คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์ - บทที่ ๔
Title : The Phonucorn เพลิงพิทักษ์ – บทที่ ๔
Author : พระจันทร์สีทอง
Genre : Fantasy Romantic Drama
Warnings : Yaoi – PG 18
Pairing : Yifan x Yixing
บทที่ ๔
The Phonucorn ฟีนูคอน : เพลิงพิทักษ์
เวลาเพียงไม่กี่วันสำหรับการเตรียมตัวเปิดเทอมจบลงไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงแค่นักศึกษาหน้าใหม่กับชุดประจำมหาวิทยาลัยเท่านั้น อี้ชิงหันซ้ายหันขวาสำรวจการแต่งกายอย่างอดตื่นเต้นไม่ได้ ในโลกที่เขาเคยอยู่นั้นชุดนักศึกษามันก็แค่ชุดเที่ยวธรรมดา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่อิสรเสรียิ่งขึ้น แต่อี้ชิงคิดว่าการอยู่ในกรอบก็ไม่เลวนัก
“พับแขนได้มั้ยนะ?”
เสียงหวานพึมพำถามตัวเองเงียบๆ เขาไม่ชินกับการใส่เสื้อแขนยาวตลอดนัก โดยเฉพาะเสื้อสีแดงที่ถึงไม่แดงจัดเช่นนี้ยิ่งไม่ใช่ทาง ดีหน่อยที่ทุกๆชายผ้าตัดด้วยสีกรมท่าให้ไม่ดูขัดเขินนัก กางเกงสีกรมท่าเนื้อเงาก็ทำให้ช่วงขาดูเล็กลงได้ไม่ใช่น้อย สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องใส่ก็แค่สิ่งนี้...ผ้าคลุมไหล่
พรึบ!
เสียงสะบัดผ้าดังลับกับช่วงลมที่ว่างหวิว ก่อนจะปรกลงบนลาดไหล่กว้างของบุรุษเพศที่แม้จะร่างน้อยไปนิดแต่ก็เข้ากันดี อี้ชิงเคยวาดฝันถึงผ้าคลุมไหล่ยาวเหมือนในหนังแฟนตาซีที่เคยดู แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงผ้าคลุมไหล่เล็กๆ ที่มีความยาวแค่ปรกไหล่เขาไว้เท่านั้น มันดูไม่เหมาะกับฮู๊ทที่มาพร้อมกันสักนิด
...ยังกับทอผ้ายังไม่เสร็จ...
“อี้ชิง เสร็จรึยังลูก?”
เสียงของสาวใหญ่ประจำบ้านดังขึ้นที่หน้าบานประตู ร่างบางไม่ได้ตอบรับอะไรออกไป แค่เดินไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเอง แล้วเดินไปเปิดประตูรับสตรีผู้มีศักดิ์เป็นป้าของเขา เธอโอบกอดร่างของหลานรักไปจนถึงทางเดินหน้าบ้าน ชวนคุยด้วยความเสียดายที่มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยไปหน่อย แต่อย่างไรเธอก็ยังมีโอกาสได้เจอหลานของเธอที่มหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ
“ผมต้องไปคนเดียวเหรอครับ?”
“ไม่ลูก เซฮุนกำลังจะมา”
“ผมจะได้อยู่กับเซฮุนมั้ยครับ?”
คำถามที่ดูไม่มั่นใจของอี้ชิง ถูกถามออกมาตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากรู้ว่าตัวเองต้องย้ายไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอดระยะเวลาการเรียน อนุญาตเพียงวันเสาร์อาทิตย์ที่จะได้กลับบ้าน ที่แย่กว่านั้นคือนอกจากเซฮุนที่เต็มใจสอนเขาบ้างแต่ไม่อยากสอนเสียส่วนใหญ่แล้ว เขาคิดว่าคนอื่นไม่มีความอดทนพอที่จะสอนเขาเลย
“พวกลูกจะได้อยู่หอเดียวกันแน่นอน แต่เรื่องห้องนั้นมันก็พูดยาก”
“ผมคงอึดอัดถ้าไม่มีเซฮุน”
“แต่ลูกก็ต้องเรียนรู้ที่จะเจอคนใหม่ๆบ้าง”
“ผมจะเข้ากับคนพวกนั้นได้เหรอครับ?”
“ทุกคนต้องรักลูกเหมือนที่พวกเรารักสิ เซฮุนมานู่นแล้วเตรียมตัวเถอะ ท่องจำให้ขึ้นใจ มหาวิทยาลัยฟีนูคอน”
“ครับ”
ฟิ้ว~...ฟิ้ว~...ฟิ้ว~
สายลมพัดอ่อนพาร่างบางลับหายไปกับช่องอากาศ ข้างๆมีเพื่อนคนเดียวของเขาบนโลกแห่งนี้ เป็นคนเดียวที่เขาสามารถไว้ใจได้ แต่ก็ไม่อยากจะใช้คำว่าไว้ใจกับเซฮุนเลย ท่าทางเจ้าเล่นแบบนี้คงไม่เหมาะที่จะใช้คำนี้นัก
เปลือกตาสวยลืมขึ้นช้าๆหลังจากรู้สึกถึงสายลมที่แผ่วลงแล้ว อี้ชิงทอดมองออกไปตามทางเดินครึ้ม ที่สองข้างผนังทำจากหินเก่าขึ้นคราบและโคมไฟดวงน้อยที่จุดจากไฟจริงๆเป็นแสงนำทาง เมื่อหันมองไปด้านหลังก็มั่นใจได้ว่าตนเองมาไม่ผิดที่แล้ว สัญลักษณ์แห่งความเชื่อของชาวฟีนูคอนที่ปักไว้ที่อก มันเด่นชัดบนรอยหินด้านหลัง พร้อมคำกล่าวที่ทำให้ต้องยิ้มออกมา
...เราเชื่อในสายลมผู้ไม่มีวันหยุดนิ่ง ยินดีต้อนรับสู่มหาวิทยาลัยของท่าน...
“จะมองให้ฟีนูคอนบินออกมาจากผนังเลยมั้ย”
“หือ?”
“เราต้องรีบออกไปแล้ว เดี๋ยวคนจะมากันเยอะเข้าไปใหญ่”
แรงฉุดที่แขนทำให้ขาเล็กต้องก้าวเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ เมื่อพ้นจากผนังหินดูไม่สบายตาพวกนั้น แสงจ้าจากหลังคากระจกในโถงใหญ่ทรงแปดเหลี่ยมก็กระแทกตาเสียต้องหลับหนี เสียงจอแจจากคนรอบข้างคือสิ่งที่ทำให้ร่างบางจำต้องฝืนใจลืมขึ้นอีกครั้ง ไม่นานหลังจากปรับแสงได้ก็เห็นโลกใบใหม่ของตัวเอง
...โลกของมหาวิทยาลัยผู้วิเศษ...
ปึก!
“ขอโทษนะ”
คำกล่าวขอโทษดังขึ้นหลังจากที่กระเป๋าใบโตกระแทกเข้าที่ขา อี้ชิงยิ้มตอบอย่างไม่ถือสา ภายในโถงนี้มีคนมากมายที่แต่งชุดเหมือนเขาเดินเต็มไปหมด ดูเหมือนทุกคนจะมาจากหลายเผ่าพันธุ์ และ กำลังแลกเปลี่ยนความคิดกันเสียงดัง
...ไม่เว้นแม้แต่เซฮุน...
“เห้ย!”
“ไอ้ฮุนทักเบาๆหน่อยสิวะ ตีมาได้ฉันเจ็บนะ”
“สมควร!”
“กวนตีนจังนะแก ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน แล้วนี่พาใครมาด้วย”
“ลูกค้าฉัน เพื่อนบ้านฉัน เพื่อนใหม่ฉัน เขาชื่อจาง อี้ชิง”
อี้ชิงขมวดคิ้วในตอนแรกที่เซฮุนแนะนำเขากับเพื่อนใหม่ ก่อนจะยิ้มรับเมื่อชายแปลกหน้ายิ้มให้เขา เพื่อนใหม่ยื่นมือออกมาให้เพื่อแสดงไมตรี และ ร่างบางเองก็อยากที่จะตอบรับไว้ด้วยการเอื้อมมือไปจับเช่นกัน
“คิม มินซอก เรียก ซิ่วหมิน ก็ได้มันไม่ถือ”
“ใครบอกแกว่าฉันไม่ถือ”
“ฉันก็เรียกแกมาตั้งหลายปี ถ้าแกถือป่านนี้คงเลิกเป็นเพื่อนกันไปแล้ว”
“เออๆก็ตามนั้นแหล่ะ นายมาจากโรงเรียนผู้จองจำแห่งอเนโมสเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก เรามาจากโลกมนุษย์”
ซิ่วหมินย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจความหมายของคำว่าโลกมนุษย์ เขาไม่เคยเรียนวิชานอกหลักสูตรเหมือนเซฮุน สิ่งเดียวที่เขานิยามให้พวกมนุษย์อย่างอี้ชิง คือเผ่าฟิสสิเพรส
“โลกมนุษย์อยู่แถวไหน ชายแดนเมืองอเนโมสเหรอ?”
“ห๊ะ?”
เสียงหวานเปล่งออกมาอย่างไม่เข้าใจคำถามของเพื่อนใหม่เช่นกัน เซฮุนตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ ใจหนึ่งก็เบื่อที่จะเป็นล่ามให้อี้ชิงไม่น้อย แต่ก็จำใจต้องอธิบายให้เพื่อนของเขาเข้าใจอยู่ดี ถึงความแตกต่างในตัวอี้ชิงที่พวกเขาไม่มี
“หมอนี่มาจากโลกฟิสสิเพรสสดๆร้อนๆ ไม่มีความรู้เรื่องชาวฟีนูคอนเลยมาตลอดสิบเก้าปี คิดว่าตัวเองเป็นแค่ฟิสสิเพรสธรรมดาเข้าใจมั้ยซิ่วหมิน”
ถามเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อธิบายอะไรตกหล่นไปแม้แต่ประโยคเดียว ก่อนจะหันมาหาอี้ชิง ที่ยิ้มให้ซิ่วหมินอยู่อย่างขอความเห็นใจ
“ส่วนนาย พูดอะไรให้มันดูเหมือนพวกฉันจะเข้าใจหน่อยสิ!”
“ก็มันลืมตัวนิ”
“นายจะลืมบ่อยๆไม่ได้ การที่นายเอาแต่พูดภาษาเดิมๆมันจะทำให้นายเป็นเป้า ถึงพวกเราจะเป็นผู้วิเศษแต่ก็เต็มไปด้วยความอิจฉาและรักในสิ่งที่เราเป็น ยิ่งนายแสดงออกว่าไม่ลืมโลกฟิสสิเพรสมากเท่าไร ก็จะถูกต่อต้านจากโลกของชาวฟีนูคอนเท่านั้น ที่สำคัญที่นายควรรู้คือที่นี่ไม่มีมนุษย์ในบทเรียนของเรา และน้อยมากที่ชาวเผ่าอื่นจะล้ำแดนโดยไม่จำเป็น พวกเขาแทบไม่รู้เลยว่าเขตแดนของอีกเผ่าแท้จริงเป็นยังไง”
“ทำไมล่ะ?”
คำถามของร่างบางทำให้เซฮุนถึงขนาดหลุดหัวเราะออกมา อี้ชิงเอียงคออย่างไม่เข้าใจว่าคำถามเขามันน่าตลกตรงไหน แต่พอหันไปหาซิ่วหมินก็เหมือนจะพอได้คำตอบจากหน้าบึ้งๆนั้น
“ฉันเคยไปโผล่ในตู้เย็นบ้านเซฮุน เพราะอยากลองเข้าไปในเผ่าอเนโมสดู”
“อ๋อ”
“บอกเขาไปด้วยสิว่าแกใช้เวลาเดินทางกี่ชั่วโมงกว่าจะกลับได้”
“อย่ามาประจารฉันนะไอ้ฮุน!”
เสียงเหวี่ยงๆและเสียงหัวเราะของเพื่อนใหม่ทั้งสอง ทำให้อี้ชิงเผลอยิ้มตามออกมาอย่างมีความสุข อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนร่วมสถาบันเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว
ปึก!
“โอ๊ะ?!”
...นี่มันวันชนแห่งชาติรึไง?...
ถึงพยายามจะไม่ติดใจที่ถูกชนเข้าอีกครั้ง แต่เพราะคราวนี้ไม่ได้รับคำขอโทษอีกทั้งยังชนแรงราวกับตั้งใจ ทำให้ตาสวยอดวาดมองไปตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินจากไปไม่ได้ เขาเป็นชายคนหนึ่งที่สวมฮู๊ทปิดบังศีรษะไว้ อี้ชิงจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคือใคร
“นายยืนดีๆไม่เป็นรึไง ทำไมถึงชอบบังทางคนอื่น”
“ฉันยืนของฉันเฉยๆเลยนะเซฮุน!”
“ช่างเถอะๆ รีบไปที่หอประชุมกันมั้ย ใกล้เวลาปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่แล้ว”
คำพูดของซิ่วหมินทำให้ร่างบางกับร่างโปร่งยอมลามือต่อกัน ตลอดทางเดินไปหอประชุม เขาก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่จากโรงเรียนผู้วิเศษอิคคอลลี่เขตเย็นอีกหลายคน ซึ่งเข้ามาทักเซฮุนก่อนแทบทั้งสิ้น วันนี้เองที่อี้ชิงเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนของคนดังไปแล้ว
“กล่าวต้อนรับเราท่านสู่ครอบครัวที่แสนอบอุ่น...”
คำกล่าวต้อนรับของอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยฟีนูคอน ดังต่อกันเป็นเวลานานหลายนาที จนนักศึกษาใหม่และรุ่นพี่ของมหาวิทยาลัยที่ต้องมารอลุ้นน้องรหัสเริ่มคุยกันเสียงดัง ร่างบางนั่งอยู่เป็นคนสุดท้ายของรุ่นห่างจากเซฮุนที่มีชื่ออยู่อันดับต้นๆ แต่มันก็ไม่เหงาเท่าไร เมื่อเขาได้เพื่อนข้างรหัสเป็นหนุ่มร่างบางหน้าสวยจากเผ่าเนโร ที่เจอกันในร้านตัดเสื้อผ้า
“มันน่าตื่นเต้นจริงๆที่รู้ว่านางเคยเป็นฟิสสิเพรสมาก่อน ฉันเคยเจอเด็กคนนึงที่มาจากเผ่าฟิสสิเพรส แต่เพราะเขามาตั้งแต่เล็ก เขาเลยเหมือนพวกเรามากกว่า”
“ฉันคิดว่าจะมีแต่ฉันที่เป็นแบบนี้”
“แบบไหน? อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ แม่บอกฉันเสมอว่าคนที่แต่งต่างคือคนที่พิเศษ ฉันก็เชื่อว่านายพิเศษ”
“แต่สำหรับฉัน ประหลาดก็คือประหลาด”
“ถ้างั้นฉันก็คงถือว่าประหลาดในโลกของนายเหมือนกัน แต่ฉันไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเองประหลาดเลย ผู้ถือกำเนิดเกิดมาเพื่อเรียนรู้นะ”
รอยยิ้มที่แสดงออกถึงความจริงใจของลู่ฮาน ทำให้อี้ชิงต้องยิ้มรับอย่างขอบคุณอยู่ไม่น้อย เขาโชคดีที่ได้พบเจอแต่คนที่พร้อมรับฟังความแตกต่างของเขา แต่มันก็คงไม่ใช่ทุกคนล่ะสินะ ตาสวยไหววูบเมื่อนึกขึ้นได้ถึงสายตาดุดันคู่นั้น ชาวฟีนูคอนคนแรกที่มองมาที่เขาอย่างเกลียดชัง คนที่เซฮุนบอกตั้งแต่แรกว่าเขาแตกต่างจากเรา
...พวกอฟาไตร...
“เป็นอะไร หน้าตาดูไม่ดีเลย”
“ปะ...เปล่า แค่กังวลเรื่องที่พักน่ะ ถ้าได้พักกับคนที่เข้าใจฉันก็คงดี”
“ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน สัญญาจะแวะไปหาบ่อยๆนะ”
“ขอบใจนะ”
อี้ชิงยิ้มอย่างรู้สึกขอบคุณลู่ฮานจริงๆ ช่วงเวลาของการจับฉลากรูมเมทมาถึงสร้างแรงกดดันให้อี้ชิงไม่น้อย เขาคือคนสุดท้ายของรุ่นจึงไม่ต้องจับฉลากเลือกรูมเมท ตอนแรกร่างบางแอบหวังว่าอาจเป็นเซฮุนที่ยังไม่ถูกจับจนสองคนสุดท้าย หากแต่ก็เป็นลู่ฮานที่ทำลายความหวังของเขา
...รูมเมทของเขาเป็นเผ่าอฟาไตร เป็นคนที่แตกต่างจากเขา...
“หวังว่าเราจะเข้ากันได้นะ บยอน แบคฮยอน...”
<<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>
ปัง!!!
“ยินดีต้อนรับ!!!”
ถึงแม้อี้ชิงจะภาวณาให้เขาสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเปิดประตูมาพบกับสายรุ้งกระดาษที่แตกกระจายใส่หน้าเช่นนี้ แถมมาพร้อมไอเย็นๆเสียด้วย...สมกับเป็นธาตุน้ำแข็ง
หอพักของมหาวิทยาลัยผู้วิเศษนั้น แตกต่างจากหอพักกะโหลกกะลาที่อี้ชิงเคยคิดไว้มาก มันไม่ได้เป็นตึกสี่เหลี่ยมทรงสูง แต่เป็นปราสาทสำหรับพักพิงต่างหาก มีปราสาททรงเดียวกันสองหลัง ที่มีหลังคาเป็นสีแดงเพลิงกับฟ้าน้ำทะเลหันหน้าประชันกัน ตรงกลางทางแยกคือน้ำพุรูปฟีนูคอนที่มีทางแยกอีกสองทางจากทางเข้า และ ทางแยกไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั่วไปเรียกว่าสุสาน
อี้ชิงรู้สึกโล่งอยู่ไม่น้อยที่รู้ว่าอย่างน้อยในหอพักแห่งนี้ก็มีแต่คนที่เหมือนๆกับเขา เพราะหอพักแบ่งตามธาตุกำเนิดแยกฝั่งร้อนกับเย็นจากกัน แต่ไม่ได้แย่งชนชั้นเขาจึงได้รูมเมทที่น่ารักเป็นถึงชาวอฟาไตร แถมยังเป็นธาตุน้ำแข็งที่เขาไม่คุ้นเคยนักเสียด้วย แต่ดูจากลักษณะแล้ว มันคงไม่ยากที่อี้ชิงจะสนิทกับแบคฮยอน
“ฉันศึกษาเรื่องมนุษย์ เรียนรู้ภาษาของพวกนายด้วย ดีใจนะที่รู้ว่านายก็เป็นมนุษย์มาก่อน”
“ฉันก็ดีใจที่นายเข้าใจฉัน”
ทุกอย่างดูง่ายไปหมดเมื่ออี้ชิงมาพบกับร่างเล็กนี้ แบคฮยอนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าประทับใจเขามากเป็นพิเศษ ถามเขาราวกับว่าเขาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ นั่นยิ่งทำให้อี้ชิงรู้สึกสบายใจ
“นายคงรู้สึกว่าพวกเรามีวิถีที่ประหลาด”
“ก็ใช่ แต่จริงๆมันน่าทึ่งมากกว่า ทุกอย่างแตกต่างจากที่ฉันคิด”
“ถ้าอยู่ในโลกใบเดิมนายคงได้เลือกว่าจะเรียนอะไร แต่ที่นี่มันค่อนข้างยุ่งยาก”
“มันอาจจะดีกว่าก็ได้ เขาเลือกให้ในสิ่งที่เราเหมาะ ก็แสดงว่าทุกคนจะมีชีวิตที่ดี มันน่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง”
แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่น้ำเสียงที่ดูหม่นลงก็บอกให้แบคฮยอนรู้ ว่าอี้ชิงก็คงไม่แน่ใจในสิ่งที่พูดออกมาเหมือนกัน การเรียนในฟีนูคอนเป็นเรื่องประหลาด นอกจากเราจะยอมสละตัวออกไปเรียนนอกผืนดินฟีนูคอน เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเราจะต้องกลายเป็นอะไรเมื่อจบปีหนึ่ง ในขณะที่เป็นปีหนึ่งเราจะถูกฝึกจากทุกศาสตร์ที่มีบนโลก เรียนพื้นฐานอย่างเท่าเทียมเพื่อจัดกลุ่ม หลายคนถูกเปลี่ยนสายหลังการฝึกช่วงเทอมแรกจบลง
...ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดเป็นนักรบไปตลอดการถือกำเนิด...
“เซฮุนบอกว่านายแตกต่าง นายมีพลังทั้งสองสาย นั่นหมายความว่านายอาจถูกคัดเลือกอย่างไม่ยุติธรรมเมื่อขึ้นปีสอง”
“มันก็ไม่แน่หรอกแบคฮยอน ฉันอาจเป็นคนที่เปลี่ยนไปเมื่อจบเทอม ฉันไม่คิดว่าตัวเองเหมาะแก่การเป็นนักรบ”
“ฉันขอภาวณาให้นายได้เป็นในสิ่งที่ถูกต้องอี้ชิง”
“หือ?”
คิ้วสวยมุ่นลงให้กับคำพูดของเพื่อนใหม่ ทำไมแบคฮยอนถึงใช้คำพูดแปลกๆกับเขา ไหนจะรอยยิ้มจางๆที่ดูไม่ปกตินั่นอีก คำถามมากมายเกิดขึ้นใจแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปเพราะใกล้เวลาอาหาร ปกติเด็กทุกคนจะทานในโรงอาหารของหอพักตนเอง แต่เพราะนี่เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เด็กทุกคนจึงถูกเชิญเข้าร่วมทานอาหารพร้อมกันเพื่อฉลอง
“นายดูสนิทกับเซฮุนนะแบคฮยอน”
“ก็เจอกันที่หน้าบ้านบ่อยๆน่ะ ฉันชอบที่จะได้เจอเซฮุน เขามาพร้อมเรื่องสำคัญเสมอเลยล่ะ”
“หมอนั่นชอบทำตัวเหมือนรู้ทุกเรื่องจริงๆนั่นแหล่ะ”
สองร่างเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่เคยเป็นหอประชุม แต่ตอนนี้มีเพียงโต๊ะไม้ยาวสองตัวที่ยาวพอบรรจุนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยไว้ได้ ตาสวยกวาดมองหนากลุ่มของเซฮุนก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกัน
“พวกนายมาช้าจริงๆ ทำไมปล่อยให้ฉันต้องนั่งกับมันตั้งนาน”
“หือ? / ห๊ะ?”
อี้ชิงและแบคฮยอนมองกันหน้าเหวอ เมื่อลู่ฮานที่พูดจาน่ารักมาตลอด เอ่ยปากเรียกเซฮุนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างไม่สุภาพ ทั้งสองเป็นรูมเมทกันแต่ดูไม่น่าจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีนัก ต่างจากอี้ชิงและแบคฮยอนที่แทบจะเดินกอดกันมาอยู่แล้ว
“ฉันอยากอยู่กับแกนักนิ”
“ไปทำเรื่องย้ายเลยมั้ยละ”
“ถ้าทำได้ฉันไม่สนอยู่หรอก”
“ใจเย็นสิใจเย็น เวลาดีนะที่เราได้มากินข้าวด้วยกัน อย่าทำเสียบรรยากาศ”
คำพูดของร่างเล็กสามารถสงบศึกลงได้ชั่วคราว อี้ชิงเดินไปนั่งคั่นระหว่างเซฮุนกับลู่ฮาน โดยมีแบคฮยอนที่มุดโต๊ะไปนั่งอยู่ฝ่ายตรงข้าม แค่เพียงนั่งลงได้ไม่นานร่างบางก็อยากจะมุดตามแบคฮยอนไปนั่งอีกฝั่งทันที
...ทำไมต้องมาเจอกันอีกแล้ว...
ดวงตาดุดันที่จงใจมองมาที่อี้ชิง มันบอกให้รู้ว่ามีแค่ความเกลียดชังแฝงอยู่เต็มไปหมด ทั้งที่แน่ใจว่าตนเองไม่เคยสร้างปัญหาให้อีกคน แต่ก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าอะไรคือต้นเหตุ หรือจะเป็นเพราะการทดสอบสายในวันนั้น แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด ทุกอย่างก็มาจากที่ร่างสง่านั้นเสนอตัวเอง
“มองอะไรเหรออี้ชิง?”
ตาเรียวที่แอบสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนใหม่อยู่ถามขึ้น ก่อนจะมองตามเส้นสายตานั้นไปพบกับใบหน้าหล่อที่คุ้นเคย บ้านของเขากับคริสอยู่ไม่ไกลกันเท่าไร แถมยังเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมาตั้งแต่จำความได้อีก แบคฮยอนรู้จักคริสและชานยอลดีมากเลยทีเดียว
“อย่าไปมองเขาสิอี้ชิง”
“แต่เขามองเราก่อนนะแบคฮยอน ดูเหมือนพี่เขาไม่ค่อยชอบเรา”
“มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อธิบายยากนะอี้ชิง เรื่องระหว่างสายเลือดของโฟเธียและอเนโมสเนี่ย มันต้องย้อนไปไกลถึงอดีตกาล มันเป็นความเกลียดชังที่สั่งสมกันมาตามสายเลือด ถึงเราไม่อยากเกลียดแต่จิตวิญญาณก็จะต่อต้านอยู่ดี”
“จิตวิญญาณไม่สามารถทำแบบนั้นได้หรอก...”
ชั่ววูบที่อี้ชิงกำลังจะเชื่อในสิ่งที่แบคฮยอนบอก เสียงหนึ่งที่ดังแผ่วราวสายน้ำเย็นก็ดังขึ้น เรียกใบหน้าสวยให้เสไปมองอย่างชั่งใจ ก่อนจะมอบรอยยิ้มไมตรีให้แก่เพื่อนร่วมหอพักอีกคนที่นั่งถัดจากเขา
“...นายอาจคิดว่านั่นคือเรื่องจริง แต่นายจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องเล่าใดล่อหลอกกันล่ะ คัมภีร์แห่งการถือกำเนิดเกิดขึ้นจากผู้มีความเชื่อและศรัทธา หากแต่นั่นไม่ได้มาจากวาจาแห่งผู้ถือครอง มันก็ไม่ต่างอะไรจากนิยายปรัมปราที่คนเราเขียนขึ้น นายไม่มีวันรู้ว่าสิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือความเท็จ เพราะนายไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ใช่หรือไม่”
คำพูดนิ่งๆที่เต็มไปด้วยหลักการ ทำให้ทั้งกลุ่มของร่างบางหันมาให้ความสนใจ โดยเฉพาะอี้ชิงที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักคัมภีร์ที่ถูกกล่าวถึงด้วยซ้ำ
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันอี้ชิงนะ”
“ยินดี”
คำตอบรับสั้นๆจบลงที่ต่างคนต่างหันไปที่อาหารตรงหน้าตัวเอง ที่เพิ่งลอยเข้ามาจากทางประตูใหญ่ ลงสู่ตะอย่างเรียบร้อยไร้ที่ติ อี้ชิงเหมือนปล่อยความสงสัยมากมายผ่าน แต่เขายังอดลอบมองเพื่อนใหม่ที่ไม่แม้แต่จะแนะนำตัวกับเขาไม่ได้ อยากจะเข้าไปชวนคุยให้ได้เหมือนคนอื่นๆ แต่เพราะร่างนั้นนั่งทานอาหารคนเดียวเงียบๆ จึงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยเรียกอีกครั้ง
...หวังว่าเราจะได้รู้จักกันสักวัน...
“ทานนี่หน่อยสิอี้ชิง เห้ย!!!”
พรึบ!!!
ยังไม่ทันสิ้นคำของลู่ฮาน น่องไก่ที่กำลังถูกส่งให้ก็ลุกเป็นไฟจนมือเล็กต้องโยนลงไปบนโต๊ะแทบไม่ทัน เสียงแตกตื่นของธาตุฝั่งเย็นดังขึ้น ดูเหมือนทุกคนจะไม่ถูกกับความร้อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เปลวไฟที่ลุกท่วมน่องไก่บนโต๊ะ
แต่ดูเหมือนความทุกข์ของธาตุไฟจะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันของพวกธาตุร้อน เสียงหัวเราะกับคำแซวที่ดังมาเป็นระยะ ยังไม่เท่ากับแววตาและรอยยิ้มเยาะเย้ยที่อี้ชิงเห็นจากร่างสง่าตรงหน้า
...แกล้งกันอย่างนั้นเหรอ?...
ความโกรธประทุขึ้นจากหัวใจดวงน้อย อี้ชิงเดินเข้าไปหาน่องไก่บนโต๊ะท่ามกลางเสียงห้ามของเพื่อนๆ เขาเองก็กลัวจนรู้สึกว่าแต่ละย่างก้าวช่างแสนลำบาก แต่สุดท้ายมือเรียวก็สามารถราดน้ำลงไปบนน่องไก่นั้นได้สำเร็จ มือเรียวผายออกสู่น่องไก่ที่ไหม้เกรียม พร้อมโบกไปมาอย่างไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ก็แค่ปล่อยไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
...แต่สายลมนั้นช่างเป็นทาสที่แสนดี...
“หือ?!”
เสียงทุ้มเปล่งออกมาจากลำคอด้วยความสงสัย เขาไม่สามารถละสายตาจากพฤติกรรมตรงหน้าได้เลย มันสนใจแต่ร่างบางนั้นตั้งแต่ที่เห็นในห้องโถงนำพา จนอดจะเข้าไปเดินชนไม่ได้ แล้วยังจะมานั่งตรงข้ามกันในยามค่ำคืนเสียอีก มันทำให้คริสหงุดหงิดจนเสกเจ้าน่องไก่ย่างไปให้อย่างนึกสนุก แต่อี้ชิงกำลังทำให้มันไม่สนุก
ฟิ้ว!~
“เฮือก!!!”
ตาคมเบิกกว้างเมื่อชิ้นน่องไก่ไหม้เกรียมนั้นปลิวผ่านหน้าไปอย่างแรง สายลมพัดเฉียดหางตาจนเกิดรอยแดงไหม้กับเลือดหยดน้อย ชานยอลรีบจับไหล่คริสไว้อย่างตกใจไม่แพ้กัน มือหนากำแน่นด้วยแรงอารมณ์ที่ยากจะฉุดรั้ง
“กล้าดียังไง!!!”
“คุณคริส คุณอี้ชิง ท่านอธิการต้องการพบพวกคุณที่ห้องท่านอธิการบดี เดี๋ยวนี้!”
จากที่คริสตั้งใจจะพุ่งเข้าวาดร้าย กลายเป็นต้องชะงักเพราะอาจารย์สาวคนหนึ่งมายืนขวางกั้น พร้อมกล่าวคำพูดที่น่าเกรงกลัวที่สุดสำหรับนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยฟีนูคอน
...ห้องท่านอธิการบดี...
<<< The Phonucorn…เพลิงพิทักษ์ >>>
The Phonucorn – Chapter 4
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
สำหรับคำถามที่ว่าสรุปพี่คริสเป็นสายไหน พี่คริสเป็นสายต่อสู้ค่ะ แต่เพราะมีความคลั่งไคล้ในแร่นักรบมาก ทำให้เขาฝึกการใช้แร่นักรบของสายปกป้องจนทนต่อความบาดเจ็บหลังผสมธาตุข้ามสายกัน ขออธิบายเพียงเท่านี้อีกไม่นานจะพาทุกคนเข้าสู่โลกต่อสู้แห่งแร่นักรบ จะพยายามไม่ให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ อาทิตย์หน้าเตรียมพบกับวันจันทร์จรัสนะคะ^^
ความคิดเห็น