คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2
"งานแต่งงานใด เป็นด้ายยยแค่แขกรับเชิ้ญ อยากจะแต่งกับเขาเหลือเกินนน ขัดเขินที่ยังไร้คู่วววว"เสียงต่ำแหบพร่าครวญเพลงหวานมาแต่ไกลด้วยความอารมณ์ดี องครักษ์หนุ่มผิวคล้ำ ตั้ม วราวุทธ เสยผมขึ้นไปข้างๆอย่างที่มักจะทำเป็นนิสัยในระหว่างที่เขาเดินไปตามทางเดินเพื่อกลับที่พำนักพิงของตนเอง
ตั้มรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นคนมีสเน่ห์ เพราะฉะนั้นท่าเดินของเขามักจะอกผายไหล่ผึ่งด้วยความมั่นใจอยู่เสมอ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเพียงแค่นั้น แต่เพราะบิดาของเขาได้คอยพร่ำสอนว่าเป็นนายทหารนั้นต้องมีท่วงท่าที่สง่างามแข็งแรง
แล้วเขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง รู้สึกภาคภูมิใจในหน้าที่การงานของตนเองยิ่งนัก เขาเพิ่งจะเลื่อนขั้นได้ไม่นาน มาถึงขั้นเป็นองครักษ์พิทักษ์องค์หญิงเชอรีน ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะได้เป็นกันอย่างง่าย ถือว่าประสบความสำเร็จรุดแซงหน้าเพื่อนในวัยเดียวกันเป็นอย่างมาก หลายๆคนพากันอิจฉาตาร้อนที่เขาได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์หญิงผู้เลอโฉม
เขาอยากจะขำ ไม่เพียงแต่บรรดาทหารหนุ่ม บรรดาเหล่าเสนาบดีและพวกบัณฑิตเองก็พลอยอิจฉาเขาไปด้วย และถึงกับกลั่นแกล้งอย่างรุนแรง ด้วยชนิดที่เรียกว่าแทบจะเล่นกันถึงตายเลยทีเดียว แต่เขาก็มักจะเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ด้วยไหวพริบปณิธานของตนเอง และอีกทั้งด้วยความกรุณาของฝ่าบาทที่ทรงเข้าพระทัยในทุกๆครั้ง
ไร้สาระกันชะมัด เพราะเขาไม่เคยคิดถึงเชอรีนเกินกว่าน้องสาวคนหนึ่งเลย สาเหตุที่เขาอยู่ข้างกายคอยดูแลเธอเป็นเพราะความตั้งใจที่จะดูแลปกป้องด้วยความห่วงใยจากใจจริง เขาไม่เคยคิดกับเชอรีนด้วยความสัมพันธ์ดั่งชู้สาว
ตั้มรู้ ว่าบูรณ์ก็เป็นอีกคนที่แอบริษยาในตำแหน่งและฐานะของเขา แต่เขาไม่เคยรังเกียจบูรณ์เลย ในตรงกันข้ามเขาออกจะนับถือในความสามารถของชายหนุ่มอีกเสียด้วย เขาเคยแอบนั่งฟังเวลาที่บูรณ์คอยถวายงานสอนให้กับองค์หญิง และพบว่าบูรณ์เป็นชายหนุ่มที่เปี่ยมล้นด้วยความสามารถ เขามีความรู้เรื่องการบริหารราชการบ้านเมืองทั้งทางทหารและการจัดการภายใน
น่าเสียดาย ที่องค์หญิงไม่เคยจะใส่ใจในการศึกษาเล่าเรียนเลยแม้แต่น้อย
ตั้มถอนหายใจอีกครั้ง หรือว่าบางที เขาอาจจะตามใจพระนางมากเกินไป
เขาร้องเพลงคลอเบาๆขึ้นมาอีกครั้ง
"งานศพงานใด๋ เป็นด้ายยย แค่แขกรับเชิญ อยากเป็น..."
"ตุ้บ!"
ตั้มสะดุ้งโหยง เสียงนั้นกระแทกนั่นทำให้เขาอดตกใจไม่ได้
'นึกว่าจะมีใครเล่นอะไรแผลงๆกับเราซะแล้ว โถ ปากหนอปาก'เขาคิดระหว่างที่ยืนขนลุกซู่อยู่กับตัวเอง ตบปากตัวเองเป็นการลงโทษหนึ่งที ก่อนจะรีบหันสำรวจมองซ้ายมองขวาอีกทีด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก แต่แล้วก็พบว่าตนเองอยู่คนเดียวในโถงทางเดินหน้าห้องบรรทม ด้วยความที่เป็นองครักษ์ทำให้ชายหนุ่มผิวคล้ำถูกฝึกปรือให้มีประสาทสัมผัสที่ไว หูของเขาจึงไวต่อเสียง
ดังนั้นหากเข้าอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ต้นแล้วเสียงจะต้องดังมาจากห้องบรรทมขององค์หญิงเป็นแน่ องค์รักษ์หนุ่มแน่ใจก่อนที่จะเอาหูแนบเอากับประตูห้องบรรทม
"กุกกักๆ ครืน ครืน"
หรือว่า....จะเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิง!?
"องค์หญิง องค์หญิงทรงประทับอยู่ในนั้นหรือเปล่าพะยะฮ่ะ!?"เขาส่งเสียงร้องเข้าไป หยาดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าหนุ่มผิวเข้ม เพราะหัวใจที่เต้นรัวเพราะความหวั่นเกรงกลัวว่าบุคคลภายในห้องจะได้รับอันตราย
"..."
ไร้ซึ่งเสียงการตอบรับใดๆทั้งสิ้น
"เฮ้ย เงียบไปแล้วๆ ทำยังไงดี"เขาบ่นกับตัวเองพลางเดินวนไปวนมาเป็นวงกลมสองสามวง ในหัวจินตนาการเลยเถิดไปไกล เริ่มแน่ใจว่าจะต้องมีคนร้ายเป็นแน่ แต่เมื่อครั้นลองหมุนลูกบิดประตูก็พบว่าไม่ได้ล็อคจึงรีบเปิดประตูพรวดพราดเข้าไป...
"อ๊ากกก ใครใช้ให้เจ้าเข้ามากันฮะ!?"องค์หญิงร้องโวยวาย เมื่อตั้มสังเกตดูรอบๆก็พบกับข้าวของที่กระจัดกระจายพร้อมกับฝุ่นที่ตลบฟุ้งไปทั่วห้องบรรทม
"องค์หญิงๆ...กระหม่อมเกรงว่าองค์หญิงจะได้รับภัยอันตราย พะยะฮ่ะ!"
"ไม่มี ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น ออกไปได้แล้ว ไปๆๆ"เชอรีนร้องเสียงแหลมพลางโบกมือไล่ พยายามลุกลี้ลุกลนดุนดันให้เขาออกไปจากห้องของหล่อน
"องค์หญิง ช้าก่อนพะยะฮ่ะองค์หญิง...กำลังจะทรงกระทำการใดหรือพะยะฮ่ะ!?"เขาถามด้วยความสงสัย เลิกคิ้วหนึ่งข้างพลางพยายามจ้องลึกเข้าไปในตาหวานที่ส่อพิรุธ ซึ่งพระนางก็รีบหลบพระเนตรในทันทีทันใด อ้าพระโอษฐ์ค้างก่อนที่จะอึกอักตรัสว่า
"ข้าก็แค่จะจัดห้อง?"
"พระองค์น่าจะให้นางกำนัลจัดของให้นะพะยะฮ่ะ"เขามองหน้านางอย่างไม่ไว้วางใจ
เชอรีนรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะจนตรอก ได้แต่อ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนบ้าๆบอๆอย่างตั้มที่มักจะชวนเธอเล่นซนไปทั่ว จะมีมุมฉลาดๆกับเขาบ้างเหมือนกัน
ก็แหงล่ะ ถ้าเขาไม่ฉลาดเขาจะได้เป็นองครักษ์ประจำตัวเธอหรือ
ให้ตายเถอะ ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
องค์หญิงทรงเกาพระเศียรก่อนกล่าวว่า
"แล้วข้าจะทำเองไม่ได้บ้างหรือไง ข้าก็แค่หาของไม่เจอ มันไม่เกี่ยวกับเจ้าเสียหน่อย ออกไปได้แล้วไปๆ"นางรีบเฉไฉก่อนจะส่งเสียงไล่อีกครั้ง
ตั้มกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด รีบสำรวจมองสิ่งของที่อยู่ในห้องที่ถูกรื้อออกมา เสื้อผ้าชุดลำลองของบุรุษสองสามชุดถูกวางเอาไว้อยู่บนเตียง บริเวณโต๊ะเครื่องแป้งมีกล่องเครื่องประดับถูกเปิดอ้าเอาไว้ ที่บรรจุเครื่องประดับส่วนพระองค์ที่มักจะสวมใส่ในงานพิธีใหญ่ๆหรือเมื่อเสด็จประพาสออกนอกวัง ทองก้อนและเงินหกเจ็ดร้อยอีแปะ เมื่อไล่สายตามาเรื่อยๆบนพื้นก็เห็นแผนที่ทิศทางสำหรับการเดินเรือ
เมื่อค่อยๆเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาประติดประต่อกัน เขาก็พอจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ ตั้มเดินไปปิดประตูห้องบรรทมก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ๆองค์หญิงเชอรีน
"พระองค์จะทรงทำการใดพะยะค่ะ?"เขาถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหล่อน เชอรีนรู้สึกราวกับว่าถูกดวงตาคมเข้มของเขามองทะลุเข้าไปข้างในกะโหลกศีรษะของเธอ ราวกับว่าเขาอ่านใจเธอออก เขารับรู้ว่าเธอจะกระทำการสิ่งใด
"อะไร?"หล่อนยังคงปากแข็ง ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ เพราะรู้ดีว่าถ้าหากพลั้งปากพูดออกไป เขาจะต้องไม่เห็นด้วยกับหล่อนเถียงหล่อนเสียจนหัวชนฝาเป็นแน่...
"พระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่กระหม่อมให้ดีพะยะค่ะ กระหม่อมขอบังอาจเรียกตัวเองว่าเป็นพระสหายสนิทของพระองค์... เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พระองค์ไม่ทรงไว้วางพระทัยในตัวกระหม่อมหรือพระยะค่ะ!?"เขาพูดเสียงชัดเจน เน้นชัดทุกถ้อยคำเสียจนเชอรีนรู้สึกผิด
"ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ขอให้พระองค์ทรงตรัสกับกระหม่อม กระหม่อมพร้อมที่จะรับฟังทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี พระองค์ทรงทราบดีว่ากระหม่อมพร้อมที่จะอยู่ข้างๆพระองค์เสมอไม่ใช่หรือพะยะค่ะ!"ตั้มพูดด้วยความหนักแน่น และคำพูดเหล่านั้นยิ่งทำให้เชอรีนรู้สึกผิด หล่อนรู้สึกถึงก้อนบางอย่างแข็งๆที่ขึ้นมาจุกที่ลำคอ และพยายามกลืนลงไปอย่างยากลำบาก แต่รู้ตัวดีว่าน้ำตาเริ่มเอ่อล้นมาปริ่มขอบตาเพราะความซาบซึ้งใจแล้ว..
"ก็ได้...คืองี้"
"พะยะฮ่ะ"
"ข้า...ข้าว่าจะหนี...ไปจากที่นี่"พระนางตรัสเสียงเบาเสียจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
แต่ถึงกระนั้นเอง...
"อะไรนะพะยะฮ่ะ! ไม่ได้นะพะยะฮ่ะ! พระองค์อย่าทรงทำเป็นเล่นไปนะพะยะฮ่ะ!"
"ไหนบอกว่ารับทุกอย่างได้ไงฮะ!? โกหกชัดๆ"เชอรีนชี้หน้าด่า
"กระหม่อมบอกว่ารับได้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะตามพระทัยพระองค์นะพะยะฮ่ะ"เขาสวนกลับแล้วกอดอก ทำเหมือนกับว่ากำลังตำหนิเด็กเล็กๆ
"โอ๊ย เห็นมั๊ยล่ะ ข้าไม่น่าบอกเจ้าเลยอ้ะ"หล่อนโวยวาย
"กระหม่อมใคร่อยากทราบสาเหตุ...เพราะเหตุใดพระองค์จึงต้องทรงเสด็จออกจากวังด้วยพะยะฮ่ะ?"เขาหรี่ตามอง
"เฮอะ พูดไปเจ้าคงไม่เข้าใจหรอก.."
"พระองค์ยังไม่ได้ทรงตรัสสักวลีเดียว จะให้กระหม่อมไม่เข้าใจพระองค์ได้อย่างไรพะยะฮ่ะ"
'ใครมันเลือกไอ้หมอนี่ให้มาเป็นองครักษ์ฟะเนี่ย ฮึ่ยยยย'เชอรีนนึกหงุดหงิดในใจคนเดียว
"ก็ข้าไม่อยากแต่งงาน"
"ทรงไม่อยากอภิเษกหรือพะยะฮ่ะ"
"เป็นเจ้าเจ้าอยากไหมล่ะ จู่ๆก็โดนจูงจมูกให้ไปแต่งงานกับไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้น่ะ บ้าบอชะมัด"หล่อนบ่นกระปอดกระแปด
"ฝ่าบาททรงเอ่ยถึงการอภิเษกหรือพะยะฮ่ะ?"
"เจ้าไม่รู้อะไรหรอก...เฮอะ เมื่อตอนเย็นเจ้าเมืองเมซิสถึงกับอุตส่าห์เสด็จมานี่เพื่อคุยเรื่องการนี้โดยเฉพาะ!"นางกล่าวเสียงสะบัดพล่างพ่นลมออกทางจมูกด้วยความหงุดหงิด
"เป็นจริงหรือพะยะฮ่ะ..."องค์รักษ์หนุ่มวราวุทธอดรู้สึกสงสารนายหญิงของเขาไม่ได้ พระนางเพิ่งจะแตกเนื้อสาวเพียงไม่กี่ปีแท้ๆ จู่ๆ
"ก็เออน่ะสิ เจ้ามันไม่เข้าใจหรอก การแต่งงานคือการตกนรกชัดๆ ไร้ซึ่งอิสรภาพ ถูกโซ่ที่เรียกว่าสามีและบุตรกักขังหน่วงเหนี่ยว แถมยังต้องเอาอกเอาใจผู้ชายทั้งชีวิต"
"ยังไม่เคยทรงอภิเษกแต่ทำไมจึงทรงทราบดีเสียจริงพะยะฮ่ะ?"ตั้มอดยิ้มขำไม่ได้เมื่อได้ยินนายน้อยของเขาบ่นราวกับป้าแก่วัยทอง
"นี่! ตกลงเจ้าจะเข้าข้างข้าไหมฮะ!?"
"หากกระหม่อมไม่เข้าข้างพระองค์ คงจะรีบไปทูลฝ่าบาทในบัดดลทันทีที่ได้ยินแผนชั่วของพระองค์พะยะฮ่ะ!"
"อ๊าก! ถ้าจะไม่ช่วยเจ้าก็อย่ามากวนใจข้าได้ไหม เข้าใจไหมฮะ!? แต่ถึงยังไงเสียเจ้าก็หยุดข้าไม่ได้หรอก ฮึๆ โฮะๆ ยังไงข้าก็ตัดสินใจไปแล้ว"ก่อนที่พระนางจะทรงพระสรวลอย่างร้ายกาจ
"จะไม่ทรงใคร่ครวญดูอีกสักหน่อยหรือพะยะฮ่ะ?"องครักษ์หนุ่มย้ำถามพยายามยิ้มอย่างใจเย็น ซ่อนความหนักใจเอาไว้ในอก
"ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าไม่มีทางหยุดข้าได้ร้อกกกกกก"
"กระหม่อมคงมิอาจจะห้ามพระองค์ได้"
"อื้ม...รู้ก็ดีแล้วนะ"พระนางยืดตัวขึ้นอย่างภาคภูมิ แย้มพระสรวลอย่างมีชัย พลางพยักพระพัตร์
"แต่กระหม่อมจะใคร่ขอติดตามไปรับใช้ข้างพระวรกายด้วย"
"เจ้าว่ายังไงนะ!?"
'
'
'
ที่พักส่วนตัวของพระราชครู ถูกจัดตั้งให้อยู่ภายในอาณาบริเวณในรั้วของพระราชวัง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ทั้งเขาและองค์หญิง เพื่อให้เป็นการไม่รบกวนการศึกษาตำราในยามค่ำคืน กระท่อมหลังน้อยซึ่งเป็นที่พักพิงของพระอาจารย์ธันยบูรณ์จึงถูกสร้างขึ้นบริเวณชายป่า อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับหาดทรายอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีเสียงอันใดเกิดดังขึ้นมารบกวนฌานสมาธิของพระอาจารย์
มือบางเรียวสวยราวกับมืออิสตรี บรรจงจุ่มปากกาขนนกลงในหมึก ตำราเรื่องการจัดการและเศรษฐศาสตร์แบบร่วมสมัยถูกกางออกบนโต๊ะไม้ เขาเฝ้ามองแสงสลัวจากตะเกียงส่องกระทบกระดาษก่อนถอนหายใจเบาๆ พยายามตั้งสติเพื่อที่จะเรียบเรียงเตรียมบทเรียนที่จะสอนในวันพรุ่งนี้ แต่ทว่าจิตใจของเขากลับว้าวุ่นเสียเหลือเกิน เขาจำได้ถึงวินาทีที่เห็นน้ำพระเนตรหลั่งบนพระพักตร์ที่อ่อนหวาน ยิ่งคิดพะวงถึงเขาก็ยิ่งอดรู้สึกเป็นห่วงพระนางไม่ได้
อภิเษก...สมรส แค่คำคำเดียวถึงกลับเปลี่ยนสีพระพักต์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่...?
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะแสดงว่า พระองค์จะต้องทรงกังวลใจในเรื่องการอภิเษกสมรสเป็นแน่...ใช่แล้ว หากลองไตร่ตรองจากประโยคที่เขาได้ยินเมื่อช่วงเย็นดู ดูพระนางจะทรงทราบและรับรู้ก่อนอยู่แล้ว
...ยังไงก็เป็นเช่นนี้แหละ ถึงอย่างไรพระนางก็จะต้องอภิเษกสมรสกับชายหนุ่มที่คู่ควรสมฐานะของพระนาง
คิดแล้วบูรณ์ก็ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนที่จะหยิบสมุดหนังที่เขาบรรจงเย็บขึ้นมากับมือขึ้นมา พลางพลิกหาหน้าล่าสุดที่ยังคงว่างอยู่...
มันคือบันทึกส่วนตัวของเขาที่เขาได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะบรรจงจดเรื่องราวต่างๆตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเข้ามาในวัง แต่ทว่าเขากลับรู้สึกละอายแก่ใจเสียเหลือเกินเพราะทั้งๆที่เขาตั้งใจว่าจะบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างตรงไปตรงมา แต่ทว่าบันทึกเล่มนี้กลับกลายเป็นบันทึกที่เขาได้แต่เขียนระบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในอกเท่านั้น และส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องระหว่างเขาและองค์หญิง...
เขาจุ่มปากกาขนนกลงไปในหมึกอีกครั้งหลังจากที่เมื่อครู่เหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนที่จะบรรจงเขียนตัวหนังสืออย่างสละสลวยลงบนแผ่นกระดาษว่า
'วันที่13มิถุนายน คศ.17องค์หญิง..
"ก๊อกๆๆ ปัง! ปัง! ปัง!"
"ป้าบบบบบบบบบ!"
"ปื๊ดดดดดดดดด"ราชครูหนุ่มตกใจสะดุ้งจนลากปากกาขนนกของเขาเสียจนเป็นเส้นยาวโย้เย้เปรอะหน้ากระดาษไปหมด นึกหัวเสียอยากจะสาปแช่งไอ้คนที่มันมารบกวนยามวิกาลเช่นนี้ มันเป็นใครกัน ถึงได้บังอาจมารบกวนพระอาจารย์อย่างเขาเช่นนี้เสียได้
บางทีพรุ่งนี้เขาอาจจะรายงานเรื่องไปยังหัวหน้ามหาดเล็กให้ลากคอไอ้ตัวการไปลงโทษเสียให้เข็ด ฮึ่ย! บังอาจมารบกวนเวลาพักผ่อนของเขาเสียได้...
บูรณ์ส่ายหน้าพยายามสะบัดศีรษะไล่ความคิดตนเองออกไป นี่เขากลายเป็นคนเช่นนี้ไปแล้วหรือนี่... ไม่ได้ๆ เขาไม่ควรที่จะคิดเช่นนั้น! เขากลายเป็นคนที่ปล่อยให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผลและคุณธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ราชครูหนุ่มจึงพยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆ รวบรวมสติก่อนที่จะปลดกลอนประตูที่ลงเอาไว้ออก...
"ท่านพี่บูรณ์! โถ่!ข้าเคาะตั้งนานกว่าท่านจะเปิด..."
"....เจ้านั่นเอง... มีอะไรเอะอะโวยวายเสียดึกดื่น ถ้าไม่มีข้าจะนอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์"เขาพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชาก่อนที่จะพยายามปิดประตู อันที่จริงบูรณ์แทบไม่ได้เปิดโอกาสให้องครักษ์หนุ่มได้พูดเลยแม้แต่น้อย เขารีบตัดบทไปทันที ทว่าองครักษ์หนุ่มวราวุทธรู้ทันท่วงที รีบใช้รองเท้าหนังหัวแหลมของตนสอดคั่นระหว่างประตูและวงกบ ก่อนที่จะรีบแทรกตัวเข้าไป
"ช้าก่อนท่านพี่..."
"ฮึ! ข้ารู้ ยังไงท่านก็ยังคงไม่ได้นอน มิเช่นนั้นตะเกียงก็ยังไม่คงจุดสว่างปานนั้น เห็นที ท่านน่าจะกำลังพร่ำเพ้อถึงองค์หญิงของข้าเสียมากกว่า "เขาอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนราชครูหนุ่ม และมันก็ได้ผล ใบหน้าของเขาแทบจะแดงถึงใบหูทันที!
"อะไรของเจ้า! หยุดพูดจาเลอะเทอะไร้สาระได้แล้ว ข้ากำลังท่องตำราอยู่ แล้วเจ้าก็มารบกวนการทบทวนบทเรียนของข้า...- อ๊ะ!"
"นี่ไง ชัดเลย กำลังเพ้อเจ้อเขียนไดอารี่ถึงองค์หญิงแท้ๆ ยังจะมาปากแข็งบอกข้าว่าท่องตำรา หลักฐานคาหนังคาเขาอย่างนี้ จะให้เชื่อท่านได้อย่างไร"หนุ่มผิวคล้ำยิ้มอย่างมีชัยในขณะที่คว้าไดอารี่ของเขาขึ้นมาพลิกหน้ากระดาษไปมาอย่างสาแก่ใจ ราชครูหนุ่มแทบจะล้มทั้งยืน เขารู้สึกอับอายเสียจนอยากจะโดดน้ำตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป!
"เอาล่ะๆ ข้ายอมแพ้ เจ้ามีธุระอันใดกัน?"ธันยบูรณ์กล่าวอย่างหมดแรง สีหน้าที่ยอมจำนนช่างดูน่าขัน ตั้มอยากจะล้อเลียนบัณฑิตหนุ่มรุ่นพี่ต่อ แต่ก็ตระหนักขึ้นได้ว่าเวลานี้คือยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาจึงรีบเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดให้กับชายหนุ่มฟังด้วยความร้อนรน
________________________________________________________________________________________________
ขอบคุณค่ะ ขอบคุณสำหรับเม้นท์จริงๆ แค่เม้นท์สองเม้น เราก็มีกำลังใจขึ้นมาแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่มาแอดFav.ด้วยนะ ^_^
เดี๋ยวใกล้จะได้เอาอ้นออกมาแล้วล่ะค่ะ เร็วเร็วนี้ ของอร่อย ต้องรอนิดนึง ฮิฮิ (ไม่ใช่และ 55+)
ขอโมเม้นต์ให้พี่บูรณ์กับพ่อวรานิดนึงก่อนค่ะ
ความคิดเห็น