คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8 ความในใจของสองพี่น้อง
กัปตันหนุ่มแห่งเรือแมดิสันยังคงนั่งอยู่บริเวณโต๊ะทำงาน สายตาของเขามองผ่านกระจกหน้าต่างทอดไปยังทิวทัศน์ในยามกลางคืนของมหาสมุทร แต่แท้จริงแล้วหัวใจของเขานั้นมิได้สถิตอยู่บริเวณที่เขากำลังทอดสายตาผ่านเลย...
ภาพของหญิงสาวยังคงติดตาตรึงใจอยู่ในหัวใจของกรกฎ ดวงตาสีนิลของกัปตันหนุ่มยิ่งหยาดเยิ้มฉ่ำปรือด้วยสเน่หาเมื่อยิ่งคิดถึงใบหน้าที่อ่อนหวานของแม่นางเชอรีนผู้นั้น...
ตั้งแต่เขาเกิดมายังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ดูงดงามเท่าเทียมนางมาก่อน ผิวพรรณของนางช่างขาวผ่อง นวลเนียนเปล่งปลั่ง ช่างงามแท้ตามฉบับหญิงสาวแดนเหนือเสียจริง
แต่ถึงอย่างไรภาพแหวนทับทิบวงใหญ่บนนิ้วนางข้างซ้ายของนางก็ทำให้เขาแทบทรุด...
ปัดโถ่ๆๆ
ชายหนุ่มร่างเล็กได้แต่โวยวายในใจคนเดียว ตีอกชกลมอย่างสติแตกบ้าคลั่ง...
ให้ตายเถอะ! เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงสาวขนาดนางจะมีสามีแล้ว... นางดูไม่น่าจะพ้นวัยยี่สิบเสียด้วยซ้ำ...
อ้นกัดฟันแน่น รู้สึกขัดใจยิ่งนักเมื่อพาลนึกไปถึงใบหน้าของบูรณ์เมื่อเย็นที่ได้สนทนากัน เขารู้สึกหมั่นไส้ชายคนนั้นซะเหลือเกิน ยิ่งน้ำเสียงนิ่มๆเย็นๆที่ชวนให้สัมผัสถึงความยโสและหยิ่งผยอง ทำให้อ้นเกิดความตั้งใจว่าพรุ่งนี้เขาจะต้องจัดการต้อนรับน้องใหม่เสียแล้ว...
เฮอะ! เอ็งเสร็จข้าแน่ ไอ้หน้าจืดเอ้ย! คอยดูเซ่! วะฮ่ะฮ่า!
อ้นคิดก่อนที่จะหัวเราะคนเดียวอย่างชั่วร้าย ลุกขึ้นมาเท้าสะเอวก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งต่อ แล้วคิดกลับไปกลับมาด้วยความจนใจ
ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้... ให้ตายเถอะ! แค่ผู้หญิงคนเดียว... ที่เขาเพิ่งพบปะปบเจอเพียงแค่ไม่กี่ชม. ทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่...
นางมีสามีแล้ว... และเขาก็เป็นลูกผู้ชายพอ เขาไม่ควรที่จะแย่งเอาของคนอื่น จริงไหม?
อ้นพยายามหาเหตุผลขึ้นมาข่มใจตัวเอง
แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิอาจที่จะกล่อมใจตัวเองให้รู้สึกชังน้ำหน้าบูรณ์ได้น้อยลงเลย...
กัปตันหนุ่มกลอกดวงตาไปมาอย่างครุ่นคิดอีกครั้งในหัวพยายามรีรันประมวลภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดวัน.. และแล้วเขาก็เกิดเอะใจอะไรบางอย่าง กับคำพูดของชายหนุ่มที่อ้างตนว่าเป็นสามีเชอรีน เขากล่าวว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่พ่อค้าวานิชก็เท่านั้น แต่เพราะเหตุใดกันเล่า พ่อค้าวานิชจึงมาอยู่ในเรือของราชสำนัก..?
แถมเรือที่ลำใหญ่ขนาดไม่ต่ำกว่าสามร้อยตันขนาดนี้ แต่กลับมีคนอยู่เพียงแค่สามคน..จะเป็นได้ยังไง แถมหนึ่งในสองของชายบนเรือนั้นยังจะเป็นไอ้หนุ่มขี้ก้าง ส่วนอีกคนก็ได้แต่นอนเป็นศพ แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่เรือลำใหญ่ขนาดนั้นจะขับเคลื่อนได้เพียงแรงของคนสามคนเท่านั้น เพราะลำพังเพียงแค่ถอนสมอแล้ว ชายฉกรรจ์สักหกเจ็ดคนบางทียังจะเอาไม่อยู่เลย...
นับเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ... ไม่ธรรมดาจริงๆ
อ้นลองใคร่ครวญดู เขาสังเกตว่า คำพูดหลายๆอย่างที่เขาได้ยินจากปากของบูรณ์นั้นดูไม่สมเหตุสมผลเอากับสิ่งที่เขาเห็นเลย...
เอ... ดูไม่ค่อยจะชอบมาพากลสักเท่าไหร่นักนะ..!
เพราะงั้นบางที บางที...
บางทีเขาอาจจะแอบมีหวังก็ได้
อ้นแอบอมยิ้ม ก่อนที่จะคิดฝันเฟื่องไปไกล...
บางทีบูรณ์อาจจะโกหกแอบอ้างว่านางเป็นภรรยาของตัวเอง ก็เป็นไปได้...
แต่ด้วยสาเหตุอะไรล่ะ?
อ้นเองยังมิอาจจะรู้และแน่ใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองได้นัก...
อาจจะยังคงต้องเฝ้ารอดูสถานการณ์กันต่อไป...
อีกอย่าง ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินประโยคดังกล่าวที่บูรณ์อ้างว่าตนเองเป็นสามีของแม่หญิงคนนั้น อ้นนั้นมัวแต่ตกตะลึงเสียจนทำอะไรไม่ถูก จนเขาลืมสังเกตนิ้วมือข้างซ้ายของบูรณ์ว่าตัวเขาเองก็มีแหวนสถิตอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกับนางหรือไม่?
ถ้าหากว่าไม่มี ก็เป็นอันว่าข้อสันนิษฐานของเขานั้นก็อาจจะมีความเป็นไปได้เป็นอย่างมาก...
แต่หากว่ามี มันก็คงจบกัน สิ่งที่เขาคิดเอาไว้ก็คงเป็นหมันเสีย...
ดีล่ะ อ้นรอให้พ้นราตรีคืนนี้ไม่ไหวอีกแล้ว พรุ่งนี้เขาจะพิสูจน์ให้เห็นให้ได้ด้วยตาของตัวเอง!
เขาคิดก่อนที่จะอมยิ้มที่มุมปากเยี่ยงคนเจ้าแผนการ
"ครืด"
ทันใดนั้นเองที่เสียงเปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะให้เขาตื่นจากภวังค์...
"อ้อ! ดิว เจ้านั่นเอง!"เขากล่าวทักชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้ซึ่งก็คือน้องชายของเขา
"เป็นยังไง เจ้าสองสามคนนั่น"
"เรียบร้อยดีท่านพี่ ข้าให้สองสามีภรรยาพักในห้องที่ว่างเหลืออยู่ ส่วนน้องชายของคนที่ชื่อบูรณ์นอนแยกห้องอยู่อีกห้องหนึ่ง ข้าลองถามหมอหลวงแล้วดูเหมือนจะอ่อนเพลียจากการเมาเรือ ยังไม่ฟื้นไข้เลยเสียตั้งแต่มานี่"รองกัปตันหนุ่มบรรยายโดยละเอียดอย่างเสร็จสรรพ โดยที่ไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของพี่ชายเลยแม้แต่น้อย
"อะไรนะ เจ้าให้สองคนนั้นพักด้วยกันหรือ!?"อ้นหน้าเสียทันที เขารู้สึกเข่าอ่อนอีกครั้ง...
"ก็เขาเป็นผัวเมียกัน พักร่วมกัน ไม่เห็นจะผิดแปลกอะไร..."ดิวพูดอย่างพาซื่อ แต่เมื่อใคร่ครวญประโยคข้างต้นของพี่ชายอีกทีเขาก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองพี่ชายอย่างไม่ไว้วางใจ
"ท่านพี่ดูจะไม่พอใจอะไรบางอย่างหรือเปล่า?"รองกัปตันหรี่ตามองพี่ชายด้วยสีหน้าที่ไม่ไว้วางใจ
อ้นสะอึก...
ดูสายตาที่น้องชายเขามองหน้าเขา มันทำให้เขาอยากจะมุดโอ่งหนีเสียจริง
"ก็เออนะสิ! อะเฮเฮ้ย จะบ้าหรือไง ข้าจะไม่พอใจอะไรกันเล่า!?"อ้นรีบทำเสียงดังกลบเกลื่อนทันที
แต่ถึงอย่างไร เขาก็มิอาจจะกลบเกลื่อนพิรุธให้เล็ดลอดไปจากสายตาของน้องชายที่รู้จักเขาดีได้...
"ถ้าไม่ได้ไม่พอใจ ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย... แต่ข้าสังเกตมาตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว ดูท่านพี่จะสนใจในภรรยาของชายคนนั้นเป็นพิเศษนะ"ดิวพูดอย่างตรงไปตรงมา หรี่ตามองในขณะที่ถามหยั่งเชิง ดวงตาคมกริบจ้องมองดวงตาของพี่ชายจากใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างไม่ละสายตาเพื่อเฝ้าสังเกตท่าที
อันที่จริง...อย่าว่าแต่อ้นเลยก็ตามที
อันที่จริงตัวของเขาเองก็แอบคิดอะไรที่ไม่ซื่อกับแม่นางเชอรีนผู้นั้นเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่มีวันที่จะเปิดเผยความในให้ใครล่วงรู้ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาอยากจะรู้นัก ว่าพี่ชายของเขาคิดอย่างเดียวกันกับเขาหรือเปล่า...
"นางมีสามีแล้วนะท่านพี่"ดิวพยายามพูดเตือนสติพระเชษฐา
แต่อันที่จริงจุดประสงค์ที่แท้จริงแล้วก็เป็นการมุ่งหวังให้เขาตัดใจเพื่อที่ดิวจะได้ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม..
ในช่วงเวลานั้นเองที่องค์ชายรองของอาณาจักรเมซิสมองพระเชษฐาในฐานะคู่แข่งโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อ้นแทบจะสะอึกเมื่อถูกจี้ถูกจุด ทว่าเขากลับทำพูดขบขันทีเล่นทีจริง
"ข้าก็แค่หยอกนางเล่นก็เพียงเท่านั้น... เจ้าก็ออกจะจริงจังเกินไปหน่อย"
"นางเป็นคนสวยน่ารักก็จริง ตอนนี้ ข้าก็เลยเพียงแต่จะคิดว่าถ้าหากข้าไม่สามารถพลิกแผ่นดินหาแม่หญิงนางใดงามได้สักครึ่งนึงของแม่นางเชอรีนล่ะก็ ข้าก็จะขอน้องดีของเจ้าแต่งงานแทนเสียเลยแล้วกัน ดีไหม?"องค์ชายใหญ่แห่งเมซิสพูดหยอกน้องชายทีเล่นทีจริง ทำทีเฉไฉเปลี่ยนประเด็นไปที่เด็กสาวคนสนิทของน้องชาย
อันที่จริงอ้นพอจะอ่านสายตาของดิวออก ทำให้มองทะลุไปถึงความคิดของดิว...
กัปตันหนุ่มแน่ใจว่าน้องชายของเขาเองก็แอบหลงสเน่ห์ให้กับแม่นางเชอรีน ไม่ต่างอะไรจากเขาเลย... และเจตนาที่แท้จริงของเขาถูกถ่ายทอดผ่านออกมาจากประโยคข้างต้นทุกอย่าง อ้นแน่ใจว่าดิวนั้นรู้สึกหึงหวงในตัวนางเชอรีน และต้องการที่จะปิดกั้นไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่จะรู้สึกดีๆต่อนาง... ด้วยการเตือนสติดึงให้เขากลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงว่านางมีสามีแล้ว...
แรกเริ่มเดิมทีอ้นตั้งใจจะพูดกับน้องชายเรื่องพิรุธของเชลยที่เขาสังเกตเห็น แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้แล้วอ้นก็เลือกที่จะนิ่งเฉยเสีย แต่ถึงอย่างไรก็ตามที องค์ชายใหญ่ก็มิอาจจะทำพระทัยให้โกรธพระอนุชาได้ลง
"ของข้าซะที่ไหนกัน!?"ดิวรีบปฏิเสธทันควัน
"ท่านอยากทำอะไรก็ทำเสียสิ"รองกัปตันดูฮึดฮัด จุดสีชมพูจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มหน้าเข้ม กัปตันหนุ่มรู้สึกชอบใจนักที่ได้เห็นท่าทีเขินอายของน้องชายเขา
"เออ พูดถึงนางนะพี่ดิว... เมื่อกลางวันข้ากำลังคิดเล่นๆอยู่ว่า ถ้าหากเรามีโอกาสกลับไปพระนคร ข้าว่าเราให้นางไปอยู่คอยรับใช้เสด็จแม่ดีไหม?"รองกัปตันเสนอความคิดเห็นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเข้มนั้นเป็นประกายเชียว
นางที่เขาพูดถึงคงไม่ใช้ใครอื่นนอกจากบุตรสาวของคนครัว
อ้นนึกขำนัก..
หึๆๆ... ดูน้องชายของเขามักจะไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวเองเท่าไหร่นักว่าตัวเองมักจะชอบออกปากชมนางให้เขาฟังลับหลังบ่อยๆครั้ง
แถมเวลาเขาพูดถึงชื่อนางดวงตาของเขามักจะอ่อนโยนเป็นพิเศษอีกด้วย..
"ฮึๆ ก็แล้วแต่เจ้าสิ ข้าไม่ขัดข้อง แต่ข้าก็ว่านั่นเป็นความคิดที่ดีนะ"กัปตันหนุ่มหัวเราะในลำคอ
"นางเป็นเด็กร่าเริง คงจะไม่ทำให้เสด็จแม่เหงาเป็นแน่..."รองกัปตันยังคงเยินยอเด็กสาวด้วยแววตาที่ชื่นชม
"เจ้าลองไปพูดกับบิดานางสิ..."กัปตันหนุ่มเสนอความเห็นให้น้องชาย ก่อนที่จะแอบถอนใจเบาๆ ทว่าหนุ่มหน้าเข้มหาได้สังเกตเห็นสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดขึ้นมาถนัดตาของพี่ชายเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของกัปตันหนุ่มดูราวกับว่าในใจของเขานั้นได้มีคำตอบอะไรบางอย่างอยู่แล้ว...
'
'
'
ณ เคบินรองกัปตัน
ชายวัยกลางคนผิวดำรูปร่างค่อนข้างเตี้ยล่ำคนหนึ่ง รูปร่างคล้ายมะขามข้อเดียว ท่าทางดูเคร่งขรึมยืนอยู่หน้าเคบิน... เขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม้ห้องพักของดิว เขาใช้หูจับทองเหลืองที่ยึดติดบริเวณหน้าห้องเคาะประตูสองทีอย่างสุภาพ เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าของห้องข้างในอนุญาต จึงเดินเข้าไปในห้องของรองกัปตันหนุ่ม
"ท่านนั่นเอง"ดิวที่นั่งอยู่บริเวณเก้าอี้รับแขกกล่าวพลางยิ้มแย้ม ดูนัยน์ตาคมเข้มของเขาจะดูเป็นประกายเป็นพิเศษในค่ำวันนี้
"องค์ชาย...มีเรื่องอันใดจะรับสั่งหรือพะยะค่ะ?"ชายวัยกลางคนถาม ดูเหมือนว่าชายผิวสีผู้นี้จะรับรู้ฐานะที่แท้จริงของบุคคลเบื้องหน้า ดวงตาที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ของเขาดูสุขุมเยือกเย็น สีหน้าดูเรียบนิ่งเมื่อเสวนากับคู่สนทนา ไม่ส่อแววหวั่นไหวหรือเกรงขามในฐานะของคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย
"ท่านเสนาบดีอัลฟอร์ด..."
"กระหม่อมหาได้อยู่ในตำแหน่งเสียแล้วองค์ชาย"เขากล่าวเรียบๆด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก... เหมือนดั่งน้ำเย็นในลำธาร
"ท่านลุงอย่าได้ถ่อมตัวไปหน่อยเลย... ใครต่อใครก็รู้ดี ว่าท่านเป็นบุคคลที่มีความหมายกับราชสำนักของเรามากมายเพียงใด"ชายหนุ่มใช้สรรพนามเรียกชายวัยกลางคนด้วยความสนิทสนม ชายผิวดำตรงหน้าที่แท้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอดีตเสนาบดีใหญ่แห่งแคว้นนครเมซิส ที่ปรึกษาเก่าแก่แห่งราชสำนัก หากแต่ว่าในตอนนี้แล้ว...เขาได้ละทิ้งตำแหน่งเสนาบดีและตามเสด็จมา ปฏิบัติหน้าที่เล็กๆในฐานะหัวหน้าคนครัว...
"..."เสนาบดีอัลฟอร์ดยังคงวางมาดสุขุม เขายังคงมิได้กล่าวอะไรเมื่อได้ยินประโยคนั้น ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ มองจากสีหน้าที่นิ่งเฉยนั้น ดิวเองก็ต้องยอมรับว่าเขายังคงอ่อนหัดเสียเกินกว่าที่จะสามารถล่วงรู้ได้ว่าชายผู้นี้คิดอะไรอยู่... ไม่ว่าจะเรื่องการปิดบังฐานะที่แท้จริงของทั้งสององค์ชาย กระทั่งการปกปิดแม้กระทั่งหน้าที่การงานของตัวเขาเอง เป็นสิ่งที่เซบาสเตียน อัลฟอร์ดได้ขอร้องทั้งสององค์ชายให้ร่วมมือ โดยให้เหตุผลว่าด้วยความที่ยังเด็ก นางอาจจะเผลอพลั้งปากไปพูดกับใครก็ตามบนเรือ แล้วจะกลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต...
แต่ถึงอย่างไรชายหนุ่มมักจะขอคำปรึกษาแนะนำในหลายๆเรื่องจากชายผู้อาวุสโสกว่าผู้นี้...
"คืออันที่จริง...ข้า..มีเรื่องอยากจะขอความเห็นจากท่านลุงสักเล็กน้อย...คือข้า..."
รองกัปตันหนุ่มนิ่งไปเพื่อเรียบเรียงความคิดในหัว เขาไม่รู้จะเอาเรื่องไหนเริ่มต้นก่อนหลังดี..
"คือท่านคงจะพอทราบดี เรื่องเมื่อกลางวัน..."
ชายวันกลางคนผิวเข้มถอนหายใจเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว เขาสบตาหนุ่มหน้าคมด้วยสายตาที่ดูเคร่งเครียดเสียจนเจ้าตัวเริ่มรู้สึกหวั่นใจ
"ข้าพระองค์ทราบดีองค์ชาย..."
"ท่านลุงดูไม่พอใจ"ดิวไปพูดตามตรง...จากสิ่งที่เขาเห็น
"กระหม่อมได้ทูลพระองค์เสียแต่ก่อนหน้านี้...เรามิควรโจมตีเรือของศัตรูเว้นเสียแต่เขาจะสร้างความเสียหายให้กับเราก่อน ครั้งนี้กระหม่อมรู้สึกผิดหวังในตัวองค์ชายยิ่งนัก.."ชายผิวดำพูดตามตรงด้วยน้ำเสียงที่ตำหนิติเตียน ราวกับพ่อที่กำลังสั่งสอนบุตรชาย
"มันเป็นความประสงค์ของพี่อ้น..."
"การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่องค์ชายไม่ควรกระทำ องค์ชายทั้งสองรู้ดี...ว่ารังแต่จะสร้างความเสื่อมเสียให้เกียรติยศของพระองค์ทั้งสอง"
ดิวพยักหน้าด้วยความลำบากใจ เขาเข้าใจดีว่าเซบาสเตียนนั้นต้องการจะสื่อว่าเขาควรที่จะห้ามพระเชษฐาบ้าง..
"แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่พระองค์จะโปรด กระหม่อมมีหน้าที่เพียงแค่ถวายการแนะนำ"เขากล่าวเรียบๆ
"เราเองก็คิดว่าพี่อ้นทำเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วท่านลุงมีความเห็นว่าควรปล่อยตัวเชลยหรืออย่างไรดี?"ดิวถามความเห็น หัวหน้าคนครัวเลิกคิ้วเล็กๆแต่ดูท่าทีไม่ค่อยจะประหลาดใจเท่าไหร่นัก เขาครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะกล่าวว่า
"มิควร เหล่าเชลยดูมีพิรุธ"เขากล่าวสั้นๆ
"ท่านเองก็คิดเช่นนั้นหรือ? ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?"สีหน้าของดิวดูตื่นเต้น เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ดิวรู้ดีว่าเสนาบดีอัลฟอร์ดนั้นเป็นนักปราชญ์ที่หยั่งรู้เหนือฟ้าดินของราชสำนัก เขามักจะมองคนได้ทะลุเพราะมีสายตาที่แหลมคม
ดิวอยากจะรู้ความเห็นจากเขา ตอนนี้เขามีความรู้สึกต้องการที่จะรู้จัก รู้จักตัวตนของเชอรีนผ่านทางสายตาดุจเหยี่ยวของอดีตเสนาบดีผู้นี้ แต่ถึงอย่างไรดิวเองก็มิอาจที่จะกล้าพอที่จะพูดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าชายผิวเข้มตามตรง
"ท่านคิดว่า-"
"พระองค์จะต้องลองสังเกตดูให้ถี่ถ้วน จึงจะรู้..."เซบาสเตียน อัลฟอร์ดไม่รอให้ชายหนุ่มพูดจบ..
ชายผู้อาวุสโสกว่านิ่งไปสักพักใหญ่ เซบาสเตียนเฝ้าสังเกตดวงตาที่ดูฉงนของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง เขายิ้มละมุนที่มุมปาก ก่อนจะกล่าวว่า...
"ชายหนุ่มและหญิงสาวผู้นั้นมิใช่สามีภรรยากัน ชายหนุ่มทั้งสองมิได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงความเห็นของกระหม่อมเท่านั้น ยังไม่ควรที่จะด่วนตัดสิน..."เซบาสเตียนกล่าวเสียงเรียบๆ ดิวรู้สึกราวกับว่ากะโหลกของเขาถูกเจาะเสียจนเป็นโพรง..
มหัศจรรย์แท้! ราวกับว่าชายตรงหน้าของเขานั้นสามารถอ่านความคิดในหัวของเขาได้!
ชายหนุ่มอ้าปากค้าง แสดงสีหน้าที่ประหลาดพิลึก ไม่รู้ว่าจะฉงนหรือว่าอายดี แต่ก็นัยน์ตาของเขาก็ดูเปล่งประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
ทั้งสองไม่ใช่สามีภรรยากัน! ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็เริ่มที่จะเห็นความหวังขึ้นมารำไรแล้ว...
ดิวรู้สึกตื่นเต้นครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นรัว...
แต่ถึงอย่างไรรองกัปตันก็พยายามที่จะเก็บอาการตื่นเต้นและไม่แสดงออกว่ารู้สึกพอใจเพียงใด
ทว่า...ท่าทีของเขานั้นมิอาจจะหลุดรอดไปจากสายตาดุจเหยี่ยวของเซบาสเตียน อัลฟอร์ดผู้นี้ได้เลย
ชายผิวเข้มยิ้มบางๆก่อนจะกล่าวต่อ...
"ในบางครั้ง..องค์ชาย บางทีมนุษย์เราอาจจะอยู่ใกล้กับอะไรเกินไปจนมิอาจมองเห็นข้อเท็จจริงอะไรบางอย่าง ลองถอยห่างออกมาเสียสองสามก้าว..."
"...อาจจะพอทำให้เกิดทัศนวิสัยที่ชัดเจนขึ้น"ชายร่างเตี้ยกล่าวจนจบประโยค
ดวงตาคมเข้มเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ เขายังคงไม่เข้าใจประโยคนั้นอยู่นั่นเอง...
อันที่จริงชายหนุ่มชอบสนทนากับชายผู้อาวุสโสกว่าผู้นี้ นอกจากด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายทศวรรษของมหาเสนาบดีผู้นี้แล้ว เขายังประทับใจในวลีที่คมคายของชายผู้นี้อีกด้วย ถึงแม้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้มักจะไม่ค่อยแสดงออกเจตนาที่ชัดเจนของตนเองออกมามากนัก ทว่า... ทุกวลีของเขานั้นชวนให้คู่สนทนากลับไปขบคิดเสียเหลือเกิน
ซึ่งชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจในทุกครั้งที่ได้ขอคำปรึกษาจากชายชรา เขารู้สึกว่ามันเป็นการลับสมองของเขาและได้ขบคิดในถ้อยคำที่เขาได้รับฟัง...
"ถ้าหากองค์ชายทรงไม่มีเรื่องอันใดที่จะรับสั่งแล้ว กระหม่อมใคร่ขอตัว"เขากล่าวก่อนที่จะทำทีว่าจะไป
"เดี๋ยวก่อนท่านเซบาสเตียน..."ชายหนุ่มส่งเสียงรั้ง
ชายวัยกลางคนเหลียวหลังกลับมา เลิกคิ้วเล็กๆ
"พระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด?"
"เรามีเรื่องจะใคร่ถามท่าน..เกี่ยวกับ...บุตรสาวของท่านน่ะ"น้ำเสียงนุ่มของชายหนุ่มดูแผ่วเบาลงท้ายประโยค
"...พะยะค่ะ"
เพียงชั่วขณะหนึ่งสีหน้าของเซบาสเตียนอัลฟอร์ดดูไม่สบายใจเท่าไหร่นัก ก่อนที่มันจะถูกปรับเปลี่ยนให้ดูราบเรียบดังเดิม...
"เราคิดว่าถ้าหากพวกเรากลับไปยังบ้านเกิด เราใคร่อยากจะให้บุตรสาวของท่านมาคอยช่วยดูแลเสด็จแม่ของเราในวัง ท่านจะเห็นว่ายังไง?"ดิวถามความเห็นผู้เป็นบิดาของเจ้าตัว
เซบาสเตียนอึ้งไปอยู่พักใหญ่ ดวงตาโตดำขลับของเขาดูจะขยายขึ้นมาเล็กๆ รอยยิ้มของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้เขาลำบากใจไม่ใช่น้อย
ชายผิวเข้มหลับตาพลางพูดว่า...
"ขอบพระทัยองค์ชาย..."
"ทว่า นางยังเป็นเด็ก...ไม่ค่อยจะรู้ประสีประสา อีกทั้งยังเป็นสาวบ้านนอก เกรงว่าจะกระทำการใดมิสมควร กิริยาหรือจะสู้เด็กสาวๆที่โตมาจากในรั้วในวัง"ชายวัยกลางคนกล่าว ดิวเข้าใจในทันทีว่าเขากำลังปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ทว่าองค์ชายรองกลับรู้สึกขัดใจพิลึก
องค์ชายเผยอปากออกเล็กๆราวกับว่าต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง.... แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะสงวนถ้อยคำเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว...
"เราเข้าใจแล้ว ถ้าหากท่านยังไม่สบายใจ เดี๋ยววันหน้าเราค่อยคุยกันเรื่องนี้"เขากล่าวก่อนที่จะพยักหน้า
"ขอบพระทัยองค์ชายที่เข้าพระทัย"เขากล่าวก่อนที่จะถวายบังคมก่อนที่จะจากไป.. ทิ้งให้ชายหนุ่มนั้นได้แต่นั่งขบคิดอยู่เพียงผู้เดียวด้วยความไม่เข้าใจ
สีหน้าของเขาดูเจื่อนลงเล็กๆ...
อะไรกัน!? เขาไม่เข้าใจจริงๆ! คนจำนวนมากมายยอมติดสินบนบรรดาข้าหลวงในราชสำนักจำนวนมากเพื่อที่จะให้บุตร หรือธิดาของตนได้มีตำแหน่งในราชสำนักบ้าง แม้เล็กๆน้อยๆก็ยังดี เพราะในนครเมซิสนั้น การเป็นได้รับใช้ราชสำนัก หรือรับราชการนั้นเป็นงานที่มีเกียรติและน่าภาคภูมิใจ และเป็นการสร้างโอกาสหลายๆอย่าง เช่นได้เสวนาพบปะกับบุคคลชั้นสูงในสังคม หรือได้ใกล้ชิดกับบรรดาเชื้อพระวงศ์ ทำไมคนอย่างเสนาบดี เซบาสเตียน จึงได้ไม่มีความทะเยอทะยานในตัวลูกสาวเอาเสียเลย..
ใครๆก็มักใหญ่ใฝ่สูงกันทั้งนั้น... แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ชายผู้นี้...
ดิวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเสียจริง ว่าเพราะเหตุใด เสนาบดี เซบาสเตียน อัลฟอร์ดผู้นี้ถึงได้ปฏิเสธ ทั้งๆที่เจ้าชายเป็นผู้ออกปากเสนอให้เอง
ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้
หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?
...ไม่น่าใช่
หนุ่มร่างสูงถอนหายใจ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนที่นอน จ้องมองฟ้าที่มืดมิดในค่ำคืนนี้ ที่คงจะเปรียบได้ดั่งจิตใจที่ยากที่จะหยั่งลึกของชายที่พึ่งจากไป... ทว่าจันทร์สะกาวที่ฉายดูนวลเด่น ทำให้เชาสามารถปล่อยวางความคิดที่ขุ่นเคืองใจเมื่อครู่ได้...
ดวงจันทร์ในยามค่ำคืนนี้ แม้จะฉายเพียงครึ่งดวงก็ตามที แต่ก็ทำให้เขานึกถึงแม่นางเชอรีนผู้นั้น...
เขาประทับใจนางตั้งแต่แรกเห็น ดิวชอบผู้หญิงที่ดูฉลาด ไม่ใช่ว่าสักแต่อ่อนแอไร้ทางสู้ เขาชอบบุคลิกท่าทีของเธอ ที่ดูกล้าหาญ กล้ายืนหยัดขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีตัวเอง ต่อปากต่อคำกับพี่ชายของเขาอย่างไม่เกรงกลัว.. นางช่างเหนือคำบรรยายเสียจริง
ทุกสิ่งทุกอย่างดูราวกับเทพเจ้าบรรจงสร้าง บรรจงปั้นแต่งให้มาโดนใจเขา ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่งดงามราวกับเทพธิดา หรือแม้กระทั่งบุคลิกที่ดูน่าประทับใจ
ชายหนุ่มผิวเข้มยิ้ม ดวงตาของเขายังคงเฝ้ามองดวงจันทร์ที่สุกใสด้วยความสเน่หา ประดุจมันคือดวงใจของแม่หญิงนางหนึ่งก็ไม่ปาน....
ความคิดเห็น