ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic TS9 อ้นดิวเชอรีนบูรณ์ (harem) feat.ดี,ตั้ม,แบมบี้

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 เจ้าเคราโล้น

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 56


       

     

     

    ณ พระราชวังฤดูร้อนแห่งแคว้นบานัต

     

    บรรดาเสนาบดี ราชครู ทหารองครักษ์ และมหาดเล็กหลวง ยืนรอรับเสด็จบริเวณหน้าพระที่นั่ง เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่วท้องพระโรง บ้างก็ก่นด่าสาปแช่งราชครูและองครักษ์ทั้งสองที่บังอาจลักพาตัวองค์หญิงไป บางก็เอะอะด่าทอทหารยามที่เลินเล่อละเลยต่อหน้าที่จนทำให้บังเกิดเรื่องราวโกลาหลใหญ่โตเช่นนี้

     

    "ปัง!"เสียงฝ่าพระหัตถ์ของเจ้าผู้ครองนครตบโต๊ะเสียดัง ราวกับประหนึ่งจะลงทัณฑ์เจ้าโต๊ะตัวข้างหน้าพระพักต์ หยาดเหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นบนพระพักต์ที่แดงก่ำ และพระหัตถ์ที่กำลังสั่นเทานั้นบ่งบอกได้ว่าพระราชานั้นกำลังทรงกริ้วเพียงใด...

     

    "องค์หญิงตัวเล็กๆ กับบัณฑิตอ่อนแอๆคนนึง แล้วก็องครักษ์คนเดียว...พวกเจ้า! ทหารนับกี่กองร้อยในพระราชวัง? เหตุใดจึงปล่อยให้เล็ดลอดไปได้..."พระสุรเสียงที่หนักแน่นและดวงตาที่ซีเรียสบ่งบอกว่าพระองค์ทรงเอาจริงเอาจังเพียงใด

     

    ทหารในท้องพระโรงบางคนถึงกับอดที่จะยืนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวไม่ได้... และไม่ต้องพูดถึงทหารยามที่ถูกคุมตัวให้คุกเข่าอยู่ตรงหน้า หนึ่งในสามคนนั่นได้ปัสสาวะราดไปเรียบร้อยแล้ว

     

    "เพียงแค่นี้ถึงกับยืนตัวสั่น...แล้วนับประสาอะไรจะรับมือกับกองทัพที่เกรียงไกรของเมซิส หากพยัคฆ์เฒ่านั่นเห็นว่าเราผิดสัญญา ปล่อยให้เกิดเรื่องไร้สาระถึงเพียงนี้ขึ้น จะต้องไม่ปล่อยอาณาจักรเราให้สงบสุขเป็นแน่!"

     

    "พระอาญามิพ้นเกล้า...ขอพระราชประทานอภัยในความผิดมหันต์ และข้าพระองค์ใคร่ยินดีจะชดใช้ในความผิดพลาดทั้งหมด... เป็นเพราะข้าพระองค์สั่งสอนบุตรชายไม่ดีเพียงพอจึงได้กระทำเรื่องราวเสื่อมเสีย ขอให้พระองค์ทรงอย่าได้รีรอที่จะลงอาญากระหม่อม"ใครบางคนกล่าวขึ้นด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่และจงรักภักดี บุคคลก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบิดาของวราวุทธผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ฝ่ายในแห่งราชสำนัก รีบออกรับโทษทัณฑ์แทนบุตรชาย ในใจก็อดนึกคับแค้นใจจนแทบอยากจะน้ำตาไหลเสียให้ได้ เขาอุตส่าห์คอยพร่ำบอกพร่ำสอนมันเสียตั้งแต่ยังเล็กเรื่องความจงรักภักดี เหตุใดจึงกระทำเรื่องเสื่อมเสียน่าอับอายไปถึงวงศ์ตระกูลถึงเพียงนี้

     

    "ฝ่าบาท ได้โปรดอย่าทรงลงอาญาท่านราชองครักษ์เลยพะยะค่ะ ผู้น้อยสมควรตาย!"

     

    "หึ..ประหารพวกเจ้าก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นมา!"

     

    บรรดาทหารรีบคุกเข่าเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวประหนึ่งจอมราชันย์พระราชทานอภัยโทษ...

     

    "ฝ่าบาท...กระหม่อมมีความคิดเห็นควรว่า..."เสนาบดีคนหนึ่งอ้อมแอ้มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

     

    "เห็นควรว่าอะไรกระนั้นหรือ? จะส่งราชนาวีหลวงตามไปตามหาองค์หญิงหรือไง!?"พระองค์ทรงตรัสสวนขึ้นมาทันทีราวกับรู้ความคิดเสนาเฒ่า

     

    "พะ...พะยะค่ะ"ชายชราพูดตะกุกตะกักพลางพะยักหน้า

     

    "ไร้สาระทั้งเพ! ห้ามพูดถึงการตามหาตัวองค์หญิงอีก...เอาล่ะ เลิกประชุม!"กษัตริย์แห่งบานัตกล่าวก่อนที่จะลุกพรวดขึ้นจากบัลลังก์พระที่นั่งในท้องพระโรง ท่ามกลางความงุนงงของเหล่าบรรดาเสนาบดีและทหารในวัง

     

    นิชคุณองค์ชายองค์รองหรี่ตามองตามหลังพระราชบิดา ก่อนที่จะแย้มพระสรวลออกมาเล็กๆ ไม่ลังเลที่จะทรงเสด็จตามไปถึงห้องทรงงาน เขาเคาะประตูเสียสองทีเพื่อขอพระราชทานอนุญาต...

     

    "เข้ามา..."พระสุรเสียงของจอมกษัตริย์ตรัสอนุญาตเบาๆดังมาจากภายในห้อง

     

    "ฝ่าบาททรงกำลังกลัดกลุ้มพระทัยอยู่ใช่หรือไม่พะยะค่ะ"องค์ชายรองกล่าวหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าประตูถูกปิดสนิทและลงกลอน... ชายหนุ่มสังเกตเห็นผู้เป็นบิดายืนอยู่บริเวณหน้าต่างของห้องทำงาน ทอดสายตาไปยังบริเวณผืนหาดทรายที่คลื่นกำลังซัด ดูสีหน้ากำลังขบคิดถึงอะไรบางอย่าง

     

    "ทรงเกรงว่าเจ้านครเมซิสจะยกทัพมาตีเราใช่หรือไม่พะยะค่ะ"

     

    "อืม...เจ้ารู้ใจข้าดียิ่งนัก นิชคุณ ข้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากนักที่กษัตริย์องค์ใดจะเชื่อในเรื่องราวไร้สาระถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งตัวข้าเองยังมิอาจจะทำใจให้เชื่อได้"ชายวัยกลางคนกล่าวสีหน้าดูเสร้าสร้อยยิ่งนัก

     

    "พวกเรารู้จักน้องเชอรีนดี...นางมักจะทำอะไรที่พวกเราคาดคิดไม่ถึงเสมอ"บุรุษหนุ่มกล่าวพลางยิ้มหวาน

     

    "ถูกของเจ้า ถ้าหากกษัตริย์เมซิสเข้าใจในสถานการณ์ดังเช่นเจ้าก็คงจะดี"

     

    องค์ชายนิชคุณยังคงแย้มพระสรวล

     

    "เจ้าดูจะไม่ทุกข์ร้อนใจเลยนะนิชคุณ"

     

    "กระหม่อมมีของสำคัญบางอย่างจะให้พระองค์ทอดพระเนตร ทูลกระหม่อมจำได้หรือไม่พะยะค่ะ ว่าเมื่อเย็นวานท่านลุงได้รีบผลุนผลันเสด็จกลับพระนครโดยที่ไม่ได้ร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำเลย"นิชคุณกล่าว

     

    จอมกษัตริย์ทรงลังเล นึกย้อนหวนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานในตอนเย็นแล้วจึงทรงพยักพระพักต์

     

    "อืม..."

     

    "พระองค์ให้หม่อมฉันไปส่งเสด็จใช่หรือไม่พะยะค่ะ..."องค์ชายรองกล่าวในขณะที่ส่งม้วนกระดาษใบหนึ่งให้เจ้านครบานัตทอดพระเนตร เมื่อกษัตริย์แห่งบานัตทรงกวาดสายพระเนตรไปตามตัวหนังสือบนสาส์นจากเจ้านครเมซิส สีพระพักต์ก็ดูเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในทิศทางที่ดีขึ้น เกิดความหวังขึ้นในพระเนตร

     

    สาส์นจากพระราชาแห่งนครเมซิสมีใจความว่าให้เลื่อนงานอภิเษกออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด

     

    "หม่อมฉันมีความเห็นว่า ทางฝั่งนครเมซิสอาจจะเกิดปัญหาภายใน..."นิชคุณลงความเห็น

     

    "แต่ถึงอย่างไร นิชคุณ ข้าก็ขอยืนยันว่าจะไม่ส่งเรือไปออกตามน้องเจ้าหรอกนะ"เขาพูดอย่างรู้ทันในเจตนาของบุตรชายที่มาหาเขาถึงในห้องทำงาน สีหน้าที่ดูเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจของชายหนุ่มดูเจื่อนลงในทันที

     

    "พระองค์จะไม่ทรงไตร่ตรองดูเสียหน่อยหรือพะยะค่ะ..."

     

    "ข้าขอยืนยันคำเดิม และทั้งเจ้าและข้าเองก็รู้จักน้องเราดี พวกเสนาบดีหรือมหาดเล็กจะอ้างว่าเป็นการลักพาตัวต่างๆนาๆ แต่ข้าคิดว่านางนั่นแหละที่ลักพาตัวพวกเขาไป"

     

    "ข้าคิดว่าอาจจะเป็นการสมยอม..."นิชคุณแก้ต่าง

     

    "ยังไงก็ตามแต่ ในเมื่อนางเลือกที่จะไปก็ให้นางไป  ให้มันรู้กันไป คนอย่างข้าไม่ได้มีลูกสาวแค่คนเดียว แต่นางมีข้าเป็นบิดาแต่คนเดียว หึ! ... คนอย่างเชอรีนน่ะ...ไม่เคยทนลำบากตรากตรำ ไม่ช้านาน นางจะต้องกลับมาตายรัง!"พระราชาถึงกับบันดาลแก่โทสะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหันหลังไปอีกทาง องค์ชายรองสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นพ่อ นิชคุณรู้พระทัยดีว่าหากใครจะมาทูลอะไรกับพระองค์ในยามนี้ก็คงจะไม่ได้เกิดผลอะไรขึ้นมา ควรอาจจะต้องรอให้อารมณ์เย็นลงเสียสัก2-3วันเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาพูดเรื่องนี้กับพระองค์ใหม่ องค์ชายรองเฝ้าสังเกตร่างของบิดาที่หันหลังให้กับตนอยู่ชั่วขณะ รับรู้ในใจดีว่าในยามนี้ไม่ควรที่จะไปรบกวนพระองค์อีก จอมราชันย์แห่งเมซิสน่าจะทรงปราราถณาที่จะใช้เวลาส่วนพระองค์เป็นที่สุด เพื่อที่จะปล่อยให้กาลเวลาชำระล้างความรู้สึกขุ่นเคือง ผิดหวัง และสำนึกเสียใจที่อยู่ในพระหทัย... องค์ชายนิชคุณจึงค่อยๆถวายบังคมก่อนที่จะจากไปอย่างสงบเงียบ

     

    '

     

    '

     

    '

     

    ในอาณาบริเวณมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล เรือประจำพระองค์ขององค์หญิงเชอรีนลอยไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย สำเภาสีขาวทั้งลำอ้อยอิ่งอยู่บนน่านน้ำสีคราม ดูไร้ทิศทาง ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ถือปกาศิตเหนือเรือลำนี้ หญิงสาวผมสีน้ำตาลยืนเท้าคางเอนตัวพิงเอากับระเบียงไม้ที่บริเวณดาดฟ้า ดวงตาสีช็อคโกแลตเหม่อลอยไปไกลสุดขอบฟ้า ลมเบาๆพัดกระทบเข้ากับใบหน้าของนางทำให้ผมลอนปลิวไสวเบาๆดูงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ

     

    อีกด้านหนึ่งนั้นเองที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเฝ้าดูพฤติกรรมของนาง ดื่มด่ำเอาภาพชวนหลงใหลที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าอยู่เงียบๆในขณะที่มือเรียวสวยค่อยๆปิดประตูห้องพักที่เป็นห้องที่เขาพักร่วมกับตั้มในเรือลำนี้ บูรณ์ถอนหายใจเสียหนึ่งครั้ง ยังคงรู้สึกอ่อนล้า...

     

    นับตั้งแต่เมื่อคืนที่ตั้มอาเจียนจนหมดสติไป อาการของเขาก็ยังคงไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย บูรณ์คาดว่าคงเป็นเพราะเขาไม่เคยชินกับการคมนาคมทางน้ำ ซึ่งแตกต่างจากเขาซึ่งเป็นลูกชายคหบดี และ องค์หญิงซึ่งน่าจะทรงเคยชินกับการเสด็จประพาสในหลายๆวโรกาสอยู่แล้ว...

     

    และด้วยความที่ว่าตั้มนั้นหมดสติไปเมื่อคืน ยิ่งทำให้บูรณ์ต้องแบกรับภาระมากกว่าเดิม นอกจากที่เขาจะต้องคอยพยาบาลตั้มเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ในตอนกลางคืน พยายามที่จะดูแลให้ไข้ลดแล้ว เขาเองยังต้องคอยสอนองค์หญิงในเรื่องการบังคับเรือให้พระนางเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ตั้งแต่การขึ้นเสากระโทง ชักเรือใบ ถือหางเสือ และการตีวงเวลาเลี้ยวโค้ง ถึงแม้ว่าเรือลำนี้จะถูกบังคับได้ดั่งใจพระนางก็ตามที แต่เห็นได้ชัดในหลายๆครั้งว่าพระนางดูไม่ค่อยจะมีสมาธิเวลาที่เขาถวายการสอนสักเท่าไหร่นัก

     

    ชายหนุ่มมองเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่ปลิวไสวสะท้อนกับแสงแดดสักพัก ก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปหาร่างบางอรชรนั่น..

     

    "จ้องมองแสงแดดกระทบกับน้ำทะเลนานๆ จะไม่ดีต่อพระเนตรนะพะยะค่ะ"เขาเตือนด้วยความห่วงใย... ก่อนที่นางจะหันหน้ามาหาเขาทันที ย่นจมูกใส่ด้วยความดื้อรั้นก่อนที่จะสะบัดหน้าหันกลับไป

     

    "เจ้านี่ช่างขี้บ่นเสียจริง"นางบ่นกระปอดกระแปดในขณะที่ทำทีขยับหมวกปีกให้เข้าทรงกับเกษาแก้เก้อ

     

    "องค์หญิง...กระหม่อมมีเรื่องบางเรื่องที่จะต้องบังคมทูล"

     

    "ตั้มหรอ ตั้มอาการเป็นอย่างไรบ้างล่ะ"หญิงสาวรีบถามอย่างกระตือรือร้นดูห่วงใยในอาการขององครักษ์คนสนิทยิ่งนัก

     

    ความรู้สึกริษยาเกิดปะทุขึ้นในอกของชายหนุ่มอีกครั้ง เขาขบกรามแน่น แต่ก็พยายามที่จะไม่แสดงอารมณ์ อดีตราชครูกล่าวว่า

     

    "กระหม่อมเห็นว่าเราควรที่จะนำเรือจอดเทียบพักที่เมืองท่าที่ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะกระหม่อมเกรงว่าน้ำดื่มและเสบียงอาจจะมีไม่เพียงพอ..."

     

    "รอให้เราพ้นจากน่านน้ำเมืองบานัตให้มากกว่านี้เสียหน่อยไม่ได้หรือ? ข้าคิดว่าเราก็ยังพอมีเสบียงกรังติดตัวมาพอที่จะอยู่ได้สักราวๆสามสี่วันไม่ใช่หรือไร?"

     

    "สำหรับคนที่เมาเรือและอาเจียนจะเกิดอาการขาดน้ำ เมื่อขาดน้ำมากๆจะทำให้หมดสติและอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้"

     

    "จริงหรือ...ถ้าอย่างนั้น เจ้าหมายความว่า ตั้มจะตายงั้นหรือไร ไม่ได้นะ เจ้าอย่าทำให้เขาตายนะ...ถ้าอย่างนั้นเราจะรีบมุ่งหน้าไปเมืองท่าที่ใกล้ที่สุดเดี๋ยวนี้"สีหน้าร้อนรนถูกระบายบนใบหน้าหวาน เชอรีนดูตื่นตระหนก

     

    บูรณ์พยักหน้าเบาๆเพื่อรับคำ หลับตาเพราะความอ่อนใจ กล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่างลงไปในคอ ก่อนจะกล่าวว่า...

     

    "ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอตัวไปตรวจสอบเส้นทางเสียก่อนพะยะค่ะ"

     

    "เดี๋ยวก่อน..."เจ้าของเสียงหวานส่งเสียงรั้ง

     

    "พะยะค่ะ?"

     

    "คือข้า...คือฉัน..."นางอึกอัก ยกมือขึ้นมาประสานกัน บิดร่างอ่อนแอ้นไปมา ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ไม่รู้ทำไมคำพูดแค่คำเดียวถึงได้เค้นออกมายากถึงขนาดนี้นะ...

    นางรู้สึกผิดต่อเขาจริงๆ...ที่ผ่านมา นางแค่อยากจะพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจเอาจากเขาก็เท่านั้น เพราะเชอรีนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ชายหนุ่มถึงได้ดูเย็นชาและไร้อารมณ์ถึงเพียงนี้ เขาเป็นคนแรกที่ไม่ใส่ใจนาง ในขณะที่คนอื่นพยายามจะเอาอกเอาใจนางอย่างออกนอกหน้า และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางเกิดรู้สึกหมั่นไส้

    อันที่จริงนางอยากจะเป็นเพื่อนกับเขา อยากจะพูดคุยอยากจะรู้จักเขาให้ได้มากกว่านี้ แต่ไม่รู้จะแสดงท่าทีออกมาเช่นไร
    จนต้องหาเรื่องมากลั่นแกล้งเขาต่างๆนาๆ และเมื่อคืนหลังจากที่นางได้มาใคร่ครวญไตร่ตรองความประพฤติของตนเองนั้น ก็เล็งเห็นแล้วว่าสิ่งที่นางทำลงไปนั้นเกินกว่าเหตุจริงๆ

    หล่อนเห็นแล้ว และสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและสุภาพของบูรณ์ อันที่จริงลึกๆแล้วนางแอบประทับใจในตัวเขา เขาเป็นคนที่มากด้วยวุฒิภาวะ และเป็นคนที่ใจเย็น

    เมื่อเช้านี้ที่เขาได้สอนให้เธอบังคับและควบคุมเรือ หล่อนได้แอบเฝ้าสังเกตใบหน้าด้านข้างของเขาอยู่นาน และนั่นก็ทำให้ เชอรีนอดปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่าอันที่จริงแล้วพระอาจารย์ของนางนั้นเป็นคนที่หล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว...

     

     

    "..."บูรณ์สบตาของเขาเข้ากับดวงตาสีช็อคโกแล็ต ทว่าเชอรีนรีบหลบตาทันที หล่อนทำทีเบือนหน้ามองไปทางอีก ก่อนที่จะอ้อมแอ้มกล่าวว่า

     

    "ขอโทษนะบูรณ์...ที่ที่ผ่านมาทำให้ลำบากใจ"นางกล่าวอย่างรู้สึกผิดออกมาจากใจจริง

     

    แต่ถ้าหากสังเกตให้ดีจะได้ยินว่านางเอ่ยชื่อของเขาออกมาเป็นครั้งแรก

     

    ธันยบูรณ์แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง องค์หญิงกำลังขอโทษเขาหรือนี่ ให้ตายเถอะ! ไม่รู้ว่าแดดเผาสมองจนเขาเพี้ยนไปแล้วหรือไง

     

    ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะในลำคอออกมา

     

    "หึๆๆ"

     

    เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจู่ๆนางคิดอย่างไรจึงได้มาขอโทษเขา ดูน่าขบขันชะมัด แต่ถึงอย่างไรท่าทีของนางเมื่อครู่นี้ก็ดูอ่อนหวานน่าเอ็นดู

     

    บูรณ์อมยิ้ม...

     

    นับเป็นภาพที่หายากสำหรับเขานัก

     

    "เอ๊ะ เจ้า! ขำอะไรน่ะ!?"นางหน้างอทันที รู้สึกไม่ชอบไอ้แววตาขบขันของเขาซะเลย มันทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลก...

     

    "ไม่มีอะไรพะยะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมคิดว่าตัวเองกำลังฝันไปก็เท่านั้น ฮ่าๆๆ"หนุ่มหน้าขาวกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่จึงระเบิดมันออกมาเสียงดังลั่น

     

    "โถ่เอ๊ย ข้าไม่น่าบอกเจ้าเลย!"หล่อนโวยวายหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย หนอยแน่! มาหัวเราะเยาะนางอย่างนี้เขาจะไม่ได้ตายดีแน่...คอยดูสิ!

     

    "สายเกินไปเสียแล้วพะยะค่ะ"เขาหัวเราะท้องคัดท้องแข็งก่อนที่จะวิ่งหนีคนที่พยายามจะเอาเรื่องให้ไกล เสียงฝีเท้าระคนกับเสียงหัวเราะคิกคักของสองหนุ่มสาวดังก้องไปทั่วเรือ สายลมอ่อนๆยังคงพัดพาความอบอุ่นจากแดนใต้มาสู่ ณ ใจกลางมหาสมุทรแห่งนี้

     

    ทว่า ณ ที่แห่งนี้...พวกเขาไม่ได้ระแคะระคายเลย ว่าได้มีใครบางคนคอยจับตามองเรือสำเภาหลวงสีขาวโพลนลำนี้อยู่ไกลๆ

     

    '

     

    '

     

    '

     

    บริเวณน่านน้ำสากลที่ห่างไกลจากเรือประจำตัวของเชอรีนราวๆสิบไมล์ เรือส่วนบุคคลลำขนาดใหญ่ราวๆเจ็ดร้อยตัน ทำจากไม้แอชสีดำทั้งลำ ณ บนเรือหลวงลำนี้ดูวุ่นวายเพราะเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย... เหล่าบรรดาลูกเรือต่างไว้หนวดเคราและแต่งกายหยาบกระด้างราวกับโจรสลัด ทว่า..กิริยาและบุคลิกท่าทีที่แสดงออกมากลับขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ชวนน่าสะพรึงกลัว นอกจากบุคลิกที่ดูเรียบร้อยผิดวิสัยแล้ว รูปร่างหน้าตาของพวกเขายังจะดูออกไปทางแนวผู้รากมากดีเสียมากกว่าโจรห้าร้อยชั้นต่ำ...

     

    กัปตันเรือเป็นชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างผอมบาง ผิวสีแทนจางๆ มองไกลๆเผินๆเหมือนว่าจะเป็นชายหนุ่มร่างเล็ก ทว่าอันที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่สูงปานกลาง เป็นเรื่องน่าประหลาดชวนฉงนยิ่งนัก ที่นอกเสียจากกัปตันเรือลำนี้จะยังคงดูอ่อนเยาว์เป็นอย่างยิ่งแล้ว ใบหน้าของเขายังไร้ซึ่งหนวดเคราแม้แต่เส้นเดียวอีกด้วย เมื่อโดยรวมๆแล้วกัปตันเรือโจรสลัดผู้นี้ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย เขามีนัยน์ตาหวานหยาดเยิ้มชวนฝันที่ดูซุกซน คิ้วเข้มปักหยั่งคันศร และดั้งจมูกที่ค่อนข้างจะโด่ง หากมองรวมๆแล้วถือว่าเป็นคนที่ดูมีสเน่ห์ชวนหลงใหลเลยทีเดียว...

     

    รองกัปตันกำลังสำรวจเส้นทางบนแผนที่หนังอยู่เคียงข้างพี่ชายของเขาที่กำลังควบคุมพังงา ส่วนสูงของชายหนุ่มทั้งคู่ดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงหน้าตาและภาพลักษณ์ที่ดูสวนทางกัน ในทางตรงกันข้าม รองกัปตันเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน กล้ามแขนใหญ่โตเป็นมัดๆ ผิวสีขาวค่อนออกไปทางเหลือง เขามีใบหน้ายาว มีดวงตาและคิ้วที่คมเข้ม ริมฝีปากเป็นสีแดงจางๆ ช่างแตกต่างจากกัปตันผู้เป็นพี่...บุรุษหนุ่มผู้นี้ไว้หนวดทั้งเคราดูน่าเกรงขาม นอกจากนี้เขายังติดอาวุธเสียครบมือ ปืนไรเฟิ่ลถูกเหน็บเอาไว้อยู่ที่เอวขวา และกระบี่สั้นถูกเหน็บไว้ที่บริเวณด้านซ้ายของลำตัว

     

    "องค์ชา-"

     

    "ชู่วววว บอกให้เรียกกัปตัน ยังไม่ชินอีกหรือยังไง?"ชายหนุ่มร่างเล็กยกนิ้วขึ้นมาจรดริมฝีปาก พลางส่งเสียงตักเตือนบริวารเบาๆ

     

    "ขออภัยพะยะค่ะ...แต่บนเรือลำนี้ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนในราชสำนักทั้งนั้นนะพะยะค่ะ..."ลูกเรือร่างเล็กคนหนึ่งกล่าว พยายามแก้ตัว

     

    "ส่วนใหญ่แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดไง ระวังหน่อยสิ ใช้คำพูดสามัญชนซะให้ชิน ข้าบอกเจ้าไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วว่าถ้าหากเราเกิดปะทะกับโจรสลัด แล้วพวกนั้นรู้ฐานะที่แท้จริงของเราจักเกิดเรื่องยุ่งยากใหญ่โต..."รองกัปตันเอ็ด แต่ก็พูดอย่างใจเย็น ถึงแม้เขาจะมีดวงตาที่คมเข้ม ทว่าหากสังเกตให้ดีจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและใจดีจากชายหนุ่มผู้หล่อเหลาผู้นี้...

     

    "พะยะค่ะ...องค์ชายดิว"เขาหันไปพินอบพิเทากับหนุ่มร่างสูงกำยำที่ได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา ยิ้มบางๆจางๆปรากฎขึ้นบนใบหน้าที่มีหนวดหรอมแหรมด้วยความขบขัน ให้ตายเถอะ อุตส่าห์เตือนกันถึงขนาดนี้แล้วยังจะอุตส่าห์ไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีก!

     

    "แหม พวกข้าบอกไม่ฟังยังจะมา'พะยะค่ะ'อีกนะ นี่แน่ะ!"กัปตันตบหัวลูกเรือของเขาเบาๆเป็นการตักเตือน พลางสอดสายตามองซ้ายมองขวาด้วยความลุกลี้ลุกลน ดูเหมือนเกรงว่าใครจะมาได้ยินเข้า

     

    ที่แท้ชายหนุ่มทั้งสองผู้ที่ซึ่งเป็นกัปตันและรองกัปตันแห่งเรือนี้ก็คือองค์ชายที่ปิดบังฐานะตัวตนที่แท้จริงปลอมตัวมานั่นเอง อ้นหรือว่าองค์ชายกรกฎแห่งนครเมซิส โอรสองค์โตแห่งจอมราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงในการหลบหนีมานั้น ก็เป็นเพราะว่าองค์ชายจะทรงเบื่อหน่ายในชีวิตสุขสบายในวังที่คอยแต่ขีดเส้นลากกรอบจำกัด องค์ชายทั้งสองจึงกระหายและตื่นเต้นที่ใคร่จะออกมาผจญภัยในโลกกว้าง โดยเฉพาะองค์ชายกรกฎ นอกจากความเบื่อหน่ายที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาหลบหนีออกมาแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะเจ้านครแห่งเมซิส หรือพระบิดาของเขา จะจับให้เข้าคลุมถุงชนอภิเษกกับองค์หญิงที่อาณาจักรทางเหนือ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่านางรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร..

     

    ใครก็ไม่รู้ คนแปลกหน้าชัดๆ...

     

    อ้นคิดพลางย่นจมูก

     

    นางจะอ้วน จะเตี้ย จะผิวคล้ำหรือขี้เหร่หรือเปล่า ใครเล่าจะไปรู้... ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะทำเช่นไรกัน? อ้นยิ่งเป็นคนที่กลัวการผูกมัด เฮอะ! นี่มันฝันร้ายชัดๆ... ถ้าหากเสด็จพ่อจะผูกให้เขาติดแหงกอยู่กับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ไปจนชั่วชีวิต...

     

    องค์ชายอ้นยังคงหวงแหนชีวิตโสดยิ่งนัก...เขายังไม่ต้องการที่จะลงเอยกับใคร เขาไม่พร้อมที่จะมีบุตรหรือภรรยา การจะให้ใครสักคนมาผูกติดอยู่กับเขาเห็นทีจะเป็นเรื่องที่เขาไม่มีทางจะทนทานยอมรับมันได้..

     

    ส่วนทางด้านองค์ชายณัฐพงศ์หรือดิว... อันที่จริงตัวเขานี้ก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้เองสักเท่าไหร่ หากแต่องค์ชายรองนั้นเองก็รู้สึกเบื่อชีวิตที่ซ้ำซากจำเจ และเมื่อพระเชษฐาเสนอแผนการที่หลุดโลกเช่นนี้แล้ว เขาจึงนึกบ้าตามเสด็จมาด้วย.. ถึงแม้พระเชษฐาจะเป็นคนบ้าๆบอๆมักจะทำอะไรสุดโต่งก็ตามที แต่เขาก็เคารพและเทิดทูน เห็นด้วยและให้ท้ายกับพี่ชายอย่างเต็มที่ว่าเสด็จพ่อนั้นทำเกินไป ดิวเป็นคนที่กินง่ายอยู่ง่าย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงไม่ค่อยจะเป็นปัญหาสำหรับเขาสักเท่าไหร่ถ้าหากจะให้เขามาใช้ชีวิตอย่างชาวเรือ

     

    ทั้งคู่เลือกที่จะปกปิดฐานะที่แท้จริงของตนเองเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ถ้าหากบรรดาโจรสลัดในน่านน้ำสากลได้ระแคะระคายว่าพวกเขาเป็นใครแล้วนั้นอาจจะเกิดเหตุความวุ่นวายไม่สงบไม่มีที่สิ้นสุดแน่ เพราะใครต่อใครต่างก็รู้สึกไม่พอใจต่อเมซิสทั้งมีความรู้สึกริษยาและเกรงขามในความยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาจะต้องไม่รอช้าที่จะพากันรวมหัวมาบุกโจมตีเรือขององค์ชายทั้งสองเป็นแน่

     

    แต่ถึงอย่างไรลูกเรือนับร้อยชีวิตในเรือลำนี้ก็ถูกเกณฑ์มาจากราชสำนักมากว่าครึ่งค่อนลำ ในจำนวนเหล่านี้รวมทั้งทหารองครักษ์ ทหารเรือ ทหารในกองทัพบก พลธนูฝีมือเยี่ยม ช่างไม้ ช่างประปา ช่างเขียนแบบ หรือแม้กระทั่งช่างตัดเสื้อ และช่างตัดผม รวมถึงคนครัว หมอหลวง และเสนาบดี

     

    และเมื่อเป็นเช่นนี้เองทำให้เรือส่วนบุคคลลำนี้สามารถอำนวยความสะดวกได้อย่างครบวงจร และมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็นที่เลื่องลือไปทั่วน่านน้ำสากล.. ทำให้บรรดาใครต่อใครต่างพากันชิงชังไอ้กัปตันโจรสลัดหน้าอ่อนนี่ เขาไม่เคยต่อกรกับใครแล้วแพ้แม้แต่เพียงครั้งเดียว และสมญานามใหม่ที่องค์ชายอ้นได้รับในช่วงเวลาสิบเดือนที่ผ่านมานี่ ก็คือ'เจ้าเคราโล้น'

     

    ________________________________________________________________________________________________

     

    องค์ชายอ้นออกมาแล้วค่ะ ^_^

     

    ขอบคุณทุกๆคนมากที่อุตส่าห์อดทนรอติดตามไม่ทิ้งกัน 555+

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×