คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #62 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๘
Title :
The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๘
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Chen x Minseok
บทที่ ๑๘
The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป
รอยยิ้มบางถูกส่งออกไปเมื่อมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง
แล้วยิ่งแน่ใจว่าไม่ผิดแน่ จะมีที่ไหนเป็นจุดเริ่มต้นได้ดีเท่าบ้าน
แต่เพียงขาก้าวเข้าไปใกล้ประตูรั้วที่กั้นปิด เฉินก็ต้องชะงักหยุด
หูของเขามันได้ยินเสียงโซ่ตรวนลากไปมาจากพื้นที่ใกล้ มองไปโดยรอบเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้หูแว่ว
ก่อนจะมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง
ในฟีนูคอนเทวสถานที่เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าทั้งหกคือสถานที่เดียวที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ชาวโฟเธียไม่เคร่งศาสนา
เพราะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เทวสถานแห่งนี้
“เสียงโซ่? จากข้างในอย่างนั้นเหรอ”
ตาคมวาดมองเข้าไปในรั้วอย่างใช้ความคิด
พื้นที่รกร้างแบบนี้จะมีเสียงโซ่ได้อย่างไร มันเป็นเสียงโซ่ที่ดังก้องไปหลายเมตร
คงมีขนาดเส้นที่ใหญ่มากในความคิดของร่างโปร่ง
เฉินไม่ได้รู้เรื่องประวัติของฟีนูคอนมากนัก เขาจึงมีความกลัวต่อประวัติศาสตร์น้อยเต็มที
ในหัวของเฉินตอนนี้คิดไปได้แค่ว่าข้างในอาจมีภูตอสูรหลบซ่อนอยู่
หรืออาจจะมีใครเลี้ยงสัตว์ต้องห้ามเท่านั้น
ร่างโปร่งกำมือที่มีแร่นักรบของตนเองอยู่
ไม่มีความเกรงกลัวต่อสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นเลย
เฉินไม่เคยไปที่ไหนแล้วพบเพียงผู้ถือกำเนิด
ถ้าที่นี่จะเป็นอีกที่เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากมายนัก
เขาไม่มีทางเลือกที่จะเลี่ยงมันได้หากเขาอยากได้ความจริง
ในนั้นอาจมีสิ่งที่เขาอยากได้ก็เป็นได้
...ไม่เสี่ยงก็คงไม่รู้...
“ก็แค่เทวสถาน มีอะไรจะต้องกลัวนักหนาล่ะ”
ขายาวปีนข้ามรั้วเหล็กสูงของเทวสถานเข้าไปด้านในอย่างยากลำบาก
ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้ยินเสียงโซ่ตรวนที่ลากผ่านพื้นดังขึ้น ร่างโปร่งกำมือแน่นสะกดกั้นอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นระยะ
เขารู้สึกได้ถึงพลังสีเทาที่ร้อนแรงกว่าทุกครั้งที่เคยพบ
สองขาหยุดยืนที่หน้าประตูบานใหญ่ที่ล็อกอยู่ด้วยความแปลกใจ
ไม่เคยมีเทวสถานที่ไหนปิดจากผู้ถือกำเนิดนอกเสียจากที่นี่
“ทำไมต้องล็อก?”
เฉินถามคำถามที่รู้ดีว่าไร้คำตอบขึ้นมา
ก่อนจะผายมือทั้งสองข้างออก โบกผ่านช่องอากาศว่างๆจนเกิดเป็นสายฟ้าวิ่งตามมือที่ผายผ่าน
ปากบางพูดเวทร่ายอย่างชำนาญแล้วปล่อยให้สายฟ้านั้นฟาดลงไปที่ประตูบานใหญ่ของเทวสถาน
“โบโลนี โมโนส เซดีโอ อาร์นิโต”
แก๊ก!...แอ๊ด...ด...ด...ด
บานประตูหินขนาดใหญ่ค่อยๆเคลื่อนออกตามฝ่ามือที่ผายออกของผู้ร่าย
ตาคมมองผ่านเข้าไปแต่ก็พบเพียงความมืดมิดภายในเทวสถาน เฉินคิดว่าที่นี่เป็นเทวสถานที่แย่ที่สุดที่เคยเห็น
มันไม่ได้ต่างจากบ้านร้างเลยสักนิด เต็มไปด้วยใยแมงมุมและฝุ่นเถ้าสีดำ
“เข้าใจละว่าทำไมชาวโฟเธียไม่อยากร่วมพิธีกรรมของเทวสถาน”
เฉินกลอกตาอย่างระอาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ถูกดูแลอย่างที่ควรจะเป็น
สองขาก้าวเดินเข้าไปภายในความมืดมิด
เฉินไม่กลัวความมืดแถมยังรู้สึกคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำ
...ความมืดจะช่วยซ่อนเขาได้ดี...
“โบโลนี โมโนส เซดีโอ แลมปาส”
มือหนาผายออกพร้อมร่ายเวทง่ายๆ ขายาวเดินเข้าไปในตัวอาคารเก่า
พร้อมลูกไฟลูกเดียวในมือให้พอมีแสงสำหรับนำทาง
เขาเห็นได้เพียงพื้นที่แคบรอบตัวไม่กี่เมตรเท่านั้น
แต่ยังคงได้ยินเสียงของโซ่ลากไปตามพื้นไม่หยุด
มองไปแล้วก็จับไม่ได้ว่าในนี้จะมีดวงจิตที่สิ้นชีพสักตนหนึ่ง
“เสียงอะไรวะ”
พรึบ!!!
ขาข้างหนึ่งก้าวออกไปก่อนหมายจะเดินสำรวจ
เหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างก่อนที่จะหลุบต่ำลงไป เฉินส่องไฟลงไปดูด้วยความแปลกใจ
ก่อนจะพบว่ามันคือกองเถ้าถ่านกองโต
“เถ้าถ่าน?”
เสียงทุ้มทวนขึ้นมาเสียงแผ่ว
ก่อนที่จะกวาดมือไปรอบตัวเพื่อดูว่าเขาอยู่ท่ามกลางอะไรกันแน่
ตาคมเบิกขึ้นด้วยความแปลกใจที่รอบกายเขาไม่ใช่แต่เพียงห้องเก่าๆเท่านั้น
แต่มันเป็นโถงโล่งที่เต็มไปด้วยกองเถ้าถ่านมหาศาล
เฉินรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ไม่สู้ดีแน่
เขาเหมือนอยู่ท่ามกลางศัตรูที่มองไม่เห็น สัญชาตญาณบอกให้เขาวิ่งไปในที่สูง
ตึก...ตึก...ตึก...ตึก
เสียงเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วดังแข่งกับเสียงโซ่ที่เริ่มกวัดไปตามพื้นมากขึ้น
ราวกับว่าผู้ถูกล่ามกำลังโกรธที่มีคนบุกรุกไม่ผิดแน่
ร่างโปร่งขึ้นมายืนบนบันไดขั้นสุดท้าย ชูมือสูงขึ้นให้แสงทอลงไปอย่างชัดเจน
แต่ยิ่งเห็นชัดดวงตาของเขาก็ยิ่งต้องเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น
“นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย!”
ถึงเขาจะไม่ได้ฉลาดเรื่องความจำ การใช้สมอง
หรือ สัตว์ในตำนานอะไรก็ตามแน่ เขาเชื่อว่าไม่ว่าใครที่ได้เห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรก
ต่างก็ต้องดูออกทั้งนั้นว่าเถ้าถ่านพวกนี้มันคือสิ่งใด
...ขนของนกฟีนิกส์...
ที่มาของเถ้าถ่านในอากาศคงไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเปลวไฟนำทางของแต่ละบ้าน
แต่คงเกิดจากการพลัดขนของเจ้านกยักษ์ที่นอนอยู่ใต้กองเถ้านี้ด้วย หากมันสยายปีกกว้างแล้วเกิดเปลวไฟ
เขาคงนิยามมันว่าฟีนิกส์ได้สะดวกใจกว่านี้
แต่สภาพที่ราวกับนกยักษ์ไร้ประสิทธิภาพและอ่อนเพลียของมัน
ช่างไม่ดูองอาจอย่างที่ควรเลย
“นี่ฉันหาแกเจอจริงๆได้ยังไงวะ
เกิดจากเถ้าถ่านสู่เพลิงผู้ไม่มีวันดับ”
เขารู้ดีว่ามันคือนกยักษ์ในตำนาน สัญลักษณ์ที่องอาจของชาวโฟเธีย
แต่กลับต้องมาถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนอาคม
ช่างเป็นภาพที่เจ็บปวดเหลือเกินในความคิดของเฉิน แม้ไม่ได้เกิดในเผ่าโฟเธีย
แต่การเห็นสิ่งใดสักสิ่งต้องอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะสม
มันเป็นเรื่องที่ชวนให้น้ำตาไหลออกมาจริงๆ
...เฉินไม่เคยไม่เสียใจที่ตามล่า
แต่เขาคิดว่ามันเป็นที่ที่เหมาะสม...
“แกกำลังจะตายเหรอเปล่า...”
สองมือของเฉินสั่นไปหมดที่ได้เห็นแบบนั้น
จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแดงกล่ำของมันด้วยหลายความรู้สึก
แต่การเป็นผู้ล่าสอนให้เขารู้ว่าในสงครามไม่มีคำว่าเมตตา ทุกชีวิตย่อมต้องอยู่รอดในแบบของตนเอง
ความผูกพันจะยิ่งทำร้ายคนที่ไว้ใจอย่างร้ายกาจที่สุด
“ขอโทษนะที่ฉันจำเป็นต้องเกลียดแก”
เสียงทุ้มพูดบอกออกไปพร้อมปรับแววตาให้ดูว่างเปล่าเมื่อมองมัน
เขาไม่รู้หรอกว่ามันกำลังจะเป็นหรือจะตาย
เขารู้แค่ว่ามันคือทางรอดเดียวของเขาในเวลานี้แล้ว ขายาวหยุดนั่งลงอย่างหมดแรง
ความคิดตีรวนอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ดี
ตอนนี้เขาหาเจ้านกไฟเจอแล้ว ที่ต้องการก็แค่เลือดของอธิการบดีสาว และ
สิ่งที่สำคัญอีกชิ้นในการประกอบพิธี
...สายเลือดเทวาแห่งอเนโมส...
“ฉันไม่ได้อยากจะฆ่าแกในสภาพที่น่าสมเพชขนาดนี้
ขอให้แกเชื่อเถอะว่านี่คือการปลดปล่อยแกจากสิ่งที่แกเป็นอยู่
ฉันจะกลับมาอีกครั้งหวังว่ามันจะดีสำหรับแกนะ”
ร่างโปร่งเดินออกมาอย่างยากลำบาก
ถึงจะพยายามใจแข็งเพียงใดก็ตามแต่
มันไม่เคยทำให้ข้างในแข็งกร้าวได้อย่างที่ควรจะเป็นเลย
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
“นายหามันเจอแล้วจริงๆใช่มั้ย”
“อื้ม เจอมันโดยบังเอิญน่ะ”
ร่างโปร่งบอกออกไป
หลังจากกลับมาจากเมืองโฟเธีย เขาก็รีบตรงกลับมาหาซิ่วหมินเป็นคนแรก
ร่างบางดูตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาบอก
เขาควรรู้สึกดีใช่มั้ยที่อย่างน้อยก็มีคนที่มีความสุขกับการกระทำของเขา
อย่างน้อยผลของมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด
“ที่เหลือก็แค่หาสายเลือดเทวาแห่งอเนโมส
กลีบดอกของสายเลือดเทวาเบ่งบานในปีที่ฉันเกิด
แสดงว่าสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสต้องอยู่ในรุ่นของเราน่ะสิ”
“ตามหลักก็ควรจะเป็นแบบนั้น”
“นายสามารถมองเห็นอายุไขและวันเกิดของเขาได้ใช่มั้ย”
“ใช่ และตอนนี้ก็มีอยู่คนนึงที่ฉันคิดว่าไม่ผิดแน่”
“ใครเหรอ เดี๋ยวฉันจะไปลองพูดให้”
“นายพูดได้แน่ถ้าคิดจะพูด
ถ้าไม่คิดว่ามันจะทำให้เขาอึดอัดใจจนไม่อยากจะคบกับนายต่อน่ะ”
“หือ?”
ใบหน้าหวานเอียงลงด้วยความสงสัย
เขาไม่รู้ว่าทำไมเฉินถึงพูดแบบนั้น ดูเหมือนรอบตัวเขาจะมีคนที่ประหลาดเริ่มมาอีกคน
แต่สำหรับคนนี้น่าจะเรียกว่าเป็นความพิเศษเสียมากกว่าสินะ
...เขามีเพื่อนเป็นสายเลือดเทวาเหรอ?...
“นายกำลังหมายถึงใคร?”
“เพื่อนสนิทของนายคนนั้นไง
คนที่นายดูสนิทมากกว่าทุกคนในกลุ่มที่นายอยู่ตอนนี้น่ะ
เด็กผู้ชายที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มของนาย”
“เซฮุนเหรอ?!!!”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสนั้นคือใคร
เขารู้ว่าเซฮุนนั้นแปลกว่าตั้งแต่ไหนแต่ไร
แต่ไม่คิดว่าความแปลกนั้นจะเพียงเพื่อซ่อนเขาจากความพิเศษที่ไม่อาจคาดถึงได้เช่นนี้
“แบบนี้มันยากไปนะ ฉันจะเดินเข้าไปคุยกับเซฮุนได้ยังไงกัน
ให้เดินไปบอกว่าช่วยไปยืนฟังเพื่อนฉันที่ชื่อเฉินพูดอะไรหน่อยสิ
เขาจะฆ่าฟีนิกส์ต่อหน้านายก็ห้ามตกใจนะ แบบนั้นเซฮุนไม่น่าจะช่วยเราหรอก”
ซิ่วหมินจำได้ดีว่าเซฮุนมีปฏิกิริยาไวมากสำหรับเรื่องนกทั้งหลาย
แล้วยิ่งเป็นนกที่มีขนาดใหญ่อย่างฟีนิกส์ เขาคิดหน้าเพื่อนรักไม่ออกเลยว่าจะแสดงสีหน้าเช่นไรต่อเขา
หากรู้ว่าเขามีแผนจะฆ่าฟีนิกส์อยู่ในหัว
“ถ้านายลำบากใจ ฉันจะคุยกับเขาเอง”
“นายมั่นใจจริงๆเหรอว่าไม่ผิดคนแน่”
“จริงๆก็...ไม่แน่ใจนักนะ
เอาเป็นว่าฉันจะพิสูจน์เรื่องนี้เอง นายแค่ทำตัวสบายๆไปกับเรื่องนี้เถอะ...”
ร่างโปร่งพูดพร้อมจ้องลึกเข้าไปในดวงตานั้น
อยากจะได้กำลังใจจากคนที่เขาเผลอรักหมดใจ
รอยยิ้มบางนั้นส่งมาให้เหมือนสามารถอ่านความคิดของเขาได้
ก่อนที่ใบหน้าของทั้งสองคนจะเคลื่อนเข้าหากันตามเสียงของหัวใจ
ปากบางของเฉินจรดลงที่หน้าผากมนราวกับให้สัญญา เขาอยากให้ซิ่วหมินสบายใจว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยดี
เขาจะได้พรแห่งการถือกำเนิดของเขาคืน และ จะอยู่กับซิ่วหมินตลอดไป
...ในฐานะของเฉินที่มีหัวใจให้ซิ่วหมิน...
“ฉันไม่รู้ว่าควรพูดออกไปเลยรึเปล่า
แต่ถึงมันจะสำเร็จหรือไม่ก็ตามแต่ ฉันอยากให้นายรู้ไว้เสมอ...ฉันรักนาย”
“...ฉันรู้”
เสียงหวานรับคำแผ่ว
ไม่ปิดบังความรู้สึกรับรักนั้นของตนเองแม้แต่น้อย
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวความรักครั้งแรกของเขาจะต้องจบลงเช่นไร
ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าขอให้มันผ่านไปได้ด้วยดีก็พอ
“ฉันจะเป็นกำลังใจให้นะ”
“อื้ม”
“ฉันต้องไปแล้ว นายก็คงใกล้จะต้องเข้าไปทำงานด้วย”
“ใช่ ฉันหวังว่านายจะฝันดีทั้งคืนนะ”
“ฉันจะฝันถึงนาย...”
ร่างบางพูดออกมาอย่างแผ่วเบาอีกครั้งด้วยความเขินอาย
ก่อนจะลุกเดินกลับไปทางหอพักที่ของตนเอง
ตาคมมองตามร่างคนรักไปอย่างรู้สึกหนักใจขึ้นมา
เขามีทางเลือกไม่มากที่จะพาเซฮุนไปกับเขา ถ้าคุยกับดีๆไม่ได้คงต้องลากไปทั้งที่ไม่รู้สึกตัว
“ฉันไม่อยากยุ่งกับนายเลยจริงๆเถอะ สาบาน”
ใบหน้าคมก้มมองพื้นแล้วต้องถอนหายใจออกมา
มันไม่ง่ายที่เขาจะลากคนอื่นมาเกี่ยวข้องอีก
หากแต่คนสองคนที่เขาจะพาไปได้ก็แค่สายเลือดเทวาก็คือเซฮุนกับแร่นักรบของอี้ชิง
หรือ อีกทางที่ไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับเขา พาเทพอเนโมสไปเข้าพิธีนั้นเอง
...แต่ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้บนฟีนูคอนเสมอ...
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
เฉินในร่างของผู้ล่ามาซ่อนตัวในต้นไม้ใหญ่กลางสุสาน
เขาแต่งตัวละเอียดกว่าทุกครั้งที่แค่หยิบชุดคลุมมาใส่
เพราะนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะเป็นผู้ล่าแล้วก็เป็นได้ สองวันก่อนเขาไปขอเลือดของอธิการสาวมาแล้ว
มันถูกซ่อนอยู่ในผ้าคลุมของเขารอเวลาสำคัญ
หลังจากซิ่วหมินบอกว่าวันนี้จะเป็นวันล้างมนต์สาปตามที่อี้ชิงบอก
มันอาจจะเป็นทางออกที่ง่ายกว่าของเขา
ไม่ต้องลงมือฆ่าคริสก็จะได้ขนนกไฟมาประกอบพิธี รวมถึงที่นี่จะมีสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสที่เขาต้องการอยู่ด้วย
“พี่...”
ร่างโปร่งที่แอบฟังทั้งสามคนคุยกันอยู่
มองตามไปสายตาของจงอินที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่สมควรอยู่ในนี้มากที่สุดแล้ว
“...พวกเขามาแล้ว”
แววตาของคริสที่เฉินเห็นมันเศร้าหมองกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น
ลมหายใจหนักพรูออกมาจากปากบางของผู้ล่าหนุ่ม
เขาเห็นแล้วว่าเลขอายุของคริสมันเหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
อย่างไรเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
เขาอยากเจอคริสในฐานะของผู้ล่า แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาอาจไม่สามารถทำแบบนั้นได้
...เมื่อมีสองทางก็จำเป็นต้องเลือกเสมอ...
“ไม่คิดว่าจะมาถึงก่อนเวลา”
“พวกเราอยากให้มันจบลงไปเร็วๆน่ะครับ”
“อ่า...”
ร่างสง่าได้แต่ครางรับเบาๆ รู้ว่าอี้ชิงไม่ได้หมายความว่าอยากจะปลิดชีพตน
ตามความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า อี้ชิงนั้นยังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะต้องทำ
อาจเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ทั้งหมด เซฮุนบอกเขาอาจต้องฆ่าใครบางคน
เพราะชีวิตย่อมต้องล้างด้วยชีวิต
แต่ตอนนี้มีเพียงรุ่นพี่ทั้งสองและชายแปลกหน้าอีกคน
“คนนี้เหรอครับ สายเลือดโฟเธีย”
“ไม่บังอาจขนาดนั้น”
จงอินรีบยกมือในท่ายอมแพ้
เขาไม่อาจเอื้อมขนาดจะแอบอ้างตนเองให้เป็นถึงสายเลือดเทวาแห่งโฟเธีย
เพราะขนาดเป็นแค่อิลคอลลี่ธรรมดาแห่งโซม่า เขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอเลยด้วยซ้ำ
“นี่ไม่ใช่โฟเธีย เขาคือ คิม จงอิน
เผ่าโซม่าน่ะ”
เป็นลู่ฮานที่มักทำงานร่วมกับพวกโซม่าอยู่บ่อยครั้งชี้แจงให้อี้ชิงฟัง
ก่อนจะหันไปมองจงอินอย่างไม่ไว้ใจ ลู่ฮานรู้จักจงอินดีว่ากลับกลอกขนาดไหน
มีบางครั้งที่พวกเขาทำงานด้วยกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ จงอินเคยหาข่าวบางอย่างมาขายเขา
“ฉันปลาบปลื้มนะที่ผู้จ้างเก่าจำได้”
“นายมาทำไมที่นี่ เกี่ยวอะไรกับอี้ชิง”
“ฉันไม่ได้ทำงานให้เพื่อนนาย
แน่นอนว่ายังไงก็ไม่คิดจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวด้วยหรอก
ฉันทำงานให้พวกพี่เขาต่างหากล่ะ”
“คิดอะไรอยู่ถึงทำงานกับจงอิน”
“คิดว่าไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไง”
คริสสวนกลับคำถามของลู่ฮานอย่างทันท่วงที
พวกเขาไม่มีทางเลือกจริงๆที่ต้องทำงานกับจงอิน
ไม่ได้มีพวกโซม่ามากนักที่เข้าใจภาษาโฟเธียรัส แถมยังสามารถเอ่ยคำกล่าวปลุกสุสานพระมารดา
ซึ่งเป็นภาษาของพวกโบโลนีได้อีกด้วย
จงอินถ้าไม่นับความปลิ้นปล้อนก็ถือว่าเป็นคนมีความสามารถมาก
“แล้วเขายังไม่มาหรอครับ”
“ใครเหรอ?”
“สายเลือดเทวาของโฟเธีย”
“เขามาแล้ว”
“หือ?”
อี้ชิงเอียงคออย่างยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คริสพูด
ก่อนจะต้องปิดปากแน่นด้วยความตกใจ
เมื่อร่างสง่ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมพูดคำกล่าวสั้นๆ
ที่เหมือนล้างผลาญจิตใจดวงน้อยจนย่อยยับ
“คนที่นายต้องล้างมนต์สาป
คนเดียวที่ต้องเสียสละ...”
เสียงของคริสแผ่วเบาลงอย่างไม่อยากจะพูดมันออกมาเช่นกัน
ความเจ็บปวดที่ไม่อาจซ่อนไว้ได้ในแววตาดุดันคู่นี้
ต่อหน้าคนที่น้อมกายรับว่ารักอย่างสุดใจ
“...อยู่ตรงหน้านายแล้ว อี้ชิงของฉัน”
“ไม่...ต้องไม่จริงใช่มั้ย”
เฉินทนมองภาพนั้นไม่ได้
เขารู้ดีว่าร่างสง่านั้นต้องเจ็บปวดเพียงใดที่ต้องทำเช่นนี้
เขารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยหากจะมองหน้าคนที่ตนรักเป็นครั้งสุดท้าย
เอื้อนเอ่ยคำที่จะทิ่มแทงเขาไม่ตลอดกาล
เขาเคยรู้สึกเช่นเดียวกันตอนที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดอาจสูญเปล่า
แต่ตอนนี้เขากำลังถูกชุบชีวิตด้วยความปราณีของเทพเจ้า
ถูกชุบชีวิตโดยแลกกับชีวิตของรุ่นพี่ร่างสง่าที่ยอมเสียสละเพื่อทุกคน
...มันไม่ยุติธรรมกับคริสจริงๆ...
ขาทั้งสองข้างของอี้ชิงเหมือนหมดแรงลงในทันที
ไม่ใช่เพียงเพราะได้รู้ว่าร่างสง่านี้เป็นสายเลือดเทวา
บางอย่างบอกเขามาตั้งนานแล้วที่ว่าคริสนั้นดูจะพิเศษกว่าโฟเธียคนอื่นๆ
แต่ที่เขารู้สึกเหมือนล้มทั้งยืนตอนนี้ คงเป็นเพราะคำว่า ‘เสียสละ’
“พูดออกมาสิ เสียสละอะไรของพี่น่ะ!”
“ชีวิตของพี่ยังไงล่ะ”
“ฮึก...ไม่จริงหรอก...ไม่เอาแบบนี้นะ”
“ไม่ว่าช้าหรือเร็วมันจะต้องเกิดขึ้น
อย่าพยายามฝืนมันเลยนะอี้ชิง มันคือโชคชะตาในคืนของจันทร์จรัส”
แม้แต่คริสเองก็หลั่งรินน้ำตาลงรดกลุ่มผมเงา
อี้ชิงกอดคริสแน่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และ
ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ทำเช่นนี้
“ถ้ารู้ว่ามันต้องเป็นแบบนี้
พี่มาบอกรักผมทำไม มาให้ความหวังกันทำไม!”
“เพราะพี่ไม่อยากเก็บความลับนี้ไปจนสิ้นชีพไงล่ะคนดี”
ซิ่วหมินมองภาพอี้ชิงที่เจ็บปวดราวจะสิ้นใจด้วยความสงสาร
มือเรียวกุมกันแน่นไม่แน่ใจว่านี่คือสิ่งที่ควรจะทำอีกต่อไป
ตากลมโตเงยหน้าขึ้นมองหาผู้ล่าหนุ่มที่เขาบอกให้มาที่นี่ด้วยตนเอง
ความรู้สึกเหมือนตนเองเห็นแก่ตัวกำลังทำให้ร่างบางคิดไม่ตก
กลัวว่าทุกอย่างจะผิดไปหมด
“จงอิน ปลุกสุสานพระมารดาได้”
“พี่ครับ”
“ก็อย่างที่คริสบอก
ถึงยืดเยื้อไปก็ต้องจบแบบนี้อยู่ดี”
สิ้นคำพูดของชานยอล
จงอินก็จำใจเดินผ่านหน้าทุกคนไปที่พื้นที่โล่งกว้าง ที่มีเพียงหลุมศพของใครบางคน
ที่ไม่มีแม้แต่แท่นคริสตัลบอกตัวตนของร่างไร้วิญญาณนั้น ผายมือทั้งสองข้างออก
พร้อมพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจออกมา มันคงเป็นภาษาโบโลนีสที่มักได้ยินพวกผู้ล่ากล่าวเท่านั้น
ภาษาของเผ่าสายฟ้า ฟังดูหนักแน่นและรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดเสียจริง
ดินชื้นค่อยๆก่อร่างสร้างตนจนกลายเป็นซุ้มสูงใหญ่
มีเสาทรงยุโรปล้อมรอบเป็นวงกลมทำด้วยหินอ่อน
สิ่งที่ตั้งเด่นตระหง่านตรงกลางซุ้มใหญ่นั้นคือรูปปั้นของสตรีในตำนาน
ผู้หญิงเพียงคนเดียวแต่เป็นผู้ให้กำเนิดเทพเจ้าทั้งหก
...พระมารดาแห่งฟีนูคอน...
“พระมารดา...”
ผู้ล่าหนุ่มครางชื่อเรียกของสตรีผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เขาเคยสงสัยว่าที่โล่งนั้นมีไว้เพื่ออะไร แต่ตอนนี้มันไร้ข้อกังขาใดๆแล้ว
“เป็นไปได้เหรอเนี่ย”
เซฮุนที่ก้าวเท้าขึ้นสู่แท่นรองของพระวิหารเป็นคนแรกพูดขึ้น
ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเทวรูป ตอนนี้ทุกคนต่างน้อมคำนับต่อพระมารดาผู้ให้การถือกำเนิด
ยกเว้นก็แต่อี้ชิง และ คริสที่ยังคงยืนอยู่นอกเขตของแท่นวิหาร
ร่างบางส่ายหน้าไม่อยากก้าวเข้าไปใกล้รูปปั้นนั่น รู้ดีว่าหากเขาอยู่ข้างในนั้น
ไม่นานเขาจะต้องฆ่าร่างสง่านี้ด้วยความจำยอม
“ผมไม่อยากเข้าไป...ฮึก”
“อย่าร้องสิอี้ชิง
พี่ให้โอกาสนายได้เลือกแล้วนะ”
“พี่ไม่ได้ให้
พี่ไม่ได้บอกว่ามันจะเป็นแบบนี้”
คริสอาจให้โอกาสที่อี้ชิงจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้
ด้วยการให้อี้ชิงตามหาทายาท เทวาแห่งอเนโมส แต่คริสไม่เคยแม้แต่จะปริปากบอกสักนิด
ว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าใครคือผู้ ผูกพันธะ
คนที่ต้องเสียสละชีพนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียว
...ในเมื่ออี้ชิงไม่รู้จะถือว่าได้เลือกได้อย่างไร...
“พี่ได้บอกทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงได้ไปแล้ว
แต่สำหรับเรื่องนี้พี่ก็จนปัญญาที่จะบอก นายอาจจะกระวนกระวายกว่านี้ก็ได้ถ้ารู้
เพราะฉะนั้นให้พี่เป็นคนเดียวที่เจ็บปวดจะดีกว่านะ”
“ผมไม่ทำหรอก”
“สุดท้ายถึงอี้ชิงไม่ทำ
ชานยอลก็จะตามหาสายเลือดเทวามาล้างมนต์สาปให้พี่จนได้
สุดท้ายจุดจบมันก็เป็นแบบเดิม
แล้วทำไมอี้ชิงจะต้องทำให้เรื่องนี้มันยากขึ้นด้วยล่ะ
ปลดปล่อยพี่จากมนต์สาปนี้เถอะนะคนดี”
ร่างบางหันไปมองทั้งสองด้วยความเจ็บปวด อดยอมรับไม่ได้จริงๆว่าเขากำลังทำร้ายเพื่อนของตนเอง
ขาเรียวก้าวออกมาจากแท่นพิธีแล้วเจอเข้ากับร่างโปร่งพอดี
ไม่มีคำพูดใดแค่อ้อมกอดที่มอบให้กัน น้ำตามากมายก็ไหลออกมาอย่างไม่สามารถห้ามได้
“ฉันทำร้ายพวกเขาอยู่ใช่มั้ย
มันควรจะเป็นแบบนี้”
“มันไม่เกี่ยวกับนายเลย พวกเขาเลือกทางนี้กันเอง
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงคำทำนายได้หรอก”
“แต่ฉันเห็นแก่ตัวกับพวกเขา”
“ทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น
แต่แค่ใครจะรู้สึกสำนึกมากกว่ากันอย่าคิดมากเลยนะ...ที่รักของฉัน”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
The
Phonucorn – Chapter 3.18
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ใกล้จบแล้วสำหรับอัสนีสาป
ฝากติดตามมนต์ถันฑิลด้วยนะคะ^^
ความคิดเห็น