ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic TS9 อ้นดิวเชอรีนบูรณ์ (harem) feat.ดี,ตั้ม,แบมบี้

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ค. 56


    ภายในพระราชวังฤดูร้อนแห่งแคว้นบานัต ท้องพระโรงดูสง่างาม ถึงแม้ว่าจะถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่ดูเรียบง่าย แต่ด้วยฝ้าเพดานที่สูงกว่าสิบเจ็ดฟุตยิ่งทำให้ท้องพระโรงแห่งนี้ดูโอ่อ่ารโหฐาน ภายในท้องพระโรงถูกประดับด้วยหน้าต่างที่ยาวจรดพื้นกว่าสี่บาน เป็นสัญลักษณ์แทนบุตรและธิดาของจอมราชันย์ทั้งสี่องค์

     

    องค์กษัตริย์เจ้าผู้ปกครองแคว้นนั่งประทับอยู่บริเวณบันลังก์... สายพระเนตรทอดออกไปบริเวณริมหน้าต่าง สีพระพักต์ดูแฝงด้วยความกังวลไม่ค่อยสบายพระทัยสักเท่าไหร่นัก จอมราชันย์แห่งแคว้นบานัตถอนพระทัย... วันนี้พระองค์ได้แต่ทรงประทับอยู่ภายในวังตลอดทั้งวัน ทั้งๆที่เป็นฤดูแห่งการล่าสัตว์ ที่มักจะปลุกพระหฤทัยให้เร่าร้อน กระชุ่มกระชวยเสมอมา แต่ทว่าวันนี้องค์กษัริย์กลับทรงรู้สึกว่าพระชมน์มายุของพระองค์นั้นชราลงไปกว่าสิบปี

    แคว้นบานัตเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์... ทุกๆครั้งที่พระองค์ทรงเสด็จประพาสป่า จะต้องได้กวางติดพระหัตถ์กลับมาไม่ต่ำกว่าสองตัว

    เจ้าผู้ครองแคว้นบานัตถอนพระทัยอีกครั้ง

    "ก๊อกๆ"

    "เข้ามา..."

    "ถวายบังคมฝ่าบาท... กระหม่อมจะใคร่ขอกราบทูลพระองค์ว่า องค์ราชันย์แห่งแคว้นเมซิส ได้เดินทางมาถึงที่ประทับของพระองค์แล้ว พะย่ะค่ะ!"มหาดเล็กหนุ่มถวายบังคมก่อนกราบทูลด้วยเสียงดังฟังชัด

    ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วเล็กๆ ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงรับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแล้ว พระองค์ทรงพยักพระพักต์ก่อนกล่าวว่า

    "เรียนเชิญเจ้าแคว้นเมซิสประทับที่ท้องพระโรง"เจ้าของวังตรัส

    "พะยะค่ะ ฝ่าบาท!"มหาดเล็กหลวงรับราชโองการก่อนที่จะถวายบังคมแล้วจากไป

    ไม่ทันจะสิ้นพระสุรเสียงนานนัก จอมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หรเวชกุลก็ทรงสดับถึงเสียงฝีเท้าหนักๆที่เริ่มจะยุรยาตรสวนสนามเข้ามาในท้องพระโรงดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อท่านได้สดับถึงเสียงฝีเท้าที่ดังเป็นจังหวะ พระองค์ก็ทรงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลพระทัย ถึงแม้ว่าเจ้าแคว้นเมซิสจะทรงดำริว่ามาเพื่อสืบสานสัมพันธไมตรีก็ตามที หลายปีที่ผ่านมา กองทัพแห่งแคว้นเมซิสดูจะยิ่งใหญ่เกรียงไกร เสียงลือเสียงเล่าอ้างดังไกลขจรไปทั่วทุกสารทิศ

    เพียงชั่วพริบตาเดียว ภายในท้องพระโรงก็เต็มไปด้วยราชองค์รักษ์ของแคว้นเมซิส ร่างของชายชราประทับอยู่ใจกลางท้องพระโรง ดวงตาดูฉายแววความทรงอำนาจ เจ้านครเมซิสทรงฉลองพระองค์สีแดงฉาน ปลายฉลองพระองค์ปักลายฉลุด้วยด้ายทองคำบ่งบอกถึงความมั่งมีแห่งแคว้นเมซิส

    "ถวายบังคมเจ้าครองแคว้นบานัต!"หัวหน้าราชองครักษ์ตะโกนอย่างกึกก้อง เหล่าบรรดาทหารองครักษ์ต่างถวายบังคมด้วยความพร้อมเพรียง

    ขนพระวรกายของเจ้านครบานัตชูชัน แม้กระทั่งการถวายบังคมแห่งราชองครักษ์ยังพร้อมเพรียงด้วยท่วงท่าเดียวกัน ประหนึ่งไม่มีผู้ใดแตกจากแถว ราชองครักษ์แห่งแคว้นเมซิสมีวินัยถึงเพียงนี้เชียวหรือ...

    เห็นที่สิ่งที่อยู่ภายในพระทัยของพระองค์นั้น คงจะกลั่นกรองออกมาเป็นถ้อยคำลำบากเสียแล้ว

    เจ้าผู้ครองแคว้นเมซิสเฝ้าสังเกตสีพระพักต์ของเจ้าของวังแห่งนี้อยู่นาน พระองค์ทรงดำริว่าเจ้านครบานัตอาจจะทรงรู้สึกอึดอัดและหวั่นเกรงในราชองครักษ์ที่ดูทรงแสนยานุภาพของพระองค์ กษัตริย์เฒ่าจึงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นก่อนจะกล่าวว่า...

    "พวกเจ้าออกไปก่อน"

    "..."

    "รับพระบัญชา พะยะค่ะ! ทหาร! หน้าเดิน!"หัวหน้าราชองครักษ์ตะโกนกึกก้องอึกครั้งก่อนที่เหล่าบรรดาราชองครักษ์จะพากันพาเรดสวนสนามออกไป ทำให้ผู้เป็นเจ้าบ้านแอบอดไม่ได้ที่จะถอนพระทัยเบาๆ

    "น้องรัก...ข้ากับเจ้าไม่ได้พบกันนานนับทศวรรษ เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไร?"กษัตริย์เฒ่าทรงตรัสขึ้นก่อน ท่าทีของเจ้าแคว้นบานัตดูทรงผ่อนคลายมากขึ้นแต่ถึงอย่างไรก็แย้มพระสรวลออกมาแหยๆ

    "ข้าพระองค์สบายดี แล้วท่านพี่ล่ะ? ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับท่านพี่ในวันนี้ อันที่จริงท่านไม่ควรที่จะต้องลำบากเดินทางมาเยี่ยมข้าถึงที่นี่เลย ข้าพระองค์รู้สึกละอายใจยิ่งนัก"เจ้าครองแคว้นบานัตตอบด้วยความสัตย์จากใจจริง เพราะอันที่จริงแล้วพระองค์ทรงทราบดีว่าระยะทางระหว่างแคว้นบานัตและเมซิสนั้นห่างไกลกันหลายพันลี้ เพราะแคว้นบานัตนั้นแทบจะอยู่เหนือสุดขอบโลก ส่วนเมซิสนั้นอยู่บริเวณเขตร้อนของทวีปที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร หากจะใช้เวลาเดินทางมาทางน้ำแล้วก็คงจะเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสิบเดือน...

    "เจ้าชักจะเกรงอกเกรงใจกันไปใหญ่แล้ว เราพี่น้องกันแท้ๆ และที่ข้ามาในวันนี้ ก็ไม่ใช่เหตุผลใดอื่น เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว"กษัตริย์เฒ่าทรงแย้มพระสรวลออกมาส่งพระเนตรอย่างรู้ความใน

    "คือข้า..."

    "เจ้าจำสัญญาระหว่างเราเมื่อสิบปีที่แล้วไม่ได้หรือไรน้องรัก"

    '

    '

    '

    ภายในบริเวณสวนนอกพระราชวัง องค์หญิงเชอรีน หรเวชกุล นั่งเท้าคางเห็นได้ชัดว่าพระนางกำลังเบื่อหน่ายในสิ่งที่พระนางกำลังทรงสดับ วิชารัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์แบบร่วมสมัย ถ่ายทอดโดยราชครูผู้ที่สอบไล่เป็นบัณฑิตได้อันดับหนึ่ง เห็นทีสิ่งที่บรรดาพี่ๆของเธอพูดคงจะเป็นเรื่องจริง คนที่เรียนเก่งมักจะสอนหนังสือไม่ค่อยจะเก่ง...

    'ทำไมๆๆๆๆ ทำไมถึงได้ช่างน่าเบื่อขนาดนี้ก็ไม่รู้!?'

    หญิงสาวคิด ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลจะวอกแวกไปทางอื่น เอาแต่จ้องมองผีเสื้อสีม่วงที่บินมาเกาะอยู่ที่บริเวณพระองคุลี ตั้งแต่ครึ่งชั่วยามที่ผ่านมายังไม่เคยได้สบกับสายตาของผู้เป็นพระอาจารย์แม้แต่วินาทีเดียว แต่ถึงอย่างไรพระนางก็ไม่ทรงทราบเอาเสียเลยว่าราชครูหนุ่มจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียเพียงใด

    "องค์หญิง... วันนี้กระหม่อมใคร่ขอสิ้นสุดการสอนเพียงเท่านี้"บูรณ์ผู้ที่ซึ่งสังเกตกิริยาขององค์หญิงน้อยอยู่นานกล่าว เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่พยายามอดทนพูดคนเดียวอยู่นานนับชั่วโมง
     

    เขาดูมันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง พระนางไม่ทรงสดับหรือสนพระทัยในคำพูดของเขาแม้เพียงวลีเดียวเลยจริงๆ

    แม้กระทั่งผีเสื้อที่เกาะอยู่บริเวณพระองคุลีของพระนางคงจะยังมีค่าควรให้ความสำคัญมากกว่าเขาในสายพระเนตรเป็นแน่..

     

    "อ้าวเลิกแล้วหรอ ปกติท่านจะเลิกสอนห้าโมงไม่ใช่หรอทั่นพระอาจัง"หญิงสาวยิ้มหวานจ๋อย ยังมิวายจะล้อเลียนตำแหน่งที่เขาภูมิใจนักหนา ในใจนางนั้นลิงโลดนัก

    "องค์หญิงคงจะเหนื่อยล้ามามากพอแล้ว กระหม่อมเห็นควรว่าองค์หญิงน่าจะทรงเสด็จกลับไปพักผ่อนพระวรกายพะยะค่ะ"เขากล่าวด้วยถ้อยคำที่สุภาพ แต่นั่นทำให้องค์หญิงรู้สึกไม่พอใจ เพราะหล่อนต้องการจะเห็นเขายัวะ!

    "ข้าเนี่ยนะเหนื่อย ท่านดูยังไงกัน? ปัดโธ่......."เชอรีนลากน้ำเสียงยียวนที่ฝึกวิชามาจากตั้ม

    ราชครูหนุ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อตาขวาเขากระตุก... เขาสูดหายใจลึก ก่อนจะกล่าวเรียบๆว่า

    "องค์หญิงไม่ทรงใส่พระทัยในพระอักษร พระหทัยกำลังวอกแวก กระหม่อมคิดว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะถวายการสอนต่อ"เขาพูดตรงๆด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

    เชอรีนแทบผงะ เขากล้าดียังไงกันมาว่าหล่อน! แล้วนั่นมันก็ทำให้หล่อนเถียงไม่ออกเสียด้วย!!

    องค์หญิงเชอรีนทรงกระแอมเบาๆในลำคอเพื่อกลบเกลื่อน ก่อนจะกล่าวว่า

    "เคร่งครัดแต่ในตำรา ใช่ว่าจะเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ เคยได้ยินไหม? ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด"เชอรีนแค่นหัวเราะ นางเริ่มเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นว่าตนเถียงสู้เขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ได้ผล ประโยคนั้นทำให้ราชครูหนุ่มรู้สึกว่าเส้นของเขาเริ่มจะกระตุก

    บูรณ์พยายามซ่อนหมัดที่กำแน่นจนสั่น..

    หึ! ถ้าพระนางจะทรงว่าเขาถึงขนาดนี้ ขอให้พระนางเอามีดมาเชือดคอเขาเลยเสียดีกว่า

     

    "อะแฮ่ม แล้วท่านคิดว่าไอ้วิชารัฐศาสตร์นี้มันมีประโยชน์ยังไงกัน ยังไงข้าก็เป็นเพียงรัชทายาทลำดับที่สี่ รองจากพี่นิชคุณ พี่ญานิน ห่างไกลจากพี่นิชฌานเป็นโยชน์ ยังไงก็คงไม่ได้ยุ่งกับการบริหารบ้านเมืองอยู่แล้ว"พระนางพูดอย่างไม่ใส่พระทัย ธันยบูรณ์รู้สึกอยากจะส่ายหน้าแสดงความรู้สึกระอาและละอายใจแทนเจ้าแคว้นบานัต แต่เขารู้ดีว่านั่นเป็นกิริยาที่ไม่บังควรแสดงต่อหน้าพระพักต์ เขาควรที่จะอธิบายให้พระนางฟังอย่างมีเหตุผล ด้วยความหวังว่าพระนางจะทรงเข้าพระทัยแม้เพียงวลีเดียวก็ยังดี...

    "ข้าถามท่านจริงๆเถอะ วิชารัฐศาสตร์การปกครอง เรียนไปเพื่อบริหารบ้านเมือง แล้วตอนที่ท่านสำเร็จวิชาท่านได้บริหารบ้านเมืองจริงๆไหมล่ะ?"องค์หญิงแย้มพระสรวลเสียจนเผยให้เห็นพระทณฑ์สีขาว

    "กระหม่อมเป็นเพียงข้าราชการตำแหน่งเล็กๆเพียงเท่านั้น มิบังอาจ..."

    ดวงพระเนตรของพระนางยังคงจ้องเขม็งมาที่เขา เป็นนัยน์ว่ารอให้เขาพูดต่อ

     

    บูรณ์กลืนน้ำลายลงคอ รู้ดีว่าประโยคต่อไปนั้นเป็นประโยคที่เขาจะต้องพูดออกมาด้วยความยากลำบาก แต่เขาก็พยายามที่จะเค้นมันออกมา

    "อีกไม่นานพระองค์ก็จะทรงอภิเษกสมรสดังเช่นพระเชษฐภคินี เมื่อทรงเป็นพระมเหสีก็จำต้องใช้วิชารัฐศาสตร์และการปกครองช่วยพระสวามีบริหารบ้านเมือง เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่ราษฎ-"

    "เจ้า!....เจ้า!"องค์หญิงทรงกริ้วเสียจนพระโอษฐ์สั่น

     

    "คำก็อภิเษกสองคำก็อภิเษก ทุกคนเห็นข้าเป็นตัวอะไรกัน ทูลกระหม่อมพ่อก็คนนึง เจ้าก็ยังจะมาพูดแบบนี้กับข้าอีกคน ทูลกระหม่อมพ่อเป็นคนบอกให้เจ้าพูดแบบนี้กับข้าละสิ ใช่ไหมล่ะ!?"ไม่ทันที่ราชครูหนุ่มจะได้กล่าวจนจบประโยคพระสุรเสียงของพระนางก็แหวขึ้นมาทันที ธันยบูรณ์รู้สึกอึ้งราวกับร่างกายของเขาได้แข็งเป็นหิน เขาไม่เคยเห็นพระนางทรงพิโรธขนาดนี้มาก่อน และดูเหมือนว่าพระนางจะไม่ได้ทรงกริ้วในตัวเขา แต่หากกลับกลายเป็นที่ตัวฝ่าบาท...!

    บูรณ์พยายามที่จะใจเย็นก่อนจะพยายามแก้ต่างว่า

    "เป็นเพราะความปากพล่อยของกระหม่อมเอง ฝ่าบาทหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆในเรื่องนี้ไม่ หากจะทรงพิโรธขอให้ลงทัณฑ์กระหม่อม"

    "ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก!"องค์หญิงลุกพรวดพุ่งขึ้นจากเก้าอี้ก่อนที่จะวิ่งจากไปทันที

    "ช้าก่อน พะยะค่ะองค์หญิง"ถึงแม้ว่าบูรณ์จะพยายามส่งเสียงรั้งพระนางสักเพียงใดแต่ร่างบางได้หลุดลอยนวลไปไกลเสียแล้ว ธันยบูรณ์ได้แต่ถอนหายใจ เขารู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่ที่จะตามองค์หญิงไป หากเขาจะตามหล่อนไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปในฐานะอะไร

    '

    '

    '

    ร่างบางเร่งฝีเท้ากลับเข้าไปภายในพระราชวัง องค์หญิงเชอรีนเอื้อมหลังพระหัตถ์ขึ้นปาดน้ำพระเนตรของพระองค์เองเบาๆโชคยังดีที่ภายในโถงกลางในยามนี้ไร้ซึ่งผู้คน พระนางไม่อยากจะให้ผู้ใดมาเห็นน้ำตาของพระองค์ในยามนี้ แม้กระทั่งพระสหายคนสนิทอย่างองครักษ์ตั้ม แต่ถึงอย่างไรเชอรีนก็เผลอหันเหลียวหลังไปมองที่บริเวณประตูทางเข้าวังว่ามีใครตามมาหรือไม่ แต่เมื่อพบกับความว่างเปล่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคับแค้นใจ

    แม้กระทั่งจะตามมายังไม่มีเลยหรือไง!?

    องค์หญิงอดไม่ได้ที่จะทรงกริ้ว...กริ้วโดยมิทราบสาเหตุ ไม่รู้เพราะเหตุใดกันพระนางจึงทรงรู้สึกกริ้วมากมายเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะบุคลิกที่เย็นชาไร้อารมณ์ของเขา เขาไม่เคยใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย เขาแค่เพียงแต่สอนนางตามหน้าที่ พยายามทำหน้าที่ของเขาไปก็เท่านั้น...

    หึ

    องค์หญิงยกพระหัตถ์ขึ้นมาปาดน้ำพระเนตรอีก

    นางไม่ได้ต้องการสิ่งใดเลย พระนางเพียงแค่ต้องการความเห็นใจจากเขาเท่านั้น แค่ต้องการให้เขาเข้าใจ เข้าใจในตัวนางก็เท่านั้น

    แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครเข้าใจในตัวนางเลย เสด็จพ่อก็เอาแต่คอยพร่ำบอกนาง คอยเอาแต่ตรัสเรื่องอภิเษกสมรส ราวกับว่าวันดีคืนดีมันจะเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ

    เชอรีนรู้สึกเกลียด เกลียดการเป็นเจ้าหญิง ที่ต้องคอยอยู่ในกฎเกณฑ์ คอยสำรวมกิริยา แทบจะไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระนางแทบไม่ได้จะออกนอกรั้ววังนอกเสียจากเสด็จประพาสพร้อมกับพระบิดามารดาและบรรดาพระเชษฐา พระเชษฐภคินี

    ชีวิตนี้ต้องคอยคำนึงถึงแต่พระสวามีในอนาคต ที่ไม่เคยรู้จักตัวตน ทั้งชีวิตไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน แต่กลับจู่ๆต้องมาถวายชีวิตให้เนี่ย ไร้สาระสิ้นดี ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!

    ยิ่งคิดพระนางยิ่งทรงกริ้ว

    'ทำไมหนอ ทำไม!? ทำไมผู้หญิงจึงเป็นฝ่ายเลือกบ้างไม่ได้กันเชียว!?'

    องค์หญิงเชอรีนคิดพลางเดินกระแทกพระบาทไปตามห้องโถงเพื่อกลับห้องบรรทมของพระองค์ แต่แล้วระหว่างนั้นเองที่พระองค์ทรงเสด็จผ่านท้องพระโรง องค์หญิงทรงทอดพระเนตรเห็นประตูเปิดแง้มอยู่ ได้ยินเสียงใครบางคนกำลังหารือกันเบาๆ พระองค์อดไม่ได้ที่จะชะโงกพระพักต์เข้าไปดู

    พระนางทอดพระเนตรเห็นทูลกระหม่อมของพระนาง กำลังเสวนาอยู่กับใครบางคน...

    ดูแล้วชายชราผู้นี้จะมาจากต่างถิ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ดูทรงอำนาจและทรงศักดิ์ ชุดคลุมหรูหราราคาแพงดูจะบ่งบอกฐานะว่าเขาผู้นี้จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์หรือเจ้าผู้ครองแคว้นเป็นแน่

    หญิงสาวเอาหูแนบกับประตูเพื่อที่จะดักฟังการสนทนา

    ราวๆสองสามนาทีที่พยายามจับใจความประโยคก็เริ่มเปลี่ยนแปลงให้พระพักต์ที่สิริโฉมงดงามของพระนางบิดเบี้ยวลงเรื่อยๆ

    องค์หญิงเชอรีนกำพระหัตถ์แน่น อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆแต่ก็พยายามข่มโทสะ รีบเสด็จออกจากบริเวณนั้นโดยพลันก่อนที่จะมีผู้ใดมาเห็นเข้า เมื่อพ้นรัศมีประตูท้องพระโรงแล้ว พระนางก็เร่งฝีเท้าขึ้น ไปบริเวณปีกขวาของพระราชวัง ซึ่งเป็นที่ประทับและห้องบรรทมของพระเชษฐา

    "เสด็จพี่! เสด็จพี่!"พระนางตะโกนสุดเสียง ก่อนที่จะรัวทุบทวารห้องบรรทม

    "เจ้าเอะอะเสียงดังทำไมกันเชอรีน"พระสุรเสียงขององค์ชายนิชฌานดูจะแฝงไว้ด้วยความตำหนิเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้ทรงกริ้วมากมายนัก

    "เสด็จพี่ฌาน เสด็จพี่ฌานจะต้องช่วยน้องนะ"

    "ค่อยๆพูดเชอรีน เจ้าลองตั้งสติดีๆก่อนพูดสิ"องค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์หรเวชกุลกล่าวด้วยความใจเย็น นอกจากองค์ชายนิชฌานจะเป็นพระโอรสองค์โต แต่ทว่าพระองค์ยังทรงสุขุม เยือกเย็น และมีคุณธรรม ในขณะเดียวกันยังแฝงความเด็ดขาดเอาไว้อีกด้วย ยิ่งทำให้พระองค์เหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทอันดับหนึ่งที่ทรงดำรงค์อยู่

    "ข้าขอเข้าไปข้างในจะได้ไหม? พี่ใหญ่"นางพูดพลางหันซ้ายหันขวา

    "อื้ม เข้ามาสิ"องค์ชายนิชฌานกล่าวในขณะที่เปิดประตูให้น้องนุชสุดท้องของตนเข้าไปภายในห้องประทับส่วนพระองค์ก่อนที่จะปิดเบาๆ

    "ไหนเจ้ามีเรื่องทุกข์ใจอันใด หืม?"องค์ชายพูดกับพระขนิษฐาพลางลูบพระเกษา

    เชอรีนนั่งลงที่บริเวณเก้าอี้รับแขกตัวเล็กก่อนจะรีบพูดด้วยความร้อนรนว่า

    "เสด็จพี่ฌาน เสด็จพี่จะต้องช่วยข้าพูดกับทูลกระหม่อมพ่อนะ ข้าไม่อยากจะแต่งงาน"

    "...."สีหน้าของเจ้าชายดูนิ่งไปเพราะความตกตะลึง

    "นะเพคะเสด็จพี่ ข้ารู้ว่าเสด็จพี่สามารถทูลกับทูลกระหม่อมพ่อได้ ท่านพี่เป็นพระองค์เดียว..."

    "บางที มันอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้นะเชอรีน...."เขากล่าวเบาๆ แต่คำพูดนั้นทำให้องค์หญิงผงะราวกับถูกตบพระพักต์

    "ท่าน ท่าน! ท่านหมายความว่าอย่างไร!?"พระนางเริ่มขึ้นเสียง

    "พี่ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ..."องค์ชายพยายามที่จะใจเย็น

    "ท่านไม่เข้าใจ! ข้าไม่อยากจะแต่งงาน ทำไมน่ะ! ทำไมข้าจะต้องมาแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้ชอบด้วย!"

    "บนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความอยากหรือไม่อยากนะเชอรีน!"

    "ทำไมท่านถึงไม่ช่วยข้า ท่านก็รู้ดี ว่าข้ายังไม่รู้จักความรักเสียด้วยซ้ำน่ะ!"

    "โตเสียทีเชอรีน ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างหรอกที่จะเป็นได้ดังที่เจ้าหวัง เจ้าไม่เข้าใจ กองทัพแห่งแคว้นเมซิสทรงแสนยานุภาพมาก ไม่ใช่ทูลกระหม่อมพ่อไม่อยากที่จะตามใจเจ้า หรือต้องการจะผลักไสไล่ส่งเจ้า แต่เพราะเสด็จพ่อทรงหวั่นเกรงในบารมีของเจ้าแคว้นเมซิสต่างหาก จึงยอมให้มอบเจ้าให้อภิเษกสมรสกับโอรสองค์โตของกษัตริย์เมซิส เพื่อสานสัมพันธไมตรี ซึ่งข้าก็เห็นว่าเขาคู่ควรเหมาะสมกับเจ้า...-"

    "คู่ควรหรือ? เหมาะสมหรือ!? ท่านอย่าได้ยกเหตุผลจอมปลอมมาหลอกลวงข้าอีกเลย เราต่างคนต่างก็เป็นแค่เพียงคนแปลกหน้ากันก็เท่านั้น! เท่าที่ข้าฟังเสด็จพี่พูดมาข้าก็เห็นว่าตัวข้าเองก็มีค่าไม่ต่างอะไรจากตัวประกันที่แคว้นเมซิส!"

    "ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดเสียหน่อยเชอรีน...ทูลกระหม่อมพ่อและข้ารักและหวังดีกับเจ้านะ เพียงแต่...-"

    "ท่านพี่ฌาน! ท่านรู้อะไรไหม!? ตอนแรกก่อนที่ข้าจะมาหาท่านถึงที่ประทับที่นี่ ข้าคิดว่าท่านน่าจะเป็นคนที่เข้าใจจิตใจของข้าและพร้อมที่จะปลอบโยนและให้ความช่วยเหลือน้องสาวอย่างข้า แต่พอข้าลองใคร่ครวญดูแล้ว ข้าคงจะหลงคิดผิดไปเอง!"น้ำพระเนตรพรั่งพรูไหลออกจากพระเนตรคู่สวยหลังสิ้นสุดวลีสุดท้าย พริบตาเดียวที่พระนางได้หายไปจากห้อง ไม่ทันที่พระเชษฐาจะได้รั้งพระวรกายไว้แม้แต่วินาทีเดียว องค์หญิงพยายามที่จะเร่งฝีพระบาทอย่างเร็วที่สุด จุดหมายปลายทางของพระนางคงไม่ใช่ที่ใดอื่นนอกจากห้องบรรทมของพระองค์เสียเอง..

    _________________________________________________________________________________________________

    ถ้าชอบรบกวนคอมเม้นท์ด้วยน้าาา ^_^

    เรื่องนี้เชอรีนจะออกเกรียนๆหน่อยๆ ค่อนข้างจะเอาแต่ใจตัวเอง เพราะติดนิสัยเจ้าหญิง 555+

    เดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆทะยอยออกมาเรื่อยๆค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×