ่ง” เจ้าหน้าที่อ่านข้อความในเอกสาร เล่นเอาคนที่กำลังสงสัยว่าถูกเรียกตัวมาทำไม ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ จะมาบอกเขาไปเพื่ออะไรกัน



    “คดีนี้ เราจะทำให้เอิกเกริกไม่ได้”


    คิ้วเลิกขึ้นสูง ก็ยังไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี



    “ทางพ่อแม่ของผู้ต้องหายืนยันว่าลูกชายไม่ใช่คนร้าย และต้องการให้พวกเราสืบคดีเงียบๆจนกว่าจะเจอคนร้ายตัวจริง”



    ถ้าเทียบกันทั้งหมดในที่นี่ เขาคงเป็นเจ้าหน้าที่ที่หนุ่มที่สุด เพราะฉะนั้นการแสดงออกท่าทางอะไรออกไปคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก



    “เป็นลูกคนรวย เลยต้องการจะใช้เงินยัด เพื่อปิดบังความผิดหรอครับ?”



    แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะห้ามความคิด



    “ผมยอมรับว่านั่นมีส่วน และอีกอย่างหนึ่ง คือนี่” แฟ้มเอกสารอีกส่วนถูกยื่นส่งให้ชายหนุ่ม



    “ประวัติการรักษา จากสถาบันจิตเวช?”



    “ค่ะ ผู้ต้องหาเคยอยู่ในสถาบันจิตเวชที่อเมริกา แต่ไม่ได้มีอาการรุนแรงเด่นชัดที่จะบ่งชี้นำไปสู่การทำร้ายร่างกายไม่ว่าจะทั้งตัวเองและผู้อื่นแม้แต่น้อย คือผู้ต้องหาใช้ชีวิตตามปกติมาตลอดค่ะ เรียนอยู่ในเกณฑ์ดี หากแต่เก็บตัว แต่ชอบแสดงออกกับดนตรี ตามรายงานเอกสารที่คุณหมอทางนั้นแจ้งมาว่า ผู้ต้องหาเดินทางไปที่สถาบันด้วยตัวเองแล้วแจ้งว่าตัวเองเป็นโรคจิตต้องการได้รับการรักษาค่ะ”




    ดวงตาเบิกโตขึ้นมาทันที ก่อนจะไล่กวาดอ่านรายละเอียดภาษาอังกฤษที่หมอเจ้าของไข้เคยลงบันทึกเอาไว้




    จริง เป็นแบบที่เจ้าหน้าที่สาวพูดมาทั้งหมด




    คนไข้เดินทางไปติดต่อขอรับการรักษาด้วยตัวเอง




    คนบ้า มักจะไม่ยอมรับว่าตัวเองบ้า




    แต่กับผู้ชายคนนี้ ......




    “สรุปแล้ว เรียกผมมาทำไมหรอครับ?” ป่วยการจะเดาสาเหตุ จิตแพทย์หนุ่มที่มาช่วยเหลืองานเป็นนักจิตวิทยาของกรมตำรวจเอ่ยถามไปตรงๆ




    “ดูตรงนี้ครับ” พูดพร้อมชี้ไปที่มุมล่างสุดของเอกสารการเข้ารับการรักษา





    “ผู้ต้องหาเคยเข้ารบการรักษาของโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่?” คิ้วขมวดแน่น สาเหตุแค่นี้ไม่น่าเป็นประเด็นใหญ่ถึงต้องเรียกเขามาจับงานนี้เสียเมื่อไหร่ ถ้าอย่างนั้นเขาคงไม่ต้องคอยตามไปดูแลคดีทุกคดีของคนไข้ในสถาบันนั้นทุกคนหรืออย่างไร




    “ทางครอบครัวเขาขอชื่อคุณมาดูแลคดีนี้ด้วยน่ะครับ ยินดีจ่ายให้อย่างงาม” สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ ชายหนุ่มถึงกับปิดแฟ้มเสียงดัง ก่อนจะดันคืนอย่างหงุดหงิด เขาไม่ได้สนเรื่องเม็ดเงิน มีคนมากมายบนโลกในนี้ที่ไม่ได้หน้าเงินขนาดนั้น




    “ใจเย็นครับคุณหมอ ผู้ต้องหาเคยได้รับการดูแลจากคุณ และอาการดีขึ้น” ป่วยการจะพูดอ้อมค้อม ใส่ภาษาหว่านล้อมกับนักจิตวิทยา เพราะชายหนุ่มเองก็คงรำคาญกับการพูดอ้อมโลกของเขามิใช่น้อย จึงตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ มันไม่เชิงการบังคับ มันออกจะเจือไปด้วยการขอร้องหน่อยๆ จากครอบครัวของผู้ต้องหา



    พวกเขาเชื่อว่าลูกชาย ต่อให้ดูแปลกจากคนปกติมากเพียงไหน ก็ไม่มีทางที่จะจิตใจเหี้ยมโหดถึงขนาดฆ่าเพื่อนพ้องของตัวเองได้อย่างเลือดเย็น



    ชายหนุ่มฟังจบก็เดินหาคนที่ยังนั่งนิ่งๆอยู่ที่มุมห้อง



    “คุณครับ”



    หัวกลมๆค่อยยกขึ้น ใบหน้าที่เคยเกือบจะจรดกับพื้นห้องเงยขึ้นมาเล็กน้อย จิตแพทย์หนุ่มมองอยู่ประเดี๋ยวเดียวก็พยักหน้าเบาๆให้กับตัวเอง



    “ก็ได้ครับ ผมรับทำคดีนี้”



    “แต่ คุณหมอคะ”



    “ครับ?”



    “ทางครอบครัวขอร้องให้คุณช่วยดูแลผู้ต้องหาตลอด 24 ชั่วโมงน่ะค่ะ”



    ชายหนุ่มไหวไหล่เบาๆ “ไม่มีปัญหาครับ”




    “ช่วยเซ็นรับรองตรงนี้ด้วยค่ะ” พูดพร้อมยื่นกระดาษมาให้ ชายหนุ่มรู้สึกสงสัยกับทุกขั้นตอนในคดีนี้เสียเหลือเกิน อะไรที่ไม่ควรทำพวกเขาก็ทำหมดทุกอย่าง การให้เขาดูแลผู้ต้องหาทำไมต้องให้เซ็นเอกสาร ทั้งๆที่เบื้องบนก่อนจะส่งเขามาก็น่าจะจัดการรับเรื่องเอาไว้แล้ว

     

     









     

                    รถยนต์ของเจ้าหน้าที่สองนายกำลังขับช้าๆไปบนถนนหลวงสายเปลี่ยว ถึงแม้จะอยู่ที่นี่ได้ไม่นานเขาก็รู้ดีว่าที่นี่ไม่ใช่เส้นทางกลับสู่ใจกลางกรุงโซล มันเป็นเส้นออกไปต่างจังหวัดต่างหาก ชายหนุ่มจ้องมองการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่สองนายอย่างระวังตัว แต่จะไม่แสดงพิรุธใดๆให้พวกเขาจับได้ เขาพลาดเองที่ไม่สนใจมองตราตำรวจตอนพวกเขากำลังแนะนำตัว ไม่ได้เอะใจในจังหวะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นกำลังทยอยออกไปด้านนอกหมด เพราะมัวแต่อ่านแฟ้มประวัติการเข้ารับการรักษาของผู้ต้องหา ผู้ต้องหานั่งอยู่เบาะหลังกับเขา หากแต่ดันตัวชิดประตูเอาหัวพิงหน้าต่าง หน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์และดูไร้พิษสงทำให้ผู้ต้องหาฆ่าคนตายถึงสามศพไม่ได้ดูคุกคามในสายเขาเลยแม้แต่น้อย




    “อีกนานไหมครับกว่าจะถึงโซล?” แกล้งถามขึ้นมาทั้งๆที่รู้ว่ารถคันนี้ไม่ได้กำลังจะมุ่งหน้าเข้าโซลแต่ประการใด




    “ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ ขอโทษทีนะครับ ผมต้องขับช้าหน่อยมันมืด”



    แหงล่ะ ถนนมุ่งออกต่างจังหวัดในช่วงตีสอง .....




    จะไม่ให้มืดได้อย่างไร







    แต่หลังจากยี่สิบนาทีผ่านไปรถยนต์ก็จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่สองชั้น ที่ปลูกท่ามกลางสวนดอกไม้อะไรสักอย่าง มันมืดเกินกว่าเขาจะมองรู้ว่าอะไรเป็นอะไร




    ร่างของผู้ต้องหาถูกลากลงมาจากรถ ก่อนจะถูกนำตัวเข้าไปไว้ด้านในตัวบ้าน




    “เชิญครับคุณหมอ”




    หมอหนุ่มเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย ไม่มีประโยชน์อะไรจะร้องถาม ไม่มีประโยชน์อะไรจะต้องพูดให้มากความ




    “ระบบไฟฟ้าในบ้านหลังนี้ใช้การได้ดี อาหารแห้งและอาหารสดมีพอสำหรับหนึ่งอาทิตย์” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้น




    “นี่กุญแจครับ แต่ขึ้นอยู่กับคุณหมอว่าจะไขให้ผู้ต้องหาหรือไม่ แต่ผมขอแนะนำว่าอย่าจะดีกว่า สามารถฆ่าคนได้ถึงสามคน ผมว่าไม่ธรรมดา” พูดอย่างหวาดๆ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาแสดงสีหน้ารังเกียจและหวาดกลัวผู้ต้องหาอย่างชัดเจน คำพูดที่มั่นใจเต็มอกว่าคนตรงหน้าคือปีศาจร้าย



    ก่อนจะออกไปจากบ้านหลังใหญ่ พวกเขาชูกระดาษแผ่นเล็กๆให้หมอหนุ่มดู




    “ใช่เบอร์ติดต่อครอบครัวคุณหมอหรือเปล่าครับ?”




    เขาพยักหน้า




    “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหมอ พวกเราจะติดต่อกับทางญาติให้นะครับ” พูดจบก็เดินออกนอกประตูไป ก่อนที่เสียงเครื่องยนต์จะกระหึ่มแล้วค่อยเบาเสียงไปในที่สุด




    เอกสารถูกหยิบขึ้นมาเปิดอีกครั้ง เพื่อไล่ดูข้อมูลในมือที่มีทั้งหมด ถึงแม้จะเคยดูแลกันมาก่อนแต่คนไข้มีจำนวนมากเหลือเกิน เขาไม่สามารถจำรายละเอียดปลีกย่อยได้ทั้งหมด




    เสียงขาเก้าอี้ที่กำลังถูกลากขยับเข้ามาทำให้หมอหนุ่มละสายตา ก่อนจะพบว่าเด็กหนุ่มกำลังโขยกเก้าอี้ที่ตัวเองถูกมัดติดเอาไว้เข้ามาหาเขา




    ถ้าเป็นคนอื่น ก็คงจะกลัว




    แต่สำหรับเขา เขาไม่เคยกลัว




    สายตาคมกวาดไล่ ไปทั่วเอกสารก่อนจะลอบยิ้มออกมาเมื่อเจอสิ่งที่ต้องการ




    “คุณชานยอล ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง อาการของคุณเป็นไงบ้างครับ?” รอยยิ้มถูกส่งออกไปเมื่อถามเสร็จ




    “หมอไม่ต้องทนกับผมนานหรอก” เสียงแหบแห้งถูกเปล่งผ่านริมฝีปากอิ่ม



    ดวงตากลมโตแต่ดูอิดโรย เลื่อนลอยและเศร้าหมองมองจ้องไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง





    มันเป็นเวลาตีสาม

     




     

    “อีก 22 ชั่วโมง ผมจะตาย”

     


     

    หมอหนุ่มยืนจ้องหน้าผู้ต้องหาที่ตอนนี้กลายเป็นคนไข้ในความดูแลด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

     


     

    “ถ้าผมไม่อนุญาต เกรงว่าคุณจะตายไม่ได้”

     



     

    สิ้นเสียงของหมอหนุ่ม ร่างที่ถูกตรึงบนเก้าอี้ก็หัวเราะร่วนออกมา

     

     











     

    “อีก 22 ชั่วโมง หมอพร้อมไหม?”















    **************************
    มาสายหน่วงหน่อยนะคะ
    แต่เป็นอะไรที่อยากแต่งมากแนวนี้


    อยากเห็นคนน้องดาร์คใส่คนพี่บ้าง ฮ่าๆๆๆๆ



    ไม่สะดวกเมนท์แต่ถ้าจะเมาท์มอยในทวิต รบกวนติด  #ฟิคยี่สิบสอง  ให้เค้าด้วยน้าาาาาา >_< 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×