คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #69 : The Phonucorn ฟีนูคอน : มนต์ถัณฑิล – บทที่ ๔
Title :
The Phonucorn
มนต์ถัณฑิล– บทที่ ๔
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Kai x DO
บทที่ ๔
The Phonucorn: มนต์ถัณฑิล
“สวัสดีครับ จงอินจากโซม่าครับ”
“...”
สิ้นเสียงทุ้มนั้นเหมือนทุกคนต่างเงียบลงเพื่อรออะไรบางอย่าง
คยองซูจ้องหน้าร่างสูงนิ่งไม่รู้จะพูดอย่างไรออกไปดี
เขาไม่ค่อยพบจงอินในระยะที่ใกล้มากขนาดนี้
เลยไม่ค่อยมีคนรู้ว่าเขาทั้งสองนั้นรู้จักกัน
แล้วในสถานการณ์ที่มายืนต่อหน้าเพื่อนทั้งสองฝ่ายเขาควรพูดอะไรออกไปดี
“แล้ว?”
เป็นซองแจที่ยืนรอดูอยู่ว่าหลังจากเอ่ยทักทาย
รุ่นน้องหนุ่มจะทำความเคารพเขาเสียหน่อยมั้ย
เมื่อเขาจ้องหน้าจงอินเองก็จ้องกลับเหมือนไม่เข้าใจ
จนเขาอดที่จะพูดแนะนำออกไปไม่ได้ว่ามันยังไม่จบเท่านี้
“คร่อมศีรษะสิ”
“ทำไมต้องทำ?”
คำถามที่ไม่ควรหลุดออกมาจากปากของรุ่นน้อง
ต่อหน้ารุ่นพี่ถึงสองคนที่ตอนนี้เหวอหนัก ซองแจค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเขาก็เหมาะสมแก่ความเคารพ
ยิ่งกับคยองซูที่เป็นถึงว่าที่เกียรตินิยมมหาวิทยาลัยด้วยแล้วมันไร้ข้อกังขา
...แล้วทำไมต้องทำมันคืออะไรวะ?...
“เฮ้ๆ พวกเราเป็นรุ่นไง
ทีนี้เข้าใจรึยังล่ะรุ่นน้อง”
“จำเป็นเหรอครับ”
“นี่!”
“ผมแค่สงสัยไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องนะครับ
ผมกับรุ่นพี่ห่างกันเต็มที่ก็รอบปีเดียวเองนะ
นั่นถือว่าเราจำเป็นต้องคร่อมศีรษะให้กันขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ก็...?”
กลายเป็นซองแจเองที่ต้องหันมาขอความช่วยเหลือจากคยองซู
เพราะเขาก็จนปัญญาที่จะบอกแล้วจงอินไปแล้ว ร่างเล็กที่ตอนแรกเหมือนไม่ได้สนใจบทสนทนานั้นเลย
แต่เพราะเพื่อนร่วมห้องดึงแขนเบาๆเรียกสติ
ตากลมโตถึงต้องเบิกกว้างแล้วทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกไป
“จริงๆเรื่องความเคารพแล้วต้องคร่อมศีรษะให้กันมันก็ดูไม่ยุติธรรมสำหรับนายหรอก
แต่มันก็แบบนี้แหล่ะนะ ในเมื่อโลกฟีนูคอนมันเป็นมาแบบนี้
นายเป็นผู้วิเศษตนหนึ่งที่ถือกำเนิดบนแผ่นดินนี้นิ กฎก็ควรจะเป็นกฎใช่มั้ยล่ะ”
เสียงหวานเอ่ยออกไปนิ่งๆ
แต่ก็เต็มไปด้วยหลักการ คยองซูไม่ได้พูดคำไหนที่เป็นการบังคับเลยแม้แต่น้อย
ทุกคำพูดก็แค่เป็นการโน้มน้าวใจให้ฟังดูน่าเชื่อถือเท่านั้น
โดยถ่ายทอดทุกอย่างอย่างผ่านคำๆเดียว...มันเป็น ‘กฎ’
“นั่นสินะครับ เพราะมันเป็นกฎของฟีนูคอน
ผมก็คงทำได้แค่ยอมรับเท่านั้น”
“อะ...อื้ม”
“จงอินจากโซม่าครับ รุ่นพี่คยองซู”
ร่างสูงคร่อมศีรษะให้แก่คยองซูตามหลักอายุ ก่อนจะหันมาคร่อมศีรษะให้แก่รุ่นพี่อีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพียงเล็กน้อย
ตาคมวาดกลับไปมองดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยคำพูดมากมายในนั้น
ไม่รู้ทำไมจงอินถึงรู้สึกว่าคำพูดของคยองซูมันเจ็บนัก
เหมือนร่างเล็กไม่ได้อยากให้เขายอมรับแค่รุ่นอายุที่ต่าง แต่เหมือนมันกฎเขาให้จมกับฐานันดรที่ไม่เท่าเทียมเสียด้วย
...เรื่องของพวกเขา
ต่อให้พยายามยังไงก็ไม่สำเร็จ...
“ทานเค้กให้อร่อยนะครับ”
“อ่า”
ตากลมโตนั้นมองตามร่างของรุ่นน้องทั้งสองที่มาอยู่ข้างห้องไปจนทั้งสองเข้าห้องไป
ก่อนจะเผลอถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เรื่องที่เขากังวลถูกจงอินตัดสินให้อย่างไม่มีเยื่อใยเลยซักนิด
สุดท้ายสถานะของเขาก็คงเป็นได้แค่รุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเท่านั้น
“ถอนหายใจอะไรของนาย?”
“เห้ย!!!”
“ตกใจขนาดนั้นเลย?”
ซองแจที่กลับมาจากวางเค้กที่โต๊ะ
แต่ก็ยังเห็นคยองซูไม่ยอมปิดประตูห้องเสียที
อดไม่ได้ที่จะเดินกลับมาดูเพื่อนตัวน้อยอีกครั้ง
จนคยองซูได้แต่กลอกตาไปมาอย่างหลบความผิดของตนเอง
มองแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าร่างเล็กมีบางอย่างปิดบังเขา
คยองวุไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนับตั้งแต่อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
...ดูเหมือนจะเป็นเพราะรุ่นน้องห้องข้างๆ...
“ทำไมต้องยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอก เห็นไอ้หน้าหล่อแล้วใจสั่น?”
“อะ...อะไร?”
“ก็เจ้าเด็กคนนั้นไง
ที่ไม่ยอมคร่อมศีรษะเคารพน่ะ นายชอบมันหรือเปล่าเนี่ย ถึงต้องมองตามไปขนาดนั้น”
“ปะ...เปล่า”
“ปฏิเสธเสียงเครือเลยนะคยองซู~”
“กะ...ก็ไม่ได้มีอะไรจริงๆนิ”
“โกหกไม่เนียนเลย...ย...ย~”
“ไม่ได้โกหกนะ!”
“โอเคๆ เราเชื่อที่นายพูดหมดทุกอย่างเลย
หึหึ”
ซองแจแกล้งหยอกคยองซูจนพอใจ
ก่อนจะเดินหนีกลับไปจัดของตนเองให้เข้าที่ต่อ
ต่างจากร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่เดิมด้วยความคิดที่ประหลาด
เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ภายในอกเต้นแรงมาก่อนเลย จริงๆมันเกิดขึ้นหลายครั้งเมื่อเขาได้อยู่กับจงอิน
แต่เพราะเขาเชื่อว่าเขาเป็นแค่พี่ชายของร่างสูงเท่านั้น
จึงไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวมากเท่านี้มาก่อน
...ตอนนี้พวกเขาเป็นแค่รุ่นพี่กับรุ่นน้องแล้วนิ...
<<<
The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล
>>>
ห้องเรียนคณะสัตวะวิทยาและสิ่งมีชีวิต
วันนี้เหมือนวันแรกพบของคณะ เป็นวันแรกที่รุ่นน้องปีสองเพียงน้อยนิดที่เลือกเรียนสาขานี้ได้เข้ามาพบรุ่นพี่
ในทุกๆปีคณะของคยองซูก็จะมีเด็กๆลักษณะไม่ต่างกันเท่าไร
คือหนึ่งในสิบกว่าคนต้องมีพวกเนิร์ดประจำรุ่นที่ดูแปลกไม่ว่าจะกำลังกระทำอะไรก็ตาม
ประจำปีสามก็ไม่ใช่ใครนอกจากร่างเล็กเอง และ ปีสี่ก็คงเป็นประธานรุ่นอย่างรุ่นพี่คิมบอมเป็นต้น
นอกนั้นก็มักจะเป็นเด็กขาลุย
จะมีสาวเปรี้ยวหลงมาบ้างก็เพราะไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าคณะดีไซน์อะไรประมาณนั้นมากกว่า
“พี่คิมบอมบอกว่าจะไม่มีอาจารย์เข้ามาพูดวันนี้”
“ทำไมล่ะ นี่มันวันแรกของน้องๆปีสองเชียวนะ”
“ก็เหมือนจะมีประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย”
“แย่เนอะ ว่างั้นมั้ยคยองซู”
อึนจีที่คุยกับฮยอนชิกแค่เพียงสองคนอยู่นาน
หันมาขอความเห็นจากคยองซู ที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา
เมื่อเธอเรียกแล้วร่างเล็กยังทำทีไม่รู้สึกตัว เลยเป็นหน้าที่ของฮยอนชิกที่ต้องเดินไปดีดนิ้วใส่ใบหน้าหวานแทน
เป๊าะ!...เฮือก!!!
“หือ?!!!”
เสียงครางแผ่วดังขึ้นพร้อมอาการสะดุ้งเล็กน้อย
คยองซูรู้ดีว่าเพื่อนทำแบบนี้เพราะเขาคงเหม่อลอยอีกแล้ว
ซองแจเองก็ทำแบบนี้กับเขาอยู่หลายครั้งตั้งแต่ทานมื้อค่ำเมื่อวาน เขาก็ไม่ได้อยากจะทำให้เพื่อนเป็นห่วงซักเท่าไรหรอก
ผิดที่ซองแจต่างหากที่พูดเรื่องนั้นขึ้นมาให้เขาคิดมาก
“เป็นอะไรของนายน่ะ
ดูเหมือนจะเหม่อลอยตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว”
“ก็...มีเรื่องให้คิดน่ะ”
“มีอะไรก็ปรึกษาพวกเราได้เลยนะ
คยองซูเป็นแบบนี้ดูไม่โอเคเลย เราเป็นเพื่อนกันก็ควรมีบทสนทนาแลกเปลี่ยนกันได้สิ”
อึนจีพูดขึ้นอย่างเสนอตัวช่วยคลายความสงสัย
ในตอนแรกร่างเล็กก็ทำท่าจะไม่รบกวนจนคนอื่นรู้
แต่เพราะเพื่อนทั้งสองไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ
สุดท้ายก็เลยต้องคายเรื่องที่คาใจออกไปเลกน้อย
“อึนจีคิดว่า
คนเราจะชอบคนที่ไม่เคยคิดจะชอบได้มั้ย”
“ชอบคนที่คิดว่าไม่เคยชอบ?”
“คำถามนายมันกำกวมไปหน่อยรึเปล่า
ช่วยเปลี่ยนคำให้เหมาะกับไอคิวพวกเราหน่อยได้มั้ยคยองซู”
“เอ่อ...แบบชอบคนที่สนิทมานาน
อะไรประมาณนั้นน่ะ”
“ก็ไม่เห็นแปลก
คนเราสนิทกันถ้ามันจะกลายเป็นความชอบก็ปกตินะ”
“แล้วถ้าแบบเคยสนิท แต่ตอนนี้ไม่สนิทแล้วมันจะแปลกมั้ย”
“สรุปว่าตอนนี้สนิทหรือไม่สนิทแล้วล่ะ
ฉันเริ่มงงกับมันอีกแล้วนะ”
ฮยอนชิกทวนคำถามกลับไปกลับมาในหัวจนยุ่งไปหมด
เขาไม่ค่อยเข้าใจความคิดที่แสนซับซ้อนของคนเก่งเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าคยองซูกำลังพูดภาษาโซมารัสกับพวกเขาอยู่รึไง
“ตอนนี้ไม่สนิท แต่เคยสนิทมากๆ”
“อื้ม...อย่างนั้นก็พูดยากนะ
แบบว่าบางทีมันอาจจะแค่เป็นความรู้สึกผูกพันธ์ที่ติดกันอยู่รึเปล่าล่ะ
ถ้าเมื่อก่อนไม่เคยชอบเลยแล้วหน้าตาเขาก็ยังเหมือนเดิม นิสัยเขาก็ยังเหมือนเดิม
บางทีมันอาจเป็นเพราะเราคิดถึงเขาเลยสับสนน่ะ”
“แต่ฉันใจเต้นแรงมากเลยนะ”
ทั้งที่ถ้าปล่อยให้มันเป็นความคิดถึง
เรื่องความคิดยุ่งเหยิงนี้ก็คงจบลง
แต่ไม่รู้ทำไมคยองซูถึงต้องติดใจกับอาการใจเต้นของตนเอง
นี่มันกำลังเกิดสิ่งไม่ดีขึ้นในระบบการเต้นของหัวใจเขาหรือไม่
“บางทีอาจเป็นอาการข้างเคียงของโลกบางอย่าง”
“ฉันไม่เคยอ่านเจอเลย มันจะเป็นอันตรายมั้ย”
“หึหึ พูดอะไรของนายน่ะคยองซู
ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องโรคอะไรอย่างที่ยัยผู้หญิงไร้หัวใจยองจีพูดหรอก
นายก็แค่กำลังมีวามรักเท่านั้นเองแหล่ะ”
“คะ...ความรัก?”
เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก
เขาจะตกหลุมรักคนที่เป็นเหมือนน้องชายของเขามาลอดได้อย่างไร
“มันเป็นความรักอยู่แล้วถ้านายเคยรู้สึกรัก
นายคิดดูสิว่าจะมีความรู้สึกไหนที่ทำให้นายใจสั่นได้อีกนอกจากความรัก
นายเป็นแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ
เวลาที่มองหน้าของคนๆนั้นแล้วหัวใจมันบอกว่าอย่าทำอะไรต่อหน้าเขา
หยุดหายใจไปก่อนเผื่อเขาจะไม่ชอบ หยุดทำในสิ่งที่ไม่รู้ว่าเขาจะชอบเรามั้ยแบบนั้นไง”
ฮยอนชิกพูดพร้อมทั้งมองใบหน้าของเพื่อนตัวเล็กที่ค่อยๆแดงขึ้นเรื่อย
เอื้อมมือไปลูบศีรษะของคยองซูที่เหมือนเด็กเพิ่งรู้จักความรัก
ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะพูดออกไปเหมือนกัน
แต่คงทำได้แค่พูดมันไปทางสายตาเท่านั้น
...คยองซูคนโง่ที่ดูไม่เคยออก...
“นายพอจะบอกฉันได้มั้ยว่านายใจเต้นแรงเพราะใคร”
“ฉัน...”
“บอกหน่อยสิ สัญญาจะไม่ล้อ”
ฮยอนชิกถามซ้ำ
เขาอยากรู้ว่าคู่แข่งที่เขาต้องฝ่าไปให้ได้นั้นน่ากลัวซักแค่ไหน
ร่างเล็กนิ่งไปเหมือนใช้ความคิดหนักกว่าเก่า แต่สุดท้ายกลับเลือกยิ้มตอบไปอย่างไม่รู้ว่านั่นเหมือนการให้ความหวัง
เพราะคนตรงหน้าก็หวังจะให้คยองซูตอบว่าเป็นตนเองอยู่แล้ว
“เอาไว้ฉันคิดว่ามันคือความรักแล้วจะบอกนะ”
ร่างเล็กเลี่ยงตัวออกมา
แล้วเดินเลาะไปตามสวนหน้าคณะของเขา หยุดนั่งลงที่ม้าหินเก่าๆในมุมที่แทบไม่เคยมีใครผ่านมา
แต่เขาคงลืมไปว่าตึกที่อยู่ระหว่างม้านั่งตัวนี้อีกตึก
คืออาคารเรียนของคณะการสืบค้น ที่กำลังมีตาคมคู่หนึ่งจ้องมองลงมาที่เขาพอดี
“มาทำอะไรคนเดียวนะ?”
เสียงทุ้มที่บังเอิญมองเรื่อยเปื่อยไปเจอกับร่างเล็กพอดี
พูดขึ้นเสียงเบาด้วยความสงสัย จงอินรู้ว่าคยองซูไม่ได้มีเพื่อนมากมายนัก
แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะน้อยขนาดถูกปล่อยให้มาอยู่คนเดียวเช่นนี้
อาการชอบอยู่คนเดียวมันเกิดขึ้นทุกครั้งที่คยองซูต้องใช้ความคิด
“คุณหนูมีอะไรในใจรึเปล่า ผมอยากรู้มันจัง”
ยังคงพร่ำพูดคนเดียว
ใบหน้าหล่อเอนลงทาบกับสองแขนที่ซ้อนกันอยู่บนขอบหน้าต่าง
มองลงไปยังใบหน้าหวานอย่างคิดไม่ตกไม่ต่างกัน
ร่างสูงก็แทบนอนไม่หลับหลังจากคำพูดของคยองซูที่เอ่ยออกมา
แม้แต่ตอนทานอาหารเย็นที่โถงใหญ่
เขาก็ยังต้องเหลือบมองร่างเล็กที่ดูไม่ร่าเริงเช่นกันอยู่บ่อยครั้ง
“ทำไมคุณหนูถึงไม่พูดมันออกมาเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ...ผมคิดถึงนะ”
<<<
The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล
>>>
“การเรียนนอกสถานที่เหรอ?”
“ใช่
ตอนที่นายหายไปอาจารย์ซอฮยอนเดินมาบอกว่าปีสามจะได้เรียนนอกสถานที่อาทิตย์หน้า”
“อาทิตย์หน้าเลยเหรอ ทำไมไวนักล่ะ
นี่เราเพิ่งได้เปิดเทอมเองนะ?”
คยองซูนั่งสงสัยขณะที่เดินกลับมาแล้วพบข่าวใหม่ของชั้นปี
เขารู้ว่าปีของเขานั้นถูกปรับหลักสูตรการเรียนให้แตกต่างจากรุ่นพี่
แต่พวกเขายังเด็กเกินไปสำหรับการลงภาคสนามในความคิดของร่างเล็ก
เพื่อนหลายคนไม่รู้วิธีกล่อมสัตว์วิเศษตัวเล็กๆให้สงบเสียด้วยซ้ำ
และเมื่อพูดถึงเรื่องการเรียนนอกสถานที่แห่งเดียวในมหาวิทยาลัยที่คยองซูคิดออก
คงไม่พ้น...คอกโทร์ลหลังสุสาน
“พวกเราไม่น่าพร้อม
ไม่มีใครปฏิเสธไปบ้างเหรอ”
“อาจารย์เธอบอกว่ามันดีกว่าถ้าเราเอาเวลาเถียงไปเตรียมตัว
ก็เลยไม่มีใครกล้าพูดออกไป เธอว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแผนการเรียนได้แล้ว
พวกเราต้องยอมรับ”
“แต่จริงๆแล้วใครๆก็รู้ว่าเธอพยายามจะแก้แค้นที่พวกเราทำกระโปรงตัวโปรดเธอไหม้
ตอนไปทัศนะศึกษาเมื่อปีที่แล้วไง”
ฮยอนชิกเสริมด้วยใบหน้าที่เอือมระอาไม่ต่างจากอึนจี
เรื่องเมื่อปีก่อนคือเรื่องที่เกิดเพราะการเยี่ยมชมคอกมังกรของมหาวิทยาลัยมาตราวัด
ระหว่างเยี่ยมชมมีเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งเหยียบหางมังกร
แล้วมันพ่นไฟออกมาได้ระหว่างร้องออกมา
จนสะเก็ดไฟไปโดนขนประดับกระโปรงตัวโปรดของอาจารย์สาว
หลังจากนั้นนักศึกษารุ่นนี้ทั้งหมดก็ไม่เคยมีใครเข้าหน้าเธอติดได้อีกเลย
“เธอจะหลอกเราให้โดนโทร์ลเหยียบสิ้นชีพมั้ยเนี่ย”
“นั่นก็โหดร้ายเกินไปรึเปล่าวะ”
“จริงๆแล้วตามทฤษฏีคือพวกเราเรียนวิชากล่อมประสาทกันมาหมดแล้ว
มันไม่ควรจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นนะ
แต่ตามการปฏิบัติพวกเรากว่าครึ่งห้องผ่านวิชานี้มาได้เพราะคะแนนช่วย
ฉันคิดว่าถ้ามีโทร์ลหลุดมาซักตัวพวกเราคงลำบากแน่ๆ”
เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างคิดไม่ตก
ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
เมื่อเห็นว่าเขาเพิ่งจะทำให้เพื่อนสองคนที่ยังคบเขาอยู่เครียด
อึนจีที่แทบจะเอาศีรษะโขกโต๊ะให้หักครึ่งทันทีที่เขาพูดจบ
เพราะเธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ผ่านมันมาได้เพราะคะแนนช่วยอย่างที่คยองซูพูดไม่มีผิด
“ฉันต้องตายแน่ๆ”
“เอาน่ะ เธอน่าจะดีใจนะที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องตายคนเดียวหรอก
เพื่อนเกินครึ่งห้องคงมีสภาพไม่ต่างกันเท่าไร”
ฮยอนชิกพูดหยอกอึนจีที่ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาอย่างนึกสนุก
ต่างจากคยองซูที่รู้จักนิสัยของโทร์ลที่ไม่ได้รับการฝึกดี
มันไม่ใช่เพื่อนเล่นที่น่ารักเหมือนเจ้าปาปีโร่ของเขาแน่นอน
“หวังว่ามันจะไม่เกิดเรื่องร้ายๆขึ้นหรอกนะ”
“หือ? อย่ากังวลไปเลยน่ะคยองซู
พวกเราก็แค่พูดเล่นกันเท่านั้นเองนะ”
“อื้ม ฉันก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอกอึนจี”
แม้จะพูดออกไปเพื่อให้เพื่อนสบายใจ
แต่หลังอาหารค่ำจบลง ขาเล็กกลับไปกลับไปยังหอพักอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเบี่ยงทางไปยังสุสานของมหาวิทยาลัยที่ไม่มีคนอยากเข้าไปนัก
เลาะขอบชายป่าสนของสุสานไปที่คอกโทร์ลด้านหลัง
จริงๆเขายังไม่ถึงช่วงที่ต้องเข้ามาทำงานในคอก
แต่ก็เพราะกังวลเรื่องเรียนนอกสถานที่เลยต้องมาถามให้แน่ใจ
“คยองซู?”
“สวัสดีครับ รุ่นพี่จุนซู”
“เธอยังไม่ถูกเรียกตัวไม่ใช่เหรอ?”
เสียงของรุ่นพี่ที่ทำงานเป็นผู้รับใช้ฝึกหัดเช่นเดียวกับเขาทักขึ้นด้วยความสงสัย
ก่อนที่สองขาจะเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าของรุ่นน้องตัวเล็ก
ที่มาถึงคอกโทร์ลทั้งที่ยังไม่ใช่เวลาของตนเอง
“มีอะไรรึเปล่า
มาถึงที่นี่คงไม่ได้มาเยี่ยมโทร์ลก่อนทำงานใช่มั้ย”
“ผมมีเรื่องจะถามน่ะครับ”
“ถ้าพี่ตอบได้ก็จะตอบนะ ว่ามาสิ”
“คือชั้นเรียนของผมน่ะครับ
มีมาที่นี่ด้วยรึเปล่าครับ”
“คณะสัตวะวิทยาเหรอ?”
จุนซูทำท่าครุ่นคิด
ก่อนจะเดินกลับไปดูตารางใช้คอกที่เขียนกำกับเวรยามของผู้รับใช้ไว้ด้วย
ไล่นิ้วไปตามตารางการใช้ของสัปดาห์ถัดไป
แล้วก็เห็นมาร์กแดงด้วยปากกาไว้ว่ามีการจองคอกสำหรับการเรียนจริงๆ
แต่เท่าที่เขาจำได้คือร่างเล็กเพิ่งจะอยู่ปีสาม
ถึงเขาจะเรียนคณะอื่นแต่ก็พอจะมีเพื่อนอยู่ปีสี่ที่คณะนั้น
จำได้ว่าพวกเพื่อนร่วมรุ่นเขายังไม่มีใครเคยเข้ามาในคอกโทร์ลเลย สงสัยจนต้องหยิบสมุดนั้นไปยื่นถามคยองซูที่ยืนลุ้นอยู่
“ไม่เร็วไปหน่อยเหรอสำหรับเด็กปีสาม?”
“มันมีจริงๆด้วย”
“ถึงนายจะเก่งยังไงก็เถอะ
แต่นายก็น่าจะรู้ฤทธิ์เจ้าพวกนี้ดีไม่ใช่เหรอ
แต่ละตัวนี่ยังกับโทร์ลหนีคดีมาทั้งนั้นแหล่ะ หึหึ”
รุ่นพี่หนุ่มพยายามพูดติดตลก เพราะไม่อยากให้คยองซูที่อ่านตารางการใช้กว่าเดือนนั้นเครียดมากไปอีก
แต่มันก็ดูไม่ช่วยร่างเล็กที่จมอยู่กับสมุดในมือนั่นเลย
แถมยังเหมือนจะไปเพิ่มความเครียดให้เสียอีก
“ผมจะทำยังไงดี พวกเรายังไม่พร้อมแน่ๆ”
“ถ้างั้นก็คงต้องหาอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าไปเสนออาจารย์ให้เปลี่ยนมั้ง”
“ทำไมได้หรอกครับ”
เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างเศร้าๆ
คยองซูรู้ดีว่านี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะไปขอร้องให้ซอฮยอนเปลี่ยนบทเรียน
นอกเสียจากว่าพวกเขาจะสามารถขโมยหนังสือหลักสูตรการเรียนนั้นมาเปลี่ยนข้อมูลได้
แต่ใครล่ะจะกล้าทำแบบนั้นกับอาจารย์ ถ้าถูกจับได้ก็คงเป้นเรื่องใหญ่แน่นอน
“ทำไมจะทำไม่ได้
แค่แก้ไขชื่อบทเรียนในหนังสือหลักสูตรเอง”
“อาจารย์ที่สอนเขาไม่ค่อยชอบรุ่นของผมครับ
มีเพื่อนเคยเหยียบหางมังกรแล้วมันดันพ่นไฟไปใส่กระโปรงตัวโปรดของเธอ
หลังจากนั้นพวกผมก็ถูกเสนอให้มาเรียนนอกสถานที่ที่นี่ไงล่ะครับ”
“ที่นายต้องการคือแค่เล่มหลักสูตรที่เซ็นเรียบร้อยแล้ว
แต่ยังไม่ส่งเข้าห้องทะเบียนสินะ”
“ครับ”
คยองซูรับคำไปอย่างส่งๆ เขาอาจจะต้องการเพียงเท่าที่รุ่นพี่จุนซูพูดก็จริง
แต่เพียงของเขามันเป็นเพียงที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้
เพื่อนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องของโทร์ลเท่าเขาก็คงไม่มีใครคิดว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยงหรอก
ส่วนจะให้เขาเข้าไปทำเองก็ไม่มีปัญญาจะทำจริงๆ
แค่ปีนหน้าผาจำลองตอนเรียนที่โรงเรียนเขายังทำไม่ได้เลย
ขนาดงานประเพณีคัดสรรค์เขาก็ตายแทบจะทันทีที่ออกจากที่ซ่อนหลังหนึ่งชั่วโมง
ไม่ต้องพูดถึงขนาดจะให้ปีนเข้าห้องพักอาจารย์เพื่อขโมยของหรอก
...คยองซูไม่มีปัญญาจริงๆ...
“ไม่ลองให้เพื่อนๆทำดูล่ะ ไม่ยากหรอก”
“ใครจะกล้าเสี่ยงละครับ
พวกนั้นเขาไม่รู้หรอกว่ามันอันตรายแค่ไหนถ้ามาที่คอกโทร์ล”
“งั้นก็ปล่อยเถอะ ก็จะทำไงได้ล่ะ”
“จะปล่อยได้ยังไงครับ
ที่พี่กำลังบอกให้ปล่อยน่ะเพื่อนผมทั้งนั้น
แล้วเขาก็เป็นรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยพี่ด้วยนะ”
“แล้วไงอ่ะ
ไม่ช่วยตัวเองแล้วจะให้พี่ช่วยเราได้ยังไงกัน”
“ไม่มีใครที่พอจะช่วยทำแทนพวกผมได้เลยเหรอครับ
ถ้าต้องมาเรียนที่นี่จริงๆ มีหวังได้ตกกันยกชั้นเรียนเอาเสียด้วยซ้ำ แบบนั้นมันไม่ดีต่อความมั่นคงทางชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยฟีนูคอนเลยนะครับ”
ดวงตากลมโตหันไปมองอ้อนรุ่นพี่
ที่เขารู้ดีว่าเรียนคณะการปกครองและบริหาร
จุนซูเป็นคนที่คิดมากเรื่องความมั่นคงของประเทศมาก เขาคิดอยู่แล้วว่ามุขนี้น่าจะช่วยให้รุ่นพี่อยากช่วยพวกเขาขึ้นมาได้
จุนซูมองหน้าคยองซูที่ดูเศร้าแล้วคิดหนัก ย่อตัวลงนั่งที่พื้นข้างๆร่างเล็ก
แล้วถอนออกมาอย่างลำบากใจ
“จริงๆก็รู้จักอยู่คนนึงนะ
แต่ไปคุยเองก็แล้วกัน”
“ได้ครับ”
“งานมันเสี่ยง ค่าจ้างก็คงหลายฟีนเลยด้วย”
“เดี๋ยวผมหารๆเอากับเพื่อนก็ได้ครับ”
“งั้นก็เดินกลับหอไปเคาะประตูห้องข้างๆได้เลยคยองซู”
“เอ๋?”
เสียงหวานครางออกมาด้วยความสงสัย
เขาคิดว่าตนเองยังไม่รับคำตอบของข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อย
แต่กลับถูกไล่ให้กลับไปหอเสียดื้อๆ ร่างเล็กเตรียมจะโวยวายขอความช่วยเหลือต่อ
แต่จุนซูก็ชิงอธิบายสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเสียก่อน
“ไปเคาะห้องของคิม จงอินนะ
แล้วบอกหมอนั่นว่านายอยากให้ช่วยขโมยของหน่อย ถึงปกติหมอนั่นจะทำแค่การสืบข้อมูล
แต่ก็ได้ยินมาว่าบางทีก็ยอมรับทำเรื่องแบบนี้อยู่บ้าง
ยังไงก็ลองไปขอความช่วยเหลือดูแล้วกัน”
ตอนนี้ใบหน้าหวานเหวอหนักกว่าเก่า
เขายังคิดไม่ตกเรื่องของร่างสูงอยู่เลย แล้วอยู่ๆจะให้ทำเหมือนไม่คิดอะไร
แล้วเดินเข้าไปขอให้อีกคนทำงานให้
...คยองซูจะทำได้ยังไง...
<<<
The Phonucorn…มนต์ถัณฑิล
>>>
The
Phonucorn – chapter 4.4
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ไม่รู้มนต์ถันฑิลสนุกถูกใจมั้ยเอ่ย
แต่อย่างไรฝากติดตามด้วยนะคะ หายไปนานคงยังไม่ลืมคุณหนูกับทาสรับใช้นะคะ^^
ความคิดเห็น