คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #64 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๙ {จบบริบรูณ์}
Title :
The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๒๐
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Chen x Minseok
บทที่ ๒๐
The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป
เปรี้ยง!!!
สิ้นเสียงสายฟ้าฟาดที่หอเดินทาง ขาเล็กรีบก้าวเข้าไปในห้องเดินทางของชาวโบโลนี
ซิ่วหมินรอเฉินมากว่าสองชั่วโมงแล้ว และ
หวังว่าการกลับมาครั้งนี้มันจะมาพร้อมข่าวดี
ถึงแม้มันจะทำให้เฉินต้องมีตราบาปในการฆ่าฟีนิกส์ก็ตาม
แต่เขาก็ตั้งใจจะขอแบ่งเบาความผิดนั้นมาด้วย
“เฉิน...”
เสียงหวานเอ่ยแผ่ว ขณะเดินเข้าไปหาคนรักที่ก้มหน้าอยู่กลางห้องเดินทาง
ใบหน้าดูหนักใจ จนร่างบางต้องรีบเดินเข้าไปกอดเฉินไว้
มือเรียวบรรจงลูบไปที่แผ่นหลังนั้นหวังปลอบประโลม
โดยไม่เห็นรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ของเฉินเลยแม้แต่น้อย
...เขาก็แค่อยากแกล้งเล่นในฐานะของผู้ถือกำเนิด...
“ไม่ต้องคิดมากนะ
ไม่ว่าผลเป็นไงฉันก็รับได้ทั้งนั้นแหล่ะ แค่รอให้นายชำระดวงจิตหมดเอง
มันจะสักกี่ปีกัน"
“นายไม่อยากมีคนรักเป็นผู้ถือกำเนิดเหรอ”
“จะเป็นอะไรก็ช่างสิ แค่เป็นนายก็พอแล้ว”
“ขอบใจนะ
ฉันเลือกไม่ผิดเลยจริงๆที่ทุ่มเทเพื่อนาย”
ร่างโปร่งกระชับกอดนั้นแน่นขึ้น สูดดมกลิ่นของคนรักจนเต็มปอด
ลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่ได้คลายความสงสัยให้กับใจดวงน้อยที่รออยู่
จนกระทั่งซิ่วหมินที่อยากรู้จนทนไม่ได้ต้องพูดขัดขึ้น
“ฉันไม่ได้อยากจะเร่งนะ
แต่ผลมันเป็นยังไงบ้าง เขายอมช่วยหรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้ปลิดชีพฟีนิกส์...”
“อื้ม ไม่เป็นไรหรอกนะ
ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ ฉันรักนายที่เป็นแบบนี้แหล่ะ”
เพราะคำตอบที่กำกวมนั้น
จึงทำให้ซิ่วหมินเผลอปล่อยไก่ตัวใหญ่ออกไปวิ่งเล่นเสียทั่ว
เฉินที่ตอนแรกกอดนิ่งไปถึงกับไม่สามารถห้ามให้ตนเองหยุดหัวเราะได้
ทั้งรู้สึกดีและมีความสุขมากอย่างพูดไมถูก อาการโล่งใจมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“ฮะฮะฮ่า!!!”
“หือ? นายหัวเราะอะไรของนาย
เครียดจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ?”
“ฮะฮะฮ่า ขะ...ขอโทษที
ก็นายพูดอะไรซึ้งๆออกมาในเวลาที่ผิดนิ ฉันเลยอดที่จะหัวเราะไม่ได้เลยล่ะ”
“อะไรของนาย?”
ใบหน้าหวานเสียไปกว่าครึ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น
ทั้งที่มั่นใจว่าตนเองทำหน้าที่ของคนรักได้เป็นอย่างดี
แต่เสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมาใส่หน้านั้น
กำลังทำให้เขารู้สึกพลาดบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว
“แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”
“อย่ามากวนประสาทนะ นี่ฉันไม่ตลกด้วยหรอก
เล่นอะไรของนายอยู่รึไง คนอุตส่าห์รอลุ้นตั้งนานว่าผลจะเป็นยังไง
แล้วคนบ้าอะไรเอาแต่หัวเราะอยู่ได้!”
...ขอวีนกู้หน้าหน่อยเถอะ!...
“เห้ย! นี่นายโกรธจริงเหรอ
ฉันขอโทษนะ”
เพราะร่างบางสะบัดหน้าหนี
เฉินเลยเข้าใจว่าซิ่วหมินโกรธตนที่เล่นมากเกินไป
แขนแกร่งรีบคว้าร่างของคนรักมากอดแน่นง้อ เอาคางเกยที่ไหล่เหลือบมองใบหน้างอง้ำนั้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
...ไม่น่าแกล้งเล่นในเวลาแบบนี้เลย...
“ซิ่วหมิน...”
“ไม่ต้องมาพูดเลย
นายมันแย่ที่สุดเลยที่ทำเป็นเรื่องตลกแบบนี้”
“ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายเครียดไง”
“ฉันจะไม่เครียดได้ยังไงกัน
อยู่ๆนายก็หายไปโดยที่ฉันตามนายไปด้วยไม่ได้ ที่ทำได้ก็แค่รอให้นายกลับมาเองแบบนี้
สำหรับฉันมันไม่ตลกเลยนะ!”
เสียงหวานยังคงตะคอกตอกกลับอย่างไม่สู้ดี
โกรธจนเผลอปล่อยน้ำตาออกมาเป็นทางด้วยความน้อยใจ
เฉินมองใบหน้าคนรักที่นองไปด้วยน้ำตาแล้วยิ่งรู้สึกผิด
ได้แต่พร่ำบอกขอโทษที่ข้างหู
“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ
ไม่รู้ว่าจะทำให้นายโกรธขนาดนี้ ขอโทษที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของนายเลยซิ่วหมิน”
“เลิกพูดว่าขอโทษสักทีน่ะ
นายจะบอกมาได้รึยังว่าสรุปผลเป็นยังไง”
“ฉันไม่ได้เป็นผู้ล่าอีกแล้วนะซิ่วหมิน
ฉันทำได้แล้ว”
สิ้นเสียงทุ้มร่างบางหันมามองใบหน้าคมอีกครั้ง
เผยยิ้มออกมาทั้งน้ำตาแห่งความโกรธที่ยังไม่แห้งไป
ปาดน้ำตาไปก็พูดถามย้ำอีกหลายครั้งว่าสิ่งที่ได้ยินคือความจริงใช่มั้ย
ต่อให้เฉินพยักหน้าอีกกี่พันครั้งก็ยังคงถามอยู่แบบนั้น
จนเฉินต้องเปลี่ยนเรื่องไปด้วยกลัวว่าคืนนี้จะวนอยู่คำถามเดียว
“แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดไปเอง
นายเป็นแค่ผู้ถือกำเนิดแล้วจริงๆนะ”
“จริงสิ
ฉันตรวจดูแล้วว่าฉันไม่มีความสามารถแบบผู้ล่าอีกต่อไปแล้วล่ะ
แต่จริงๆตอนนี้พอไม่ได้เป็นผู้ล่า ก็มีเรื่องให้เครียดอยู่เรื่องนึงนะ”
“อะไรเหรอ บอกมาได้เลยนะ
ฉันยินดีจะช่วยนายเต็มที่ ฉันจะทำให้นายมีความสุขกับชีวิตของผู้ถือกำเนิดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยล่ะ”
“จริงๆเรื่องที่ฉันลำบากนายคงถนัดมาก”
“อะไรๆ”
“ฉัน...ไม่มีบ้านอีกต่อไปแล้ว
ที่สำคัญคือฉันตอนนี้ต้องนอนพักผ่อน
แต่ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตยามค่ำคืนเลย”
“ชะ...ชีวิตยามค่ำคืนเหรอ?”
เสียงหวานถามกลับเสียงสั่น
หัวสมองพาลคิดไปถึงเรื่องลามกที่คู่รักมักจะทำยามค่ำคืน
ใบหน้าแดงออกมาอย่างไม่สามารถเก็บอาการได้
จนเฉินที่มองดูอยู่ต้องเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ
“ทำไมหน้านายแดงอย่างนี้ล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า?!”
“ห๊ะ?! หน้าฉันแดงมากเลยเหรอ
อะ...เอ่อ...คงเพราะอากาศที่นี่ร้อนเกินไปสำหรับฉันน่ะ
ก็นี่มันห้องเดินทางของสายฟ้านิ”
“อย่างนั้นเหรอ
ฉันเข้าใจว่าทุกที่ในเมืองอิลคอลลี่มีอุณหภูมิเป็นกลางนิ”
“จริงๆนะ ฉันไม่โกหกนายอยู่แล้ว”
“อือๆ งั้นเราก็ออกไปจากที่นี่กันเถอะ
เดี๋ยวนายจะป่วยเอา”
เฉินประคองซิ่วหมินเดินออกไป
ก่อนที่ทั้งสองจะคุยเรื่องการซื้อบ้านหลังใหม่ให้ร่างโปร่งอย่างสนุกสนาน
ชีวิตหลังการเป็นผู้ล่าของเฉินดูสวยงามและเบ่งบาน
เขามีเงินมากพอจากการทำงานตลอดหลายปี
เหมือนได้ชีวิตหลังกระเกษียนที่มีเงินก้อนโตไม่มีผิด หลังส่งร่างบางเข้าหอ เฉินก็มาพบกับคนอีกคนที่เขาควรจะกล่าวขอบคุณ
“เฮ้!”
“หือ? ทำไมวันนี้นายกลับมาจากทำงานไวจังวะ
ปกตินายต้องกลับมาเกือบเช้าเลยไม่ใช่เหรอไง นี่เพิ่งตีหนึ่งเองนะ?”
“อือ ก็อาจจะจริงอย่างที่นายพูดนะ
ถ้าฉันไม่บังเอิญว่าลาออกแล้ว แปลกดีที่อยู่ห้องเดียวกันมาร่วมเทอม แต่ฉันไม่รู้เลยว่านายนอนดึกขนาดนี้”
“เรื่องฉันนอนดึกไม่เห็นสำคัญ
แต่ประเด็นอะไรคือลาออก?!”
“ลาออกก็คือลาออก ไม่ต้องไปทำงานอีกแล้วไง”
“นายทำมันได้แล้วเหรอ?!”
ตาเรียวของเทาเบิกขึ้นพร้อมร่างสูงที่ลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าคู่สนทนา
อย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่คิดว่าเฉินจะสามารถทำได้โดยที่เขายังไม่ทันจะได้ช่วยอะไรมากมายเลย
“มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
“ก็ไม่ง่ายนะ
ฉันผ่านอะไรมาเยอะมากเลยกว่าจะมาถึงวันนี้ ถึงนายจะไม่ได้ช่วยฉันในทางตรง
แต่ดีใจเถอะที่อย่างน้อยนายคือคนที่สอนให้ฉันสามารถเริ่มต้นมันได้ ขอบคุณมากนะสำหรับมิตรภาพของนาย”
“ถึงจะงงๆว่าไปช่วยอะไรตอนไหน
แต่ก็ขอน้อมรับไว้แล้วกัน”
ทั้งสองเพื่อนร่วมห้องหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข
ก่อนที่ร่างโปร่งจะทิ้งตัวลงบนที่นอน
หลับตาลงด้วยความอ่อนเพลียแบบผู้ถือกำเนิดทั่วไป
เทามองภาพนั้นแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แขนยาวเอื้อมไปปิดไปที่หัวเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง
“นี่...ถ้ายังไม่รับก็มีอะไรจะบอกนะ”
“หือ?”
“ฉันดีใจนะเว่ยที่นายทำสำเร็จ
ฉันจะได้มีรูมเมทจริงๆเสียที”
“หึหึ
ฉันก็อยากเรียนรู้การนอนหลับให้เต็มตาเสียทีเหมือนกัน”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
“เฉิน!!! ทำไมนายยังไม่ตื่นอีก
นี่มันจะสายแล้วนะเว่ย!”
เช้าแรกของการถือกำเนิดอีกครั้ง
ถูกต้อนรับด้วยเสียงโหวกเหวกของเพื่อนร่วมห้องทั้งที่ร่างกายยังไม่อยากตื่น
เฉินเพิ่งเข้าใจคำว่ายังหลับไม่เต็มตื่นก็วันนี้เอง
เขาเห็นเทาชอบหลับในห้องและพูดคำนี้อยู่เสมอ หลังจากผ่านเรื่องราวยุ่งยากของชีวิต
ร่างโปร่งก็หลับเป็นตายจนไม่อยากจะฟื้นอีกสักวัน
แต่เทานั่นแหล่ะที่ไม่ยอมให้เขาทำได้ตามใจ
“ฉันอาจจะไม่ดึงดูใจนายมากพอนะ
แต่ถ้าฉันบอกว่าใครที่มายืนรอนายอยู่ที่หน้าหอตอนนี้ นายจะตาตาสว่างจ้าเลยล่ะ”
“อะไร?”
“ซิ่วหมินหน้าบูดมากเลยตอนนี้
สาบานว่าถ้ายังไม่ตื่นขึ้นมาตอนนี้ นอกจากนายจะต้องเข้าเรียนสายแล้ว
ยังจะโดนแฟนตีแสกหน้าแยกที่ให้รอนานอีกด้วย”
แล้วก็เป็นอย่างที่เทาคิดไว้ไม่มีผิด
แค่ชื่อของร่างบางที่ยืนรออยู่หน้าหอผุดขึ้นมา
เฉินก็เด้งตัวขึ้นจากเตียงพร้อมร่ายเวทเปลี่ยนชุดทุกอย่างพร้อมเสร็จภายในห้านาที
ร่างโปร่งวิ่งออกไปจากห้องพร้อมกระเป๋าประจำตัว
ถึงแม้มันจะไร้ผ้าคลุมที่ต้องใช้เก็บซ่อนไว้ข้างในตลอดแล้ว
แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นกระเป๋าคู่บุญของเขามานาน
ตึก...ตึก...ตึก
เสียงวิ่งลงมาตั้งแต่ชั้นสี่ของหอพักราวกับจะพักศีรษะคนที่อยู่ห้องด้านล่าง
พอมาถึงชั้นแรกก็รีบพุ่งเข้าใส่ประตูแล้วเปิดออกอย่างแรง
เห็นใบหน้าหวานงอง้ำอย่างที่เทาว่าไว้ไม่มีผิด
ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่อย่างยากลำบาก
...พลาดตั้งแต่วันแรก...
“อรุณสวัสดิ์”
“...”
“ไม่คิดจะอรุณสวัสดิ์แรกต้อนรับการถือกำเนิดอีกครั้งของฉันเหรอ”
“...”
“ฉันอยากได้ยินมันจากนายจัง
ทำยังไงแฟนฉันถึงจะยอมพูดคำนี้นะ”
“อรุณสวัสดิ์”
ซิ่วหมินที่เก๊กหน้าหน้านานเป็นอันต้องหลุดพูดออกไป
เมื่อเฉินเล่นพูดอ้อนออกมาด้วยคำหวานขนาดนั้น ร่างโปร่งส่งรอยยิ้มเต็มปากไปให้
ก่อนจะรีบคว้ามือเรียวนั้นมาจับอย่างไม่อายใคร ตอนนี้มีคู่รักคู่ใหม่เกิดขึ้น
สวนกระแสข่าวการป่วยของคริส
ที่ถูกปล่อยออกมาแค่พิษไข้สุสานที่ติดจากตอนถูกลงโทษเพิ่งแสดงอาการ
แต่คนค่อนมหาวิทยาลัยที่ไม่รู้เรื่องก็ชื่อคำนั้นไปเสียหมด
“เฉิน นายไม่ได้ไปห้องท่านอธิการเหรอ
เห็นว่าเธอเรียกพบนายตั้งแต่เช้านิ”
“ฉันเหรอ?”
“ใช่ ดูเหมือนจะมีเรื่องบางอย่างที่เธอต้องการให้ช่วยด้วยนะ”
“อื้ม งั้นเดี๋ยวฉันไปนะ ขอบคุณมากนะ”
เฉินรับคำของเพื่อนสาวร่วมรุ่น
ก่อนจะปล่อยเธอเดินจากไป
ส่วนเขาก็หันมามองใบหน้าหวานที่กำลังมองด้วยความแปลกใจเช่นกัน
“จะมีเรื่องอะไรมั้ยนะ”
“ไม่หรอกมั้ง จริงๆส่วนหนึ่งที่ฉันได้มีความคิดอยากจะเลิกทำหน้าที่นั้น
มันก็มาจากเธอด้วยเหมือนกัน ฉันคิดว่าเธอสามารถไว้ใจได้นะ
แต่ถ้านายเป็นกังวลจะไปด้วยกันก็ได้นะ ฉันก็อยากให้มีนายอยู่ด้วยอยู่แล้ว”
“ไม่หรอก ฉันจะรออยู่หน้าห้องก็แล้วกัน
ฉันไว้ใจนายนะ”
รอยยิ้มที่แสดงออกถึงความไว้ใจอย่างแท้จริงถูกส่งให้ร่างโปร่ง
ก่อนที่ทั้งจะเดินมาหยุดที่ห้องอธิการบดีสาว
เฉินปล่อยมือซิ่วหมินด้วยความรู้สึกประหลาด ก่อนที่บานประตูไม้นั้นจะปิดลง
ตาคมทอดมองไปก็เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่มองมาพอดี
“สวัสดีนักศึกษาของฉัน”
“สวัสดีครับ”
“เรื่องการปลดเธอออกจากผู้ล่าส่งมาแล้วเมื่อเช้า
ยอมรับนะว่าฉันตกใจมากจริงๆที่ได้รับมัน
ไม่คิดว่าเธอจะสามารถทำมันได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเช่นนี้
แต่ก็คงต้องแสดงความยินดีแม้จะเสียดายความสามารถของเธอมาก”
“ขอบคุณครับ”
“นี่คือฟีนสุดท้ายที่เธอจะได้รับจากกระทรวงผู้ล่า
เขาตัดยอดแล้วส่งด่วนมาเมื่อเช้า
ฉันตรวจดูแล้วว่ามันตรงตามประวัติสุดท้ายของเธอพอดี
นับจากนี้ประวัติของเธอจะเปลี่ยนไปตามที่เธอต้องการ
ขอให้เธอมีความสุขมากๆกับสิ่งที่เธอเลือก”
“ผมจะใช้ชีวิตแบบผู้ถือกำเนิดให้ดีที่สุดครับ”
“โชคดีนะนักศึกษา”
“ครับ ท่านอธิการบดี”
ร่างโปร่งหยิบซองฟีนบนโต๊ะ
แล้วเดินออกมาจากห้องนั้นด้วยความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก
ซิ่วหมินเอียงหน้ามองด้วยความแปลกใจที่เหมือนเวลาข้างในนั้นจะไม่นานอย่างที่คิด
“เสร็จแล้วเหรอ”
“อื้ม มันจบลงแล้วล่ะ เออ!
วันนี้เราโดดเรียนกันมั้ย ฉันอยากจะไปเที่ยวในแบบของผู้ถือกำเนิดบ้าง
ไม่รู้ทำไมทั้งที่ชีวิตในเวลากลางวันของฉันมันก็ปกติ
แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนฉันไม่เคยสบายใจขนาดนี้มาก่อนเลย”
“เอ๋?”
ใบหน้าหวานเหวอหนักเมื่อเสียงทุ้มบอกออกมาอย่างนั้น
ก่อนจะมองตากันแล้วเหมือนจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น
แววตาของเฉินมันเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน บางทีที่เฉินบอกว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไป
อาจหมายถึงมุมมองที่เขาได้เห็นเสียมากกว่า
ไม่มีอีกแล้วเลขอายุไขที่เขากลัวบนศีษระของทุกคน
มีเพียงคนรู้จักและคนแปลกหน้านับจากนี้
ไม่มีคนที่อาจเป็นศัตรูเขาหลังการสิ้นชีพอีกแล้ว
“อื้ม! ไปกันสิ
ฉันจะโดดเรียนพานายเที่ยวให้ทั่วฟีนูคอนเลย เป็นไง”
“ก็ดีน่ะสิ แต่ฉันกลัวว่านายจะไม่แน่จริง”
“เหอะ!
คนอย่างซิ่วหมินเหรอไม่แน่จริง”
“ใช่ ถ้านายคิดว่าตัวเองแน่จริง
งั้นเมืองแรกที่ฉันอยากไปคงเป็นโฟเธีย”
“จะบ้าเหรอ!
ฉันไม่คุ้นเคยกับที่นั่นสักหน่อย เอาเป็นบ้านของฉันก็แล้วกัน”
“จะไปปาโกสเหรอ?”
“อื้ม รับรองว่านายจะต้องชอบมากเลยล่ะ
บ้านของฉันสวยที่สุดเลย”
ร่างบางนำเสนอเมืองแห่งน้ำแข็งที่ปรกคลุมไปด้วยหิมะอย่างภาคภูมิใจ
โดยไม่ทันคิดเลยว่าเฉินจะเคยไปมาแล้วหรือไม่
ซิ่วหมินไม่ได้สงสัยเลยว่าเฉินเคยเป็นผู้ล่าแบบไหนมา
“งั้นพาฉันไปสุสานแห่งปาโกสกันนะ ฉันว่ามันต้องวิเศษมากแน่ๆ”
“หือ? อยากไปสุสานเหรอ”
“ใช่ มีบางอย่างที่ฉันต้องไปที่นั่น”
“ดะ...ได้สิ”
แม้จะรู้สึกแปลกๆแต่ซิ่วหมินก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอนั้นได้
ทั้งสองเดินทางไปที่จุดเริ่มต้นของพวกเขาอีกครั้ง
ผ้าคลุมแห่งผู้ล่าที่ไม่ได้ถูกยึดคืนถูกนำมาสวมทับอีกครั้ง
ก่อนที่ขายาวจะก้าวเข้าไปในเขตสุสานที่แสนคุ้นเคยอีกครั้ง
หากแต่ครั้งนี้เขาไม่เห็นผู้สิ้นชีพที่นั่งอยู่ในมุมต่างๆของสุสานอีกแล้ว
นี่เองเหรอความรู้สึกของผู้ถือกำเนิดเมื่อมาที่นี่
“ไปไหนนะ”
“หือ? อะไรเหรอ ใครไปไหน”
“ผู้ล่าประจำสุสานไง
นายเองก็เคยเล่าถึงผู้ล่าของสุสานปาโกสไม่ใช่เหรอ
ตอนนี้ไม่อยากเจอเขาแล้วเหรอยังไงกัน”
“ก็อยากเจอนะ แต่ถ้าเขาไม่อยากให้ฉันมาเจอ
แค่ชื่นชมเขาในใจคงดีกว่า”
“นายทำได้มากกว่านั้นแน่นอน
นายคือคนที่สามารถเปลี่ยนฉันได้เลยนะ”
“นั่นสินะ หึหึ”
ร่างบางหัวเราะให้กับคำพูดนั้นเพราะคิดว่าเป็นแค่คำพูดขบขันของเฉิน
แต่ไม่เห็นรอยยิ้มที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้ผ้าคลุมนั้นเลย
เฉินเดินไปตามทางที่จำได้ว่าเพื่อนร่วมสุสานชอบไปใช้เวลาระหว่างวัน
แล้วก็พบแผ่นหลังของผู้ล่าตามที่ตามหา
“มาทำอะไรที่นี่ล่ะผู้ล่า”
“หือ? นายมาได้ยังไงน่ะ”
“ก็มากับสายฟ้าไง”
“หมายถึงนายดูเปลี่ยนไปมาก
แถมมากับเด็กคนนั้นด้วย”
“อ๋อ ใช่แล้วล่ะ นั่นคือซิ่วหมินไง
เป็นคนรักของฉันเองแหล่ะ เขาเคยมาที่นี่บ่อยๆเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ฉันจะย้ายออกไป”
ซิ่วหมินอ้าปากค้างเมื่อได้ยินดังนั้น
เริ่มประติดประต่อเรื่องราวต่างๆได้
ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถทำได้มากกว่าแค่รู้จักกับผู้ล่าตนนั้นจริงๆ
เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในฐานะของคนรักกันเสียแล้ว
...ไม่รู้ตัวจริงๆว่าเป็นคนเดียวกัน...
“น่าแปลกนะ ทำไมนายถึงกล้ามีคนรักล่ะ”
“ก็เพราะฉันรักเขายังไงล่ะ
แต่นายไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก ฉันมีเรื่องอยากจะให้นายช่วย
ตามหาอากอร์สให้ฉันหน่อยได้มั้ย”
“อากอร์ส เขาก็อยู่ที่เดิมของเขานั่นแหล่ะ
รู้มั้ยว่าเจ้านั่นบ่นฉันทุกวันเลย”
“หึหึ ถึงยังไงก็อยากให้นายพาไปหน่อยได้มั้ย
ตอนนี้ฉันไม่สามารถเห็นพวกเขาได้อีกแล้วนะ”
“มองไม่เห็นเหรอ
หมายถึงนายไม่เห็นพวกสิ้นชีพอีกแล้ว?!”
ผู้ล่าหนุ่มแสดงน้ำเสียงตกใจอย่างไม่ปิดบัง
ยิ่งเฉินพยักหน้ายิ่งไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากนั้นเป็นคำพูดได้อีก
ทำได้เพียงเดินนำไปอย่างเงียบๆ
เรียกอากอร์สออกมาแล้วพูดในสิ่งเดียวกับที่เพิ่งรู้ออกไป
จนอากอร์สทนไม่ได้ต้องรบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อแสดงตนอีกครั้ง
“นายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆเหรอ
ไม่เห็นพวกเราอีกแล้วจริงๆเหรอ”
“ใช่
ฉันมาเพื่อบอกนายว่าฉันทำตามสัญญาของนายแล้ว ตอนนี้ฉันกับซิ่วหมินเป็นคนรักกัน
ทั้งหมดมันเริ่มต้นที่สัญญาของนาย”
“ดีใจที่ได้ยินว่านายรักษาสัญญา”
อากอร์สยิ้มให้กับซิ่วหมินก่อนจะหันมามองใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมอีกครั้ง
เขาภูมิใจในตัวเฉินมากที่กล้าจะเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิต รอยยิ้มที่แสนเอ็นดูยังคงมอบให้เด็กหนุ่มจนร่างนั้นอ่อนแรงหายไปในมิติของตนเอง
แต่เขายังรู้ว่าเฉินรู้ว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้
“อากอร์ส
ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมขอบคุณเสมอนะครับ ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่มา
คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเลยนะ แล้วผมจะแวะมาหาใหม่ในฐานะของ...เฉิน”
ร่างโปร่งพูดจบก็เปิดฮู๊ทที่ปรกหน้าออก
เผยให้เห็นร่างกายที่แท้จริงอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก
เขาพูดคุยกับอดีตเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง
ก่อนจะขอแยกตัวมาที่มุมหนึ่งของสุสานที่เขาโปรดปานที่สุด
...ขอนไม้เก่า...
เฉินนั่งลงแล้วมองไปที่ร่างบางด้วยรอยยิ้ม
ลูบพื้นที่ว่างข้างกายเพื่อบอกให้ซิ่วหมินมานั่งด้วยกัน
ซึ่งซิ่วหมินก็ตอบรับคำเชิญนั้นด้วยความยินดี
“ตรงนี้เป็นที่โปรดของฉัน”
“นายคือคนเดียวกับที่ช่วยฉันไว้จริงๆใช่มั้ย”
“อื้ม จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะช่วยหรอก
แต่เพราะหน้าที่ของฉันคือตามล่าแค่ผู้สิ้นชีพเท่านั้น การทำให้ผู้ถือกำเนิดอยู่นอกระบบมากที่สุดถือว่าดี”
“ยังไงก็ต้องขอบคุณนาย
ถ้าไม่ได้นายฉันอาจจะไม่ได้กลับมานั่งตรงนี้ก็ได้”
“ตั้งขอบคุณนายที่ไม่ใจเสาะสิ้นชีพตั้งแต่ถูกยกขึ้นไปเหมือนกัน
ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีทางหลุดพ้นจากการเป็นผู้ล่าอย่างแน่นอน”
“ไม่หรอก จริงๆที่นายทำทั้งหมดนี้เพราะนายก็รู้ว่ามันดีกับตัวนาย”
“ฉันเคยบอกนายแล้วไงว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของฉันไม่น่าจดจำเลยสักนิด
แต่เพราะชีวิตชีวาของนายที่ส่งผ่านมาให้
ทำให้ฉันอยากเรียนรู้การเป็นเจ้าดวงจิตอีกครั้ง”
...อาจไม่ใช่ทุกความหมาย
แต่เป็นความหมายที่สำคัญที่สุด...
มือหนาค่อยๆบรรจงปลดสายคล้องผ้าคลุมนั้นออก
ลุกขึ้นยืนปล่อยให้ชุดคลุมนั้นล่วงลงสู่พื้นหิมะสีขาว
ขายาวย่อลงคุกเข่าข้างหนึ่งและตั้งชันอีกข้างขึ้นในท่าเจ้าบ่าวต่อหน้าร่างบาง
“ฉันยึดติดกับความเจ็บปวดและโดดเดี่ยวมาตลอด
ฉันโหยหาความรักจนเลือกหนทางปิดกั้นความรู้สึกมาตลอด
ฉันไม่เคยเผยความรู้สึกทะยานอยากให้ผู้ใดได้สัมผัส แต่เมื่อฉันเจอนายที่แตกต่าง
ฉันรู้เลยว่าฉันไม่เหมือนเดิม รู้มั้ยว่ามันเป็นเพราะฉันรักนาย”
“เฉิน...”
“ขอบคุณนะซิ่วหมิน ที่ช่วยล้างมลทินของอัสนีสาปในตัวฉันให้สิ้นไป
ด้วยความสดใสของนาย ใจฉันวันนี้ขอยอมจำนงต่อนายแล้วสิ้น
ให้น้ำแข็งของนายจองจำฉันไปตลอดกาลเถอะนะที่รัก”
“ด้วยความยินดี อัสนีของฉัน”
ริมฝีปากทั้งสองบรรจงมอบสัมผัสให้แก่กัน
ไม่ได้ล่วงล้ำฉาบฉวย แต่เป็นจูบที่มอบให้กันแทนสัญญาของหัวใจ
ว่าจะยอมถูกดวงใจแห่งน้ำแข็งนั้นสาปให้ติดอยู่ในนั้นตลอดกาล
เป็นซึ่งของกันและกันจนกว่าจะสิ้นอายุไขของกันและกัน
จบบริบรูณ์
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
The
Phonucorn – Chapter 3.20
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ จบแล้วสำหรับอัสนีสาป
ฝากติดตามมนต์ถันฑิลด้วยนะคะ^^
ความคิดเห็น