ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #62 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๘

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 195
      0
      12 ก.ค. 59

     

    Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๘

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Chen x Minseok

     

     

    บทที่ ๑๘

    The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    รอยยิ้มบางถูกส่งออกไปเมื่อมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง แล้วยิ่งแน่ใจว่าไม่ผิดแน่ จะมีที่ไหนเป็นจุดเริ่มต้นได้ดีเท่าบ้าน แต่เพียงขาก้าวเข้าไปใกล้ประตูรั้วที่กั้นปิด เฉินก็ต้องชะงักหยุด หูของเขามันได้ยินเสียงโซ่ตรวนลากไปมาจากพื้นที่ใกล้ มองไปโดยรอบเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้หูแว่ว ก่อนจะมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง ในฟีนูคอนเทวสถานที่เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าทั้งหกคือสถานที่เดียวที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ชาวโฟเธียไม่เคร่งศาสนา เพราะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เทวสถานแห่งนี้

     

    “เสียงโซ่? จากข้างในอย่างนั้นเหรอ”

     

    ตาคมวาดมองเข้าไปในรั้วอย่างใช้ความคิด พื้นที่รกร้างแบบนี้จะมีเสียงโซ่ได้อย่างไร มันเป็นเสียงโซ่ที่ดังก้องไปหลายเมตร คงมีขนาดเส้นที่ใหญ่มากในความคิดของร่างโปร่ง เฉินไม่ได้รู้เรื่องประวัติของฟีนูคอนมากนัก เขาจึงมีความกลัวต่อประวัติศาสตร์น้อยเต็มที ในหัวของเฉินตอนนี้คิดไปได้แค่ว่าข้างในอาจมีภูตอสูรหลบซ่อนอยู่ หรืออาจจะมีใครเลี้ยงสัตว์ต้องห้ามเท่านั้น

     

    ร่างโปร่งกำมือที่มีแร่นักรบของตนเองอยู่ ไม่มีความเกรงกลัวต่อสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นเลย เฉินไม่เคยไปที่ไหนแล้วพบเพียงผู้ถือกำเนิด ถ้าที่นี่จะเป็นอีกที่เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากมายนัก เขาไม่มีทางเลือกที่จะเลี่ยงมันได้หากเขาอยากได้ความจริง ในนั้นอาจมีสิ่งที่เขาอยากได้ก็เป็นได้

     

    ...ไม่เสี่ยงก็คงไม่รู้...

     

    “ก็แค่เทวสถาน มีอะไรจะต้องกลัวนักหนาล่ะ”

     

    ขายาวปีนข้ามรั้วเหล็กสูงของเทวสถานเข้าไปด้านในอย่างยากลำบาก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้ยินเสียงโซ่ตรวนที่ลากผ่านพื้นดังขึ้น ร่างโปร่งกำมือแน่นสะกดกั้นอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นระยะ เขารู้สึกได้ถึงพลังสีเทาที่ร้อนแรงกว่าทุกครั้งที่เคยพบ สองขาหยุดยืนที่หน้าประตูบานใหญ่ที่ล็อกอยู่ด้วยความแปลกใจ ไม่เคยมีเทวสถานที่ไหนปิดจากผู้ถือกำเนิดนอกเสียจากที่นี่

     

    “ทำไมต้องล็อก?”

     

    เฉินถามคำถามที่รู้ดีว่าไร้คำตอบขึ้นมา ก่อนจะผายมือทั้งสองข้างออก โบกผ่านช่องอากาศว่างๆจนเกิดเป็นสายฟ้าวิ่งตามมือที่ผายผ่าน ปากบางพูดเวทร่ายอย่างชำนาญแล้วปล่อยให้สายฟ้านั้นฟาดลงไปที่ประตูบานใหญ่ของเทวสถาน

     

    “โบโลนี โมโนส เซดีโอ อาร์นิโต”

     

    แก๊ก!...แอ๊ด...ด...ด...ด

     

    บานประตูหินขนาดใหญ่ค่อยๆเคลื่อนออกตามฝ่ามือที่ผายออกของผู้ร่าย ตาคมมองผ่านเข้าไปแต่ก็พบเพียงความมืดมิดภายในเทวสถาน เฉินคิดว่าที่นี่เป็นเทวสถานที่แย่ที่สุดที่เคยเห็น มันไม่ได้ต่างจากบ้านร้างเลยสักนิด เต็มไปด้วยใยแมงมุมและฝุ่นเถ้าสีดำ

     

    “เข้าใจละว่าทำไมชาวโฟเธียไม่อยากร่วมพิธีกรรมของเทวสถาน”

     

    เฉินกลอกตาอย่างระอาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ถูกดูแลอย่างที่ควรจะเป็น สองขาก้าวเดินเข้าไปภายในความมืดมิด เฉินไม่กลัวความมืดแถมยังรู้สึกคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำ

     

    ...ความมืดจะช่วยซ่อนเขาได้ดี...

     

    “โบโลนี โมโนส เซดีโอ แลมปาส”

     

    มือหนาผายออกพร้อมร่ายเวทง่ายๆ ขายาวเดินเข้าไปในตัวอาคารเก่า พร้อมลูกไฟลูกเดียวในมือให้พอมีแสงสำหรับนำทาง  เขาเห็นได้เพียงพื้นที่แคบรอบตัวไม่กี่เมตรเท่านั้น แต่ยังคงได้ยินเสียงของโซ่ลากไปตามพื้นไม่หยุด มองไปแล้วก็จับไม่ได้ว่าในนี้จะมีดวงจิตที่สิ้นชีพสักตนหนึ่ง

     

    “เสียงอะไรวะ”

     

    พรึบ!!!

     

    ขาข้างหนึ่งก้าวออกไปก่อนหมายจะเดินสำรวจ เหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างก่อนที่จะหลุบต่ำลงไป เฉินส่องไฟลงไปดูด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพบว่ามันคือกองเถ้าถ่านกองโต

     

    “เถ้าถ่าน?”

     

    เสียงทุ้มทวนขึ้นมาเสียงแผ่ว  ก่อนที่จะกวาดมือไปรอบตัวเพื่อดูว่าเขาอยู่ท่ามกลางอะไรกันแน่ ตาคมเบิกขึ้นด้วยความแปลกใจที่รอบกายเขาไม่ใช่แต่เพียงห้องเก่าๆเท่านั้น แต่มันเป็นโถงโล่งที่เต็มไปด้วยกองเถ้าถ่านมหาศาล เฉินรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ไม่สู้ดีแน่ เขาเหมือนอยู่ท่ามกลางศัตรูที่มองไม่เห็น สัญชาตญาณบอกให้เขาวิ่งไปในที่สูง

     

    ตึก...ตึก...ตึก...ตึก

     

    เสียงเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วดังแข่งกับเสียงโซ่ที่เริ่มกวัดไปตามพื้นมากขึ้น ราวกับว่าผู้ถูกล่ามกำลังโกรธที่มีคนบุกรุกไม่ผิดแน่ ร่างโปร่งขึ้นมายืนบนบันไดขั้นสุดท้าย ชูมือสูงขึ้นให้แสงทอลงไปอย่างชัดเจน แต่ยิ่งเห็นชัดดวงตาของเขาก็ยิ่งต้องเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

     

    “นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย!

     

    ถึงเขาจะไม่ได้ฉลาดเรื่องความจำ การใช้สมอง หรือ สัตว์ในตำนานอะไรก็ตามแน่ เขาเชื่อว่าไม่ว่าใครที่ได้เห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรก ต่างก็ต้องดูออกทั้งนั้นว่าเถ้าถ่านพวกนี้มันคือสิ่งใด

     

    ...ขนของนกฟีนิกส์...

     

    ที่มาของเถ้าถ่านในอากาศคงไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเปลวไฟนำทางของแต่ละบ้าน แต่คงเกิดจากการพลัดขนของเจ้านกยักษ์ที่นอนอยู่ใต้กองเถ้านี้ด้วย หากมันสยายปีกกว้างแล้วเกิดเปลวไฟ เขาคงนิยามมันว่าฟีนิกส์ได้สะดวกใจกว่านี้ แต่สภาพที่ราวกับนกยักษ์ไร้ประสิทธิภาพและอ่อนเพลียของมัน ช่างไม่ดูองอาจอย่างที่ควรเลย

     

    “นี่ฉันหาแกเจอจริงๆได้ยังไงวะ เกิดจากเถ้าถ่านสู่เพลิงผู้ไม่มีวันดับ”

     

    เขารู้ดีว่ามันคือนกยักษ์ในตำนาน สัญลักษณ์ที่องอาจของชาวโฟเธีย แต่กลับต้องมาถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนอาคม ช่างเป็นภาพที่เจ็บปวดเหลือเกินในความคิดของเฉิน แม้ไม่ได้เกิดในเผ่าโฟเธีย แต่การเห็นสิ่งใดสักสิ่งต้องอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะสม มันเป็นเรื่องที่ชวนให้น้ำตาไหลออกมาจริงๆ

     

    ...เฉินไม่เคยไม่เสียใจที่ตามล่า แต่เขาคิดว่ามันเป็นที่ที่เหมาะสม...

     

    “แกกำลังจะตายเหรอเปล่า...”

     

    สองมือของเฉินสั่นไปหมดที่ได้เห็นแบบนั้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแดงกล่ำของมันด้วยหลายความรู้สึก แต่การเป็นผู้ล่าสอนให้เขารู้ว่าในสงครามไม่มีคำว่าเมตตา ทุกชีวิตย่อมต้องอยู่รอดในแบบของตนเอง ความผูกพันจะยิ่งทำร้ายคนที่ไว้ใจอย่างร้ายกาจที่สุด

     

    “ขอโทษนะที่ฉันจำเป็นต้องเกลียดแก”

     

    เสียงทุ้มพูดบอกออกไปพร้อมปรับแววตาให้ดูว่างเปล่าเมื่อมองมัน เขาไม่รู้หรอกว่ามันกำลังจะเป็นหรือจะตาย เขารู้แค่ว่ามันคือทางรอดเดียวของเขาในเวลานี้แล้ว ขายาวหยุดนั่งลงอย่างหมดแรง ความคิดตีรวนอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ดี ตอนนี้เขาหาเจ้านกไฟเจอแล้ว ที่ต้องการก็แค่เลือดของอธิการบดีสาว และ สิ่งที่สำคัญอีกชิ้นในการประกอบพิธี

     

    ...สายเลือดเทวาแห่งอเนโมส...

     

    “ฉันไม่ได้อยากจะฆ่าแกในสภาพที่น่าสมเพชขนาดนี้ ขอให้แกเชื่อเถอะว่านี่คือการปลดปล่อยแกจากสิ่งที่แกเป็นอยู่ ฉันจะกลับมาอีกครั้งหวังว่ามันจะดีสำหรับแกนะ”

     

    ร่างโปร่งเดินออกมาอย่างยากลำบาก ถึงจะพยายามใจแข็งเพียงใดก็ตามแต่ มันไม่เคยทำให้ข้างในแข็งกร้าวได้อย่างที่ควรจะเป็นเลย

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    “นายหามันเจอแล้วจริงๆใช่มั้ย”

     

    “อื้ม เจอมันโดยบังเอิญน่ะ”

     

    ร่างโปร่งบอกออกไป หลังจากกลับมาจากเมืองโฟเธีย เขาก็รีบตรงกลับมาหาซิ่วหมินเป็นคนแรก ร่างบางดูตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาบอก เขาควรรู้สึกดีใช่มั้ยที่อย่างน้อยก็มีคนที่มีความสุขกับการกระทำของเขา อย่างน้อยผลของมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด

     

    “ที่เหลือก็แค่หาสายเลือดเทวาแห่งอเนโมส กลีบดอกของสายเลือดเทวาเบ่งบานในปีที่ฉันเกิด แสดงว่าสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสต้องอยู่ในรุ่นของเราน่ะสิ”

     

    “ตามหลักก็ควรจะเป็นแบบนั้น”

     

    “นายสามารถมองเห็นอายุไขและวันเกิดของเขาได้ใช่มั้ย”

     

    “ใช่ และตอนนี้ก็มีอยู่คนนึงที่ฉันคิดว่าไม่ผิดแน่”

     

    “ใครเหรอ เดี๋ยวฉันจะไปลองพูดให้”

     

    “นายพูดได้แน่ถ้าคิดจะพูด ถ้าไม่คิดว่ามันจะทำให้เขาอึดอัดใจจนไม่อยากจะคบกับนายต่อน่ะ”

     

    “หือ?”

     

    ใบหน้าหวานเอียงลงด้วยความสงสัย เขาไม่รู้ว่าทำไมเฉินถึงพูดแบบนั้น ดูเหมือนรอบตัวเขาจะมีคนที่ประหลาดเริ่มมาอีกคน แต่สำหรับคนนี้น่าจะเรียกว่าเป็นความพิเศษเสียมากกว่าสินะ

     

    ...เขามีเพื่อนเป็นสายเลือดเทวาเหรอ?...

     

    “นายกำลังหมายถึงใคร?”

     

    “เพื่อนสนิทของนายคนนั้นไง คนที่นายดูสนิทมากกว่าทุกคนในกลุ่มที่นายอยู่ตอนนี้น่ะ เด็กผู้ชายที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มของนาย”

     

    “เซฮุนเหรอ?!!!

     

    ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสนั้นคือใคร เขารู้ว่าเซฮุนนั้นแปลกว่าตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่คิดว่าความแปลกนั้นจะเพียงเพื่อซ่อนเขาจากความพิเศษที่ไม่อาจคาดถึงได้เช่นนี้

     

    “แบบนี้มันยากไปนะ ฉันจะเดินเข้าไปคุยกับเซฮุนได้ยังไงกัน ให้เดินไปบอกว่าช่วยไปยืนฟังเพื่อนฉันที่ชื่อเฉินพูดอะไรหน่อยสิ เขาจะฆ่าฟีนิกส์ต่อหน้านายก็ห้ามตกใจนะ แบบนั้นเซฮุนไม่น่าจะช่วยเราหรอก”

     

    ซิ่วหมินจำได้ดีว่าเซฮุนมีปฏิกิริยาไวมากสำหรับเรื่องนกทั้งหลาย แล้วยิ่งเป็นนกที่มีขนาดใหญ่อย่างฟีนิกส์ เขาคิดหน้าเพื่อนรักไม่ออกเลยว่าจะแสดงสีหน้าเช่นไรต่อเขา หากรู้ว่าเขามีแผนจะฆ่าฟีนิกส์อยู่ในหัว

     

    “ถ้านายลำบากใจ ฉันจะคุยกับเขาเอง”

     

    “นายมั่นใจจริงๆเหรอว่าไม่ผิดคนแน่”

     

    “จริงๆก็...ไม่แน่ใจนักนะ เอาเป็นว่าฉันจะพิสูจน์เรื่องนี้เอง นายแค่ทำตัวสบายๆไปกับเรื่องนี้เถอะ...”

     

    ร่างโปร่งพูดพร้อมจ้องลึกเข้าไปในดวงตานั้น อยากจะได้กำลังใจจากคนที่เขาเผลอรักหมดใจ รอยยิ้มบางนั้นส่งมาให้เหมือนสามารถอ่านความคิดของเขาได้ ก่อนที่ใบหน้าของทั้งสองคนจะเคลื่อนเข้าหากันตามเสียงของหัวใจ ปากบางของเฉินจรดลงที่หน้าผากมนราวกับให้สัญญา เขาอยากให้ซิ่วหมินสบายใจว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยดี เขาจะได้พรแห่งการถือกำเนิดของเขาคืน และ จะอยู่กับซิ่วหมินตลอดไป

     

    ...ในฐานะของเฉินที่มีหัวใจให้ซิ่วหมิน...

     

    “ฉันไม่รู้ว่าควรพูดออกไปเลยรึเปล่า แต่ถึงมันจะสำเร็จหรือไม่ก็ตามแต่ ฉันอยากให้นายรู้ไว้เสมอ...ฉันรักนาย”

     

    “...ฉันรู้”

     

    เสียงหวานรับคำแผ่ว ไม่ปิดบังความรู้สึกรับรักนั้นของตนเองแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวความรักครั้งแรกของเขาจะต้องจบลงเช่นไร ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าขอให้มันผ่านไปได้ด้วยดีก็พอ

     

    “ฉันจะเป็นกำลังใจให้นะ”

     

    “อื้ม”

     

    “ฉันต้องไปแล้ว นายก็คงใกล้จะต้องเข้าไปทำงานด้วย”

     

    “ใช่ ฉันหวังว่านายจะฝันดีทั้งคืนนะ”

     

    “ฉันจะฝันถึงนาย...”

     

    ร่างบางพูดออกมาอย่างแผ่วเบาอีกครั้งด้วยความเขินอาย ก่อนจะลุกเดินกลับไปทางหอพักที่ของตนเอง ตาคมมองตามร่างคนรักไปอย่างรู้สึกหนักใจขึ้นมา เขามีทางเลือกไม่มากที่จะพาเซฮุนไปกับเขา ถ้าคุยกับดีๆไม่ได้คงต้องลากไปทั้งที่ไม่รู้สึกตัว

     

    “ฉันไม่อยากยุ่งกับนายเลยจริงๆเถอะ สาบาน”

     

    ใบหน้าคมก้มมองพื้นแล้วต้องถอนหายใจออกมา มันไม่ง่ายที่เขาจะลากคนอื่นมาเกี่ยวข้องอีก หากแต่คนสองคนที่เขาจะพาไปได้ก็แค่สายเลือดเทวาก็คือเซฮุนกับแร่นักรบของอี้ชิง หรือ อีกทางที่ไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับเขา พาเทพอเนโมสไปเข้าพิธีนั้นเอง

     

    ...แต่ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้บนฟีนูคอนเสมอ...

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    เฉินในร่างของผู้ล่ามาซ่อนตัวในต้นไม้ใหญ่กลางสุสาน เขาแต่งตัวละเอียดกว่าทุกครั้งที่แค่หยิบชุดคลุมมาใส่ เพราะนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะเป็นผู้ล่าแล้วก็เป็นได้ สองวันก่อนเขาไปขอเลือดของอธิการสาวมาแล้ว มันถูกซ่อนอยู่ในผ้าคลุมของเขารอเวลาสำคัญ หลังจากซิ่วหมินบอกว่าวันนี้จะเป็นวันล้างมนต์สาปตามที่อี้ชิงบอก มันอาจจะเป็นทางออกที่ง่ายกว่าของเขา ไม่ต้องลงมือฆ่าคริสก็จะได้ขนนกไฟมาประกอบพิธี รวมถึงที่นี่จะมีสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสที่เขาต้องการอยู่ด้วย

     

    “พี่...”

     

    ร่างโปร่งที่แอบฟังทั้งสามคนคุยกันอยู่ มองตามไปสายตาของจงอินที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่สมควรอยู่ในนี้มากที่สุดแล้ว 

     

    “...พวกเขามาแล้ว”

     

    แววตาของคริสที่เฉินเห็นมันเศร้าหมองกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น ลมหายใจหนักพรูออกมาจากปากบางของผู้ล่าหนุ่ม เขาเห็นแล้วว่าเลขอายุของคริสมันเหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น อย่างไรเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ เขาอยากเจอคริสในฐานะของผู้ล่า แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาอาจไม่สามารถทำแบบนั้นได้

     

    ...เมื่อมีสองทางก็จำเป็นต้องเลือกเสมอ...

     

    “ไม่คิดว่าจะมาถึงก่อนเวลา”

     

    “พวกเราอยากให้มันจบลงไปเร็วๆน่ะครับ”

     

    “อ่า...”

     

    ร่างสง่าได้แต่ครางรับเบาๆ รู้ว่าอี้ชิงไม่ได้หมายความว่าอยากจะปลิดชีพตน ตามความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า อี้ชิงนั้นยังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะต้องทำ อาจเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ทั้งหมด เซฮุนบอกเขาอาจต้องฆ่าใครบางคน เพราะชีวิตย่อมต้องล้างด้วยชีวิต แต่ตอนนี้มีเพียงรุ่นพี่ทั้งสองและชายแปลกหน้าอีกคน

     

    “คนนี้เหรอครับ สายเลือดโฟเธีย”

     

    “ไม่บังอาจขนาดนั้น”

     

    จงอินรีบยกมือในท่ายอมแพ้ เขาไม่อาจเอื้อมขนาดจะแอบอ้างตนเองให้เป็นถึงสายเลือดเทวาแห่งโฟเธีย เพราะขนาดเป็นแค่อิลคอลลี่ธรรมดาแห่งโซม่า เขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอเลยด้วยซ้ำ

     

    “นี่ไม่ใช่โฟเธีย เขาคือ คิม จงอิน เผ่าโซม่าน่ะ”

     

    เป็นลู่ฮานที่มักทำงานร่วมกับพวกโซม่าอยู่บ่อยครั้งชี้แจงให้อี้ชิงฟัง ก่อนจะหันไปมองจงอินอย่างไม่ไว้ใจ ลู่ฮานรู้จักจงอินดีว่ากลับกลอกขนาดไหน มีบางครั้งที่พวกเขาทำงานด้วยกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ จงอินเคยหาข่าวบางอย่างมาขายเขา

     

    “ฉันปลาบปลื้มนะที่ผู้จ้างเก่าจำได้”

     

    “นายมาทำไมที่นี่ เกี่ยวอะไรกับอี้ชิง”

     

    “ฉันไม่ได้ทำงานให้เพื่อนนาย แน่นอนว่ายังไงก็ไม่คิดจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวด้วยหรอก ฉันทำงานให้พวกพี่เขาต่างหากล่ะ”

     

    “คิดอะไรอยู่ถึงทำงานกับจงอิน”

     

    “คิดว่าไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไง”

     

    คริสสวนกลับคำถามของลู่ฮานอย่างทันท่วงที พวกเขาไม่มีทางเลือกจริงๆที่ต้องทำงานกับจงอิน ไม่ได้มีพวกโซม่ามากนักที่เข้าใจภาษาโฟเธียรัส แถมยังสามารถเอ่ยคำกล่าวปลุกสุสานพระมารดา ซึ่งเป็นภาษาของพวกโบโลนีได้อีกด้วย จงอินถ้าไม่นับความปลิ้นปล้อนก็ถือว่าเป็นคนมีความสามารถมาก

     

    “แล้วเขายังไม่มาหรอครับ”

     

    “ใครเหรอ?”

     

    “สายเลือดเทวาของโฟเธีย”

     

    “เขามาแล้ว”

     

    “หือ?”

     

    อี้ชิงเอียงคออย่างยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คริสพูด ก่อนจะต้องปิดปากแน่นด้วยความตกใจ เมื่อร่างสง่ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมพูดคำกล่าวสั้นๆ ที่เหมือนล้างผลาญจิตใจดวงน้อยจนย่อยยับ

     

    “คนที่นายต้องล้างมนต์สาป คนเดียวที่ต้องเสียสละ...”

     

    เสียงของคริสแผ่วเบาลงอย่างไม่อยากจะพูดมันออกมาเช่นกัน ความเจ็บปวดที่ไม่อาจซ่อนไว้ได้ในแววตาดุดันคู่นี้ ต่อหน้าคนที่น้อมกายรับว่ารักอย่างสุดใจ

     

    “...อยู่ตรงหน้านายแล้ว อี้ชิงของฉัน”

     

    “ไม่...ต้องไม่จริงใช่มั้ย”

     

    เฉินทนมองภาพนั้นไม่ได้ เขารู้ดีว่าร่างสง่านั้นต้องเจ็บปวดเพียงใดที่ต้องทำเช่นนี้ เขารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยหากจะมองหน้าคนที่ตนรักเป็นครั้งสุดท้าย เอื้อนเอ่ยคำที่จะทิ่มแทงเขาไม่ตลอดกาล เขาเคยรู้สึกเช่นเดียวกันตอนที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดอาจสูญเปล่า แต่ตอนนี้เขากำลังถูกชุบชีวิตด้วยความปราณีของเทพเจ้า ถูกชุบชีวิตโดยแลกกับชีวิตของรุ่นพี่ร่างสง่าที่ยอมเสียสละเพื่อทุกคน

     

    ...มันไม่ยุติธรรมกับคริสจริงๆ...

     

    ขาทั้งสองข้างของอี้ชิงเหมือนหมดแรงลงในทันที ไม่ใช่เพียงเพราะได้รู้ว่าร่างสง่านี้เป็นสายเลือดเทวา บางอย่างบอกเขามาตั้งนานแล้วที่ว่าคริสนั้นดูจะพิเศษกว่าโฟเธียคนอื่นๆ แต่ที่เขารู้สึกเหมือนล้มทั้งยืนตอนนี้ คงเป็นเพราะคำว่า เสียสละ

     

    “พูดออกมาสิ เสียสละอะไรของพี่น่ะ!

     

    “ชีวิตของพี่ยังไงล่ะ”

     

    “ฮึก...ไม่จริงหรอก...ไม่เอาแบบนี้นะ”

     

    “ไม่ว่าช้าหรือเร็วมันจะต้องเกิดขึ้น อย่าพยายามฝืนมันเลยนะอี้ชิง มันคือโชคชะตาในคืนของจันทร์จรัส”

     

    แม้แต่คริสเองก็หลั่งรินน้ำตาลงรดกลุ่มผมเงา อี้ชิงกอดคริสแน่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ทำเช่นนี้

     

    “ถ้ารู้ว่ามันต้องเป็นแบบนี้ พี่มาบอกรักผมทำไม มาให้ความหวังกันทำไม!

     

    “เพราะพี่ไม่อยากเก็บความลับนี้ไปจนสิ้นชีพไงล่ะคนดี”

     

    ซิ่วหมินมองภาพอี้ชิงที่เจ็บปวดราวจะสิ้นใจด้วยความสงสาร มือเรียวกุมกันแน่นไม่แน่ใจว่านี่คือสิ่งที่ควรจะทำอีกต่อไป ตากลมโตเงยหน้าขึ้นมองหาผู้ล่าหนุ่มที่เขาบอกให้มาที่นี่ด้วยตนเอง ความรู้สึกเหมือนตนเองเห็นแก่ตัวกำลังทำให้ร่างบางคิดไม่ตก กลัวว่าทุกอย่างจะผิดไปหมด

     

    “จงอิน ปลุกสุสานพระมารดาได้”

     

    “พี่ครับ”

     

    “ก็อย่างที่คริสบอก ถึงยืดเยื้อไปก็ต้องจบแบบนี้อยู่ดี”

     

    สิ้นคำพูดของชานยอล จงอินก็จำใจเดินผ่านหน้าทุกคนไปที่พื้นที่โล่งกว้าง ที่มีเพียงหลุมศพของใครบางคน ที่ไม่มีแม้แต่แท่นคริสตัลบอกตัวตนของร่างไร้วิญญาณนั้น ผายมือทั้งสองข้างออก พร้อมพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจออกมา มันคงเป็นภาษาโบโลนีสที่มักได้ยินพวกผู้ล่ากล่าวเท่านั้น ภาษาของเผ่าสายฟ้า ฟังดูหนักแน่นและรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดเสียจริง ดินชื้นค่อยๆก่อร่างสร้างตนจนกลายเป็นซุ้มสูงใหญ่ มีเสาทรงยุโรปล้อมรอบเป็นวงกลมทำด้วยหินอ่อน สิ่งที่ตั้งเด่นตระหง่านตรงกลางซุ้มใหญ่นั้นคือรูปปั้นของสตรีในตำนาน ผู้หญิงเพียงคนเดียวแต่เป็นผู้ให้กำเนิดเทพเจ้าทั้งหก

     

    ...พระมารดาแห่งฟีนูคอน...

     

    “พระมารดา...”

     

    ผู้ล่าหนุ่มครางชื่อเรียกของสตรีผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาเคยสงสัยว่าที่โล่งนั้นมีไว้เพื่ออะไร แต่ตอนนี้มันไร้ข้อกังขาใดๆแล้ว

     

    “เป็นไปได้เหรอเนี่ย”

     

    เซฮุนที่ก้าวเท้าขึ้นสู่แท่นรองของพระวิหารเป็นคนแรกพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเทวรูป ตอนนี้ทุกคนต่างน้อมคำนับต่อพระมารดาผู้ให้การถือกำเนิด ยกเว้นก็แต่อี้ชิง และ คริสที่ยังคงยืนอยู่นอกเขตของแท่นวิหาร ร่างบางส่ายหน้าไม่อยากก้าวเข้าไปใกล้รูปปั้นนั่น รู้ดีว่าหากเขาอยู่ข้างในนั้น ไม่นานเขาจะต้องฆ่าร่างสง่านี้ด้วยความจำยอม

     

    “ผมไม่อยากเข้าไป...ฮึก”

     

    “อย่าร้องสิอี้ชิง พี่ให้โอกาสนายได้เลือกแล้วนะ”

     

    “พี่ไม่ได้ให้ พี่ไม่ได้บอกว่ามันจะเป็นแบบนี้”

     

    คริสอาจให้โอกาสที่อี้ชิงจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ ด้วยการให้อี้ชิงตามหาทายาท เทวาแห่งอเนโมส แต่คริสไม่เคยแม้แต่จะปริปากบอกสักนิด ว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าใครคือผู้ ผูกพันธะ คนที่ต้องเสียสละชีพนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียว

     

    ...ในเมื่ออี้ชิงไม่รู้จะถือว่าได้เลือกได้อย่างไร...

     

    “พี่ได้บอกทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงได้ไปแล้ว แต่สำหรับเรื่องนี้พี่ก็จนปัญญาที่จะบอก นายอาจจะกระวนกระวายกว่านี้ก็ได้ถ้ารู้ เพราะฉะนั้นให้พี่เป็นคนเดียวที่เจ็บปวดจะดีกว่านะ”

     

    “ผมไม่ทำหรอก”

     

    “สุดท้ายถึงอี้ชิงไม่ทำ ชานยอลก็จะตามหาสายเลือดเทวามาล้างมนต์สาปให้พี่จนได้ สุดท้ายจุดจบมันก็เป็นแบบเดิม แล้วทำไมอี้ชิงจะต้องทำให้เรื่องนี้มันยากขึ้นด้วยล่ะ ปลดปล่อยพี่จากมนต์สาปนี้เถอะนะคนดี”

     

    ร่างบางหันไปมองทั้งสองด้วยความเจ็บปวด อดยอมรับไม่ได้จริงๆว่าเขากำลังทำร้ายเพื่อนของตนเอง ขาเรียวก้าวออกมาจากแท่นพิธีแล้วเจอเข้ากับร่างโปร่งพอดี ไม่มีคำพูดใดแค่อ้อมกอดที่มอบให้กัน น้ำตามากมายก็ไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้

     

    “ฉันทำร้ายพวกเขาอยู่ใช่มั้ย มันควรจะเป็นแบบนี้”

     

    “มันไม่เกี่ยวกับนายเลย พวกเขาเลือกทางนี้กันเอง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงคำทำนายได้หรอก”

     

    “แต่ฉันเห็นแก่ตัวกับพวกเขา”

     

    “ทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น แต่แค่ใครจะรู้สึกสำนึกมากกว่ากันอย่าคิดมากเลยนะ...ที่รักของฉัน”  

     

                         <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 3.18

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ใกล้จบแล้วสำหรับอัสนีสาป ฝากติดตามมนต์ถันฑิลด้วยนะคะ^^

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×