ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic TS9 อ้นดิวเชอรีนบูรณ์ (harem) feat.ดี,ตั้ม,แบมบี้

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ค. 56


    "เจ้าอย่ามาอำข้าเล่นเสียดีกว่า..."บูรณ์ว่าทำยืนกรานว่าไม่เชื่อ แต่สีหน้าของเขาดูลังเลใจ รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สีหน้าที่จริงจังของตั้มทำให้เขาสามารถตั้งใจฟังเรื่องราวจนจบ บูรณ์พยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองด้วยนิสัยที่ติดระแวงและทิฐิเล็กๆที่ยังคงอยู่หล่อหลอมให้เขาคิดว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

     

    ไอ้องครักษ์หน้าทะเล้นนี่มันคงจะหาเรื่องมาล้อเลียนกับเขาเล่นเป็นแน่...

    แต่ทว่าอีกใจนึงเขาก็อยากจะปักใจเชื่อ... เพราะถึงอย่างไรเขาก็เห็นอยู่ตำตาตั้งแต่เมื่อตอนเย็นว่าพระนางทรงกริ้วเพียงใด

    "เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ ใครจะมานั่งอำกันเล่น อีกอย่าง ไม่เช่นนั้นข้าคงมิกล้ามาบุกถ้ำเสือของท่านพี่ดึกๆดื่นๆปานนี้หรอก"ตั้มพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังเสียจนบูรณ์เริ่มจะเชื่อเขาจริงๆ แต่ถึงอย่างไรราชครูหนุ่มก็ถอนหายใจแล้วกอดอก

    "ถ้าหากเป็นเรื่องจริง เจ้าก็จะยอมติดตามองค์หญิงไปอย่างง่ายๆเพียงเท่านั้นหรือ ดีไม่ดีจะถูกประหารในฐานะกบฎละทิ้งหน้าที่ราชการและลักพาตัวองค์หญิง"เขาพูดอย่างมีเหตุผลชัดเจนในทุกประเด็นที่กล่าวมา

    แต่ถึงอย่างไร...องครักษ์หนุ่มรู้ดีว่าคนอย่างพระอาจารย์มีหรือจะเกลี้ยกล่อมกันอย่างง่ายๆ(?) เขาจึงได้ตระเตรียมคำพูดเอาไว้อยู่แล้ว

    "แต่ถ้าหากองค์หญิงหายตัวไป ก็จะถือว่าข้าบกพร่องต่อหน้าที่อีกเช่นกัน ดีไม่ดีข้าก็จะถูกจับยัดเข้าตารางโดยไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันโดยที่ไม่ได้มีโอกาสแก้ตัวใดๆ ยิ่งไม่คุ้มเสียมากกว่าหรือไร!?"ตั้มรีบสวนกลับทันทีด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น

    "ถ้าเช่นนั้นมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับข้า นั่นเป็นปัญหาของเจ้า..."เขาทำตีสีหน้าเรียบเฉยทำเมินทำหูทวนลม น้ำเสียงนิ่มๆเย็นๆชวนให้รู้สึกถึงความหยิ่งผยองของเจ้าตัว

    'ไอ้คนปากแข็งเอ้ย!'ตั้มคิด รู้สึกอยากเตะคนตรงหน้าชะมัด... อยากจะกระชากไอ้หน้ากากหน้าตายของพ่อหนุ่มเย็นชาคนนี้จริงๆ

    "ท่านพี่ท่านจงอย่าปฏิเสธกับข้าเลย ท่านรู้ดีว่าตนเองมีใจให้กับองค์หญิงเสียเต็มอก ถึงอย่างไรท่านก็ย่อมต้องห่วงสวัสดิภาพของนาง"หนุ่มผิวเข้มกล่าวอย่างฉะฉานตรงไปตรงมาพลางยิ้มกริ่มอย่างคนรู้ทัน

    คำพูดทุกคำจี้ถูกจุดของพระอาจารย์เข้าอย่างจัง... ด้วยความที่ราชครูหนุ่มเป็นคนหน้าบางโดยเนื้อแท้ เมื่อได้ยินหนุ่มรุ่นน้องมาพูดจาหยามน้ำหน้ากันถึงซะขนาดนี้ทำให้เขารู้สึกโกรธจนตัวสั่น บูรณ์กัดฟันแน่นพยายามข่มอารมณ์ ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

    "ข้าเห็นว่าแผนการของเจ้า...ไม่ว่าจะของเจ้าหรือขององค์หญิง ล้วนแล้วซึ่งแต่ไร้ซึ่งความเป็นรูปธรรม เจ้าจงกลับไปเกลี้ยกล่อมให้พระนางพักผ่อนพระวรกายเสียเถิด โปรดทูลพระนางด้วยพรุ่งนี้ข้าจะเริ่มบทเรียนแต่เช้าเพื่อชดเชยบทที่ยังค้างคาจากวันนี้..."คำพูดของบูรณ์เปรียบดั่งคำปฏิเสธและไล่อย่างสุภาพ ตั้มยิ้มที่มุมปาก

    ยังไงเสียเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องออกมาในรูปนี้...

    วราวุทธสบดวงตาที่สุกใสแวววาวของเขากับชายหนุ่มรุ่นพี่ ดูเหมือนว่าบุรุษร่างบางตรงหน้าจะยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    ธันยบูรณ์สังเกตถึงสีหน้าที่ผิดปกติขององครักษ์หนุ่ม ดูเขาจะส่งสายตาขบขันประหลาดๆมาให้กับเขา อะไรกัน...ไอ้เจ้านี่มันบ้าไปแล้วหรือไง? ขนาดเขาอุตส่าห์พูดอย่างชัดเจนในเจตณารมย์เสียถึงเพียงนี้แล้ว มันจะยังยืนยิ้มอยู่ทำไมกันอีก..!?

    "ท่านพี่...ท่านคงไม่รู้ตัวเสียกระมัง ว่าอะไรหายไป..."วราวุทธพูดพลางยิ้มยียวน สีหน้าบ่งบอกถึงคนที่ถือไพ่เหนือกว่า

    คำพูดนั้นทำให้บูรณ์หูผึ่งทันที เขารีบสำรวจตัวเอง มองซ้ายมองขวาอย่างตาลีตาเหลือกลุกลี้ลุกลน...

    อะไร!? อะไรกันที่หายไป!?

    ตั้มโบกของสิ่งหนึ่งกลางอากาศ และเจ้าของสิ่งนั้นมันก็แทบจะทำให้เขาลมใส่...

    "เจ้าเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?"เขาพูดอย่างหมดแรง หลังจากที่เมื่อครู่พยายามจะยื้อแย่งสมุดหนังจากพ่อหนุ่มมือไว แต่ถึงอย่างไรมือเรียวบางก็กลับไขว่คว้าได้เพียงแค่อากาศ

    แน่นอน ก็เพราะเจ้าหมอนี่มันเป็นองครักษ์ประจำพระองค์นี่ ไอ้เรื่องมือเท้าไวของมันคงเป็นเรื่องธรรมดา

    บูรณ์ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง...

    รู้งี้ไม่ให้มันเข้ามาตั้งแต่แรกซะก็คงจะดี...

    "มันอยู่ที่ข้าตั้งแต่แรกแล้วเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องเป็นคนพูดยาก ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ต้องทำแบบนี้"

    "ถ้าหากท่านไม่ยอมร่วมมือกับข้า สมุดบันทึกที่รักของท่านจะตกอยู่ในเงื้อมมือขององค์หญิง ฮึๆฮ่าๆๆๆๆ"เขาพูดก่อนที่จะหัวเราะอย่างชั่วร้าย...

    พอถึงเวลานี้แล้วธันยบูรณ์ก็ต้องจำใจยอมรับว่าถึงแม้เจ้าคนตรงหน้ามันจะอายุห่างกับเขาหลายปี แต่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่ช่วยบั่นทอนสติปัญญาของมันให้น้อยลงเลย...

    "เจ้าจะใช้มันขู่ให้ข้ายอมเข้าร่วมแผนชั่วของเจ้าหรือไง? ลืมมันเสียเถอะ!"หนุ่มร่างบางขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาดูจะเชิดขึ้นเล็กๆ เขายังคงยืนกรานที่จะปากแข็งอยู่นั่นเอง

    ราชครูหนุ่มพยายามที่จะชั่งน้ำหนักในหัว ลำพังหากองค์หญิงได้อ่านสมุดบันทึกของเขาแล้วอาจจะคงไม่เท่าไหร่ เขาอาจจะต้องทนยอมกล้ำกลืนศักดิ์ศรีให้เป็นที่ล้อเลียนอย่างสนุกปากของพระนางทุกเช้าบ่าย

    แต่ถ้าหากมันไปตกอยู่ในมือของฝ่าบาท เขาจะทำเช่นไหร่กัน!? ศีรษะของเขาจะไม่หลุดออกจากบ่าหรือไร ถ้าหากเจ้านครบานัตจะทรงล่วงรู้ว่าเขาแอบคิดกับองค์หญิงด้วยความสัมพันธ์ชู้สาว

    และอีกใจนึง เขาก็แน่ใจว่าในเมื่อตั้มประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งออกมาเสียขนาดนี้แล้ว อย่างไรเขาก็คงจะต้องยืนกรานที่จะตามไปรับใช้ข้างพระวรกายของพระนางเป็นแน่... เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ยังไงเขาก็ไม่ไว้วางใจในตัวองครักษ์หนุ่มผู้ดูจะขาดๆเกินๆนี้... เขารู้สึกเป็นห่วงถึงสวัสดิภาพของพระนาง

    แต่ทว่ามีอยู่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ...

    "องค์หญิงทรงชิงชังในตัวข้า"บูรณ์กล่าว

    "นั่นแปลว่าท่านไม่ได้เข้าใจในตัวนางเลย..."ตั้มยิ้มเยาะ

     

    "เอาเถิดน่า ถือว่านอกจากท่านจะได้ซื้อเวลาให้กับทั้งตัวเองแล้วก็องค์หญิงไง องค์หญิงไม่อยากจะอภิเษก ท่านก็คงไม่อยากทนเห็นพระนางอภิเษก แถมถ้าหากเราสามคนหนีไปด้วยกันได้ ท่านก็ยังจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพระนางอีก..."

    "กำไรสองเด้งเลยล่ะเป็นไง! ท่านลูกชายคหบดี เห็นอยู่โต้งๆว่าคุ้มขนาดไหน!"

    "เดี๋ยว! เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพ่อข้าเป็นคหบดี..."บูรณ์ชะงัก

    "เอาเถอะน่า ข้ารู้ทุกอย่างแล้วกัน ข้ารู้แม้กระทั่งว่าท่านกินอะไรเป็นอาหารเช้า...ขนมปังฝรั่งเศสกับกาแฟดำ กร๊ากๆๆๆ"ว่าแล้ววราวุทธหัวเราะอย่างชั่วร้าย ปานชายโฉดในละครเวทีก็มิปาน..

    บูรณ์อ้าปากค้าง สีหน้าของเขาดูสะพรึง...ไอ้เจ้าบุคคลตรงหน้าเขาช่างเป็นคนที่น่ากลัวอะไรเยี่ยงนี้

    "เอาเถิด ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้แล้วกัน ว่าที่ข้ายอมตกลงปลงใจกับเจ้า สาเหตุคงมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว เพียงเพราะข้าเป็นห่วงสวัสดิภาพของนาง"

    ตั้มแทบจะเหยียดปากเยาะ...โถ่ ทีอย่างนี้ล่ะมาทำพูดว่าห่วงสวัสดิภาพ เมื่อครู่ยังยกเหตุผลนู่นนี่นั่นมาอยู่เลย

    แต่ถึงอย่างไรเสีย ก็ถือว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว องค์รักษ์หนุ่มสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม มือหนาคล้ำควานหาอะไรบางอย่างก่อนที่จะยัดของบางสิ่งลงบนฝ่ามือขาวบาง

    ชายหนุ่มร่างบางจ้องมองลูกกุญแจสีทองดอกเล็กนอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่ามือ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าสหายร่วมทางอย่างไม่เข้าใจ

    "เจ้าเอามาให้ข้าทำไมกัน..?"

    "ท่านพี่รบกวนช่วยเก็บของให้ข้าด้วย นั่นคือกุญแจห้องพักของข้า..."

    "เฮ้ย!"

    "ส่วนสมุดเล่มนี้เห็นทีข้าจะต้องเก็บเอาไว้ก่อน เพื่อเป็นหลักประกันไม่ให้ท่านเบี้ยว..."เขาพูดแล้วขยิบตา

    "เจ้า! เจ้า!"บูรณ์รู้สึกสะอึก...ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าคนตรงหน้า

    ดูเหมือนว่าคำว่าเกรงใจจะไม่ได้บรรจุอยู่ในพจนานุกรมของตั้มเลยแม้แต่น้อย

    "ข้าขอแค่ของใช้จำเป็นไม่กี่อย่าง กับเสื้อผ้า...อันที่จริงข้าก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ของร่วมกับท่านพี่"เขายิ้มก่อนที่จะทำท่าจะเผ่น

    "แต่ข้ารังเกียจ!"บูรณ์ตะโกนไล่หลังไป แต่เจ้าหนุ่มดันพุ่งพรวดออกไปจากประตูนานแล้ว

    นานมาแล้วที่บูรณ์ไม่ได้รู้สึกอยากร้องไห้ขนาดนี้... ไอ้เจ้าบ้านั่น นึกอยากจะทำอะไรก็ทำจริงๆ เพราะอย่างนี้นั่นไง ที่องค์หญิงถูกตามใจจนเสียนิสัยก็เพราะเขานั่นแหละ!

    ปากมันก็หาว่าเขาเป็นคนที่รับมือยาก แต่เขาชักแน่ใจ ว่าไอ้คนพรรค์อย่างเจ้าตั้ม....มันต่างหาก...ที่เป็นคนที่รับมือด้วยได้ยากกว่าเขาเสียอีก

    แต่ทันใดนั้นเองประตูก็ถูกเปิดพรวดกลับเข้ามา ใบหน้าของคนผิวคล้ำแทรกเข้ามาในช่องระหว่างประตูกับวงกบ...

    "โอ๊ะ ข้าลืมบอกท่านพี่ไป เจอกันเที่ยงคืนตรงที่นี่ เพื่อไม่ให้ท่านต้องลำบากเทียวขนของไปมา... ท่านพี่คงรู้ดี ว่าที่พักของท่านอยู่ใกล้กรมโยธาฯมากที่สุด"ตั้มสั่งเป็นฉากๆก่อนที่จะหนีลอยนวลไปอีกครั้ง เพื่อที่จะกลับไปหาองค์หญิงเชอรีนที่ห้องอีกครั้ง เพื่อไปเฝ้าให้แน่ใจว่าพระนางจะยังคงไม่หนีไปไหนและรีบทำอะไรบุ่มบ่ามคนเดียว..

    บูรณ์ถอนหายใจ...ไม่เข้าใจจริงๆว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องยอมจำนนถึงมากมายเสียเพียงนี้... ตำแหน่งที่เขากินอยู่นั้นกว่าที่เขาจะได้มานั้นแทบจะหืดขึ้นคอ เขาอุตส่าห์ตั้งใจทุ่มเทให้กับการศึกษาเล่าเรียนอย่างถวายชีวิต เสียเงินจำนวนมากเพื่อเป็นค่าครูให้กับปราชญ์แห่งยุคก่อนที่จะสอบไล่เป็นบัณฑิตได้ที่หนึ่งและเข้าบรรจุในหน้าที่การงานที่เขารู้สึกรัก...

    ธันยบูรณ์สั่นศีรษะ ตอนนี้คงจะไม่ใช่เวลาที่จะมัวมานั่งคิดถึงอดีต...อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ใกล้จะถึงเพลาเที่ยงคืนที่เป็นเวลานัดหมาย เขาไม่ควรที่จะรอช้า เขาลงมือเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็น เสื้อผ้าสองสามชุด ตำราเล่มสำคัญเล่มที่เขาชอบเล่มสองเล่ม และเงินสดจำนวนหนึ่งที่เป็นเงินที่เขาได้มาจากการรับราชการและเก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่ครั้นยังเยาว์วัย

    ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความฝันของเขาทั้งชีวิต จะต้องมาแลกกับเรื่องไม่เข้าท่าอย่างนี้หรือนี่

    คิดแล้วก็ถอนหายใจ

    บัณฑิตหนุ่มกลอกตาไปมาด้วยความหวาดหวั่น สักพักก็ชะงัก ทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก

    เมื่อครู่ตั้มพูดถึงกรมโยธาฯ...

    กรมโยธาฯ ท่าเรือ อู่เรือหลวง

    หรือว่า พวกเขาเลือกที่จะใช้วิธีการเดินทางทางน้ำกัน...?

    '

    '

    '

    อีกด้านหนึ่ง

    ณ ห้องบรรทมส่วนพระองค์ขององค์หญิงเชอรีน

    ในระหว่างที่องค์หญิงกำลังมัดปากย่ามหนังสำหรับสะพายหลังนั้นเอง...

    "พลั่ก!/กรี๊ดดดดดดดดดดด"

    จู่ๆประตูระเบียงก็ถูกเปิดออกเองอย่างประหลาด สักพักก็เผยให้เห็นเงาตะคุ่มๆของชายหนุ่มผิวสีคล้ำที่ตะกายตัวเข้ามา

    "ชู่ววว เบาๆสิพะยะฮ่ะ ประเดี๋ยวพระองค์อื่นๆจะทรงตื่นจากบรรทมหมดแล้วเราจะแย่นะพะยะฮ่ะ..."ตั้มเตือนพลางยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ปาก เชอรีนยังคงเอามือทาบอก

    "เจ้า...ขึ้นมาได้ยังไงกัน?"สีหน้าของหล่อนดูตกอกตกใจ

    "ปืนขึ้นมาสิพะยะฮ่ะ จะให้บินขึ้นมาคงจะเป็นไปไม่ได้นะพะยะฮ่ะ"องครักษ์หนุ่มเล่นลิ้นพลางปาดเหงื่อ

    "เดี๋ยวนะ...งั้นแสดงว่า นายก็ปีนรั้วปีนกำแพงวังได้ตั้งแต่ต้นสิ"

    "แม่นแล้วพะยะฮ่ะ"

    "คนหรือตุ๊กแกเนี่ย..."

    "โห่....คนสิพะยะฮ่ะ..."เขาบ่นในขณะที่ดึงย่ามหนังอันหนักอึ้งมาจากมือหญิงสาวก่อนที่จะทำทีจะออกไปทางเดิม... เชอรีนอ้าปากค้าง ก่อนจะกล่าวว่า

    "เดี๋ยวๆ เจ้าจะไปไหนน่ะ?"

    "ออกจากที่นี่ไปไงพะยะฮ่ะ"

    "เดี๋ยว แล้วเจ้าจะจะไปทางนั้น!? แล้วข้าล่ะ!?"

    "องค์หญิงเสด็จมาพร้อมกับกระหม่อมสิพะยะฮ่ะ"

    "ช้าอยู่ใยพะยะฮ่ะ หากเสด็จผ่านประตูหน้า ยังไงทหารยามจะต้องไม่ปล่อยเราไปง่ายๆนะพะยะฮ่ะ"เขากล่าว องค์หญิงลังเล ชั่งใจดู จริงสินะ ลำพังตั้มคนเดียวอาจจะรับมือกับกองทหารทั้งวังไม่ไหว

    แต่แล้วไม่ทันขาดคำ ตั้มก็ไม่รอช้า...ยกย่ามหนังขึ้นสะพายพาดบ่าก่อนที่จะกระโดดจากราวระเบียงดิ่งตัวลงสู่ผืนผสุธา

    "เฮ้ย เดี๋ยว!"เชอรีนร้องห้าม แต่ไม่ทัน ชายหนุ่มผิวคล้ำได้ยืนเต๊ะท่าอยู่เบื้องล่างเรียบร้อยแล้ว

    "โดดเลยพะยะฮ่ะ!"เขาร้องบอก

    "นี่มันชั้นสองนะ ไม่ใช่เล่นกระโดดเชือก ถ้าเกิดกระโดดลงไปแล้วข้าคอหักขึ้นมาจะว่ายังไงฮะ!?"

    "ก็ซ่อมสิพะยะฮ่ะ..."

    "ไอ้บ้าตั้ม!"องค์หญิงแหวเสียงแหลม

    "โดดลงมาสิพะยะฮ่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะรับพระองค์เอง"เขาอ้าแขนรอ

    "เฮ้ย เฮ้ย คนนะไม่ใช่ลูกบอล"นางว่า

    ตั้มยืนเท้าสะเอว เริ่มชักอดรนทนไม่ไหว เอามือเกาคางแกรกๆอย่างขบคิด ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงออกอุบายว่า

    "ถ้าอย่างนั้นพระองค์ล้มเลิกความคิดที่จะหลบหนีไปเสียเถิดพะยะฮ่ะ เพราะลำพังกระหม่อมคาดว่าหนทางข้างหน้าคงจะลำบากมากกว่านี้..."เขาทำย่นจมูกแล้วทำสีหน้าดูแคลนใส่ ก่อนจะก้มหน้าแอบซ่อนอมยิ้มเล็กๆ เพราะรู้ซึ้งถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
     

    เขารู้จักนางดี รู้ดีว่าคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างนางจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำเสียงอย่างนั้นใส่เป็นอันขาด

    "หนอย เจ้าจะดูถูกข้ามากเกินไปแล้วนะ! ฮึ่ย ถ้าเกิดข้าคอหักตาย จะเป็นผีมาหลอกเจ้าคนแรก คอยดู!"นางคาดโทษก่อนที่จะเอามือเรียวบางเท้าระเบียงถ่ายน้ำหนักก่อนก้าวข้ามระเบียงที่ทอดยาว เมื่อดวงตาหวานเหลือบมองลงไปที่ผืนผสุธาล่างก็อดไม่ได้ที่จะใจหวิว

    องค์หญิงผู้เลอโฉมสั่นศีรษะ ไม่ได้การ นางอุตส่าห์มาไกลถึงขนาดนี้ เกินกว่าที่จะหันหลังกลับแล้ว

    ท้ายที่สุดนางก็กลั้นใจกระโดดลงจากระเบียง

    'อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!'นางอ้าปากค้างได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างไม่มีเสียง เพราะกลัวว่าจะใครจะได้ยินเข้าหัวใจเต้นรัวราวกับกลองทิมปะนี เตรียมใจรับแรงกระแทก

    หล่อนหลับตาปี๋

    "ก็แค่นี้เองพะยะฮ่ะ"เขาบอกก่อนที่จะวางตัวนางลงกับพื้น

    "หา? เอ๊ะ ข้ายังไม่ตายนี่นา กร๊าก ข้ายังไม่ตายยยยยยยย"

    "ก็ใช่นะสิพะยะฮ่ะ"เขาบ่น ดูหงุดหงิดเล็กๆกับจินตนาการล้ำเลิศของนาง

    องค์หญิงรู้ตัวว่าเขาคงจะเริ่มที่จะไม่ค่อยสบอารมณ์

    "อะแฮ่ม แล้วเราจะไปยังไงต่อ?"

    "ตามแผนเดิมที่องค์หญิงทรงวางเอาไว้อย่างไรพะยะฮ่ะ"เขากล่าวก่อนที่จะจับข้อมือพระนางให้เดินตามเขา เดินลัดเข้าไปในป่าละเมาะในทางที่คดไปเคี้ยวมา เชอรีนเพิ่งจะทราบเอาเดี๋ยวนี้ว่าอาณาบริเวณพระราชวังที่เธออยู่มาเกือบสิบเก้าปีกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ โลกทั้งใบดูกว้างใหญ่เสียเหลือเกินในเวลานี้ รู้สึกราวกับว่าที่ผ่านมาตัวเธอนั้นเป็นกบในกะลามาตลอด หล่อนอดรู้สึกหวั่นใจเล็กๆไม่ได้เมื่อต้องเดินไปตามทางที่มืดมิด แสงจันทร์ที่ฉายเพียงเสี้ยวเดียวไม่ได้ทำให้ดวงใจของเธอชื้่นขึ้นเลย แต่ถึงอย่างไรก็พยายามกล่อมดวงใจน้อยๆให้เชื่อใจในตัวองครักษ์

    เชอรีนยกมือข้างที่ว่างอยู่ปาดเหงื่อเบาๆ สีหน้าดูเลิ่กลั่ก

    บางสิ่งบางอย่างก็ทำให้เธออดระแวงในตัวเขาไม่ได้.. เธอแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย ร่างของเขาเองก็แทบจะกลืนกินเข้ากับความมืดมิด แล้วเขาจะพาเธอไปไหนกัน นี่เธอเชื่อใจคนง่ายเกินไปหรือเปล่า!? เพียงแค่ฟังเขาถวายสัตย์เสียดิบดีเมื่อราวๆชั่วยามที่แล้ว เธอก็เชื่อเขาเสียจนหมดใจ... เชอรีนกลอกตาไปมาด้วยความหวาดหวั่น บางทีไอ้คำพูดซึ้งๆนั่นใครมันก็บรรจงประดิษฐ์ขึ้นมาได้ทั้งนั้นแหละ

    "ตั้ม..."หล่อนเรียกเขาเบาๆ ในใจรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาอีกก้าว

    ทว่าไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

    "ตั้ม!"

    "พะยะฮ่ะ!"เขาสะดุ้งเล็กๆก่อนที่จะรีบหันมา

    "เราอยู่ที่ไหนกัน?"

    "อีกประเดี๋ยวจะถึงแล้วพะยะฮ่ะ"

    "เห็นไหม?นี่ไงพะยะฮ่ะ!"เขาแหวกพงหญ้าที่ขึ้นรกออก แสงจันทร์นวลสะท้อนกับหาดทราย องค์หญิงเชอรีนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าได้ยินเสียงคลื่นซัดเบาๆ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

    "ทรงรู้สึกไม่สบายพระวรกายหรือเปล่าพะยะฮ่ะ"

    "เปล่า...เออนี่ตั้ม...แล้วสัมภาระของเจ้าล่ะ?"เธอกลบเกลื่อนก่อนจะถามเพราะยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ว่าเขาจะออกเดินทางทั้งๆที่ตัวเปล่าเล่าเปลือยอย่างนี้น่ะหรือ

    "อ๋อ กระหม่อมใช้ใครบางคนเก็บให้เรียบร้อยแล้วพะยะฮ่ะ!"เขาพูดแล้วยืดอกอย่างภาคภูมิใจ

    "เอ๊ะ เจ้ามีคนรับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"

    วราวุทธฉีกยิ้ม ไม่พูดอะไร รู้สึกสะใจพิลึก

    และแล้วทันใดนั้นเอง...

    "ฮัดเช่ยยยยยยยยยยย"เสียงจามของใครบางคนดังมาแต่ไกล ทั้งตั้มและเชอรีนต่างสะดุ้งหูผึ่ง ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสะพรึง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×