ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งซีน: ลำนำผู้กล้ามังกร (Chronicle of Ziene: Dragon Knight)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 1: ออกเดินทาง (4/7)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 181
      28
      2 ต.ค. 60

    น่าเสียดายบริเวณที่พวกเขาอยู่แม้จะอยู่ในตัวเมืองแล้วแต่ก็เป็นตรอกซอกซอยที่ไม่ค่อยจะมีใครผ่านนัก และที่ร้ายที่สุดคือชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงที่ได้ยินเสียงพวกเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทุกคนต่างหลบอยู่ในบ้านของตนเพราะไม่อยากมีปัญหากับกลุ่มโจร


    ในขณะที่กำลังสิ้นหวังอยู่นั่นเอง เรย์ก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง คล้ายว่ามีเสียงเรียกเขาแต่ก็ไม่ใช่ เขารับรู้ถึงความรู้สึกประหลาดที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่เห็นถึงความผิดปกติ เหล่าโจรที่รบรากับลาโตรอยู่ก็หยุดมือ สายตาทุกคู่หันมาจดจ้องที่กระเป๋าของเรย์เป็นตาเดียว

    อะไรบางอย่างในกระเป๋าของเขานั้นกำลังส่องแสงออกมา แสงนั้นมีสีแดงเข้มและแผ่ไอความร้อนออกมาจนทุกคนในบริเวณนั้นรู้สึกได้

    ...รึว่ากล่องไม้นั่น...

    ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ เรย์ที่ไร้ซึ่งหนทางจึงหยิบมันออกมาจากกระเป๋าโดยไม่รั้งรอ ยิ่งสังเกตท่าทางของพวกโจรป่าแล้ว ในใจของเขายิ่งร่ำร้องว่าสิ่งนี้แหละจะเป็นความหวังสุดท้ายที่จะทำให้เขารอดพ้นสถานการณ์นี้ไปได้

    “เอามันมาให้ข้า” หัวหน้าโจรตะโกนลั่นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเรย์ โดยไม่รอคำตอบ มันเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขาทันที เรย์รีบหันกล่องไม้นั้นไปทางหัวหน้าโจรโดยไม่รู้ตัวในขณะที่โจรร้ายกำลังจะพุ่งมีดสั้นมาหาเขา

    พริบตาต่อมากล่องไม้ก็ถูกเผาจากสิ่งที่อยู่ด้านใน เปลวเพลิงขนาดใหญ่พวยพุ่งเข้ากระแทกหน้าอกของหัวหน้าโจรอย่างจังจนกระเด็นปลิวไปไกลหลายเมตร ไฟนั้นยังคงลุกไหม้ท่วมมือของเรย์แต่น่าประหลาดที่มันไม่ได้เผามือของเขาหรือแผ่ไอความร้อนให้เรย์ได้ทุกข์ทรมานแม้แต่น้อย

    “บ้าจริง... มัน...ใช้... ลูกแก้ว... ได้” หัวหน้าโจรที่โดนแรงกระแทกของเปลวเพลิงเข้าไปอย่างจังก็สลบแน่นิ่งไปหลังจากสิ้นคำ

    ส่วนเหล่าลูกน้องที่เห็นภาพนั้นต่างก็ร้องโวยวายด้วยความตกใจกลัว เมื่อเห็นผู้นำกองโจรโดนจัดการลงอย่างง่ายดายในคราวเดียวก็ต่างคนต่างวิ่งหนี ด้วยแสงสว่างวาบและเสียงอึกทึกครึกโครม พวกทหารในเมืองคงมาถึงในไม่ช้า พวกมันจึงหายไปในพริบตาเพื่อเอาตัวรอด ทิ้งให้หัวหน้าของมันนอนนิ่งอยู่ที่พื้นโดยไม่ได้สนใจ


    หลังจากทุกอย่างสงบลง พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่วิ่งตรงมายังพวกเขา เมื่อเห็นชุดเกราะและสัญลักษณ์ของทหารโซดาเรีย จึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือกลุ่มทหารลาดตระเวนนั่นเอง!

    “หึ เพิ่งจะมาอะไรป่านนี้” ลาโตรบ่นอุบเมื่อเห็นทหารวิ่งเข้ามาช่วยเหลือด้วยหน้าตาเลิ่กลั่ก เขาทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงโดยมีดาบยันกายเอาไว้ไม่ให้ลงไปนอนกับพื้นอย่างหมดสภาพ เขาคิดว่าคงมีใครบางคนไปแจ้งหรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะแสงเมื่อครู่ก็เป็นได้


    “เฮ้ พวกนาย เกิดอะไรขึ้น นี่มันหัวหน้ากลุ่มโจรสกอร์เปียนเทลที่มีหมายจับอยู่นี่”

    ทหารคนหนึ่งหิ้วปีกหัวหน้าโจรที่หมดสภาพ บางคนก็เข้าไปตรวจสอบลาโตรว่ามีบาดแผลจะต้องได้รับการรักษาหรือไม่ แต่เหมือนลาโตรจะมีฝีมืออยู่พอตัว ที่ทรุดลงไปก็เพราะเหนื่อยล้าจากการรับมือพวกโจรป่าหลายสิบคนอยู่นานเท่านั้น ทหารที่เหลือก็หันมาหาเรย์ เหมือนพวกเขาจะเพิ่งสังเกตเห็นลูกแก้วที่ส่องสว่างในมือของเรย์

    “อย่าบอกนะว่านั่นมัน...” ทหารลาดตระเวนถึงกับจ้องมองมันด้วยตาที่เบิกกว้าง

    “อ๋อ นี่รึ จริงสิ... ฝากพวกท่านไปก็น่าจะได้นะ” เรย์ส่งมันให้กับทหารคนนั้นทันทีที่เดินไปถึงตัวพร้อมกับอธิบาย “ทหารที่นำมันมาส่งถูกพวกโจรเล่นงานจนข้าต้องเอามาส่งแทน”

    “ข้าไม่กล้ารับฝากหรอก” ทหารลาดตระเวนรีบส่งลูกแก้วให้กับเรย์ตามเดิม “เรื่องนี้มันใหญ่เกินตัวข้านัก พวกท่านช่วยตามมาได้ไหม องค์ราชาตรัสว่าถ้าลูกแก้วมาถึงให้นำไปถวายทันทีไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม”

    เรย์และลาโตรมองหน้ากัน ดูท่าว่าเขาจะต้องเปลี่ยนกำหนดการสักเล็กน้อย เหมือนจะเป็นโชคมากกว่าที่คืนนี้ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม ทั้งคู่จึงเดินตามทหารลาดตระเวนไปอย่างว่าง่าย


    หลังจากทหารทั้งสองมัดมือของหัวหน้าโจรที่โดนหมายจับอยู่เรียบร้อยแล้ว ทหารอีกสองคนก็เดินขนาบข้างเรย์และลาโตรอย่างขะมักเขม้นราวกับจะป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นได้อีก ส่วนทหารคนแรกก็เดินนำหน้า เมื่อได้รับการตรวจตราและอธิบายเหตุการณ์กับทหารเฝ้าประตูวังแล้ว ประตูสีเงินที่ทำจากโลหะล้อมรอบพระราชวังก็เปิดออกต้อนรับพวกเขาอย่างง่ายดาย

    ท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำทำให้เรย์ไม่สามารถมองเห็นและเก็บรายละเอียดมากนัก เขาหวังว่าในตอนเช้าจะสามารถเดินเล่นไปทั่วเมืองและหาร้านอาหารที่มองหาพ่อครัวได้ จัตุรัสกลางเมืองน่าจะเป็นตลาดใหญ่เพราะมีไฟโคมติดอยู่จนสว่างพอ ๆ กับปราสาท ทางที่แยกออกไปจากใจกลางเมืองก็เป็นทางเข้าบ้านของคนในเมือง ตามซอกซอยมีร้านค้าเล็ก ๆ ตั้งอยู่ประปราย ซึ่งในขณะนี้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดทั้งมวลได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอย่างเงียบงัน


    เมื่อเข้ามาในสวนซึ่งเป็นทางก่อนจะไปในตัวปราสาท จะเห็นทหารยืนเฝ้าอยู่ทุก ๆ ยี่สิบเมตร ซึ่งพวกเขายืนอยู่ข้างต้นสนที่ถูกปลูกเว้นช่องว่างเอาไว้ให้สามารถเดินได้สะดวก พื้นนั้นถูกปูด้วยหญ้าสีเขียวเข้มส่วนทางเดินจะโรยด้วยหินกรวดสีขาวสะอาดตา โคมไฟตั้งพื้นถูกติดเป็นระยะเพื่อส่องสว่างให้กับทหารเฝ้ายามที่ทำหน้าที่อยู่ แต่ด้วยคำสั่งที่เร่งรีบเรย์จึงเห็นความสวยงามของสวนส่วนที่เหลือเป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ

    ทั้งสองถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าโดยด่วนหลังจากพ้นรั้ววังเข้ามา เรย์และลาโตรก็ดูจะโดนเร่งฝีเท้าจากทหารลาดตระเวนเบื้องหน้า ทั้งคู่จึงเดินสับขาเร็วขึ้นเพื่อที่จะผ่านสวนของพระราชวังไปอย่างรวดเร็ว

    ทหารเปิดประตูวังสีขาวขอบทองให้กับพวกเขา ทั้งสองเดินตามไปจนสุดปลายทางพรมสีแดงที่ถูกปูเอาไว้ ในวังนั้นดูสะอาดตา มีทหารคอยเดินตรวจตราไม่ได้ขาด เรย์และลาโตรกวาดสายตาขึ้นไปบนเพดานก็พบกับฝ้าที่ถูกวาดเป็นรูปเทพีสีอ่อน ๆ และโคมไฟระย้าที่ทำจากคริสตัลส่องประกายเรืองรอง

    พวกเขาเดินผ่านบันไดที่คดเคี้ยวซึ่งถูกตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสีตามราวจับ ยังไม่ทันที่เรย์จะมองไปเหนือบันไดเพื่อสำรวจ ทหารลาดตระเวนก็กระแอม เรย์สะดุ้งและเดินตามต่อไปโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบกายอีก

    สุดทางเดินคือห้องโถงโอ่อ่า ล้อมรอบด้วยผนังสีขาวอ่อนซึ่งมีหน้าต่างบานสูงอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบบาน ผ้าม่านลากยาวถึงพื้นถูกรูดเปิดเพื่อรับแสงจันทร์ยามค่ำคืน เบื้องหน้าคือบัลลังก์ที่บุด้วยกำมะหยี่สีแดงสด บัลลังก์ที่เล็กกว่าน่าจะเป็นของราชินี เพราะบัลลังก์สีทองที่อยู่ข้าง ๆ กันเป็นที่พำนักของชายชราสวมมงกุฎผู้ใจดี


    พระราชายิ้มต้อนรับเรย์และลาโตรที่นั่งคุกเข่าเคารพอยู่เบื้องหลังทหารลาดตระเวน กษัตริย์ชราลุกขึ้นเดินมาหาเหมือนกับว่าข่าวจากทหารจะถึงหูราชาไวกว่าที่คิด เพราะทหารเบื้องหน้ายังไม่ทันจะรายงานกษัตริย์มัลการ์ก็เดินมารับลูกแก้วสีแดงจากมือของเรย์ด้วยตนเอง

    แต่ทันทีที่ลูกแก้วพ้นมือของเรย์ แสงสว่างอันเรืองรองนั้นก็มอบดับลงในทันที

    ทหารลาดตระเวนเคารพองค์ราชาและถอยไปยืนอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นราชาส่งสายตาไปที่ประตูเป็นสัญญาณ


    “พวกเจ้าสองคนชื่ออะไร เล่าเรื่องของพวกเจ้ามาสิ” กษัตริย์มัลการ์ กษัตริย์ชราแห่งโซดาเรียที่ขึ้นชื่อในเรื่องความรั้นแบบเด็ก ๆ ถามเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้นหลังจากกลับมานั่งเรียบร้อยแล้ว

    “ข้าพระองค์ชื่อ ลาโตร เป็นลูกชาวบ้านทั่วไปไม่มีสกุล เป็นนักเดินทางพะยะค่ะ” ลาโตรแนะนำตัวก่อน พระราชาพยักหน้ารับ

    “ส่วนข้าพระองค์ชื่อ เรย์ ลีออน ข้าตั้งใจจะออกเดินทางเพื่อเรียนรู้วิธีทำอาหารของชาติต่างๆแต่เพราะความบังเอิญจึงทำให้ต้องรับหน้าที่นำลูกแก้วมาส่งให้พะยะค่ะ” เรย์กล่าวตาม พระราชารับฟังและคิ้วขมวด ยกมือที่เหี่ยวย่นลูบคางของตนอย่างครุ่นคิด

    “ลีออน!? พ่อแม่เจ้า ไม่สิ ต้นตระกูลของเจ้าคือใคร” ราชามัลการ์รู้สึกสะดุดใจกับชื่อสกุลของเรย์ ลีออน ที่คล้ายกับใครบางคนที่เขาเคยได้ยินมาก่อน เขาถึงกับผงะหลังไม่ติดพนักพิง เฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ

    “ข้าพระองค์ก็ไม่ทราบประวัติที่แน่ชัด...” เรย์รู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก ทำไมราชาถึงได้สนใจที่มาที่ไปของคนอย่างเขาได้

    เขาเอ่ยต่อว่า “แต่ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าตระกูลเราเคยเป็นขุนนางอยู่เชสนาพะยะค่ะ” องค์ราชาผู้แก่ชราถึงกับยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำตอบ กษัตริย์มัลการ์พึมพำด้วยความดีใจราวกับเด็กน้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×