คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3
"เจ้าอย่ามาอำข้าเล่นเสียดีกว่า..."บูรณ์ว่าทำยืนกรานว่าไม่เชื่อ แต่สีหน้าของเขาดูลังเลใจ รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สีหน้าที่จริงจังของตั้มทำให้เขาสามารถตั้งใจฟังเรื่องราวจนจบ บูรณ์พยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองด้วยนิสัยที่ติดระแวงและทิฐิเล็กๆที่ยังคงอยู่หล่อหลอมให้เขาคิดว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
ไอ้องครักษ์หน้าทะเล้นนี่มันคงจะหาเรื่องมาล้อเลียนกับเขาเล่นเป็นแน่...
แต่ทว่าอีกใจนึงเขาก็อยากจะปักใจเชื่อ... เพราะถึงอย่างไรเขาก็เห็นอยู่ตำตาตั้งแต่เมื่อตอนเย็นว่าพระนางทรงกริ้วเพียงใด
"เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ ใครจะมานั่งอำกันเล่น อีกอย่าง ไม่เช่นนั้นข้าคงมิกล้ามาบุกถ้ำเสือของท่านพี่ดึกๆดื่นๆปานนี้หรอก"ตั้มพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังเสียจนบูรณ์เริ่มจะเชื่อเขาจริงๆ แต่ถึงอย่างไรราชครูหนุ่มก็ถอนหายใจแล้วกอดอก
"ถ้าหากเป็นเรื่องจริง เจ้าก็จะยอมติดตามองค์หญิงไปอย่างง่ายๆเพียงเท่านั้นหรือ ดีไม่ดีจะถูกประหารในฐานะกบฎละทิ้งหน้าที่ราชการและลักพาตัวองค์หญิง"เขาพูดอย่างมีเหตุผลชัดเจนในทุกประเด็นที่กล่าวมา
แต่ถึงอย่างไร...องครักษ์หนุ่มรู้ดีว่าคนอย่างพระอาจารย์มีหรือจะเกลี้ยกล่อมกันอย่างง่ายๆ(?) เขาจึงได้ตระเตรียมคำพูดเอาไว้อยู่แล้ว
"แต่ถ้าหากองค์หญิงหายตัวไป ก็จะถือว่าข้าบกพร่องต่อหน้าที่อีกเช่นกัน ดีไม่ดีข้าก็จะถูกจับยัดเข้าตารางโดยไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันโดยที่ไม่ได้มีโอกาสแก้ตัวใดๆ ยิ่งไม่คุ้มเสียมากกว่าหรือไร!?"ตั้มรีบสวนกลับทันทีด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น
"ถ้าเช่นนั้นมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับข้า นั่นเป็นปัญหาของเจ้า..."เขาทำตีสีหน้าเรียบเฉยทำเมินทำหูทวนลม น้ำเสียงนิ่มๆเย็นๆชวนให้รู้สึกถึงความหยิ่งผยองของเจ้าตัว
'ไอ้คนปากแข็งเอ้ย!'ตั้มคิด รู้สึกอยากเตะคนตรงหน้าชะมัด... อยากจะกระชากไอ้หน้ากากหน้าตายของพ่อหนุ่มเย็นชาคนนี้จริงๆ
"ท่านพี่ท่านจงอย่าปฏิเสธกับข้าเลย ท่านรู้ดีว่าตนเองมีใจให้กับองค์หญิงเสียเต็มอก ถึงอย่างไรท่านก็ย่อมต้องห่วงสวัสดิภาพของนาง"หนุ่มผิวเข้มกล่าวอย่างฉะฉานตรงไปตรงมาพลางยิ้มกริ่มอย่างคนรู้ทัน
คำพูดทุกคำจี้ถูกจุดของพระอาจารย์เข้าอย่างจัง... ด้วยความที่ราชครูหนุ่มเป็นคนหน้าบางโดยเนื้อแท้ เมื่อได้ยินหนุ่มรุ่นน้องมาพูดจาหยามน้ำหน้ากันถึงซะขนาดนี้ทำให้เขารู้สึกโกรธจนตัวสั่น บูรณ์กัดฟันแน่นพยายามข่มอารมณ์ ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
"ข้าเห็นว่าแผนการของเจ้า...ไม่ว่าจะของเจ้าหรือขององค์หญิง ล้วนแล้วซึ่งแต่ไร้ซึ่งความเป็นรูปธรรม เจ้าจงกลับไปเกลี้ยกล่อมให้พระนางพักผ่อนพระวรกายเสียเถิด โปรดทูลพระนางด้วยพรุ่งนี้ข้าจะเริ่มบทเรียนแต่เช้าเพื่อชดเชยบทที่ยังค้างคาจากวันนี้..."คำพูดของบูรณ์เปรียบดั่งคำปฏิเสธและไล่อย่างสุภาพ ตั้มยิ้มที่มุมปาก
ยังไงเสียเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องออกมาในรูปนี้...
วราวุทธสบดวงตาที่สุกใสแวววาวของเขากับชายหนุ่มรุ่นพี่ ดูเหมือนว่าบุรุษร่างบางตรงหน้าจะยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ธันยบูรณ์สังเกตถึงสีหน้าที่ผิดปกติขององครักษ์หนุ่ม ดูเขาจะส่งสายตาขบขันประหลาดๆมาให้กับเขา อะไรกัน...ไอ้เจ้านี่มันบ้าไปแล้วหรือไง? ขนาดเขาอุตส่าห์พูดอย่างชัดเจนในเจตณารมย์เสียถึงเพียงนี้แล้ว มันจะยังยืนยิ้มอยู่ทำไมกันอีก..!?
"ท่านพี่...ท่านคงไม่รู้ตัวเสียกระมัง ว่าอะไรหายไป..."วราวุทธพูดพลางยิ้มยียวน สีหน้าบ่งบอกถึงคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
คำพูดนั้นทำให้บูรณ์หูผึ่งทันที เขารีบสำรวจตัวเอง มองซ้ายมองขวาอย่างตาลีตาเหลือกลุกลี้ลุกลน...
อะไร!? อะไรกันที่หายไป!?
ตั้มโบกของสิ่งหนึ่งกลางอากาศ และเจ้าของสิ่งนั้นมันก็แทบจะทำให้เขาลมใส่...
"เจ้าเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?"เขาพูดอย่างหมดแรง หลังจากที่เมื่อครู่พยายามจะยื้อแย่งสมุดหนังจากพ่อหนุ่มมือไว แต่ถึงอย่างไรมือเรียวบางก็กลับไขว่คว้าได้เพียงแค่อากาศ
แน่นอน ก็เพราะเจ้าหมอนี่มันเป็นองครักษ์ประจำพระองค์นี่ ไอ้เรื่องมือเท้าไวของมันคงเป็นเรื่องธรรมดา
บูรณ์ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง...
รู้งี้ไม่ให้มันเข้ามาตั้งแต่แรกซะก็คงจะดี...
"มันอยู่ที่ข้าตั้งแต่แรกแล้วเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องเป็นคนพูดยาก ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ต้องทำแบบนี้"
"ถ้าหากท่านไม่ยอมร่วมมือกับข้า สมุดบันทึกที่รักของท่านจะตกอยู่ในเงื้อมมือขององค์หญิง ฮึๆฮ่าๆๆๆๆ"เขาพูดก่อนที่จะหัวเราะอย่างชั่วร้าย...
พอถึงเวลานี้แล้วธันยบูรณ์ก็ต้องจำใจยอมรับว่าถึงแม้เจ้าคนตรงหน้ามันจะอายุห่างกับเขาหลายปี แต่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่ช่วยบั่นทอนสติปัญญาของมันให้น้อยลงเลย...
"เจ้าจะใช้มันขู่ให้ข้ายอมเข้าร่วมแผนชั่วของเจ้าหรือไง? ลืมมันเสียเถอะ!"หนุ่มร่างบางขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาดูจะเชิดขึ้นเล็กๆ เขายังคงยืนกรานที่จะปากแข็งอยู่นั่นเอง
ราชครูหนุ่มพยายามที่จะชั่งน้ำหนักในหัว ลำพังหากองค์หญิงได้อ่านสมุดบันทึกของเขาแล้วอาจจะคงไม่เท่าไหร่ เขาอาจจะต้องทนยอมกล้ำกลืนศักดิ์ศรีให้เป็นที่ล้อเลียนอย่างสนุกปากของพระนางทุกเช้าบ่าย
แต่ถ้าหากมันไปตกอยู่ในมือของฝ่าบาท เขาจะทำเช่นไหร่กัน!? ศีรษะของเขาจะไม่หลุดออกจากบ่าหรือไร ถ้าหากเจ้านครบานัตจะทรงล่วงรู้ว่าเขาแอบคิดกับองค์หญิงด้วยความสัมพันธ์ชู้สาว
และอีกใจนึง เขาก็แน่ใจว่าในเมื่อตั้มประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งออกมาเสียขนาดนี้แล้ว อย่างไรเขาก็คงจะต้องยืนกรานที่จะตามไปรับใช้ข้างพระวรกายของพระนางเป็นแน่... เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ยังไงเขาก็ไม่ไว้วางใจในตัวองครักษ์หนุ่มผู้ดูจะขาดๆเกินๆนี้... เขารู้สึกเป็นห่วงถึงสวัสดิภาพของพระนาง
แต่ทว่ามีอยู่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ...
"องค์หญิงทรงชิงชังในตัวข้า"บูรณ์กล่าว
"นั่นแปลว่าท่านไม่ได้เข้าใจในตัวนางเลย..."ตั้มยิ้มเยาะ
"เอาเถิดน่า ถือว่านอกจากท่านจะได้ซื้อเวลาให้กับทั้งตัวเองแล้วก็องค์หญิงไง องค์หญิงไม่อยากจะอภิเษก ท่านก็คงไม่อยากทนเห็นพระนางอภิเษก แถมถ้าหากเราสามคนหนีไปด้วยกันได้ ท่านก็ยังจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพระนางอีก..."
"กำไรสองเด้งเลยล่ะเป็นไง! ท่านลูกชายคหบดี เห็นอยู่โต้งๆว่าคุ้มขนาดไหน!"
"เดี๋ยว! เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพ่อข้าเป็นคหบดี..."บูรณ์ชะงัก
"เอาเถอะน่า ข้ารู้ทุกอย่างแล้วกัน ข้ารู้แม้กระทั่งว่าท่านกินอะไรเป็นอาหารเช้า...ขนมปังฝรั่งเศสกับกาแฟดำ กร๊ากๆๆๆ"ว่าแล้ววราวุทธหัวเราะอย่างชั่วร้าย ปานชายโฉดในละครเวทีก็มิปาน..
บูรณ์อ้าปากค้าง สีหน้าของเขาดูสะพรึง...ไอ้เจ้าบุคคลตรงหน้าเขาช่างเป็นคนที่น่ากลัวอะไรเยี่ยงนี้
"เอาเถิด ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้แล้วกัน ว่าที่ข้ายอมตกลงปลงใจกับเจ้า สาเหตุคงมีอยู่เพียงหนึ่งเดียว เพียงเพราะข้าเป็นห่วงสวัสดิภาพของนาง"
ตั้มแทบจะเหยียดปากเยาะ...โถ่ ทีอย่างนี้ล่ะมาทำพูดว่าห่วงสวัสดิภาพ เมื่อครู่ยังยกเหตุผลนู่นนี่นั่นมาอยู่เลย
แต่ถึงอย่างไรเสีย ก็ถือว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว องค์รักษ์หนุ่มสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม มือหนาคล้ำควานหาอะไรบางอย่างก่อนที่จะยัดของบางสิ่งลงบนฝ่ามือขาวบาง
ชายหนุ่มร่างบางจ้องมองลูกกุญแจสีทองดอกเล็กนอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่ามือ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าสหายร่วมทางอย่างไม่เข้าใจ
"เจ้าเอามาให้ข้าทำไมกัน..?"
"ท่านพี่รบกวนช่วยเก็บของให้ข้าด้วย นั่นคือกุญแจห้องพักของข้า..."
"เฮ้ย!"
"ส่วนสมุดเล่มนี้เห็นทีข้าจะต้องเก็บเอาไว้ก่อน เพื่อเป็นหลักประกันไม่ให้ท่านเบี้ยว..."เขาพูดแล้วขยิบตา
"เจ้า! เจ้า!"บูรณ์รู้สึกสะอึก...ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าคนตรงหน้า
ดูเหมือนว่าคำว่าเกรงใจจะไม่ได้บรรจุอยู่ในพจนานุกรมของตั้มเลยแม้แต่น้อย
"ข้าขอแค่ของใช้จำเป็นไม่กี่อย่าง กับเสื้อผ้า...อันที่จริงข้าก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ของร่วมกับท่านพี่"เขายิ้มก่อนที่จะทำท่าจะเผ่น
"แต่ข้ารังเกียจ!"บูรณ์ตะโกนไล่หลังไป แต่เจ้าหนุ่มดันพุ่งพรวดออกไปจากประตูนานแล้ว
นานมาแล้วที่บูรณ์ไม่ได้รู้สึกอยากร้องไห้ขนาดนี้... ไอ้เจ้าบ้านั่น นึกอยากจะทำอะไรก็ทำจริงๆ เพราะอย่างนี้นั่นไง ที่องค์หญิงถูกตามใจจนเสียนิสัยก็เพราะเขานั่นแหละ!
ปากมันก็หาว่าเขาเป็นคนที่รับมือยาก แต่เขาชักแน่ใจ ว่าไอ้คนพรรค์อย่างเจ้าตั้ม....มันต่างหาก...ที่เป็นคนที่รับมือด้วยได้ยากกว่าเขาเสียอีก
แต่ทันใดนั้นเองประตูก็ถูกเปิดพรวดกลับเข้ามา ใบหน้าของคนผิวคล้ำแทรกเข้ามาในช่องระหว่างประตูกับวงกบ...
"โอ๊ะ ข้าลืมบอกท่านพี่ไป เจอกันเที่ยงคืนตรงที่นี่ เพื่อไม่ให้ท่านต้องลำบากเทียวขนของไปมา... ท่านพี่คงรู้ดี ว่าที่พักของท่านอยู่ใกล้กรมโยธาฯมากที่สุด"ตั้มสั่งเป็นฉากๆก่อนที่จะหนีลอยนวลไปอีกครั้ง เพื่อที่จะกลับไปหาองค์หญิงเชอรีนที่ห้องอีกครั้ง เพื่อไปเฝ้าให้แน่ใจว่าพระนางจะยังคงไม่หนีไปไหนและรีบทำอะไรบุ่มบ่ามคนเดียว..
บูรณ์ถอนหายใจ...ไม่เข้าใจจริงๆว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องยอมจำนนถึงมากมายเสียเพียงนี้... ตำแหน่งที่เขากินอยู่นั้นกว่าที่เขาจะได้มานั้นแทบจะหืดขึ้นคอ เขาอุตส่าห์ตั้งใจทุ่มเทให้กับการศึกษาเล่าเรียนอย่างถวายชีวิต เสียเงินจำนวนมากเพื่อเป็นค่าครูให้กับปราชญ์แห่งยุคก่อนที่จะสอบไล่เป็นบัณฑิตได้ที่หนึ่งและเข้าบรรจุในหน้าที่การงานที่เขารู้สึกรัก...
ธันยบูรณ์สั่นศีรษะ ตอนนี้คงจะไม่ใช่เวลาที่จะมัวมานั่งคิดถึงอดีต...อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ใกล้จะถึงเพลาเที่ยงคืนที่เป็นเวลานัดหมาย เขาไม่ควรที่จะรอช้า เขาลงมือเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็น เสื้อผ้าสองสามชุด ตำราเล่มสำคัญเล่มที่เขาชอบเล่มสองเล่ม และเงินสดจำนวนหนึ่งที่เป็นเงินที่เขาได้มาจากการรับราชการและเก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่ครั้นยังเยาว์วัย
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความฝันของเขาทั้งชีวิต จะต้องมาแลกกับเรื่องไม่เข้าท่าอย่างนี้หรือนี่
คิดแล้วก็ถอนหายใจ
บัณฑิตหนุ่มกลอกตาไปมาด้วยความหวาดหวั่น สักพักก็ชะงัก ทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก
เมื่อครู่ตั้มพูดถึงกรมโยธาฯ...
กรมโยธาฯ ท่าเรือ อู่เรือหลวง
หรือว่า พวกเขาเลือกที่จะใช้วิธีการเดินทางทางน้ำกัน...?
'
'
'
อีกด้านหนึ่ง
ณ ห้องบรรทมส่วนพระองค์ขององค์หญิงเชอรีน
ในระหว่างที่องค์หญิงกำลังมัดปากย่ามหนังสำหรับสะพายหลังนั้นเอง...
"พลั่ก!/กรี๊ดดดดดดดดดดด"
จู่ๆประตูระเบียงก็ถูกเปิดออกเองอย่างประหลาด สักพักก็เผยให้เห็นเงาตะคุ่มๆของชายหนุ่มผิวสีคล้ำที่ตะกายตัวเข้ามา
"ชู่ววว เบาๆสิพะยะฮ่ะ ประเดี๋ยวพระองค์อื่นๆจะทรงตื่นจากบรรทมหมดแล้วเราจะแย่นะพะยะฮ่ะ..."ตั้มเตือนพลางยกนิ้วขึ้นมาจุ๊ปาก เชอรีนยังคงเอามือทาบอก
"เจ้า...ขึ้นมาได้ยังไงกัน?"สีหน้าของหล่อนดูตกอกตกใจ
"ปืนขึ้นมาสิพะยะฮ่ะ จะให้บินขึ้นมาคงจะเป็นไปไม่ได้นะพะยะฮ่ะ"องครักษ์หนุ่มเล่นลิ้นพลางปาดเหงื่อ
"เดี๋ยวนะ...งั้นแสดงว่า นายก็ปีนรั้วปีนกำแพงวังได้ตั้งแต่ต้นสิ"
"แม่นแล้วพะยะฮ่ะ"
"คนหรือตุ๊กแกเนี่ย..."
"โห่....คนสิพะยะฮ่ะ..."เขาบ่นในขณะที่ดึงย่ามหนังอันหนักอึ้งมาจากมือหญิงสาวก่อนที่จะทำทีจะออกไปทางเดิม... เชอรีนอ้าปากค้าง ก่อนจะกล่าวว่า
"เดี๋ยวๆ เจ้าจะไปไหนน่ะ?"
"ออกจากที่นี่ไปไงพะยะฮ่ะ"
"เดี๋ยว แล้วเจ้าจะจะไปทางนั้น!? แล้วข้าล่ะ!?"
"องค์หญิงเสด็จมาพร้อมกับกระหม่อมสิพะยะฮ่ะ"
"ช้าอยู่ใยพะยะฮ่ะ หากเสด็จผ่านประตูหน้า ยังไงทหารยามจะต้องไม่ปล่อยเราไปง่ายๆนะพะยะฮ่ะ"เขากล่าว องค์หญิงลังเล ชั่งใจดู จริงสินะ ลำพังตั้มคนเดียวอาจจะรับมือกับกองทหารทั้งวังไม่ไหว
แต่แล้วไม่ทันขาดคำ ตั้มก็ไม่รอช้า...ยกย่ามหนังขึ้นสะพายพาดบ่าก่อนที่จะกระโดดจากราวระเบียงดิ่งตัวลงสู่ผืนผสุธา
"เฮ้ย เดี๋ยว!"เชอรีนร้องห้าม แต่ไม่ทัน ชายหนุ่มผิวคล้ำได้ยืนเต๊ะท่าอยู่เบื้องล่างเรียบร้อยแล้ว
"โดดเลยพะยะฮ่ะ!"เขาร้องบอก
"นี่มันชั้นสองนะ ไม่ใช่เล่นกระโดดเชือก ถ้าเกิดกระโดดลงไปแล้วข้าคอหักขึ้นมาจะว่ายังไงฮะ!?"
"ก็ซ่อมสิพะยะฮ่ะ..."
"ไอ้บ้าตั้ม!"องค์หญิงแหวเสียงแหลม
"โดดลงมาสิพะยะฮ่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะรับพระองค์เอง"เขาอ้าแขนรอ
"เฮ้ย เฮ้ย คนนะไม่ใช่ลูกบอล"นางว่า
ตั้มยืนเท้าสะเอว เริ่มชักอดรนทนไม่ไหว เอามือเกาคางแกรกๆอย่างขบคิด ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงออกอุบายว่า
"ถ้าอย่างนั้นพระองค์ล้มเลิกความคิดที่จะหลบหนีไปเสียเถิดพะยะฮ่ะ เพราะลำพังกระหม่อมคาดว่าหนทางข้างหน้าคงจะลำบากมากกว่านี้..."เขาทำย่นจมูกแล้วทำสีหน้าดูแคลนใส่ ก่อนจะก้มหน้าแอบซ่อนอมยิ้มเล็กๆ เพราะรู้ซึ้งถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
เขารู้จักนางดี รู้ดีว่าคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างนางจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำเสียงอย่างนั้นใส่เป็นอันขาด
"หนอย เจ้าจะดูถูกข้ามากเกินไปแล้วนะ! ฮึ่ย ถ้าเกิดข้าคอหักตาย จะเป็นผีมาหลอกเจ้าคนแรก คอยดู!"นางคาดโทษก่อนที่จะเอามือเรียวบางเท้าระเบียงถ่ายน้ำหนักก่อนก้าวข้ามระเบียงที่ทอดยาว เมื่อดวงตาหวานเหลือบมองลงไปที่ผืนผสุธาล่างก็อดไม่ได้ที่จะใจหวิว
องค์หญิงผู้เลอโฉมสั่นศีรษะ ไม่ได้การ นางอุตส่าห์มาไกลถึงขนาดนี้ เกินกว่าที่จะหันหลังกลับแล้ว
ท้ายที่สุดนางก็กลั้นใจกระโดดลงจากระเบียง
'อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!'นางอ้าปากค้างได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างไม่มีเสียง เพราะกลัวว่าจะใครจะได้ยินเข้าหัวใจเต้นรัวราวกับกลองทิมปะนี เตรียมใจรับแรงกระแทก
หล่อนหลับตาปี๋
"ก็แค่นี้เองพะยะฮ่ะ"เขาบอกก่อนที่จะวางตัวนางลงกับพื้น
"หา? เอ๊ะ ข้ายังไม่ตายนี่นา กร๊าก ข้ายังไม่ตายยยยยยยย"
"ก็ใช่นะสิพะยะฮ่ะ"เขาบ่น ดูหงุดหงิดเล็กๆกับจินตนาการล้ำเลิศของนาง
องค์หญิงรู้ตัวว่าเขาคงจะเริ่มที่จะไม่ค่อยสบอารมณ์
"อะแฮ่ม แล้วเราจะไปยังไงต่อ?"
"ตามแผนเดิมที่องค์หญิงทรงวางเอาไว้อย่างไรพะยะฮ่ะ"เขากล่าวก่อนที่จะจับข้อมือพระนางให้เดินตามเขา เดินลัดเข้าไปในป่าละเมาะในทางที่คดไปเคี้ยวมา เชอรีนเพิ่งจะทราบเอาเดี๋ยวนี้ว่าอาณาบริเวณพระราชวังที่เธออยู่มาเกือบสิบเก้าปีกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ โลกทั้งใบดูกว้างใหญ่เสียเหลือเกินในเวลานี้ รู้สึกราวกับว่าที่ผ่านมาตัวเธอนั้นเป็นกบในกะลามาตลอด หล่อนอดรู้สึกหวั่นใจเล็กๆไม่ได้เมื่อต้องเดินไปตามทางที่มืดมิด แสงจันทร์ที่ฉายเพียงเสี้ยวเดียวไม่ได้ทำให้ดวงใจของเธอชื้่นขึ้นเลย แต่ถึงอย่างไรก็พยายามกล่อมดวงใจน้อยๆให้เชื่อใจในตัวองครักษ์
เชอรีนยกมือข้างที่ว่างอยู่ปาดเหงื่อเบาๆ สีหน้าดูเลิ่กลั่ก
บางสิ่งบางอย่างก็ทำให้เธออดระแวงในตัวเขาไม่ได้.. เธอแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย ร่างของเขาเองก็แทบจะกลืนกินเข้ากับความมืดมิด แล้วเขาจะพาเธอไปไหนกัน นี่เธอเชื่อใจคนง่ายเกินไปหรือเปล่า!? เพียงแค่ฟังเขาถวายสัตย์เสียดิบดีเมื่อราวๆชั่วยามที่แล้ว เธอก็เชื่อเขาเสียจนหมดใจ... เชอรีนกลอกตาไปมาด้วยความหวาดหวั่น บางทีไอ้คำพูดซึ้งๆนั่นใครมันก็บรรจงประดิษฐ์ขึ้นมาได้ทั้งนั้นแหละ
"ตั้ม..."หล่อนเรียกเขาเบาๆ ในใจรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาอีกก้าว
ทว่าไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
"ตั้ม!"
"พะยะฮ่ะ!"เขาสะดุ้งเล็กๆก่อนที่จะรีบหันมา
"เราอยู่ที่ไหนกัน?"
"อีกประเดี๋ยวจะถึงแล้วพะยะฮ่ะ"
"เห็นไหม?นี่ไงพะยะฮ่ะ!"เขาแหวกพงหญ้าที่ขึ้นรกออก แสงจันทร์นวลสะท้อนกับหาดทราย องค์หญิงเชอรีนเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าได้ยินเสียงคลื่นซัดเบาๆ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"ทรงรู้สึกไม่สบายพระวรกายหรือเปล่าพะยะฮ่ะ"
"เปล่า...เออนี่ตั้ม...แล้วสัมภาระของเจ้าล่ะ?"เธอกลบเกลื่อนก่อนจะถามเพราะยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ว่าเขาจะออกเดินทางทั้งๆที่ตัวเปล่าเล่าเปลือยอย่างนี้น่ะหรือ
"อ๋อ กระหม่อมใช้ใครบางคนเก็บให้เรียบร้อยแล้วพะยะฮ่ะ!"เขาพูดแล้วยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
"เอ๊ะ เจ้ามีคนรับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"
วราวุทธฉีกยิ้ม ไม่พูดอะไร รู้สึกสะใจพิลึก
และแล้วทันใดนั้นเอง...
"ฮัดเช่ยยยยยยยยยยย"เสียงจามของใครบางคนดังมาแต่ไกล ทั้งตั้มและเชอรีนต่างสะดุ้งหูผึ่ง ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสะพรึง...
ความคิดเห็น