ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #6 : The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์ - บทที่ ๔

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.01K
      10
      6 ก.ค. 57

    Title : The Phonucorn เพลิงพิทักษ์ – บทที่ ๔

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Yifan x Yixing

     

     

    บทที่ ๔
    The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์

     

     

     

     

     

     

    เวลาเพียงไม่กี่วันสำหรับการเตรียมตัวเปิดเทอมจบลงไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงแค่นักศึกษาหน้าใหม่กับชุดประจำมหาวิทยาลัยเท่านั้น อี้ชิงหันซ้ายหันขวาสำรวจการแต่งกายอย่างอดตื่นเต้นไม่ได้ ในโลกที่เขาเคยอยู่นั้นชุดนักศึกษามันก็แค่ชุดเที่ยวธรรมดา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่อิสรเสรียิ่งขึ้น แต่อี้ชิงคิดว่าการอยู่ในกรอบก็ไม่เลวนัก

     

    “พับแขนได้มั้ยนะ?”

     

    เสียงหวานพึมพำถามตัวเองเงียบๆ เขาไม่ชินกับการใส่เสื้อแขนยาวตลอดนัก โดยเฉพาะเสื้อสีแดงที่ถึงไม่แดงจัดเช่นนี้ยิ่งไม่ใช่ทาง ดีหน่อยที่ทุกๆชายผ้าตัดด้วยสีกรมท่าให้ไม่ดูขัดเขินนัก กางเกงสีกรมท่าเนื้อเงาก็ทำให้ช่วงขาดูเล็กลงได้ไม่ใช่น้อย สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องใส่ก็แค่สิ่งนี้...ผ้าคลุมไหล่

     

    พรึบ!

     

    เสียงสะบัดผ้าดังลับกับช่วงลมที่ว่างหวิว ก่อนจะปรกลงบนลาดไหล่กว้างของบุรุษเพศที่แม้จะร่างน้อยไปนิดแต่ก็เข้ากันดี อี้ชิงเคยวาดฝันถึงผ้าคลุมไหล่ยาวเหมือนในหนังแฟนตาซีที่เคยดู แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงผ้าคลุมไหล่เล็กๆ ที่มีความยาวแค่ปรกไหล่เขาไว้เท่านั้น มันดูไม่เหมาะกับฮู๊ทที่มาพร้อมกันสักนิด

     

    ...ยังกับทอผ้ายังไม่เสร็จ...

     

    “อี้ชิง เสร็จรึยังลูก?”

     

    เสียงของสาวใหญ่ประจำบ้านดังขึ้นที่หน้าบานประตู ร่างบางไม่ได้ตอบรับอะไรออกไป แค่เดินไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเอง แล้วเดินไปเปิดประตูรับสตรีผู้มีศักดิ์เป็นป้าของเขา เธอโอบกอดร่างของหลานรักไปจนถึงทางเดินหน้าบ้าน ชวนคุยด้วยความเสียดายที่มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยไปหน่อย แต่อย่างไรเธอก็ยังมีโอกาสได้เจอหลานของเธอที่มหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ

     

    “ผมต้องไปคนเดียวเหรอครับ?”

     

    “ไม่ลูก เซฮุนกำลังจะมา”

     

    “ผมจะได้อยู่กับเซฮุนมั้ยครับ?”

     

    คำถามที่ดูไม่มั่นใจของอี้ชิง ถูกถามออกมาตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากรู้ว่าตัวเองต้องย้ายไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอดระยะเวลาการเรียน อนุญาตเพียงวันเสาร์อาทิตย์ที่จะได้กลับบ้าน ที่แย่กว่านั้นคือนอกจากเซฮุนที่เต็มใจสอนเขาบ้างแต่ไม่อยากสอนเสียส่วนใหญ่แล้ว เขาคิดว่าคนอื่นไม่มีความอดทนพอที่จะสอนเขาเลย

     

    “พวกลูกจะได้อยู่หอเดียวกันแน่นอน แต่เรื่องห้องนั้นมันก็พูดยาก”

     

    “ผมคงอึดอัดถ้าไม่มีเซฮุน”

     

    “แต่ลูกก็ต้องเรียนรู้ที่จะเจอคนใหม่ๆบ้าง”

     

    “ผมจะเข้ากับคนพวกนั้นได้เหรอครับ?”

     

    “ทุกคนต้องรักลูกเหมือนที่พวกเรารักสิ เซฮุนมานู่นแล้วเตรียมตัวเถอะ ท่องจำให้ขึ้นใจ มหาวิทยาลัยฟีนูคอน

     

    “ครับ”

     

    ฟิ้ว~...ฟิ้ว~...ฟิ้ว~

     

    สายลมพัดอ่อนพาร่างบางลับหายไปกับช่องอากาศ ข้างๆมีเพื่อนคนเดียวของเขาบนโลกแห่งนี้ เป็นคนเดียวที่เขาสามารถไว้ใจได้ แต่ก็ไม่อยากจะใช้คำว่าไว้ใจกับเซฮุนเลย ท่าทางเจ้าเล่นแบบนี้คงไม่เหมาะที่จะใช้คำนี้นัก

     

    เปลือกตาสวยลืมขึ้นช้าๆหลังจากรู้สึกถึงสายลมที่แผ่วลงแล้ว อี้ชิงทอดมองออกไปตามทางเดินครึ้ม ที่สองข้างผนังทำจากหินเก่าขึ้นคราบและโคมไฟดวงน้อยที่จุดจากไฟจริงๆเป็นแสงนำทาง เมื่อหันมองไปด้านหลังก็มั่นใจได้ว่าตนเองมาไม่ผิดที่แล้ว สัญลักษณ์แห่งความเชื่อของชาวฟีนูคอนที่ปักไว้ที่อก มันเด่นชัดบนรอยหินด้านหลัง พร้อมคำกล่าวที่ทำให้ต้องยิ้มออกมา

     

    ...เราเชื่อในสายลมผู้ไม่มีวันหยุดนิ่ง ยินดีต้อนรับสู่มหาวิทยาลัยของท่าน...

     

    “จะมองให้ฟีนูคอนบินออกมาจากผนังเลยมั้ย”

     

    “หือ?”

     

    “เราต้องรีบออกไปแล้ว เดี๋ยวคนจะมากันเยอะเข้าไปใหญ่”

     

    แรงฉุดที่แขนทำให้ขาเล็กต้องก้าวเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ เมื่อพ้นจากผนังหินดูไม่สบายตาพวกนั้น แสงจ้าจากหลังคากระจกในโถงใหญ่ทรงแปดเหลี่ยมก็กระแทกตาเสียต้องหลับหนี เสียงจอแจจากคนรอบข้างคือสิ่งที่ทำให้ร่างบางจำต้องฝืนใจลืมขึ้นอีกครั้ง ไม่นานหลังจากปรับแสงได้ก็เห็นโลกใบใหม่ของตัวเอง

     

    ...โลกของมหาวิทยาลัยผู้วิเศษ...

     

    ปึก!

     

    “ขอโทษนะ”

     

    คำกล่าวขอโทษดังขึ้นหลังจากที่กระเป๋าใบโตกระแทกเข้าที่ขา อี้ชิงยิ้มตอบอย่างไม่ถือสา ภายในโถงนี้มีคนมากมายที่แต่งชุดเหมือนเขาเดินเต็มไปหมด ดูเหมือนทุกคนจะมาจากหลายเผ่าพันธุ์ และ กำลังแลกเปลี่ยนความคิดกันเสียงดัง

     

    ...ไม่เว้นแม้แต่เซฮุน...

     

    “เห้ย!

     

    “ไอ้ฮุนทักเบาๆหน่อยสิวะ ตีมาได้ฉันเจ็บนะ”

     

    “สมควร!

     

    “กวนตีนจังนะแก ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน แล้วนี่พาใครมาด้วย”

     

    “ลูกค้าฉัน เพื่อนบ้านฉัน เพื่อนใหม่ฉัน เขาชื่อจาง อี้ชิง”

     

    อี้ชิงขมวดคิ้วในตอนแรกที่เซฮุนแนะนำเขากับเพื่อนใหม่ ก่อนจะยิ้มรับเมื่อชายแปลกหน้ายิ้มให้เขา เพื่อนใหม่ยื่นมือออกมาให้เพื่อแสดงไมตรี และ ร่างบางเองก็อยากที่จะตอบรับไว้ด้วยการเอื้อมมือไปจับเช่นกัน

     

    คิม มินซอก เรียก ซิ่วหมิน ก็ได้มันไม่ถือ”

     

    “ใครบอกแกว่าฉันไม่ถือ”

     

    “ฉันก็เรียกแกมาตั้งหลายปี ถ้าแกถือป่านนี้คงเลิกเป็นเพื่อนกันไปแล้ว”

     

    “เออๆก็ตามนั้นแหล่ะ นายมาจากโรงเรียนผู้จองจำแห่งอเนโมสเหรอ?”

     

    “ไม่ใช่หรอก เรามาจากโลกมนุษย์”

     

    ซิ่วหมินย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจความหมายของคำว่าโลกมนุษย์ เขาไม่เคยเรียนวิชานอกหลักสูตรเหมือนเซฮุน สิ่งเดียวที่เขานิยามให้พวกมนุษย์อย่างอี้ชิง คือเผ่าฟิสสิเพรส

     

    “โลกมนุษย์อยู่แถวไหน ชายแดนเมืองอเนโมสเหรอ?”

     

    “ห๊ะ?”

     

    เสียงหวานเปล่งออกมาอย่างไม่เข้าใจคำถามของเพื่อนใหม่เช่นกัน เซฮุนตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ ใจหนึ่งก็เบื่อที่จะเป็นล่ามให้อี้ชิงไม่น้อย แต่ก็จำใจต้องอธิบายให้เพื่อนของเขาเข้าใจอยู่ดี ถึงความแตกต่างในตัวอี้ชิงที่พวกเขาไม่มี

     

    “หมอนี่มาจากโลกฟิสสิเพรสสดๆร้อนๆ ไม่มีความรู้เรื่องชาวฟีนูคอนเลยมาตลอดสิบเก้าปี คิดว่าตัวเองเป็นแค่ฟิสสิเพรสธรรมดาเข้าใจมั้ยซิ่วหมิน”

     

    ถามเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อธิบายอะไรตกหล่นไปแม้แต่ประโยคเดียว ก่อนจะหันมาหาอี้ชิง ที่ยิ้มให้ซิ่วหมินอยู่อย่างขอความเห็นใจ

     

    “ส่วนนาย พูดอะไรให้มันดูเหมือนพวกฉันจะเข้าใจหน่อยสิ!

     

    “ก็มันลืมตัวนิ”

     

    “นายจะลืมบ่อยๆไม่ได้ การที่นายเอาแต่พูดภาษาเดิมๆมันจะทำให้นายเป็นเป้า ถึงพวกเราจะเป็นผู้วิเศษแต่ก็เต็มไปด้วยความอิจฉาและรักในสิ่งที่เราเป็น ยิ่งนายแสดงออกว่าไม่ลืมโลกฟิสสิเพรสมากเท่าไร ก็จะถูกต่อต้านจากโลกของชาวฟีนูคอนเท่านั้น ที่สำคัญที่นายควรรู้คือที่นี่ไม่มีมนุษย์ในบทเรียนของเรา และน้อยมากที่ชาวเผ่าอื่นจะล้ำแดนโดยไม่จำเป็น พวกเขาแทบไม่รู้เลยว่าเขตแดนของอีกเผ่าแท้จริงเป็นยังไง”

     

    “ทำไมล่ะ?”

     

    คำถามของร่างบางทำให้เซฮุนถึงขนาดหลุดหัวเราะออกมา อี้ชิงเอียงคออย่างไม่เข้าใจว่าคำถามเขามันน่าตลกตรงไหน แต่พอหันไปหาซิ่วหมินก็เหมือนจะพอได้คำตอบจากหน้าบึ้งๆนั้น

     

    “ฉันเคยไปโผล่ในตู้เย็นบ้านเซฮุน เพราะอยากลองเข้าไปในเผ่าอเนโมสดู”

     

    “อ๋อ”

     

    “บอกเขาไปด้วยสิว่าแกใช้เวลาเดินทางกี่ชั่วโมงกว่าจะกลับได้”

     

    “อย่ามาประจารฉันนะไอ้ฮุน!

     

    เสียงเหวี่ยงๆและเสียงหัวเราะของเพื่อนใหม่ทั้งสอง ทำให้อี้ชิงเผลอยิ้มตามออกมาอย่างมีความสุข อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนร่วมสถาบันเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว

     

    ปึก!

     

    “โอ๊ะ?!

     

    ...นี่มันวันชนแห่งชาติรึไง?...

     

    ถึงพยายามจะไม่ติดใจที่ถูกชนเข้าอีกครั้ง แต่เพราะคราวนี้ไม่ได้รับคำขอโทษอีกทั้งยังชนแรงราวกับตั้งใจ ทำให้ตาสวยอดวาดมองไปตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินจากไปไม่ได้ เขาเป็นชายคนหนึ่งที่สวมฮู๊ทปิดบังศีรษะไว้ อี้ชิงจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคือใคร

     

    “นายยืนดีๆไม่เป็นรึไง ทำไมถึงชอบบังทางคนอื่น”

     

    “ฉันยืนของฉันเฉยๆเลยนะเซฮุน!

     

    “ช่างเถอะๆ รีบไปที่หอประชุมกันมั้ย ใกล้เวลาปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่แล้ว”

     

    คำพูดของซิ่วหมินทำให้ร่างบางกับร่างโปร่งยอมลามือต่อกัน ตลอดทางเดินไปหอประชุม เขาก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่จากโรงเรียนผู้วิเศษอิคคอลลี่เขตเย็นอีกหลายคน ซึ่งเข้ามาทักเซฮุนก่อนแทบทั้งสิ้น วันนี้เองที่อี้ชิงเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนของคนดังไปแล้ว

     

    “กล่าวต้อนรับเราท่านสู่ครอบครัวที่แสนอบอุ่น...”

     

    คำกล่าวต้อนรับของอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยฟีนูคอน ดังต่อกันเป็นเวลานานหลายนาที จนนักศึกษาใหม่และรุ่นพี่ของมหาวิทยาลัยที่ต้องมารอลุ้นน้องรหัสเริ่มคุยกันเสียงดัง ร่างบางนั่งอยู่เป็นคนสุดท้ายของรุ่นห่างจากเซฮุนที่มีชื่ออยู่อันดับต้นๆ แต่มันก็ไม่เหงาเท่าไร เมื่อเขาได้เพื่อนข้างรหัสเป็นหนุ่มร่างบางหน้าสวยจากเผ่าเนโร ที่เจอกันในร้านตัดเสื้อผ้า

     

    “มันน่าตื่นเต้นจริงๆที่รู้ว่านางเคยเป็นฟิสสิเพรสมาก่อน ฉันเคยเจอเด็กคนนึงที่มาจากเผ่าฟิสสิเพรส แต่เพราะเขามาตั้งแต่เล็ก เขาเลยเหมือนพวกเรามากกว่า”

     

    “ฉันคิดว่าจะมีแต่ฉันที่เป็นแบบนี้”

     

    “แบบไหน? อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ แม่บอกฉันเสมอว่าคนที่แต่งต่างคือคนที่พิเศษ ฉันก็เชื่อว่านายพิเศษ”

     

    “แต่สำหรับฉัน ประหลาดก็คือประหลาด”

     

    “ถ้างั้นฉันก็คงถือว่าประหลาดในโลกของนายเหมือนกัน แต่ฉันไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเองประหลาดเลย ผู้ถือกำเนิดเกิดมาเพื่อเรียนรู้นะ”

     

    รอยยิ้มที่แสดงออกถึงความจริงใจของลู่ฮาน ทำให้อี้ชิงต้องยิ้มรับอย่างขอบคุณอยู่ไม่น้อย เขาโชคดีที่ได้พบเจอแต่คนที่พร้อมรับฟังความแตกต่างของเขา แต่มันก็คงไม่ใช่ทุกคนล่ะสินะ ตาสวยไหววูบเมื่อนึกขึ้นได้ถึงสายตาดุดันคู่นั้น ชาวฟีนูคอนคนแรกที่มองมาที่เขาอย่างเกลียดชัง คนที่เซฮุนบอกตั้งแต่แรกว่าเขาแตกต่างจากเรา

     

    ...พวกอฟาไตร...

     

    “เป็นอะไร หน้าตาดูไม่ดีเลย”

     

    “ปะ...เปล่า แค่กังวลเรื่องที่พักน่ะ ถ้าได้พักกับคนที่เข้าใจฉันก็คงดี”

     

    “ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน สัญญาจะแวะไปหาบ่อยๆนะ”

     

    “ขอบใจนะ”

     

    อี้ชิงยิ้มอย่างรู้สึกขอบคุณลู่ฮานจริงๆ ช่วงเวลาของการจับฉลากรูมเมทมาถึงสร้างแรงกดดันให้อี้ชิงไม่น้อย เขาคือคนสุดท้ายของรุ่นจึงไม่ต้องจับฉลากเลือกรูมเมท ตอนแรกร่างบางแอบหวังว่าอาจเป็นเซฮุนที่ยังไม่ถูกจับจนสองคนสุดท้าย หากแต่ก็เป็นลู่ฮานที่ทำลายความหวังของเขา

     

    ...รูมเมทของเขาเป็นเผ่าอฟาไตร เป็นคนที่แตกต่างจากเขา...

     

    “หวังว่าเราจะเข้ากันได้นะ บยอน แบคฮยอน...”

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    ปัง!!!

     

    “ยินดีต้อนรับ!!!

     

    ถึงแม้อี้ชิงจะภาวณาให้เขาสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเปิดประตูมาพบกับสายรุ้งกระดาษที่แตกกระจายใส่หน้าเช่นนี้ แถมมาพร้อมไอเย็นๆเสียด้วย...สมกับเป็นธาตุน้ำแข็ง

     

    หอพักของมหาวิทยาลัยผู้วิเศษนั้น แตกต่างจากหอพักกะโหลกกะลาที่อี้ชิงเคยคิดไว้มาก มันไม่ได้เป็นตึกสี่เหลี่ยมทรงสูง แต่เป็นปราสาทสำหรับพักพิงต่างหาก มีปราสาททรงเดียวกันสองหลัง ที่มีหลังคาเป็นสีแดงเพลิงกับฟ้าน้ำทะเลหันหน้าประชันกัน ตรงกลางทางแยกคือน้ำพุรูปฟีนูคอนที่มีทางแยกอีกสองทางจากทางเข้า และ ทางแยกไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั่วไปเรียกว่าสุสาน

     

    อี้ชิงรู้สึกโล่งอยู่ไม่น้อยที่รู้ว่าอย่างน้อยในหอพักแห่งนี้ก็มีแต่คนที่เหมือนๆกับเขา เพราะหอพักแบ่งตามธาตุกำเนิดแยกฝั่งร้อนกับเย็นจากกัน แต่ไม่ได้แย่งชนชั้นเขาจึงได้รูมเมทที่น่ารักเป็นถึงชาวอฟาไตร แถมยังเป็นธาตุน้ำแข็งที่เขาไม่คุ้นเคยนักเสียด้วย แต่ดูจากลักษณะแล้ว มันคงไม่ยากที่อี้ชิงจะสนิทกับแบคฮยอน

     

    “ฉันศึกษาเรื่องมนุษย์ เรียนรู้ภาษาของพวกนายด้วย ดีใจนะที่รู้ว่านายก็เป็นมนุษย์มาก่อน”

     

    “ฉันก็ดีใจที่นายเข้าใจฉัน”

     

    ทุกอย่างดูง่ายไปหมดเมื่ออี้ชิงมาพบกับร่างเล็กนี้ แบคฮยอนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าประทับใจเขามากเป็นพิเศษ ถามเขาราวกับว่าเขาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ นั่นยิ่งทำให้อี้ชิงรู้สึกสบายใจ

     

    “นายคงรู้สึกว่าพวกเรามีวิถีที่ประหลาด”

     

    “ก็ใช่ แต่จริงๆมันน่าทึ่งมากกว่า ทุกอย่างแตกต่างจากที่ฉันคิด”

     

    “ถ้าอยู่ในโลกใบเดิมนายคงได้เลือกว่าจะเรียนอะไร แต่ที่นี่มันค่อนข้างยุ่งยาก”

     

    “มันอาจจะดีกว่าก็ได้ เขาเลือกให้ในสิ่งที่เราเหมาะ ก็แสดงว่าทุกคนจะมีชีวิตที่ดี มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง”

     

    แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่น้ำเสียงที่ดูหม่นลงก็บอกให้แบคฮยอนรู้ ว่าอี้ชิงก็คงไม่แน่ใจในสิ่งที่พูดออกมาเหมือนกัน การเรียนในฟีนูคอนเป็นเรื่องประหลาด นอกจากเราจะยอมสละตัวออกไปเรียนนอกผืนดินฟีนูคอน เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเราจะต้องกลายเป็นอะไรเมื่อจบปีหนึ่ง ในขณะที่เป็นปีหนึ่งเราจะถูกฝึกจากทุกศาสตร์ที่มีบนโลก เรียนพื้นฐานอย่างเท่าเทียมเพื่อจัดกลุ่ม หลายคนถูกเปลี่ยนสายหลังการฝึกช่วงเทอมแรกจบลง

     

    ...ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดเป็นนักรบไปตลอดการถือกำเนิด...

     

    “เซฮุนบอกว่านายแตกต่าง นายมีพลังทั้งสองสาย นั่นหมายความว่านายอาจถูกคัดเลือกอย่างไม่ยุติธรรมเมื่อขึ้นปีสอง”

     

    “มันก็ไม่แน่หรอกแบคฮยอน ฉันอาจเป็นคนที่เปลี่ยนไปเมื่อจบเทอม ฉันไม่คิดว่าตัวเองเหมาะแก่การเป็นนักรบ”

     

    “ฉันขอภาวณาให้นายได้เป็นในสิ่งที่ถูกต้องอี้ชิง”

     

    “หือ?”

     

    คิ้วสวยมุ่นลงให้กับคำพูดของเพื่อนใหม่ ทำไมแบคฮยอนถึงใช้คำพูดแปลกๆกับเขา ไหนจะรอยยิ้มจางๆที่ดูไม่ปกตินั่นอีก คำถามมากมายเกิดขึ้นใจแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปเพราะใกล้เวลาอาหาร ปกติเด็กทุกคนจะทานในโรงอาหารของหอพักตนเอง แต่เพราะนี่เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เด็กทุกคนจึงถูกเชิญเข้าร่วมทานอาหารพร้อมกันเพื่อฉลอง

     

    “นายดูสนิทกับเซฮุนนะแบคฮยอน”

     

    “ก็เจอกันที่หน้าบ้านบ่อยๆน่ะ ฉันชอบที่จะได้เจอเซฮุน เขามาพร้อมเรื่องสำคัญเสมอเลยล่ะ”

     

    “หมอนั่นชอบทำตัวเหมือนรู้ทุกเรื่องจริงๆนั่นแหล่ะ”

     

    สองร่างเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่เคยเป็นหอประชุม แต่ตอนนี้มีเพียงโต๊ะไม้ยาวสองตัวที่ยาวพอบรรจุนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยไว้ได้ ตาสวยกวาดมองหนากลุ่มของเซฮุนก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกัน

     

    “พวกนายมาช้าจริงๆ ทำไมปล่อยให้ฉันต้องนั่งกับมันตั้งนาน”

     

    “หือ? / ห๊ะ?”

     

    อี้ชิงและแบคฮยอนมองกันหน้าเหวอ เมื่อลู่ฮานที่พูดจาน่ารักมาตลอด เอ่ยปากเรียกเซฮุนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างไม่สุภาพ ทั้งสองเป็นรูมเมทกันแต่ดูไม่น่าจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีนัก ต่างจากอี้ชิงและแบคฮยอนที่แทบจะเดินกอดกันมาอยู่แล้ว

     

    “ฉันอยากอยู่กับแกนักนิ”

     

    “ไปทำเรื่องย้ายเลยมั้ยละ”

     

    “ถ้าทำได้ฉันไม่สนอยู่หรอก”

     

    “ใจเย็นสิใจเย็น เวลาดีนะที่เราได้มากินข้าวด้วยกัน อย่าทำเสียบรรยากาศ”

     

    คำพูดของร่างเล็กสามารถสงบศึกลงได้ชั่วคราว อี้ชิงเดินไปนั่งคั่นระหว่างเซฮุนกับลู่ฮาน โดยมีแบคฮยอนที่มุดโต๊ะไปนั่งอยู่ฝ่ายตรงข้าม แค่เพียงนั่งลงได้ไม่นานร่างบางก็อยากจะมุดตามแบคฮยอนไปนั่งอีกฝั่งทันที

     

    ...ทำไมต้องมาเจอกันอีกแล้ว...

     

    ดวงตาดุดันที่จงใจมองมาที่อี้ชิง มันบอกให้รู้ว่ามีแค่ความเกลียดชังแฝงอยู่เต็มไปหมด ทั้งที่แน่ใจว่าตนเองไม่เคยสร้างปัญหาให้อีกคน แต่ก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าอะไรคือต้นเหตุ หรือจะเป็นเพราะการทดสอบสายในวันนั้น แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด ทุกอย่างก็มาจากที่ร่างสง่านั้นเสนอตัวเอง

     

    “มองอะไรเหรออี้ชิง?”

     

    ตาเรียวที่แอบสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนใหม่อยู่ถามขึ้น ก่อนจะมองตามเส้นสายตานั้นไปพบกับใบหน้าหล่อที่คุ้นเคย บ้านของเขากับคริสอยู่ไม่ไกลกันเท่าไร แถมยังเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมาตั้งแต่จำความได้อีก แบคฮยอนรู้จักคริสและชานยอลดีมากเลยทีเดียว

     

    “อย่าไปมองเขาสิอี้ชิง”

     

    “แต่เขามองเราก่อนนะแบคฮยอน ดูเหมือนพี่เขาไม่ค่อยชอบเรา”

     

    “มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อธิบายยากนะอี้ชิง เรื่องระหว่างสายเลือดของโฟเธียและอเนโมสเนี่ย มันต้องย้อนไปไกลถึงอดีตกาล มันเป็นความเกลียดชังที่สั่งสมกันมาตามสายเลือด ถึงเราไม่อยากเกลียดแต่จิตวิญญาณก็จะต่อต้านอยู่ดี”

     

    “จิตวิญญาณไม่สามารถทำแบบนั้นได้หรอก...”

     

    ชั่ววูบที่อี้ชิงกำลังจะเชื่อในสิ่งที่แบคฮยอนบอก เสียงหนึ่งที่ดังแผ่วราวสายน้ำเย็นก็ดังขึ้น เรียกใบหน้าสวยให้เสไปมองอย่างชั่งใจ ก่อนจะมอบรอยยิ้มไมตรีให้แก่เพื่อนร่วมหอพักอีกคนที่นั่งถัดจากเขา

     

    “...นายอาจคิดว่านั่นคือเรื่องจริง แต่นายจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องเล่าใดล่อหลอกกันล่ะ คัมภีร์แห่งการถือกำเนิดเกิดขึ้นจากผู้มีความเชื่อและศรัทธา หากแต่นั่นไม่ได้มาจากวาจาแห่งผู้ถือครอง มันก็ไม่ต่างอะไรจากนิยายปรัมปราที่คนเราเขียนขึ้น นายไม่มีวันรู้ว่าสิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือความเท็จ เพราะนายไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ใช่หรือไม่”

     

    คำพูดนิ่งๆที่เต็มไปด้วยหลักการ ทำให้ทั้งกลุ่มของร่างบางหันมาให้ความสนใจ โดยเฉพาะอี้ชิงที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักคัมภีร์ที่ถูกกล่าวถึงด้วยซ้ำ

     

    “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันอี้ชิงนะ”

     

    “ยินดี”

     

    คำตอบรับสั้นๆจบลงที่ต่างคนต่างหันไปที่อาหารตรงหน้าตัวเอง ที่เพิ่งลอยเข้ามาจากทางประตูใหญ่ ลงสู่ตะอย่างเรียบร้อยไร้ที่ติ อี้ชิงเหมือนปล่อยความสงสัยมากมายผ่าน แต่เขายังอดลอบมองเพื่อนใหม่ที่ไม่แม้แต่จะแนะนำตัวกับเขาไม่ได้ อยากจะเข้าไปชวนคุยให้ได้เหมือนคนอื่นๆ แต่เพราะร่างนั้นนั่งทานอาหารคนเดียวเงียบๆ จึงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยเรียกอีกครั้ง

     

    ...หวังว่าเราจะได้รู้จักกันสักวัน...

     

    “ทานนี่หน่อยสิอี้ชิง เห้ย!!!

     

    พรึบ!!!

     

    ยังไม่ทันสิ้นคำของลู่ฮาน น่องไก่ที่กำลังถูกส่งให้ก็ลุกเป็นไฟจนมือเล็กต้องโยนลงไปบนโต๊ะแทบไม่ทัน เสียงแตกตื่นของธาตุฝั่งเย็นดังขึ้น ดูเหมือนทุกคนจะไม่ถูกกับความร้อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เปลวไฟที่ลุกท่วมน่องไก่บนโต๊ะ

     

    แต่ดูเหมือนความทุกข์ของธาตุไฟจะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันของพวกธาตุร้อน เสียงหัวเราะกับคำแซวที่ดังมาเป็นระยะ ยังไม่เท่ากับแววตาและรอยยิ้มเยาะเย้ยที่อี้ชิงเห็นจากร่างสง่าตรงหน้า

     

    ...แกล้งกันอย่างนั้นเหรอ?...

     

    ความโกรธประทุขึ้นจากหัวใจดวงน้อย อี้ชิงเดินเข้าไปหาน่องไก่บนโต๊ะท่ามกลางเสียงห้ามของเพื่อนๆ เขาเองก็กลัวจนรู้สึกว่าแต่ละย่างก้าวช่างแสนลำบาก แต่สุดท้ายมือเรียวก็สามารถราดน้ำลงไปบนน่องไก่นั้นได้สำเร็จ มือเรียวผายออกสู่น่องไก่ที่ไหม้เกรียม พร้อมโบกไปมาอย่างไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ก็แค่ปล่อยไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น

     

    ...แต่สายลมนั้นช่างเป็นทาสที่แสนดี...

     

    “หือ?!

     

    เสียงทุ้มเปล่งออกมาจากลำคอด้วยความสงสัย เขาไม่สามารถละสายตาจากพฤติกรรมตรงหน้าได้เลย มันสนใจแต่ร่างบางนั้นตั้งแต่ที่เห็นในห้องโถงนำพา จนอดจะเข้าไปเดินชนไม่ได้ แล้วยังจะมานั่งตรงข้ามกันในยามค่ำคืนเสียอีก มันทำให้คริสหงุดหงิดจนเสกเจ้าน่องไก่ย่างไปให้อย่างนึกสนุก แต่อี้ชิงกำลังทำให้มันไม่สนุก

     

    ฟิ้ว!~

     

    “เฮือก!!!

     

    ตาคมเบิกกว้างเมื่อชิ้นน่องไก่ไหม้เกรียมนั้นปลิวผ่านหน้าไปอย่างแรง สายลมพัดเฉียดหางตาจนเกิดรอยแดงไหม้กับเลือดหยดน้อย ชานยอลรีบจับไหล่คริสไว้อย่างตกใจไม่แพ้กัน มือหนากำแน่นด้วยแรงอารมณ์ที่ยากจะฉุดรั้ง

     

    “กล้าดียังไง!!!

     

    “คุณคริส คุณอี้ชิง ท่านอธิการต้องการพบพวกคุณที่ห้องท่านอธิการบดี เดี๋ยวนี้!

     

    จากที่คริสตั้งใจจะพุ่งเข้าวาดร้าย กลายเป็นต้องชะงักเพราะอาจารย์สาวคนหนึ่งมายืนขวางกั้น พร้อมกล่าวคำพูดที่น่าเกรงกลัวที่สุดสำหรับนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยฟีนูคอน

     

    ...ห้องท่านอธิการบดี...

     

    <<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 4

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    สำหรับคำถามที่ว่าสรุปพี่คริสเป็นสายไหน พี่คริสเป็นสายต่อสู้ค่ะ แต่เพราะมีความคลั่งไคล้ในแร่นักรบมาก ทำให้เขาฝึกการใช้แร่นักรบของสายปกป้องจนทนต่อความบาดเจ็บหลังผสมธาตุข้ามสายกัน ขออธิบายเพียงเท่านี้อีกไม่นานจะพาทุกคนเข้าสู่โลกต่อสู้แห่งแร่นักรบ จะพยายามไม่ให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ อาทิตย์หน้าเตรียมพบกับวันจันทร์จรัสนะคะ^^

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×