คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #59 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๕
Title :
The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๕
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Chen x Minseok
บทที่ ๑๕
The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป
ตาคมไล่กวาดมองไปตามบรรทัดไม่ให้ตกหล่นแม้แต่บรรทัดเดียว
เขาใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยมากขึ้นกว่าสามครั้งแรกที่อ่าน แล้วก็เจอสิ่งที่ตามหาอยู่ในหน้าเกือบจะสุดท้ายของหนังสือบันทึกเล่มนี้
“...ข้าเสียใจเหลือเกินกับสิ่งที่ทำลงไป
ถึงคิดเสมอว่ามันเป็นสิ่งที่โฟเธียได้รับ
แต่เสียงโหยหวนนั้นยังทำให้ข้าคิดถึงน้องรักอยู่ทุกราตรี
ใบหน้าของเจ้าช่างงดงายเหลือเกินโฟเธีย ข้าอยากมองผ่านหน้าต่างนี้ไปยังเจ้าเหมือนเคย
พี่ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงโฟเธีย หากเพียงมีวันคืนกลับมาได้อีกครั้ง
ข้าจะพูดความจริงกับเทพอเนโมส จะไม่บิดเบือนเรื่องให้พี่ข้าเคืองโกรธ
ให้พี่ข้าได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง...พี่เสียใจต่อเจ้าน้องสาวสุดที่รักของข้า”
“การล้างมลทินคือการพูดความจริงกับสายเลือดแห่งโฟเธียอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก!”
เฮือก!!!
เสียงของสตรีแก่กระซิบที่ข้างหู
จนร่างโปร่งต้องสะดุ้งหนีไปอีกทางหนึ่ง
หันไปมองก็พบผู้สิ้นชีพสูงวัยคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขา ถ้าเฉินจำไม่ผิดเหมือนเธอจะเป็นผู้สิ้นชีพจากหลุมสุดท้ายของปีกขวา
“คุณคือมาดามอเวร่าใช่มั้ยครับ”
“เธอจำเก่ง
เหมือนแม่สาวผู้ล่าคนก่อนที่ฉันเห็นเธออ่านหนังสือแบบเดียวกันนี้ไม่มีผิดเลยนะ”
“คุณเคยเห็นมันเหรอครับ?”
“เคยเห็นสิ
มีผู้ล่าหลายคนมีหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เหรอ คนพวกนั้นก็อ่านมันที่นี่”
“ไม่ใช่ครับ หนังสือเล่มนี้มีเพียงเล่มเดียว แต่มันอาจจะถูกส่งต่อกันไป”
“เหรอ”
หญิงสูงวัยรับคำอย่างไม่ได้ใส่ใจ
แต่เฉินไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ในเมื่อเธอเคยเห็นผู้ล่าหลายคนอ่านมัน
เธออาจจะรู้วิธีล้างมลทินนี้
“อย่าเพิ่งไปครับ ผมมีเรื่องรบกวนถาม”
“ถามฉันเหรอ ดีเลยนะ
ฉันชอบเล่นถามตอบที่สุดเลยล่ะ”
“พวกเขา
ผู้ล่าที่คุณบอกว่าเห็นอ่านหนังสือเล่มนี้ พวกเขาทำยังไงเหรอครับ
หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ”
“ก็ส่วนมากจะออกตามล่าหนักมากๆ
กลับมาพร้อมจดหมายผนึกหลายฉบับ”
ใบหน้าคมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
เพราะหลายคนที่สามารถก็ใช้วิธีการล้างดวงจิตด้วยกันทั้งนั้น
จะมีก็แค่อธิการบดีสาวคนเดียวเท่านั้น ที่ทำการล้างมลทินให้แก่เทพีโบโลนี
แต่ในเมื่อมาดามอเวร่าบอกว่าไม่ใช่ แสดงว่าเธอต้องรู้เห็นในสิ่งที่ท่านอธิการบดีทำ
“แล้วผู้หญิงผู้ล่าที่คุณบอกล่ะครับ”
“เธอเป็นคนที่แตกต่างกว่าใคร
แค่เห็นฉันก็รู้แล้วว่าเธอเป็นผู้ล่าที่พิเศษมากๆ
แล้วเธอก็แสดงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโบโลนีออกมา”
...สายเลือดเทวาแห่งโบโลนีอย่างนั้นเหรอ?...
ไม่รู้ทำไมความคิดแรกของเฉินถึงโยงไปที่สายเลือดเทวา
บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เธอบอกเขาว่าไม่สามารถช่วยได้ก็เป็นได้
เพราะสายเลือดของพวกเขามันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว
แต่จากคำพูดของเธอวันนั้นมันก็ดูเหมือนว่าแสงจะไม่ได้ริบหรี่อะไรนัก
“เธอทำอะไรครับ”
“พูด
ก็แค่พูดบางอย่างพร้อมต่อหน้าเด็กคนหนึ่งเท่านั้น แล้วก็หยดเลือดของตนเองลงบนขนนก
ที่ลุกเป็นไฟโชติช่วงเลยล่ะ”
...ขนของฟีนิกส์...
ร่างโปร่งไม่ถามอะไรต่อเพราะเขารู้ความหมายของมันทั้งหมดในสิ่งที่เธอทำ
เพราะมลทินของเทพีโบโลนีต้องล้างด้วยความจริง
คนที่เธอพูดความจริงคงเป็นสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสไม่ผิดแน่ ส่วนเลือดของเทวาในตัวเธอรินรดให้แก่ขนฟีนิกส์
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสายเลือดเทวาแห่งโฟเธีย คงเป็นการแสดงถึงความเสร้าใจอย่างแท้จริง
มลทินนั้นจึงหายไปจากเธอ ปัญหาของเขาตอนนี้คือเขาสามารถทำทุกอย่างได้
ยกเว้นถือกำเนิดเป็นเทวาแห่งโบโลนี
“บ้าเอ้ย!”
เหมือนความฝันทุกอย่างที่วาดไว้ทลายลงไม่เป็นท่า
ร่างโปร่งซุกหน้าลงกับเข้าทั้งสองที่ตั้งชันอย่างหมดหวัง
เขาคงใช้เวลาร่วมห้าถึงหกปีในการล้างดวงจิตเป็นแน่ มันสายเกินไปจนสำหรับเขาแล้ว
ตาคู่สวยที่หลบซ่อนทอดมองไปที่เด็กหนุ่มอย่างรู้สึกสงสารจับใจ
จนสุดท้ายก็ไม่สามารถทนแรงต่อสู้นั้นได้ ขาเรียวก้าวไปหยุดตรงหน้าเด็กหนุ่มมองนิ่งอย่างชั่งใจ
“ฉันเตือนเธอแล้วว่ามันเจ็บปวด”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผมว่าเพราะอะไร
ทำไมต้องให้ผมตามหา ทำไมต้องให้ผมพยายาม”
“เพราะเธอยังมีหวัง ตราบเท่าที่เธอเชื่อ
ฉันไม่เคยศรัทธาในตัวเทพีโบโลนีน้อยลง แม้ฉันจะไม่ได้เป็นผู้ล่าอีกแล้วก็ตาม แล้วนายล่ะเด็กน้อยยังเชื่อมันอยู่มั้ย”
“การถวายตัวเป็นผู้ล่าเหมือนดั่งสิ่งเดียวที่ผมคาดหวัง
ครูที่ฝึกผมมักบอกเสมอว่าเป็นผู้ล่าเหมือนการถวายตัวเป็นลูกของเทพีโบโลนี
ผมที่ไม่เคยมีครอบครัวคุณคิดว่าผมจะไม่เชื่อแม่คนเดียวในความรู้สึกของผมรึไง”
“ถ้ายังเชื่อ ก็ยังมีความหวัง”
“ผมไม่รู้ว่าจะไปเอาหวังมาจากไหน
เพราะผมไม่ใช่สายเลือดเทวาแห่งโบโลนี ในกายมีแต่เลือดของอิลคอลลี่ธรรมดาเท่านั้น
ทางเดียวที่ผมจะสามารถล้างมลทินได้คือการพูดกับเทพอเนโมสเท่านั้น
ไม่ใช่แค่สายเลือดเทวาแห่งอเนโมส และ ผมก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะมีขนนกฟีนิกส์ที่เป็นสายเลือดโฟเธียนั่นด้วย”
“ฉันฆ่าเขา...ขนนักนั่นที่ได้มา
แลกกับการที่ฉันฆ่าสายเลือดเทวาแห่งโฟเธียไปหนึ่งตน เราต้องตัดขั้วหัวใจในขณะที่ร่างของเขายังเป็นฟีนิกส์เท่านั้น
มันไม่ใช่แค่ขนนกแต่ต้องเป็นเลือดเทวาของเทพีโฟเธียในตัวเขาด้วย”
“จะให้ผมฆ่าสายเลือดเทวาเนี่ยนะ
คุณไม่คิดเหรอว่ามันเห็นแก่ตัว!”
เสียงทุ้มตวาดลั่นเมื่อรู้ว่าขนนกนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับการล้างมลทิน
แต่เลือดที่อยู่บนขนไฟนั่นต่างหากที่ต้องการ
ในขณะที่ไฟโชติช่วงหากไม่อยากให้เลือดหายไปเธอคงต้องฆ่าเขาแล้วทิ้งไปอย่างไม่ใยดีใช่มั้ย
แล้วที่พูดคือจะให้เขาทำแบบเดียวกันอย่างนั้นเหร
“ฉันรู้ว่าเธอรู้แล้วว่าสายเลือดเทวาแห่งโฟเธียคือใคร
เราต้องใช้ตอนที่เขาเป็นฟีนิกส์เพราะมันคือสัญลักษณ์ของมนต์สาป
ที่เหลือก็แค่แร่นักรบและเลือดของสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสเท่านั้น
ฉันจะยอมสละเลือดเทวาแห่งโบโลนีให้นายดื่ม เพียงเท่านี้ทุกขั้นตอนก็จะสมบรูณ์แบบ
การล้างมลทินจะจบลง”
ตาคมก้มมองต่ำอย่างใช้ความคิด
มันคงเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวมากถ้าเขาจะทำตามที่อธิการสาวพูด
แน่นอนว่าเขามีสายเลือดเทวาแห่งโฟเธียอยู่ไม่ไกล
คริสอาจจะเป็นคนเก่งแต่เขาก็เป็นคนเก่งไม่แพ้กัน มันคงไม่ยากหากพยายามจะฆ่าคริสในร่างของฟีนิกส์
ส่วนแร่นักรบล้ำค่าของเทพอเนโมสเขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันอยู่ที่ใคร
อี้ชิงนั้นแสนซื่อไม่ทันคน หากเขาขอให้ช่วยเหลือคงไม่ยากที่จะตอบรับ
ส่วนสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสมันก็ง่ายเหลือเกินสำหรับเนตรทิพย์คู่นี้
เขาสามารถเห็นวันถือกำเนิดของเพื่อนร่วมชั้นได้ทั้งหมด
แค่มองไม่นานก็รู้แล้วว่าใครคือสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสแล้ว
...แต่ถ้าทำจะทำ คือเขาต้องฆ่าคริส...
“ผมคงทำไม่ได้”
“ทำไมล่ะ เธออยากล้างมลทินไม่ใช่เหรอไง”
“แต่ผมจะต้องไม่ฆ่าใครนอกจากผู้สิ้นชีพ ผมเป็นผู้ล่าผมไม่มีวันทำร้ายชีวิตของผู้ถือกำเนิด
นั่นเป็นสิ่งที่เทพีโบโลนนีบอกไว้ในฐานะของผู้ล่าคนแรก
และผมเชื่อว่าการฆ่าสายเลือดเทวาแห่งโฟเธียไม่ใช่การล้างมลทิน
มันคือการสร้างตราบาปให้กับสายเลือดแห่งโบโลนีเสียมากกว่า ถามจริงๆเถอะครับ
คุณจะมีความสุขกับมันได้จริงๆเหรอ
ที่ต้องฆ่าผู้ถือกำเนิดตนหนึ่งเพื่อปลดปล่อยตนเอง คุณจะหลับอย่างสงบได้เหรอครับ
ในฝันของคุณไม่เคยเห็นแววตาที่แสนเจ็บปวดของเขาเหรอ
ขนาดผมไม่ได้ถือว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขของเทวาด้วยกันยังไม่อาจรับได้
แต่พวกคุณถือเป็นลูกพี่ลูกน้องกันไม่ใช่เหรอครับ ทำไมไม่เจ็บปวด”
ร่างโปร่งถามออกไปด้วยความสงสัย ตัดสินใจส่งหนังสือในมือไปคืนให้แก่หญิงสาวที่ยืนนิ่งไปตั้งแต่ประโยคแรกที่เขาพูด
มันแน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าคนที่จิตใจไม่ได้โหดเหี้ยมจริง
อย่างไรก็ต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปอย่างแน่นอน และ
เขาคิดว่าเธอไม่ได้เป็นคนประเภทนั้น
“คุณอาจคิดว่ามันเป็นทางออกเดียว
แต่สำหรับผมมันไม่ใช่”
“ธะ...เธอจะทำอย่างไร ถ้าไม่ทำวิธีนี้”
“ก็...ไม่รู้สิครับ”
เฉินตัดสินใจเดินหนีออกมาพร้อมรอยยิ้มเศร้าๆ
เขาไม่อยากจะโทษใครมากไปกว่านี้แล้ว
เพราะถึงโทษใครไปก็เปลี่ยนความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ บางทีเขาอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่าจริงๆ
ถึงได้ดูทุกอย่างเป็นเรื่องที่ยากไปหมดเช่นนี้
ตอนนี้ในหัวของเขามันว่างเปล่าแต่ก็ยังมีคนๆหนึ่งจุดอยู่ในความว่างเปล่านั้น
...เขาจะบอกซิ่วหมินอย่างไร...
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
ห้องสมุด
เสียงหน้ากระดาษของหนังสือสองเล่มที่อยู่ตรงข้ามกันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ตาเรียวสวยที่ทำเหมือนสนใจในมือกลับลอบมองใบหน้าคมนั้นอยู่หลายครั้ง
ด้วยความเป็นห่วงอย่างช่วยไม่ได้
เขาพยายามถามเพื่อนทั้งสองหลายครั้งแล้วถึงเรื่องที่ทำให้หายกันไปนานสองนาน
แต่ทั้งคู่ก็เหมือนพร้อมใจจะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
...ถ้าไม่มีแล้วทำไมเปลี่ยนไป...
“เฉิน”
“หือ?”
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
“ทำไมล่ะ ฉันดูไม่ปกติอะไรรึไง?”
“ก็...นายเงียบเหมือนเดิมอีกแล้ว
เหมือนตอนแรกๆที่รู้จักกัน”
แม้เฉินจะไม่ใช่คนที่พูดเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
แต่ซิ่วหมินก็รู้สึกได้ว่าเมื่อวานเฉินยังยิ้มแย้มให้เขา
ดวงตาคมนั้นดูมีประกายแห่งชีวิตชีวา
ไม่ได้หมองเศร้าเหมือนบนโลกใบนี้มันหนักอึ้งไปหมดเช่นนี้
...รู้สึกว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น...
“นายเล่าให้ฉันฟังได้นะ ฉันไว้ใจได้”
“ฉันรู้”
“ฉันอยากให้นายยิ้มมากกว่านี้นะ ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าฉันทำให้นายยิ้มได้ก็จะทำ”
“หึหึ แค่นายยิ้มฉันก็ยิ้มตามนายไปแล้ว
นายไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันเลยซิ่วหมิน แค่อยู่ตรงนี้ก็พอแล้วสำหรับฉัน”
“นายพูดจาแปลกๆไปจริงๆด้วย”
ซิ่วหมินรู้สึกได้ถึงความมั่นใจที่หายไป
ร่างโปร่งนี้ไม่พูดถึงเรื่องที่กำลังพยายามทำให้เขาเหมือนทุกที
ไม่แม้แต่จะมีคำหยอกล้อให้เขาได้ขบขัน
“ยังไงเหรอ?”
“ฉันก็บอกไม่ถูก
แต่นายดูสิ้นหวังอย่างประหลาด”
ตาคมเงยขึ้นมาจากหน้าหนังสือ
มองใบหน้าของซิ่วหมินนิ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปก่อนดี
ระหว่างเรื่องที่เขาคงทำได้แค่เฝ้ามองตลอดไป หรือ เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องเปลี่ยนไป
มันก็แค่ระบบป้องกันตนเองจากความเจ็บปวดเท่านั้น
ถ้ายิ่งใกล้กันแล้วเขาไม่สามารถทำแค่มองต่อไปได้ล่ะ ถ้ามีวันนั้นเขาคงไม่อยากแม้แต่จะอยู่ในฐานะผู้ล่า
“ก็...ฉันไม่มีความหวังอีกแล้วจริงๆนิ”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่เคยปฏิเสธนายนะ”
“แต่ความจริงมันปฏิเสธฉันแล้ว”
มือหนาจับมือบางที่เอื้อมมากุมมือให้กำลังใจอย่างอดเสียดายไม่ได้
เขาไม่อยากหลอกตนเองว่ามีความหวัง ว่าเขากำลังจะได้มันมา
ทั้งที่เมื่อส่องกระจกก็จะยังเห็นร่างกายเดิมที่ไม่ใช่ของเขา
แต่ถึงย้อนเวลากลับไปให้ต้องเลือกอีกครั้ง
สำหรับเขาตอนนั้นก็ยังคิดว่าว่าการเป็นผู้ล่านั้นดีที่สุด
“ความจริง อะไรคือความจริงสำหรับนาย
นายกำลังพูดถึงสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แต่กลับเอามันมาตัดสินฉันแบบนี้น่ะเหรอ
ฉันผิดหวังในตัวนายมากจริงๆ
ใบหน้าหวานเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
บอกถึงความผิดหวังที่ไม่ได้แสร้งพูดออกมาให้ดูน่าสงสาร
ยิ่งน้ำใสที่เอ่อคลอรอบดวงตานั่นด้วย
ยิ่งยืนยันว่าสิ่งที่เฉินพูดมันไม่ควรจะหลุดออกไปเลย
แค่รู้ดีอยู่กับใจก็น่าจะเพียงพอแล้ว
“ขอโทษนะ”
“ฉันไม่ได้อยากได้คำขอโทษ
แต่ช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ยว่าทำไมพูดแบบนั้น นายทำเหมือนว่านายจะหายไปจากชีวิตฉันอย่างนั้นแหล่ะ”
“ฉันไม่ไปไหนหรอก
แต่ก็คงเดินไปกับนายตลอดไปไม่ได้”
“เหตุผลล่ะ ขอเหตุผลให้ฉันหน่อยได้มั้ย”
“เพราะฉันไม่ใช่อย่างที่นายต้องการ
นายอย่าหลอกตัวเองเลยว่าไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องพูดแบบนี้ นายก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน
ที่ยังเป็นแบบนี้”
“แต่เมื่อวันก่อนนายพูดเหมือนจะเปลี่ยนมันเพื่อฉันนะ”
ฉันก็อยากจะทำให้ได้อย่างที่พูดกับนาย
แต่ฉันตอนนี้คงไม่สามารถทำได้จริงๆที่เคยพูดไว้แล้ว”
“ทำไม”
เสียงหวานกดต่ำอย่างไม่เข้าใจเหตุผลเลยสักนิด
ตาเรียวไม่เหลียวไปไหนทั้งนั้น มองตรงไปที่ร่างโปร่งอย่างจะเอาคำตอบ
เพราะเฉินพูดแบบมีความหวังเขาถึงรู้สึกมีความหวังไปด้วย
แล้วเมื่อเขาคิดว่าเรื่องของเราจะเป็นไปได้
อยู่ๆก็จะมาบอกว่าไม่สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ
...ทำไมถึงได้ทำร้ายกันได้ลง...
“มันมีบางอย่างที่ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันไม่มีทางทำได้”
“แบคฮยอนบอกนายเหรอ”
เฉินไม่ตอบแล้วเอาแต่หลบสายตาของร่างบาง
จนซิ่วหมินเองต้องลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป มือหนาถึงรีบคว้าไว้ด้วยความเป็นห่วง
“นายจะไปไหน!”
“ก็ในเมื่อนายให้คำตอบกับฉันไม่ได้
ฉันก็จะไปเอาคำตอบจากแบคฮยอนไงล่ะ จะได้รู้กันไปเลยว่าที่นายทำไม่ได้
เพราะนายทำมันไม่ได้จริงๆ หรือแค่ไม่คิดว่าจะทำมันเพื่อฉันได้แล้วกันแน่”
“งั้นนายไม่ต้องไปถามหรอก
เพราะแบคฮยอนก็ไม่รู้ แต่ฉันจะตอบให้ว่ามันไม่มีทางเป็นอย่างหลัง
ฉันเคยบอกนายแล้วไงว่านายมีค่ามากสำหรับฉัน และฉันยังยืนยันคำนั้นนะซิ่วหมิน"
ทั้งสองมองตากันรับรู้ได้ว่าไม่มีความคลางแคลงใจต่อข้อสงสัยนี้
ร่างโปร่งเฉลยมันผ่านสายตาที่มั่นคงนั่นหมดแล้ว
แต่มันยิ่งทำให้ซิ่วหมินแทบจะล้มทั้งยืน ร่างบางทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ตัวเดิม
ร้องไห้เงียบๆอย่างไม่ได้รับการปลอบประโลมใดๆจากคนตรงหน้า
เพราะเฉินรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น จนกว่าเขาจะสามารถเป็นผู้ถือกำเนิดธรรมดาได้
“ฉันเจ็บนะ เจ็บจริงๆ
ทำไมนายเพิ่งมารู้ในวันที่ฉันก็คิดว่าฉันรักนายแล้วเหมือนกันล่ะ
กลัวว่าความเจ็บปวดของเรามันจะไม่เท่ากันเหรอไง”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
หลังจากการร้องไห้อย่างหนัก
ซิ่วหมินก็เลี่ยงการเจอเฉินตรงๆมาตลอดสองสามวัน เขาพยายามเป็นปกติกับเพื่อนในกลุ่ม
แต่แทบจะไม่ออกไปสุงสิงกับเพื่อนนอกกลุ่มเหมือนทุกที
เซฮุนทำท่าจะหันมาถามเพื่อนหลายครั้ง
แต่เมื่อมองหน้าก็เหมือนอ่านความคิดเขาได้เสียหมด
จึงหันกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น
“เป็นอะไรของนาย?”
เสียงของเซฮุนเรียกสายตาของเพื่อนในกลุ่มให้หันไปมองอย่างไม่ยาก
ดูเหมือนนอกจากซิ่วหมินแล้วก็ยังมีอีกคนที่ตกอยู่ในอาการที่เรียกว่าคิดไม่ตกเช่นกัน
เขาเห้นอี้ชิงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เช้า แต่แค่เรื่องของตนเองก็แทบเอาไม่รอดแล้ว
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหยิบยื่นมือไปช่วยเหลือคนอื่น
“ถามฉันเหรอ?”
“ฉันคงถามไอ้ลู่ฮานที่นั่งหน้าหงิกเป็นตูดอยู่นั่นมั้ง”
“พูดจาไม่ดีกับเพื่อนอีกแล้ว”
“อย่างกับเจ้านั่นพูดดีกับฉันมาก”
...ช่างเป็นคู่กัดที่สร้างสีสันจริงๆ...
“...ฉันเป็นผู้มีพระคุณของนายนะ
คิดดูว่านายจะลำบากแค่ไหนถ้าไม่เจอฉัน แล้วขนาดนี้ยังกล้ามีความลับมาปิดฉันอีกเหรอ”
ร่างบางไม่ได้สนใจบทสนทนาของเพื่อนหลังจากนั้นนัก
แต่ก็พอได้ยินคำพูดทวงบุญคุณของเพื่อนรัก เพียงเท่านั้นก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้บ้าง
เซฮุนมักจะพูดแบบนี้บ่อยๆหลังจากที่พูดครั้งแรกแล้วอี้ชิงมีปฏิกิริยาตอบรับ ที่ยิ่งกว่านั้นคือสายตาตัดพ้อที่ส่งไฟให้คู่สนทนา
ที่เขาไม่ใช่อี้ชิงยังต้องถอนหายใจออกมา
“เรื่องนี้เอาไว้อยู่กันสองคนนะเซฮุน”
“แล้วฉันไม่ใช่เพื่อนนายเหรอ
ทำไมถึงพูดให้ฟังไม่ได้ล่ะ”
ร่างบางที่นั่งถัดจากเซฮุนชะโงกหน้าออกไปถามบ้าง
เล่นเอาอี้ชิงถึงกับชะงักเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
ซิ่วหมินหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อน แต่สีหน้าอี้ชิงดูไม่ขบขันไปด้วยเลยสักนิด
เลยยิ่งสนุกที่จะได้แหย่เล่น
“ว่าไงล่ะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะซิ่วหมิน
ฉันแค่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง”
“เริ่มต้นที่ความจริงไง”
คำพูดของเซฮุนที่ดูจริงจังขึ้น
เริ่มทำให้ใบหน้าหวานหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด
เขาเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้สนุกหรือตลกอีกแล้ว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญ และ
ไม่ใช่เรื่องเล็ก
“ความจริงที่ทำให้นายกลัวที่สุดก่อน
พวกเราเป็นเพื่อนของนายนะ ถึงจะไร้ประโยชน์ที่จะพูด แต่นายไม่ควรเก็บมันไว้
สักวันนายอาจเสียใจที่ไม่ได้พูดออกมา”
“ถ้าอย่างนั้น...เที่ยงนี้ฉันมีเรื่องอยากพูดกับทุกคนนะ”
อี้ชิงพูดออกมาอย่างหนักแน่น
ก่อนจะหันไปตั้งใจเรียนอย่างมีสมาธิขึ้น
ในขณะที่ซิ่วหมินที่มีความลับมากมายที่ซ่อนไว้เช่นกัน รู้สึกกลัวความจริงขึ้นมาแทน
หลังพักเที่ยงร่างบางจึงเดินตามเพื่อนไปในที่ๆซึ่งความลับจะคงอยู่ตลอดไป
แต่ก็ดันเป็นที่เดียวกับที่อยู่ของความลับเขาเช่นกัน
“มีอะไรรึเปล่าถึงเรียกเรามาที่นี่?”
ลู่ฮานพูดขึ้นมาก่อนด้วยสายตาที่หวาดระแวง
ลู่ฮานคงไม่ชอบสถานที่พูดคุยของอี้ชิงสักเท่าไร เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นที่สุสาน
ที่ซึ่งมีเพียงความเงียบของสายลม กับ เสียงหวีดร้องที่จะสามารถดำรงอยู่ได้
“อย่ามาปอดแหกน่ะ
ไหนใครว่าพวกเนโรเป็นผู้ชุบชีวิต อย่างนายเจอแค่วิญญาณหมาเน่าตาย
คงช็อคตายก่อนจะได้ชุบชีวิตมันล่ะมั้ง”
“เซฮุน!”
“พอก่อนๆนะลู่ฮาน เซฮุน ถือว่าครั้งนี้เราขอ”
“พูดมาเถอะอี้ชิง”
“คือ...ฉันมีความลับของฉันที่อยากจะบอกทุกคน”
“ความลับ?”
“คือฉัน...มีสองสายในตัวเอง และ
ยังไม่มีข้อสรุปสำหรับสิ่งที่เป็นอยู่ มันเลยทำให้อาจารย์โซราคิดว่าฉันไม่ปลอดภัย
เธอสั่งให้ฉันปิดเรื่องนี้ไว้ เธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันประหลาด”
“นี่มันเจ๋งออก นายทำให้เราดูได้มั้ย?”
ซิ่วหมินชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมาย
อย่างน้อยความลับของอี้ชิงก็ยังเป็นไปได้มากกว่าของเขา ลู่ฮานยังทำท่าทางตื่นเต้นออกมา
อี้ชิงยิ้มให้บางๆอย่างโล่งอก ก่อนที่จะเลือกกำจี้แร่นักรบอันแรกของตนเองไว้
“ข้าแต่เทพอเนโมสผู้ศักดิ์สิทธิ์
ร่างกายนี้ข้าขอมอบเพื่อป้องปักษ์
ขอแร่นักรบจงโปรดคุ้มครองกายข้าราวกับเป็นดวงจิตของมัน
ข้าขอสาบานจะผูกพันธะสัญญากับเจ้าชั่วนิรันดร์”
สายลมพัดหวีดกว่าครั้งไหนที่เคยเห็นชาวอเนโมสเรียกแร่นักรบ
แม้แต่สายลมที่ตอบรับก็ดูรุนแรงและหวาดกลัว
ตาเรียวกวาดมองไปโดยรอบรู้สึกตื่นเต้นเพราะคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ
แต่ไม่นานก็รู้สึกได้ว่านี่ชักจะไม่ได้น่าตื่นเต้นแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับนายน่ะ อี้ชิง!”
“ฉันไม่รู้!”
บทสนทนาสั้นๆเริ่มทำให้ทุกคนหน้าเสีย
แต่เมื่อแร่นักรบจะก่อร่างอย่างสมบรูณ์ ปลายแซ่ตวัดไม่หยุดทั้งที่อี้ชิงไม่ได้ตั้งใจขยับ
เหมือนทุกอย่างก็แค่ตอบรับเพื่อปกป้องร่างกายของผู้ผูกพันธะไว้เท่านั้น
“นี่ไม่ดีแน่ ทุกคนหลบเร็ว!!!”
เสียงหวานตะโกนขึ้นมาเป็นคนแรก
เพราะรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ทำให้เกิดแรงสั่นไปทั้งพื้น
มีบางอย่างกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเขาอย่างเร็ว
ร่างกายของมันใหญ่โตกว่าพวกเขาน่าจะเจ็ดถึงสิบเท่าตัวได้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะสู้มันได้แน่
ปึก!!!
“โอ้ย!!!”
มีเพียงอี้ชิงที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้
ที่ถูกกระแทกเข้าไปจนติดกับต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ ร่างนั้นร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้หมดแรง
แต่ก็ยังฝืนความเจ็บมองไปที่ผู้ปองร้าย เห็นเพียงช่วงขาใหญ่ของมันในระดับสายตา
พอไล่สายตาสูงขึ้นก็เห็นใบหน้ายับยู่ยี่น่าเกลียดของมัน
แล้วพบว่าตรงกลางใบหน้านั้นมีเพียงดวงตาใหญ่สีเขียวดวงเดียว
“โทร์ล!!!”
เสียงคำรามลั่นของเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ตรงหน้า
สร้างความสั่นไหวให้กับพื้นดินและต้นไม้ในสุสานได้อย่างชัดเจน
มันกระทืบท้าวราวกับโกรธเคืองบางอย่าง อี้ชิงอยากลุกหนีแต่ก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว
เซฮุนรีบปล่อยลู่ฮานที่เขาคว้าหลบมาด้วย พุ่งเข้าไปช่วยเพื่อนโดยไม่ลืมที่จะเรียกแร่นักรบของตนเองออกมาด้วย
ขวานด้ามยาวก่อร่างขึ้นบนมือหยาบ ก่อนที่เซฮุนจะฟันมันลงไปกับท่อนขาของโทร์ลยักษ์นั้น
แต่มันเป็นความคิดที่โง่มาก
ผิวหนังของโทร์ลนั้นหนาและเหนียวมากจนหัวขวานติดกับขามันแน่น
ร่างโปร่งโดนเหวี่ยงออกมาจนไปกระแทกที่ต้นไม้อีกต้นไม่ไกล
ปึก!!!
“เซฮุน!!!”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
The
Phonucorn – Chapter 3.16
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ^^
ความคิดเห็น