ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic TS9 อ้นดิวเชอรีนบูรณ์ (harem) feat.ดี,ตั้ม,แบมบี้

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 ออกเดินทาง!

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.ค. 56


    องค์หญิงน้อยมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ชะงัก นางอ้าปากค้างเมื่อเห็นบุรุษที่เดินเข้ามาใกล้ๆ ผิวสีขาวนวลของเขายิ่งดูงามเด่นเมื่อสะท้อนกับแสงจันทร์

    ช่างเป็นบุคคลที่นางไม่คาดคิดถึงที่สุด... แล้วเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพระอาจารย์ของนางเอง...

    องค์หญิงรู้สึกอดที่จะหงุดหงิดเล็กๆไม่ได้ เพราะนางรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเขาอย่างประหลาด แต่ทว่าไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่เห็นหน้าแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์ รู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียทุกสิ่ง รวมถึงขัดใจด้วย...

    "ข้าไม่ใช่คนรับใช้ของเจ้านะตั้ม!"เขาบ่นพลางหอบเบาๆ คงเป็นเพราะสัมภาระที่พะรุงพะรังอยู่บ่นบ่าบนลำตัวที่คอยบั่นทอนกำลังเขา เมื่อสังเกตเห็นองค์หญิงที่อยู่ข้างกายก็พยายามที่จะคำนับถวายบังคมด้วยความอ่อนน้อม

    "อะแฮ่ม นายมาที่นี่ทำไมกัน?"หล่อนกระแอมเบาๆ ก่อนจะแค่นเสียงถาม ทำหน้างอทันที

    บูรณ์สังเกตเห็นดวงตาคู่นั้น และน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ที่ถูกถ่ายทอดออกมา เขาอดถามตัวเองขึ้นอีกครั้งไม่ได้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าเขามาทำอะไรที่นี่... ทั้งๆที่พระนางไม่ได้ต้องการเขาเลยแม้แต่น้อย

    'เรามาทำอะไรที่นี่กัน...?'

    เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อยากจะโทษตั้มเสียตั้งแต่ตรงนี้ แต่รู้ดีว่าไม่ใช่นิสัยของลูกผู้ชายที่จะมายืนแก้ตัว จึงเลือกที่จะเงียบ โชคยังดีที่คืนนี้ดวงจันทร์ฉายเพียงแค่ครึ่งดวง ราชครูหนุ่มจึงสามารถซ่อนดวงหน้าของเขาได้อย่างถนัด

    "ข้าพระองค์เกลี้ยกล่อมให้ท่านพี่บูรณ์ตามเสด็จเองพะยะค่ะ ข้าพระองค์เห็นว่าท่านพี่บูรณ์เป็นคนเฉลียวฉลาดรอบรู้ นอกจากนี้ยังคงมีความสุขุมมมากกว่า-"

    แต่บูรณ์ก็ไม่รอให้ตั้มยืนแก้ตัวให้เขาจนจบ

    "กระหม่อม...เป็นห่วงสวัสดิภาพของพระองค์"

    ประโยคนั้นเสมือนประหนึ่งมีตะเกียงเล่มเล็กถูกจุดให้ส่องสว่างในหัวใจขององค์หญิงเชอรีน นางอดรู้สึกที่จะอบอุ่นข้างในหัวใจไม่ได้

    แต่ถึงอย่างไรด้วยนิสัยที่เย่อหยิ่ง และความมีทิฐิ นางจึงกลบเกลื่อนด้วยการพ่นลมออกจากจมูกเบาๆอย่างดูแคลน

    "ท่านพี่ ส่งสัมภาระมาเสีย ข้าจะช่วยท่านเอง"ตั้มรีบเสนอตัวหลังจากที่เห็นสีหน้าที่ดูอ่อนล้าของบูรณ์ เขารู้ดีว่าคนที่เป็นบัณฑิตอย่างพระอาจารย์หนุ่ม คงไม่เคยชินที่จะมาต้องใช้พลังกายเยอะๆถึงเพียงนี่

    ทว่าในขณะที่เขายื่นมือออกไปนั้นเอง ก็กลับถูกมือเรียวบางปัดออก

    "ไม่ต้องไปช่วยเขา!"หล่อนว่า

    ตั้มอ้าปากค้าง

    "แต่ว่า..."เขาพยายามแย้ง

    "ในเมื่อเขาเลือกที่จะตามข้ามาเอง ยังไงข้าก็ยังเป็นองค์หญิงของพวกเจ้าไม่ใช่หรอ ห้ามขัดคำสั่งข้าสิ!"นางพูดก่อนที่จะยิ้มหวาน เชอรีนยิ้มอย่างร้ายกาจ ไม่ลืมที่จะสบตาพระอาจารย์ของตนด้วยความประสงค์ที่จะเยาะเย้ย ก่อนที่จะเดินดุ่ยๆนำหน้าไปอย่างไม่สนใจ

    "ช้าก่อนพะยะค่ะ องค์หญิงทรงทำเกินไปนะพะยะค่ะ"องค์รักษ์หนุ่มรีบตามไปแย้ง

    เชอรีนหันขวับมาทำตาเขียวใส่ทันที

    "อะไร ทำเกินไปตรงไหน ในเมื่อเขาอยากตามข้ามาก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยเซ่"

    "องค์หญิงทรงรู้ดีแก่พระทัยนะพะยะค่ะว่าทรงกระทำการใดอยู่..."ตั้มเตือน

    "เฮอะ ข้ารู้ตัวของข้าดี หากเขาทนไม่ไหวก็บอกให้เขาถอนตัวไปเสียสิ"นางยังคงดื้อรั้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วยิ้มอย่างสาแก่ใจ เหลือบมองบูรณ์อีกสักที สะใจนางนักที่ได้สร้างความลำบากกายลำบากใจให้กับพระอาจารย์

    วราวุทธได้แต่สั่นศีรษะด้วยความระอาในพฤติกรรมของพระนาง ครั้งนี้เขารู้สึกว่านางทำเกินไป และจะไม่มีทางให้ท้ายโดยการเชื่อฟังในคำสั่งของนาง เขาเดินดุ่มๆกลับไปหาบูรณ์ที่กำลังเดินรั้งท้าย ก่อนพยายามที่จะยื้อแย่งสัมภาระมาจากบ่าแคบของบุรุษหน้าขาว

    แต่บูรณ์กลับสั่นศีรษะปฏิเสธ

    "ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นความประสงค์ของพระนาง อย่างไรเสียข้าก็ต้องปฏิบัติตาม"เขากล่าวอย่างชายชาตรีที่มีความรับผิดชอบเหลือล้น ก่อนที่ธันยบูรณ์จะส่งยิ้มบางๆให้กับตั้ม

    "ท่านคงรู้จักนางน้อยเกินไป"หนุ่มผิวคล้ำส่ายหน้า รู้ดีว่าบูรณ์รู้สึกลำบากและอึดอัดใจเพียงใด แต่พยายามปากแข็งเพราะความดื้อดึง

    "นางเพียงแค่เห็นข้ารู้สึกอึดอัดใจ"

    "ท่านจะต้องลำบากกว่านี้แน่ๆ นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น"ตั้มขู่

    "ขอบใจในความหวังดีของเจ้า ข้าดูแลตัวเองได้"บูรณ์ยังคงยืนกราน สีหน้าดูเรียบเฉยเหมือนรับรู้ชะตากรรมของตนเองก่อนอยู่แล้ว...

    "ท่านเองก็ดื้อรั้นไม่ต่างอะไรกับพระนางสักเท่าไหร่"ตั้มยิ้ม

     

    แน่ล่ะเขาเตรียมใจในเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว เพราะรู้ดีว่าพระนางชิงชังในตัวเขา และจะต้องหาเรื่องสารพัดสารเพต่างๆนาๆมากลั่นแกล้งเขา บีบเขาให้ตายเป็นแน่ ยิ่งหากเวลานี้เขาจะไม่มีฝ่าบาทหรือพระองค์อื่นๆคอยจับตาดูพฤติกรรมองค์หญิงและคุ้มกะลาหัวเขาแล้ว นางคงไม่ปล่อยให้เขาได้มีชีวิตอย่างสงบสุขเป็นแน่

    บูรณ์ถอนหายใจ แต่เส้นทางนี้เขาเป็นคนเลือกเดินเอง หากจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็คงได้แต่ต้องอดทนและยอมรับกับผลกระทำ บางทีหากจะทำให้ความชิงชังของพระนางในตัวเขาน้อยลงไป เขาก็ยินดี..

    "พวกเจ้าสองคน...มัวชักช้าอยู่เพื่ออะไรกัน ใกล้ถึงอู่เรือเต็มทีแล้ว"เชอรีนร้องตะโกนกลับมาหลังจากที่ทิ้งระยะห่างไปเสียไกล พลางขมวดคิ้วหรี่ตามองด้วยความสงสัย อยากจะรู้นักว่าสองคนนั้นกำลังพูดอะไรกัน ดูแล้วท่าทางจะต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับตัวนางเป็นแน่

    นางจะต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าสองคนนั้นแอบนินทาอะไรเกี่ยวกับนาง...ฮึ แต่อาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่นางจะคาดคั้นเอาจากปากพวกเขาให้ได้ คอยดูสิ! ว่าแล้วนางก็เหยียดปากด้วยความหมั่นไส้

    "เจ้าคิดซี ว่าจะเข้าไปชิงเรืออย่างไรดี"องค์หญิงหันมาสั่งกับบูรณ์... อันที่จริงนางก็คิดว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่เขาติดสอยห้อยตามมา เมื่อครู่นางได้ตั้งความคาดหวังกับเขาเอาไว้เต็มเปี่ยมสำหรับการนี้

    บูรณ์ยิ้มออกมาที่มุมปาก ดูเหมือนจะถึงคราของเขาบ้างเสียแล้ว

    "ขอประทานอภัย กระหม่อมไร้ซึ่งความสามารถ"เขาค้อมศีรษะเล็กๆเป็งเชิงขอโทษ รอยยิ้มเล็กๆปะล่ำปะเหลื่อบนใบหน้ายิ่งยั่วโมโหให้เชอรีนรู้สึกโมโห

    "เจ้า! เจ้า! อย่ามากวนโทสะข้านะ!"นางโวยวายเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่บูรณ์กลับแอบอมยิ้มเล็กๆ นั่นทำให้เขารู้สึกสะใจพิลึก...

    "กระหม่อมมิบังอาจพะยะค่ะ...ในเมื่อเรายังไม่ทราบเป้าหมายที่แท้จริง จักให้วางแผนลงมือกระทำได้อย่างไรเสียพะยะค่ะ"เขากล่าวนิ่มๆอย่างสุภาพอ่อนน้อม แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงสร้างความรำคาญใจให้กับเชอรีน แต่น่าก็เริ่มคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขา เห็นว่าเถียงไปคงไปเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา...

    "เป้าหมาย...เจ้าหมายถึงอะไร?"

    "เมืองบานัตของเราเป็นเมืองท่า ไม่แปลกที่จะมีเรือไม่ต่ำกว่าร้อยลำ ไม่ว่าจะเป็นเรือ แล้วพระองค์ทรงทราบหรือไม่พะยะค่ะ ว่าจะต้องการลำไหน?"

    "เรื่องนั้นง่ายนิดเดียว...เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร...?"

    บูรณ์กลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด ฉับพลันก็ลืมตาเบิกโพลงเพราะเข้าใจในจุดประสงค์

    "พระองค์ทรงไม่ได้หมายความถึงเรือประจำพระองค์..."บูรณ์กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูกังวล

    "ถูกต้องแล้ว"

    "เรือประจำพระองค์เป็นเรือใบขนาดใหญ่... และคงจะหนักไม่ต่ำกว่า 300 ตันเป็นแน่พะยะค่ะ เรามีเพียงกันแค่ 3 คน จะควบคุมเรือได้อย่างไรพะยะค่ะ?"บูรณ์อธิบายอย่างมีเหตุผลด้วยสีหน้าที่จริงจัง ไม่รู้พระนางเสียสติไปแล้วหรือไง ถึงคิดจะใช้เรือประจำพระองค์หลบหนี หากจะให้ถอนสมอเพียงอย่างเดียว คงจะใช้เวลาถึงปีหน้าเป็นแน่...

    "กระหม่อมเห็นว่า-"

    "พวกเจ้าคงไม่รู้ความลับของเรือประจำตัวข้าสินะ...อันที่จริงข้าเดินทางด้วยตัวข้าเพียงลำพัง ไม่ต้องพึ่งพวกเจ้าก็ยังได้"นางกล่าวพลางสะบัดผมลอนสีนำตาลขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง

    "เพราะเรือประจำตำแหน่งของราชนิกูล ใช้พลังขับเคลื่อนด้วยไอ้นี่..."เมื่อพูดจบพระนางก็หันหลังพระหัตถ์ให้เป็นที่ประจักษ์ เผยให้เห็นพระธำมรงค์ประจำพระองค์ที่ทำด้วยตัวเรือนทองหัวพลอยทับทิม

    ทั้งตั้มและบูรณ์อ้าปากค้าง

    "อย่างนั้นเรื่องที่กระหม่อมได้ยินคำร่ำลือมาจากบิดาเห็นทีคงจะเป็นเรื่องจริง ว่าบรรดาราชนิกูลสามารถควบคุมเรือสำเภาได้ดั่งใจนึก"ตั้มกล่าวตาดูเลือนลอยเพราะตะลึงในความมหัศจรรย์ของพลังอันเร้นลับเช่นนี้ เขายังคงรู้สึกทึ่งอยู่ เพียงแค่แหวนวงเดียวน่ะหรือจะสามารถควบคุมเรือขนาดหลายร้อยตันได้ทั้งลำ

    "เจ้าว่ายังไงล่ะ...จะทำยังไงให้พวกเราขึ้นไปบนเรือได้..."นางหันไปถามบูรณ์อีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังพิลึก

    "หากเป็นเช่นนั้นจริง อาจจะไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลัง...กระหม่อมเห็นควรว่าไม่ควรใช้กำลัง เพื่อให้เป็นจุดสนใจของบรรดาทหารยามที่ลาดตระเวร และเฝ้ารักษาการ มิเช่นนั้นเห็นทีเราสามคนจะรับมือลำบาก พวกเราควรที่จะออกอุบายแทนพะยะค่ะ"

    เชอรีนยิ้ม...

    และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่นางรับฟังบูรณ์อย่างตั้งอกตั้งใจถึงเพียงนี้...

    "กระหม่อมพอที่จะคิดอะไรบางอย่างออก แต่ไม่ทราบว่าพระองค์จะทรงขัดข้องหรือไม่..."เขากล่าวก่อนที่จะสบตาเชอรีนด้วยความไม่มั่นใจ

    "ไหนเจ้าลองว่ามาสิ"

    "พระองค์จะต้องทรงไว้วางพระทัย..."

    "เจ้าน่ะหรือ"

    "ไม่ใช่ข้าพระองค์ แต่เป็นเขา..."

    '

    '

    '

    ณ  กรมโยธา

    บริเวณปากทางเข้าของท่าเรือ ทหารยามสองสามคนยืนลาดตระเวนอยู่หน้าป้อม ด้วยสีหน้าที่สะลึมสะลือสโลสเล บางคนก็ยืนหาววอดๆ ดูนัยน์ตาใกล้จะปิดเต็มทนทันใดนั้นเองก็ปรากฎเงาตะคุ่มๆของร่างทะมึนที่เดินอย่างองอาจเข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าที่มีน้ำหนักมีจังหวะจะโคนชัดเจนปลุกให้ทหารที่กำลังใกล้จะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรานั้นสะดุ้งตื่น รองเท้าปลายแหลมก้าวเข้ามาใกล้ แสงตะเกียงค่อยๆส่องสะท้อนเข็มขัดหัวพยัฆค์บริเวณเอวหนาแข็งแรงทำให้เข้าใจได้ในทันทีว่า บุคคลที่มาเยือนยามราตรีในช่วงยามสามเช่นนี้นั้น คือองครักษ์หลวงในราชสำนักฝ่ายใน

    "ช้าก่อนท่านองครักษ์..."หนึ่งในทหารรักษาการร้องห้ามให้เขาหยุด

    "ท่านมีธุระกงการใดกัน ในยามสามเช่นนี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นถึงขุนนางขั้นที่สี่ ข้าก็ไม่อาจจะให้ท่านผ่านทางเข้าไปได้"เขากล่าว พลางกระชับดาบปลายปืนที่คาดอยู่บริเวณสะเอวให้มั่นเพื่อเป็นการขู่ไม่ให้เขาก้าวเข้ามาอีกนิดเดียว

    "เป็นพระราชประสงค์ขององค์หญิง ให้ข้ามาตรวจสภาพเรือประจำพระองค์"ตั้มกล่าว ก่อนที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อนอก พร้อมกับหยิบของบางสิ่งออกมา

    "พระธำมรงค์และลายพระหัตถ์นี่พอจะใช้เป็นหลักฐานให้กับพวกท่านได้หรือไม่?"เขาคลี่ม้วนกระดาษที่อยู่ในมือออก พร้อมกับแหวนทับทิม

    สีหน้าของบรรดาทหารรักษาการณ์ดูตกตะลึงเล็กน้อย นานๆครั้งทีที่พวกเขาจะได้เห็นเครื่องประดับส่วนพระองค์ของบรรดาราชนิกูล รู้สึกอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

    "โอ้ ท่านน่าจะบอกข้าเสียตั้งแต่แรก เรียนเชิญท่านองครักษ์"เขากล่าวก่อนที่จะบุ้ยใบ้ไปทางเพื่อนทั้งสองให้ลดดาบปลายปืนลงเพื่อให้ตั้มผ่านทางเข้าไป

    "เจ้า...จงนำทางข้าไปที่เราเสีย"องครักษ์หนุ่มกล่าวกับทหารคนแรกที่พูดกับเขา ทหารยามร่างเล็กตะเบ๊ะเบาๆก่อนที่จะคว้าตะเกียงพร้อมกับเดินนำทางไป

    รอยยิ้มเล็กๆค่อยๆผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของวราวุทธ อะไรมันจะช่างง่ายดายถึงเพียงนี้

    ทว่า...

    "ช้าก่อน! ท่านองครักษ์ หากมาตรวจเรือ ไม่เห็นมีเหตุจำเป็นที่ท่านจะต้องมาในเวลาดึกดื่นค่ำคืนถึงเพียงนี้..."องครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่บริเวณปากทางเข้าตะโกนไล่หลังมา พลางวิ่งเหยาะๆกระชับระยะเข้ามาใกล้ๆ

    รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าคนผิวคล้ำเริ่มชักจะเจื่อนลงไปทันที...

    "ไอ้เจ้าแมทธิว เจ้ามันโง่ ไม่รู้อะไร พระธำมรงค์ขององค์หญิง ก็เปรียบเสมือนองค์หญิงโดยเสด็จด้วยพระองค์เอง..."ไม่ทันขาดคำ ทหารยามร่างเล็กก็ตะโกนด่าเพื่อนเสียเสร็จสรรพ์แทนเขา

    "ข้า...ข้า ข้าไม่รู้ ข้าเพียงแต่ทำตามหน้าที่ก็เท่านั้น....ขออภัยด้วยท่านราชองครักษ์"เขากล่าวก่อนคำนับ

    ไม่ต้องทำอะไรเลยยืนเฉยๆก็มีคนแก้ตัวให้แทน ช่างหวานหมูเสียจริง

    ท้ายที่สุดแล้วเขาก็คลี่รอยยิ้มที่เหลือออกมาเต็มๆ ก่อนที่จะเดินตามทหารยามที่นำหน้าเขาเข้าไป... สักพักก็เข้าไปถึงบริเวณท่าเรือที่บรรดาเรือต่างๆถูกจอดเทียบอยู่บริเวณที่ประจำตำแหน่ง ด้วยอายุราชการเพียงน้อยนิดทำให้องครักษ์หนุ่มอย่างตั้มอดที่จะตกตะลึงในความยิ่งใหญ่และมั่งมีของราชวงศ์บานัตไม่ได้ เงาทะมึนดำที่สูงตระหง่าน เผยให้เห็นบรรดาเรือสำเภาและเรือรบขนาดใหญ่ที่สูงไม่ต่ำกว่ายี่สิบเมตร...

    ตั้มมัวแต่เชยชมความงดงามและอลังการจนลืมที่จะสังเกตว่าเขามาถึงที่หมายแล้ว ทหารยามที่อยู่ข้างหน้าหยุดกึก ก่อนที่จะหันหลังมากระแอมเบาๆ

    "อะแฮ่ม ท่านองครักษ์ ข้าเกรงว่าเราจะถึงที่หมายแล้ว..."เขากล่าวก่อนที่จะผายมือ ตั้มมองดูยานพาหนะที่สูงตระหง่านดูอลังการงานสร้าง เหมือนดั่งที่บูรณ์บอกเอาไว้ไม่มีผิด เรือลำนี้คงจะหนักเป็นร้อยๆตัน แม้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเรือลำอื่นๆที่เขาผ่านๆมา แต่เรือหลวงสีขาวโพลนทั้งลำนี้ก็ดูงามวิจิตรบรรจงมากกว่าลำไหนๆ เพราะด้วยรอยแกะสลักที่ถูกบรรจงประดิษฐ์ขึ้น งามละเมียดละไม แม้กระทั่งคนไร้รสนิยมอย่างเขายังคงสัมผัสเห็นได้

    ทหารยามบุ้ยใบ้ไปทางสายพานที่พาดเป็นทางสำหรับขึ้นไปบนเรือ ตั้มพยักหน้าเล็กๆก่อนที่จะกล่าวว่า

    "ส่งตะเกียงมา เจ้ารออยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวข้าจะลงมา"เขากล่าวก่อนที่จะรับตะเกียงมาจากมือยาม ทำให้บริเวณนั้นมืดมิด แต่ถึงอย่างไรทหารยามร่างเล็กก็ไม่เอะใจเลยว่าเขากำลังตกหลุมพรางเสียแล้ว...

    'อาจจะเป็นชาติหน้าตอนสายๆ ฮิๆ'องครักษ์หนุ่มต่อประโยคนั้นให้จบในใจก่อนที่จะก้าวขึ้นไปบนเรือ สอดส่ายตะเกียงไปมา พยายามที่จะหาพังงา องค์หญิงได้ตรัสกับเขาไว้ว่าบริเวณพวงมาลัยเรือนั้นจะเป็นจุดที่สำคัญที่สุดเพราะจะมีช่องสำหรับสอดใส่พระธำมรงค์..

    เมื่อค้นพบเป้าหมายเจอองค์รักษ์หนุ่มก็ไม่รอช้าก่อนที่จะเสียบหัวแหวนเข้าไปในช่องขนาดพอดิบพอดีที่อยู่บริเวณแกนกลางพวงมาลัย ประหนึ่งว่ามันคือกุญแจสำหรับไขกลอนประตู ฉับพลันนั้นเองที่ตะเกียงทุกดวงบนเรือติดพรึ่บพร้อมกันทันที

    ตั้มสะดุ้งเล็กๆให้กับปรากฎการณ์ที่เหนือธรรมชาติดังว่า ราวกับว่ามันถูกเสกด้วยมนตราอะไรบางอย่าง ช่างเป็นเรื่องราวที่เหลือเชื่อเสียจริง

    แต่เขาก็ไม่อาจที่จะยืนตะลึงงงงวยให้นานไปกว่านี้ เพราะตระหนักดีว่าอีกไม่ช้าทหารยามที่อยู่เบื้องล่างจะต้องเอะใจเป็นแน่ เขารีบยิงพลุสัญญานที่นำติดตัวมาขึ้นฟ้า ลูกไฟสีเขียวถูกยิงขึ้นฟ้าแตกตัวกระจายออกประหนึ่งดาวตกกลุ่มเล็กๆพร้อมกับเสียงที่ดั้งก้อง

    "กบฎ! กบฎ! ไอ้องครักษ์เวรเจ้าหลอกข้า!"ทหารยามตะโกนสุดเสียงเพื่อประท้วง เจ้าตัวรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่เขลายิ่งนักที่เลือกไม่เชื่อเพื่อนเสียตั้งแต่แรก

    ตั้มได้แต่ภาวนาให้องค์หญิงชิงลงมือก่อนที่ทหารยามจะสามารถขึ้นมาบนเรือได้...

    และแล้วฉับพลันนั้นเองเรือสำเภาลำใหญ่นี้ก็ขยับช้าๆถูกขับเคลื่อนด้วยตัวมันเองอย่างช้าๆก่อนที่จะเร่งความสปีดให้เร็วขึ้น ทั้งๆที่เสากระโทงยังไม่ได้ขึ้น ใบเรือยังไม่ถูกชักให้กางออก ร่างขององครักษ์หนุ่มโงนเงนก่อนที่จะเซล้มลงเพราะเสียการทรงตัว

    "องค์หญิงนะองค์หญิง แทนที่ท่านจะขึ้นเสากระโทงก่อน ลำบากข้าชะมัด"ถึงเขาจะไม่ค่อยมีความรู้ในไอ้เรื่องแบบนี้เท่าไหร่แต่ก็ขอทีเถอะ! เขาพอจะเคยสังเกตเรือสำเภาในขวดแก้วในห้องทรงงานของฝ่าบาทมาบ้าง ในเวลานี้ตั้มรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกวิงเวียงคลื่นเหียนราวกับคนกินอะไรผิดสำแดง แต่อาจจะเป็นเพราะความที่ไม่เคยชินกับยานพาหนะทางน้ำสักเท่าไหร่... ไม่ใช่นั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการที่เรือลำนี้ไร้จุดสมดุล

    องครักษ์หนุ่มพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวให้มั่นเกรงว่าตัวของเขาจะปลิวไปตามลมแรงที่พัดกระแทกหน้าเขา ในใจนึกก่นด่าสาปแช่งไอ้คนที่คิดค้นบรรจงสร้างเครื่องมือบังคับเรือบังคับเรือผีลี้ลับนี่ ใจคอพระนางจะไม่คิดถึงคนบนเรือบ้างเลย....

    ไม่นานนัก จู่ๆเรือสำเภาลำใหญ่ก็หยุดกึกลง วราวุทธมองภาพตรงหน้าที่ดูเลือนลาง พอเห็นได้ว่ามาหยุดอยู่ตรงหน้ากระท่อมหลังน้อยก็ชื้นใจขึ้น สักพักที่ชายหนุ่มคู่หนึ่งรีบวิ่งขึ้นสะพานที่ถูกทอดลงบนหาดทราย

    "เจ้าเองก็มีประโยชน์เหมือนกันนี่..."เชอรีนอ้อมแอ้มกล่าวเบาๆ อันที่จริงรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก แต่พระนางเลือกที่จะไม่หันพระพักต์มาสบตาราชครูหนุ่มที่กำลังอมยิ้มน้อยๆ รู้สึกขบขันในท่าทีขององค์หญิงจอมหยิ่ง

    "ข้าพระทัยองค์หญิง ข้าพระองค์จะถือเสียว่ามันคือคำชม"

    "ฮึ..."นางสะบัดหน้าสักพักก็เอะใจ ยังไม่เห็นวี่แววองครักษ์หนุ่มแม้แต่น้อย..

    "แล้วตั้มล่ะ?"นางหันมาถามความเห็นธันยบูรณ์ซึ่งได้แต่สั่นศีรษะให้เป็นคำตอบ

     

    "ตั้ม! ตั้ม!"นางตะโกนร้องเรียกเขาพลางหันศีรษะไปมาพยายามที่จะหาองครักษ์หนุ่มคนสนิท แต่โชคยังดีที่แสงตะเกียงที่ส่องสว่างไปทั่วเรือ ทำให้นางสังเกตเห็นร่างหนาที่แน่นิ่งอยู่กับพื้นได้ไม่นานนัก ภาพตรงหน้าทำให้นางตกใจสุดขีด เพราะไม่เคยเห็นองครักษ์ที่แข็งแรงเปี่ยมล้นด้วยกำลังวังชาเหลือล้นราวกับม้าศึกคึกคะนองอยู่ในสภาพที่อ่อนปวกเปียกเช่นนี้ ตั้มไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้นางเห็นมาก่อน..

    "เจ้า! ตั้ม! อย่าตายนะ!"นางร้องก่อนที่จะรีบวิ่งไปดูอาการของเขาอย่างร้อนใจ

    "กระหม่อมมิได้เป็นอะไรมากหรอกพะยะฮ่ะ"

    "องค์หญิงทรงรีบออกเรือเสียก่อนเถิดพะยะค่ะ ชักช้าไม่ได้นะพะยะค่ะ ข้าคิดว่าพวกทหารจะต้องตามมาอย่างแน่นอนพะยะค่ะ"บูรณ์ร้องเตือน เขาแน่ใจว่าตอนนี้บรรดาทหารยามน่าจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น หรืออย่างน้อยก็อะไรหายไป...

    "แต่ว่า..."

    "ใช่แล้ว...พะยะฮ่ะ...พี่บูรณ์พูดถูก...พวกทหารเริ่มรู้ตัวแล้ว...แต่องค์หญิง...ได้โปรดขึ้นเสากระโทงและชักใบเรือเสียก่อนพะยะฮ่ะ มิเช่นนั้นแล้ว กะหม่อมจะ...อ๊อก..."

    "อ๊อก..."

    "อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"

    ตั้มไม่รอช้า รีบตะกายตัวไปอาเจียนที่กราบเรือทันที...ก่อนที่ไม่นานนักที่เขาจะหมดสติไป

    "เฮ้ย!/ตั้มมมมมมมมมมมมม"

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×