ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #69 : The Phonucorn ฟีนูคอน : มนต์ถัณฑิล – บทที่ ๔

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 234
      2
      31 ธ.ค. 59

       

    Title : The Phonucorn มนต์ถัณฑิล– บทที่ ๔

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Kai x DO

     

     

    บทที่ ๔

    The Phonucorn: มนต์ถัณฑิล

     

     

     

     

     

    “สวัสดีครับ จงอินจากโซม่าครับ”

     

    “...”

     

    สิ้นเสียงทุ้มนั้นเหมือนทุกคนต่างเงียบลงเพื่อรออะไรบางอย่าง คยองซูจ้องหน้าร่างสูงนิ่งไม่รู้จะพูดอย่างไรออกไปดี เขาไม่ค่อยพบจงอินในระยะที่ใกล้มากขนาดนี้ เลยไม่ค่อยมีคนรู้ว่าเขาทั้งสองนั้นรู้จักกัน แล้วในสถานการณ์ที่มายืนต่อหน้าเพื่อนทั้งสองฝ่ายเขาควรพูดอะไรออกไปดี

     

    “แล้ว?”

     

    เป็นซองแจที่ยืนรอดูอยู่ว่าหลังจากเอ่ยทักทาย รุ่นน้องหนุ่มจะทำความเคารพเขาเสียหน่อยมั้ย เมื่อเขาจ้องหน้าจงอินเองก็จ้องกลับเหมือนไม่เข้าใจ จนเขาอดที่จะพูดแนะนำออกไปไม่ได้ว่ามันยังไม่จบเท่านี้

     

    “คร่อมศีรษะสิ”

     

    “ทำไมต้องทำ?”

     

    คำถามที่ไม่ควรหลุดออกมาจากปากของรุ่นน้อง ต่อหน้ารุ่นพี่ถึงสองคนที่ตอนนี้เหวอหนัก ซองแจค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเขาก็เหมาะสมแก่ความเคารพ ยิ่งกับคยองซูที่เป็นถึงว่าที่เกียรตินิยมมหาวิทยาลัยด้วยแล้วมันไร้ข้อกังขา

     

    ...แล้วทำไมต้องทำมันคืออะไรวะ?...

     

    “เฮ้ๆ พวกเราเป็นรุ่นไง ทีนี้เข้าใจรึยังล่ะรุ่นน้อง”

     

    “จำเป็นเหรอครับ”

     

    “นี่!

     

    “ผมแค่สงสัยไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องนะครับ ผมกับรุ่นพี่ห่างกันเต็มที่ก็รอบปีเดียวเองนะ นั่นถือว่าเราจำเป็นต้องคร่อมศีรษะให้กันขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

     

    “ก็...?”

     

    กลายเป็นซองแจเองที่ต้องหันมาขอความช่วยเหลือจากคยองซู เพราะเขาก็จนปัญญาที่จะบอกแล้วจงอินไปแล้ว ร่างเล็กที่ตอนแรกเหมือนไม่ได้สนใจบทสนทนานั้นเลย แต่เพราะเพื่อนร่วมห้องดึงแขนเบาๆเรียกสติ ตากลมโตถึงต้องเบิกกว้างแล้วทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกไป

     

    “จริงๆเรื่องความเคารพแล้วต้องคร่อมศีรษะให้กันมันก็ดูไม่ยุติธรรมสำหรับนายหรอก แต่มันก็แบบนี้แหล่ะนะ ในเมื่อโลกฟีนูคอนมันเป็นมาแบบนี้ นายเป็นผู้วิเศษตนหนึ่งที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินนี้นิ กฎก็ควรจะเป็นกฎใช่มั้ยล่ะ”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกไปนิ่งๆ แต่ก็เต็มไปด้วยหลักการ คยองซูไม่ได้พูดคำไหนที่เป็นการบังคับเลยแม้แต่น้อย ทุกคำพูดก็แค่เป็นการโน้มน้าวใจให้ฟังดูน่าเชื่อถือเท่านั้น โดยถ่ายทอดทุกอย่างอย่างผ่านคำๆเดียว...มันเป็น กฎ

     

    “นั่นสินะครับ เพราะมันเป็นกฎของฟีนูคอน ผมก็คงทำได้แค่ยอมรับเท่านั้น”

     

    “อะ...อื้ม”

     

    “จงอินจากโซม่าครับ รุ่นพี่คยองซู”

     

    ร่างสูงคร่อมศีรษะให้แก่คยองซูตามหลักอายุ ก่อนจะหันมาคร่อมศีรษะให้แก่รุ่นพี่อีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพียงเล็กน้อย ตาคมวาดกลับไปมองดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยคำพูดมากมายในนั้น ไม่รู้ทำไมจงอินถึงรู้สึกว่าคำพูดของคยองซูมันเจ็บนัก เหมือนร่างเล็กไม่ได้อยากให้เขายอมรับแค่รุ่นอายุที่ต่าง แต่เหมือนมันกฎเขาให้จมกับฐานันดรที่ไม่เท่าเทียมเสียด้วย

     

    ...เรื่องของพวกเขา ต่อให้พยายามยังไงก็ไม่สำเร็จ...

     

    “ทานเค้กให้อร่อยนะครับ”

     

    “อ่า”

     

    ตากลมโตนั้นมองตามร่างของรุ่นน้องทั้งสองที่มาอยู่ข้างห้องไปจนทั้งสองเข้าห้องไป ก่อนจะเผลอถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เรื่องที่เขากังวลถูกจงอินตัดสินให้อย่างไม่มีเยื่อใยเลยซักนิด สุดท้ายสถานะของเขาก็คงเป็นได้แค่รุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเท่านั้น

     

    “ถอนหายใจอะไรของนาย?”

     

    “เห้ย!!!

     

    “ตกใจขนาดนั้นเลย?”

     

    ซองแจที่กลับมาจากวางเค้กที่โต๊ะ แต่ก็ยังเห็นคยองซูไม่ยอมปิดประตูห้องเสียที อดไม่ได้ที่จะเดินกลับมาดูเพื่อนตัวน้อยอีกครั้ง จนคยองซูได้แต่กลอกตาไปมาอย่างหลบความผิดของตนเอง มองแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าร่างเล็กมีบางอย่างปิดบังเขา คยองวุไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนับตั้งแต่อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง

     

    ...ดูเหมือนจะเป็นเพราะรุ่นน้องห้องข้างๆ...

     

    “ทำไมต้องยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอก เห็นไอ้หน้าหล่อแล้วใจสั่น?”

     

    “อะ...อะไร?”

     

    “ก็เจ้าเด็กคนนั้นไง ที่ไม่ยอมคร่อมศีรษะเคารพน่ะ นายชอบมันหรือเปล่าเนี่ย ถึงต้องมองตามไปขนาดนั้น”

     

    “ปะ...เปล่า”

     

    “ปฏิเสธเสียงเครือเลยนะคยองซู~”

     

    “กะ...ก็ไม่ได้มีอะไรจริงๆนิ”

     

    “โกหกไม่เนียนเลย...ย...ย~”

     

    “ไม่ได้โกหกนะ!

     

    “โอเคๆ เราเชื่อที่นายพูดหมดทุกอย่างเลย หึหึ”

     

    ซองแจแกล้งหยอกคยองซูจนพอใจ ก่อนจะเดินหนีกลับไปจัดของตนเองให้เข้าที่ต่อ ต่างจากร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่เดิมด้วยความคิดที่ประหลาด เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ภายในอกเต้นแรงมาก่อนเลย จริงๆมันเกิดขึ้นหลายครั้งเมื่อเขาได้อยู่กับจงอิน แต่เพราะเขาเชื่อว่าเขาเป็นแค่พี่ชายของร่างสูงเท่านั้น จึงไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวมากเท่านี้มาก่อน

     

    ...ตอนนี้พวกเขาเป็นแค่รุ่นพี่กับรุ่นน้องแล้วนิ...

     

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

     

    ห้องเรียนคณะสัตวะวิทยาและสิ่งมีชีวิต

     

    วันนี้เหมือนวันแรกพบของคณะ เป็นวันแรกที่รุ่นน้องปีสองเพียงน้อยนิดที่เลือกเรียนสาขานี้ได้เข้ามาพบรุ่นพี่ ในทุกๆปีคณะของคยองซูก็จะมีเด็กๆลักษณะไม่ต่างกันเท่าไร คือหนึ่งในสิบกว่าคนต้องมีพวกเนิร์ดประจำรุ่นที่ดูแปลกไม่ว่าจะกำลังกระทำอะไรก็ตาม ประจำปีสามก็ไม่ใช่ใครนอกจากร่างเล็กเอง และ ปีสี่ก็คงเป็นประธานรุ่นอย่างรุ่นพี่คิมบอมเป็นต้น นอกนั้นก็มักจะเป็นเด็กขาลุย จะมีสาวเปรี้ยวหลงมาบ้างก็เพราะไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าคณะดีไซน์อะไรประมาณนั้นมากกว่า

     

    “พี่คิมบอมบอกว่าจะไม่มีอาจารย์เข้ามาพูดวันนี้”

     

    “ทำไมล่ะ นี่มันวันแรกของน้องๆปีสองเชียวนะ”

     

    “ก็เหมือนจะมีประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย”

     

    “แย่เนอะ ว่างั้นมั้ยคยองซู”

     

    อึนจีที่คุยกับฮยอนชิกแค่เพียงสองคนอยู่นาน หันมาขอความเห็นจากคยองซู ที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เมื่อเธอเรียกแล้วร่างเล็กยังทำทีไม่รู้สึกตัว เลยเป็นหน้าที่ของฮยอนชิกที่ต้องเดินไปดีดนิ้วใส่ใบหน้าหวานแทน

     

    เป๊าะ!...เฮือก!!!

     

    “หือ?!!!

     

    เสียงครางแผ่วดังขึ้นพร้อมอาการสะดุ้งเล็กน้อย คยองซูรู้ดีว่าเพื่อนทำแบบนี้เพราะเขาคงเหม่อลอยอีกแล้ว ซองแจเองก็ทำแบบนี้กับเขาอยู่หลายครั้งตั้งแต่ทานมื้อค่ำเมื่อวาน เขาก็ไม่ได้อยากจะทำให้เพื่อนเป็นห่วงซักเท่าไรหรอก ผิดที่ซองแจต่างหากที่พูดเรื่องนั้นขึ้นมาให้เขาคิดมาก

     

    “เป็นอะไรของนายน่ะ ดูเหมือนจะเหม่อลอยตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว”

     

    “ก็...มีเรื่องให้คิดน่ะ”

     

    “มีอะไรก็ปรึกษาพวกเราได้เลยนะ คยองซูเป็นแบบนี้ดูไม่โอเคเลย เราเป็นเพื่อนกันก็ควรมีบทสนทนาแลกเปลี่ยนกันได้สิ”

     

    อึนจีพูดขึ้นอย่างเสนอตัวช่วยคลายความสงสัย ในตอนแรกร่างเล็กก็ทำท่าจะไม่รบกวนจนคนอื่นรู้ แต่เพราะเพื่อนทั้งสองไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ สุดท้ายก็เลยต้องคายเรื่องที่คาใจออกไปเลกน้อย

     

    “อึนจีคิดว่า คนเราจะชอบคนที่ไม่เคยคิดจะชอบได้มั้ย”

     

    “ชอบคนที่คิดว่าไม่เคยชอบ?”

     

    “คำถามนายมันกำกวมไปหน่อยรึเปล่า ช่วยเปลี่ยนคำให้เหมาะกับไอคิวพวกเราหน่อยได้มั้ยคยองซู”

     

    “เอ่อ...แบบชอบคนที่สนิทมานาน อะไรประมาณนั้นน่ะ”

     

    “ก็ไม่เห็นแปลก คนเราสนิทกันถ้ามันจะกลายเป็นความชอบก็ปกตินะ”

     

    “แล้วถ้าแบบเคยสนิท แต่ตอนนี้ไม่สนิทแล้วมันจะแปลกมั้ย”

     

    “สรุปว่าตอนนี้สนิทหรือไม่สนิทแล้วล่ะ ฉันเริ่มงงกับมันอีกแล้วนะ”

     

    ฮยอนชิกทวนคำถามกลับไปกลับมาในหัวจนยุ่งไปหมด เขาไม่ค่อยเข้าใจความคิดที่แสนซับซ้อนของคนเก่งเลยสักนิด ไม่รู้ว่าคยองซูกำลังพูดภาษาโซมารัสกับพวกเขาอยู่รึไง

     

    “ตอนนี้ไม่สนิท แต่เคยสนิทมากๆ”

     

    “อื้ม...อย่างนั้นก็พูดยากนะ แบบว่าบางทีมันอาจจะแค่เป็นความรู้สึกผูกพันธ์ที่ติดกันอยู่รึเปล่าล่ะ ถ้าเมื่อก่อนไม่เคยชอบเลยแล้วหน้าตาเขาก็ยังเหมือนเดิม นิสัยเขาก็ยังเหมือนเดิม บางทีมันอาจเป็นเพราะเราคิดถึงเขาเลยสับสนน่ะ”

     

    “แต่ฉันใจเต้นแรงมากเลยนะ”

     

    ทั้งที่ถ้าปล่อยให้มันเป็นความคิดถึง เรื่องความคิดยุ่งเหยิงนี้ก็คงจบลง แต่ไม่รู้ทำไมคยองซูถึงต้องติดใจกับอาการใจเต้นของตนเอง นี่มันกำลังเกิดสิ่งไม่ดีขึ้นในระบบการเต้นของหัวใจเขาหรือไม่

     

    “บางทีอาจเป็นอาการข้างเคียงของโลกบางอย่าง”

     

    “ฉันไม่เคยอ่านเจอเลย มันจะเป็นอันตรายมั้ย”

     

    “หึหึ พูดอะไรของนายน่ะคยองซู ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องโรคอะไรอย่างที่ยัยผู้หญิงไร้หัวใจยองจีพูดหรอก นายก็แค่กำลังมีวามรักเท่านั้นเองแหล่ะ”

     

    “คะ...ความรัก?”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก เขาจะตกหลุมรักคนที่เป็นเหมือนน้องชายของเขามาลอดได้อย่างไร

     

    “มันเป็นความรักอยู่แล้วถ้านายเคยรู้สึกรัก นายคิดดูสิว่าจะมีความรู้สึกไหนที่ทำให้นายใจสั่นได้อีกนอกจากความรัก นายเป็นแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ เวลาที่มองหน้าของคนๆนั้นแล้วหัวใจมันบอกว่าอย่าทำอะไรต่อหน้าเขา หยุดหายใจไปก่อนเผื่อเขาจะไม่ชอบ หยุดทำในสิ่งที่ไม่รู้ว่าเขาจะชอบเรามั้ยแบบนั้นไง”

     

    ฮยอนชิกพูดพร้อมทั้งมองใบหน้าของเพื่อนตัวเล็กที่ค่อยๆแดงขึ้นเรื่อย เอื้อมมือไปลูบศีรษะของคยองซูที่เหมือนเด็กเพิ่งรู้จักความรัก ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะพูดออกไปเหมือนกัน แต่คงทำได้แค่พูดมันไปทางสายตาเท่านั้น

     

    ...คยองซูคนโง่ที่ดูไม่เคยออก...

     

    “นายพอจะบอกฉันได้มั้ยว่านายใจเต้นแรงเพราะใคร”

     

    “ฉัน...”

     

    “บอกหน่อยสิ สัญญาจะไม่ล้อ”

     

    ฮยอนชิกถามซ้ำ เขาอยากรู้ว่าคู่แข่งที่เขาต้องฝ่าไปให้ได้นั้นน่ากลัวซักแค่ไหน ร่างเล็กนิ่งไปเหมือนใช้ความคิดหนักกว่าเก่า แต่สุดท้ายกลับเลือกยิ้มตอบไปอย่างไม่รู้ว่านั่นเหมือนการให้ความหวัง เพราะคนตรงหน้าก็หวังจะให้คยองซูตอบว่าเป็นตนเองอยู่แล้ว

     

    “เอาไว้ฉันคิดว่ามันคือความรักแล้วจะบอกนะ”

     

    ร่างเล็กเลี่ยงตัวออกมา แล้วเดินเลาะไปตามสวนหน้าคณะของเขา หยุดนั่งลงที่ม้าหินเก่าๆในมุมที่แทบไม่เคยมีใครผ่านมา แต่เขาคงลืมไปว่าตึกที่อยู่ระหว่างม้านั่งตัวนี้อีกตึก คืออาคารเรียนของคณะการสืบค้น ที่กำลังมีตาคมคู่หนึ่งจ้องมองลงมาที่เขาพอดี

     

    “มาทำอะไรคนเดียวนะ?”

     

    เสียงทุ้มที่บังเอิญมองเรื่อยเปื่อยไปเจอกับร่างเล็กพอดี พูดขึ้นเสียงเบาด้วยความสงสัย จงอินรู้ว่าคยองซูไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะน้อยขนาดถูกปล่อยให้มาอยู่คนเดียวเช่นนี้ อาการชอบอยู่คนเดียวมันเกิดขึ้นทุกครั้งที่คยองซูต้องใช้ความคิด

     

    “คุณหนูมีอะไรในใจรึเปล่า ผมอยากรู้มันจัง”

     

    ยังคงพร่ำพูดคนเดียว ใบหน้าหล่อเอนลงทาบกับสองแขนที่ซ้อนกันอยู่บนขอบหน้าต่าง มองลงไปยังใบหน้าหวานอย่างคิดไม่ตกไม่ต่างกัน ร่างสูงก็แทบนอนไม่หลับหลังจากคำพูดของคยองซูที่เอ่ยออกมา แม้แต่ตอนทานอาหารเย็นที่โถงใหญ่ เขาก็ยังต้องเหลือบมองร่างเล็กที่ดูไม่ร่าเริงเช่นกันอยู่บ่อยครั้ง

     

    “ทำไมคุณหนูถึงไม่พูดมันออกมาเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ...ผมคิดถึงนะ”

     

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

     

    “การเรียนนอกสถานที่เหรอ?”

     

    “ใช่ ตอนที่นายหายไปอาจารย์ซอฮยอนเดินมาบอกว่าปีสามจะได้เรียนนอกสถานที่อาทิตย์หน้า”

     

    “อาทิตย์หน้าเลยเหรอ ทำไมไวนักล่ะ นี่เราเพิ่งได้เปิดเทอมเองนะ?”

     

    คยองซูนั่งสงสัยขณะที่เดินกลับมาแล้วพบข่าวใหม่ของชั้นปี เขารู้ว่าปีของเขานั้นถูกปรับหลักสูตรการเรียนให้แตกต่างจากรุ่นพี่ แต่พวกเขายังเด็กเกินไปสำหรับการลงภาคสนามในความคิดของร่างเล็ก เพื่อนหลายคนไม่รู้วิธีกล่อมสัตว์วิเศษตัวเล็กๆให้สงบเสียด้วยซ้ำ และเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียนนอกสถานที่แห่งเดียวในมหาวิทยาลัยที่คยองซูคิดออก คงไม่พ้น...คอกโทร์ลหลังสุสาน

     

    “พวกเราไม่น่าพร้อม ไม่มีใครปฏิเสธไปบ้างเหรอ”

     

    “อาจารย์เธอบอกว่ามันดีกว่าถ้าเราเอาเวลาเถียงไปเตรียมตัว ก็เลยไม่มีใครกล้าพูดออกไป เธอว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแผนการเรียนได้แล้ว พวกเราต้องยอมรับ”

     

    “แต่จริงๆแล้วใครๆก็รู้ว่าเธอพยายามจะแก้แค้นที่พวกเราทำกระโปรงตัวโปรดเธอไหม้ ตอนไปทัศนะศึกษาเมื่อปีที่แล้วไง”

     

    ฮยอนชิกเสริมด้วยใบหน้าที่เอือมระอาไม่ต่างจากอึนจี เรื่องเมื่อปีก่อนคือเรื่องที่เกิดเพราะการเยี่ยมชมคอกมังกรของมหาวิทยาลัยมาตราวัด ระหว่างเยี่ยมชมมีเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งเหยียบหางมังกร แล้วมันพ่นไฟออกมาได้ระหว่างร้องออกมา จนสะเก็ดไฟไปโดนขนประดับกระโปรงตัวโปรดของอาจารย์สาว หลังจากนั้นนักศึกษารุ่นนี้ทั้งหมดก็ไม่เคยมีใครเข้าหน้าเธอติดได้อีกเลย

     

    “เธอจะหลอกเราให้โดนโทร์ลเหยียบสิ้นชีพมั้ยเนี่ย”

     

    “นั่นก็โหดร้ายเกินไปรึเปล่าวะ”

     

    “จริงๆแล้วตามทฤษฏีคือพวกเราเรียนวิชากล่อมประสาทกันมาหมดแล้ว มันไม่ควรจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นนะ แต่ตามการปฏิบัติพวกเรากว่าครึ่งห้องผ่านวิชานี้มาได้เพราะคะแนนช่วย ฉันคิดว่าถ้ามีโทร์ลหลุดมาซักตัวพวกเราคงลำบากแน่ๆ”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างคิดไม่ตก ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เมื่อเห็นว่าเขาเพิ่งจะทำให้เพื่อนสองคนที่ยังคบเขาอยู่เครียด อึนจีที่แทบจะเอาศีรษะโขกโต๊ะให้หักครึ่งทันทีที่เขาพูดจบ เพราะเธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ผ่านมันมาได้เพราะคะแนนช่วยอย่างที่คยองซูพูดไม่มีผิด

     

    “ฉันต้องตายแน่ๆ”

     

    “เอาน่ะ เธอน่าจะดีใจนะที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องตายคนเดียวหรอก เพื่อนเกินครึ่งห้องคงมีสภาพไม่ต่างกันเท่าไร”

     

    ฮยอนชิกพูดหยอกอึนจีที่ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาอย่างนึกสนุก ต่างจากคยองซูที่รู้จักนิสัยของโทร์ลที่ไม่ได้รับการฝึกดี มันไม่ใช่เพื่อนเล่นที่น่ารักเหมือนเจ้าปาปีโร่ของเขาแน่นอน

     

    “หวังว่ามันจะไม่เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นหรอกนะ”

     

    “หือ? อย่ากังวลไปเลยน่ะคยองซู พวกเราก็แค่พูดเล่นกันเท่านั้นเองนะ”

     

    “อื้ม ฉันก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอกอึนจี”

     

    แม้จะพูดออกไปเพื่อให้เพื่อนสบายใจ แต่หลังอาหารค่ำจบลง ขาเล็กกลับไปกลับไปยังหอพักอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเบี่ยงทางไปยังสุสานของมหาวิทยาลัยที่ไม่มีคนอยากเข้าไปนัก เลาะขอบชายป่าสนของสุสานไปที่คอกโทร์ลด้านหลัง จริงๆเขายังไม่ถึงช่วงที่ต้องเข้ามาทำงานในคอก แต่ก็เพราะกังวลเรื่องเรียนนอกสถานที่เลยต้องมาถามให้แน่ใจ

     

    “คยองซู?”

     

    “สวัสดีครับ รุ่นพี่จุนซู”

     

    “เธอยังไม่ถูกเรียกตัวไม่ใช่เหรอ?”

     

    เสียงของรุ่นพี่ที่ทำงานเป็นผู้รับใช้ฝึกหัดเช่นเดียวกับเขาทักขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนที่สองขาจะเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าของรุ่นน้องตัวเล็ก ที่มาถึงคอกโทร์ลทั้งที่ยังไม่ใช่เวลาของตนเอง

     

    “มีอะไรรึเปล่า มาถึงที่นี่คงไม่ได้มาเยี่ยมโทร์ลก่อนทำงานใช่มั้ย”

     

    “ผมมีเรื่องจะถามน่ะครับ”

     

    “ถ้าพี่ตอบได้ก็จะตอบนะ ว่ามาสิ”

     

    “คือชั้นเรียนของผมน่ะครับ มีมาที่นี่ด้วยรึเปล่าครับ”

     

    “คณะสัตวะวิทยาเหรอ?”

     

    จุนซูทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเดินกลับไปดูตารางใช้คอกที่เขียนกำกับเวรยามของผู้รับใช้ไว้ด้วย ไล่นิ้วไปตามตารางการใช้ของสัปดาห์ถัดไป แล้วก็เห็นมาร์กแดงด้วยปากกาไว้ว่ามีการจองคอกสำหรับการเรียนจริงๆ แต่เท่าที่เขาจำได้คือร่างเล็กเพิ่งจะอยู่ปีสาม ถึงเขาจะเรียนคณะอื่นแต่ก็พอจะมีเพื่อนอยู่ปีสี่ที่คณะนั้น จำได้ว่าพวกเพื่อนร่วมรุ่นเขายังไม่มีใครเคยเข้ามาในคอกโทร์ลเลย สงสัยจนต้องหยิบสมุดนั้นไปยื่นถามคยองซูที่ยืนลุ้นอยู่

     

    “ไม่เร็วไปหน่อยเหรอสำหรับเด็กปีสาม?”

     

    “มันมีจริงๆด้วย”

     

    “ถึงนายจะเก่งยังไงก็เถอะ แต่นายก็น่าจะรู้ฤทธิ์เจ้าพวกนี้ดีไม่ใช่เหรอ แต่ละตัวนี่ยังกับโทร์ลหนีคดีมาทั้งนั้นแหล่ะ หึหึ”

     

    รุ่นพี่หนุ่มพยายามพูดติดตลก เพราะไม่อยากให้คยองซูที่อ่านตารางการใช้กว่าเดือนนั้นเครียดมากไปอีก แต่มันก็ดูไม่ช่วยร่างเล็กที่จมอยู่กับสมุดในมือนั่นเลย แถมยังเหมือนจะไปเพิ่มความเครียดให้เสียอีก

     

    “ผมจะทำยังไงดี พวกเรายังไม่พร้อมแน่ๆ”

     

    “ถ้างั้นก็คงต้องหาอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าไปเสนออาจารย์ให้เปลี่ยนมั้ง”

     

    “ทำไมได้หรอกครับ”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างเศร้าๆ คยองซูรู้ดีว่านี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะไปขอร้องให้ซอฮยอนเปลี่ยนบทเรียน นอกเสียจากว่าพวกเขาจะสามารถขโมยหนังสือหลักสูตรการเรียนนั้นมาเปลี่ยนข้อมูลได้ แต่ใครล่ะจะกล้าทำแบบนั้นกับอาจารย์ ถ้าถูกจับได้ก็คงเป้นเรื่องใหญ่แน่นอน

     

    “ทำไมจะทำไม่ได้ แค่แก้ไขชื่อบทเรียนในหนังสือหลักสูตรเอง”

     

    “อาจารย์ที่สอนเขาไม่ค่อยชอบรุ่นของผมครับ มีเพื่อนเคยเหยียบหางมังกรแล้วมันดันพ่นไฟไปใส่กระโปรงตัวโปรดของเธอ หลังจากนั้นพวกผมก็ถูกเสนอให้มาเรียนนอกสถานที่ที่นี่ไงล่ะครับ”

     

    “ที่นายต้องการคือแค่เล่มหลักสูตรที่เซ็นเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ส่งเข้าห้องทะเบียนสินะ”

     

    “ครับ”

     

    คยองซูรับคำไปอย่างส่งๆ เขาอาจจะต้องการเพียงเท่าที่รุ่นพี่จุนซูพูดก็จริง แต่เพียงของเขามันเป็นเพียงที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้ เพื่อนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องของโทร์ลเท่าเขาก็คงไม่มีใครคิดว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยงหรอก ส่วนจะให้เขาเข้าไปทำเองก็ไม่มีปัญญาจะทำจริงๆ แค่ปีนหน้าผาจำลองตอนเรียนที่โรงเรียนเขายังทำไม่ได้เลย ขนาดงานประเพณีคัดสรรค์เขาก็ตายแทบจะทันทีที่ออกจากที่ซ่อนหลังหนึ่งชั่วโมง ไม่ต้องพูดถึงขนาดจะให้ปีนเข้าห้องพักอาจารย์เพื่อขโมยของหรอก

     

    ...คยองซูไม่มีปัญญาจริงๆ...

     

    “ไม่ลองให้เพื่อนๆทำดูล่ะ ไม่ยากหรอก”

     

    “ใครจะกล้าเสี่ยงละครับ พวกนั้นเขาไม่รู้หรอกว่ามันอันตรายแค่ไหนถ้ามาที่คอกโทร์ล”

     

    “งั้นก็ปล่อยเถอะ ก็จะทำไงได้ล่ะ”

     

    “จะปล่อยได้ยังไงครับ ที่พี่กำลังบอกให้ปล่อยน่ะเพื่อนผมทั้งนั้น แล้วเขาก็เป็นรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยพี่ด้วยนะ”

     

    “แล้วไงอ่ะ ไม่ช่วยตัวเองแล้วจะให้พี่ช่วยเราได้ยังไงกัน”

    “ไม่มีใครที่พอจะช่วยทำแทนพวกผมได้เลยเหรอครับ ถ้าต้องมาเรียนที่นี่จริงๆ มีหวังได้ตกกันยกชั้นเรียนเอาเสียด้วยซ้ำ แบบนั้นมันไม่ดีต่อความมั่นคงทางชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยฟีนูคอนเลยนะครับ”

     

    ดวงตากลมโตหันไปมองอ้อนรุ่นพี่ ที่เขารู้ดีว่าเรียนคณะการปกครองและบริหาร จุนซูเป็นคนที่คิดมากเรื่องความมั่นคงของประเทศมาก เขาคิดอยู่แล้วว่ามุขนี้น่าจะช่วยให้รุ่นพี่อยากช่วยพวกเขาขึ้นมาได้ จุนซูมองหน้าคยองซูที่ดูเศร้าแล้วคิดหนัก ย่อตัวลงนั่งที่พื้นข้างๆร่างเล็ก แล้วถอนออกมาอย่างลำบากใจ

     

    “จริงๆก็รู้จักอยู่คนนึงนะ แต่ไปคุยเองก็แล้วกัน”

     

    “ได้ครับ”

     

    “งานมันเสี่ยง ค่าจ้างก็คงหลายฟีนเลยด้วย”

     

    “เดี๋ยวผมหารๆเอากับเพื่อนก็ได้ครับ”

     

    “งั้นก็เดินกลับหอไปเคาะประตูห้องข้างๆได้เลยคยองซู”

     

    “เอ๋?”

     

    เสียงหวานครางออกมาด้วยความสงสัย เขาคิดว่าตนเองยังไม่รับคำตอบของข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อย แต่กลับถูกไล่ให้กลับไปหอเสียดื้อๆ ร่างเล็กเตรียมจะโวยวายขอความช่วยเหลือต่อ แต่จุนซูก็ชิงอธิบายสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเสียก่อน

     

    “ไปเคาะห้องของคิม จงอินนะ แล้วบอกหมอนั่นว่านายอยากให้ช่วยขโมยของหน่อย ถึงปกติหมอนั่นจะทำแค่การสืบข้อมูล แต่ก็ได้ยินมาว่าบางทีก็ยอมรับทำเรื่องแบบนี้อยู่บ้าง ยังไงก็ลองไปขอความช่วยเหลือดูแล้วกัน”

     

    ตอนนี้ใบหน้าหวานเหวอหนักกว่าเก่า เขายังคิดไม่ตกเรื่องของร่างสูงอยู่เลย แล้วอยู่ๆจะให้ทำเหมือนไม่คิดอะไร แล้วเดินเข้าไปขอให้อีกคนทำงานให้

     

    ...คยองซูจะทำได้ยังไง...

                        

    <<< The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล >>>

    The Phonucorn – chapter 4.4

     

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ไม่รู้มนต์ถันฑิลสนุกถูกใจมั้ยเอ่ย แต่อย่างไรฝากติดตามด้วยนะคะ หายไปนานคงยังไม่ลืมคุณหนูกับทาสรับใช้นะคะ^^

     

     

      CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×