ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #59 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๕

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 172
      1
      22 มิ.ย. 59

     

    Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๕

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Chen x Minseok

     

     

    บทที่ ๑๕

    The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    ตาคมไล่กวาดมองไปตามบรรทัดไม่ให้ตกหล่นแม้แต่บรรทัดเดียว เขาใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยมากขึ้นกว่าสามครั้งแรกที่อ่าน แล้วก็เจอสิ่งที่ตามหาอยู่ในหน้าเกือบจะสุดท้ายของหนังสือบันทึกเล่มนี้

     

    “...ข้าเสียใจเหลือเกินกับสิ่งที่ทำลงไป ถึงคิดเสมอว่ามันเป็นสิ่งที่โฟเธียได้รับ แต่เสียงโหยหวนนั้นยังทำให้ข้าคิดถึงน้องรักอยู่ทุกราตรี ใบหน้าของเจ้าช่างงดงายเหลือเกินโฟเธีย ข้าอยากมองผ่านหน้าต่างนี้ไปยังเจ้าเหมือนเคย พี่ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงโฟเธีย หากเพียงมีวันคืนกลับมาได้อีกครั้ง ข้าจะพูดความจริงกับเทพอเนโมส จะไม่บิดเบือนเรื่องให้พี่ข้าเคืองโกรธ ให้พี่ข้าได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง...พี่เสียใจต่อเจ้าน้องสาวสุดที่รักของข้า”

     

    “การล้างมลทินคือการพูดความจริงกับสายเลือดแห่งโฟเธียอย่างนั้นเหรอ?”

     

    “ไม่ใช่หรอก!

     

    เฮือก!!!

     

    เสียงของสตรีแก่กระซิบที่ข้างหู จนร่างโปร่งต้องสะดุ้งหนีไปอีกทางหนึ่ง หันไปมองก็พบผู้สิ้นชีพสูงวัยคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขา ถ้าเฉินจำไม่ผิดเหมือนเธอจะเป็นผู้สิ้นชีพจากหลุมสุดท้ายของปีกขวา

     

    “คุณคือมาดามอเวร่าใช่มั้ยครับ”

     

    “เธอจำเก่ง เหมือนแม่สาวผู้ล่าคนก่อนที่ฉันเห็นเธออ่านหนังสือแบบเดียวกันนี้ไม่มีผิดเลยนะ”

     

    “คุณเคยเห็นมันเหรอครับ?”

     

    “เคยเห็นสิ มีผู้ล่าหลายคนมีหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เหรอ คนพวกนั้นก็อ่านมันที่นี่”

     

    “ไม่ใช่ครับ หนังสือเล่มนี้มีเพียงเล่มเดียว แต่มันอาจจะถูกส่งต่อกันไป”

     

    “เหรอ”

     

    หญิงสูงวัยรับคำอย่างไม่ได้ใส่ใจ แต่เฉินไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ในเมื่อเธอเคยเห็นผู้ล่าหลายคนอ่านมัน เธออาจจะรู้วิธีล้างมลทินนี้

     

    “อย่าเพิ่งไปครับ ผมมีเรื่องรบกวนถาม”

     

    “ถามฉันเหรอ ดีเลยนะ ฉันชอบเล่นถามตอบที่สุดเลยล่ะ”

     

    “พวกเขา ผู้ล่าที่คุณบอกว่าเห็นอ่านหนังสือเล่มนี้ พวกเขาทำยังไงเหรอครับ หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ”

     

    “ก็ส่วนมากจะออกตามล่าหนักมากๆ กลับมาพร้อมจดหมายผนึกหลายฉบับ”

     

    ใบหน้าคมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะหลายคนที่สามารถก็ใช้วิธีการล้างดวงจิตด้วยกันทั้งนั้น จะมีก็แค่อธิการบดีสาวคนเดียวเท่านั้น ที่ทำการล้างมลทินให้แก่เทพีโบโลนี แต่ในเมื่อมาดามอเวร่าบอกว่าไม่ใช่ แสดงว่าเธอต้องรู้เห็นในสิ่งที่ท่านอธิการบดีทำ

     

    “แล้วผู้หญิงผู้ล่าที่คุณบอกล่ะครับ”

     

    “เธอเป็นคนที่แตกต่างกว่าใคร แค่เห็นฉันก็รู้แล้วว่าเธอเป็นผู้ล่าที่พิเศษมากๆ แล้วเธอก็แสดงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโบโลนีออกมา”

     

    ...สายเลือดเทวาแห่งโบโลนีอย่างนั้นเหรอ?...

     

    ไม่รู้ทำไมความคิดแรกของเฉินถึงโยงไปที่สายเลือดเทวา บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เธอบอกเขาว่าไม่สามารถช่วยได้ก็เป็นได้ เพราะสายเลือดของพวกเขามันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว แต่จากคำพูดของเธอวันนั้นมันก็ดูเหมือนว่าแสงจะไม่ได้ริบหรี่อะไรนัก

     

    “เธอทำอะไรครับ”

     

    “พูด ก็แค่พูดบางอย่างพร้อมต่อหน้าเด็กคนหนึ่งเท่านั้น แล้วก็หยดเลือดของตนเองลงบนขนนก ที่ลุกเป็นไฟโชติช่วงเลยล่ะ”

     

    ...ขนของฟีนิกส์...

     

    ร่างโปร่งไม่ถามอะไรต่อเพราะเขารู้ความหมายของมันทั้งหมดในสิ่งที่เธอทำ เพราะมลทินของเทพีโบโลนีต้องล้างด้วยความจริง คนที่เธอพูดความจริงคงเป็นสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสไม่ผิดแน่ ส่วนเลือดของเทวาในตัวเธอรินรดให้แก่ขนฟีนิกส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสายเลือดเทวาแห่งโฟเธีย คงเป็นการแสดงถึงความเสร้าใจอย่างแท้จริง มลทินนั้นจึงหายไปจากเธอ ปัญหาของเขาตอนนี้คือเขาสามารถทำทุกอย่างได้ ยกเว้นถือกำเนิดเป็นเทวาแห่งโบโลนี

     

    “บ้าเอ้ย!

     

    เหมือนความฝันทุกอย่างที่วาดไว้ทลายลงไม่เป็นท่า ร่างโปร่งซุกหน้าลงกับเข้าทั้งสองที่ตั้งชันอย่างหมดหวัง เขาคงใช้เวลาร่วมห้าถึงหกปีในการล้างดวงจิตเป็นแน่ มันสายเกินไปจนสำหรับเขาแล้ว ตาคู่สวยที่หลบซ่อนทอดมองไปที่เด็กหนุ่มอย่างรู้สึกสงสารจับใจ จนสุดท้ายก็ไม่สามารถทนแรงต่อสู้นั้นได้ ขาเรียวก้าวไปหยุดตรงหน้าเด็กหนุ่มมองนิ่งอย่างชั่งใจ

     

    “ฉันเตือนเธอแล้วว่ามันเจ็บปวด”

     

    “แล้วทำไมคุณไม่บอกผมว่าเพราะอะไร ทำไมต้องให้ผมตามหา ทำไมต้องให้ผมพยายาม”

     

    “เพราะเธอยังมีหวัง ตราบเท่าที่เธอเชื่อ ฉันไม่เคยศรัทธาในตัวเทพีโบโลนีน้อยลง แม้ฉันจะไม่ได้เป็นผู้ล่าอีกแล้วก็ตาม แล้วนายล่ะเด็กน้อยยังเชื่อมันอยู่มั้ย”

     

    “การถวายตัวเป็นผู้ล่าเหมือนดั่งสิ่งเดียวที่ผมคาดหวัง ครูที่ฝึกผมมักบอกเสมอว่าเป็นผู้ล่าเหมือนการถวายตัวเป็นลูกของเทพีโบโลนี ผมที่ไม่เคยมีครอบครัวคุณคิดว่าผมจะไม่เชื่อแม่คนเดียวในความรู้สึกของผมรึไง”

     

    “ถ้ายังเชื่อ ก็ยังมีความหวัง”

     

    “ผมไม่รู้ว่าจะไปเอาหวังมาจากไหน เพราะผมไม่ใช่สายเลือดเทวาแห่งโบโลนี ในกายมีแต่เลือดของอิลคอลลี่ธรรมดาเท่านั้น ทางเดียวที่ผมจะสามารถล้างมลทินได้คือการพูดกับเทพอเนโมสเท่านั้น ไม่ใช่แค่สายเลือดเทวาแห่งอเนโมส และ ผมก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะมีขนนกฟีนิกส์ที่เป็นสายเลือดโฟเธียนั่นด้วย”

     

    “ฉันฆ่าเขา...ขนนักนั่นที่ได้มา แลกกับการที่ฉันฆ่าสายเลือดเทวาแห่งโฟเธียไปหนึ่งตน เราต้องตัดขั้วหัวใจในขณะที่ร่างของเขายังเป็นฟีนิกส์เท่านั้น มันไม่ใช่แค่ขนนกแต่ต้องเป็นเลือดเทวาของเทพีโฟเธียในตัวเขาด้วย”

     

    “จะให้ผมฆ่าสายเลือดเทวาเนี่ยนะ คุณไม่คิดเหรอว่ามันเห็นแก่ตัว!

     

    เสียงทุ้มตวาดลั่นเมื่อรู้ว่าขนนกนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับการล้างมลทิน แต่เลือดที่อยู่บนขนไฟนั่นต่างหากที่ต้องการ ในขณะที่ไฟโชติช่วงหากไม่อยากให้เลือดหายไปเธอคงต้องฆ่าเขาแล้วทิ้งไปอย่างไม่ใยดีใช่มั้ย แล้วที่พูดคือจะให้เขาทำแบบเดียวกันอย่างนั้นเหร

     

    “ฉันรู้ว่าเธอรู้แล้วว่าสายเลือดเทวาแห่งโฟเธียคือใคร เราต้องใช้ตอนที่เขาเป็นฟีนิกส์เพราะมันคือสัญลักษณ์ของมนต์สาป ที่เหลือก็แค่แร่นักรบและเลือดของสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสเท่านั้น ฉันจะยอมสละเลือดเทวาแห่งโบโลนีให้นายดื่ม เพียงเท่านี้ทุกขั้นตอนก็จะสมบรูณ์แบบ การล้างมลทินจะจบลง”

     

    ตาคมก้มมองต่ำอย่างใช้ความคิด มันคงเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวมากถ้าเขาจะทำตามที่อธิการสาวพูด แน่นอนว่าเขามีสายเลือดเทวาแห่งโฟเธียอยู่ไม่ไกล คริสอาจจะเป็นคนเก่งแต่เขาก็เป็นคนเก่งไม่แพ้กัน มันคงไม่ยากหากพยายามจะฆ่าคริสในร่างของฟีนิกส์ ส่วนแร่นักรบล้ำค่าของเทพอเนโมสเขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันอยู่ที่ใคร อี้ชิงนั้นแสนซื่อไม่ทันคน หากเขาขอให้ช่วยเหลือคงไม่ยากที่จะตอบรับ ส่วนสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสมันก็ง่ายเหลือเกินสำหรับเนตรทิพย์คู่นี้ เขาสามารถเห็นวันถือกำเนิดของเพื่อนร่วมชั้นได้ทั้งหมด แค่มองไม่นานก็รู้แล้วว่าใครคือสายเลือดเทวาแห่งอเนโมสแล้ว

     

    ...แต่ถ้าทำจะทำ คือเขาต้องฆ่าคริส...

     

    “ผมคงทำไม่ได้”

     

    “ทำไมล่ะ เธออยากล้างมลทินไม่ใช่เหรอไง”

     

    “แต่ผมจะต้องไม่ฆ่าใครนอกจากผู้สิ้นชีพ ผมเป็นผู้ล่าผมไม่มีวันทำร้ายชีวิตของผู้ถือกำเนิด นั่นเป็นสิ่งที่เทพีโบโลนนีบอกไว้ในฐานะของผู้ล่าคนแรก และผมเชื่อว่าการฆ่าสายเลือดเทวาแห่งโฟเธียไม่ใช่การล้างมลทิน มันคือการสร้างตราบาปให้กับสายเลือดแห่งโบโลนีเสียมากกว่า ถามจริงๆเถอะครับ คุณจะมีความสุขกับมันได้จริงๆเหรอ ที่ต้องฆ่าผู้ถือกำเนิดตนหนึ่งเพื่อปลดปล่อยตนเอง คุณจะหลับอย่างสงบได้เหรอครับ ในฝันของคุณไม่เคยเห็นแววตาที่แสนเจ็บปวดของเขาเหรอ ขนาดผมไม่ได้ถือว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขของเทวาด้วยกันยังไม่อาจรับได้ แต่พวกคุณถือเป็นลูกพี่ลูกน้องกันไม่ใช่เหรอครับ ทำไมไม่เจ็บปวด”

     

    ร่างโปร่งถามออกไปด้วยความสงสัย ตัดสินใจส่งหนังสือในมือไปคืนให้แก่หญิงสาวที่ยืนนิ่งไปตั้งแต่ประโยคแรกที่เขาพูด มันแน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าคนที่จิตใจไม่ได้โหดเหี้ยมจริง อย่างไรก็ต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปอย่างแน่นอน และ เขาคิดว่าเธอไม่ได้เป็นคนประเภทนั้น

     

    “คุณอาจคิดว่ามันเป็นทางออกเดียว แต่สำหรับผมมันไม่ใช่”

     

    “ธะ...เธอจะทำอย่างไร ถ้าไม่ทำวิธีนี้”

     

    “ก็...ไม่รู้สิครับ”

     

    เฉินตัดสินใจเดินหนีออกมาพร้อมรอยยิ้มเศร้าๆ เขาไม่อยากจะโทษใครมากไปกว่านี้แล้ว เพราะถึงโทษใครไปก็เปลี่ยนความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ บางทีเขาอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่าจริงๆ ถึงได้ดูทุกอย่างเป็นเรื่องที่ยากไปหมดเช่นนี้ ตอนนี้ในหัวของเขามันว่างเปล่าแต่ก็ยังมีคนๆหนึ่งจุดอยู่ในความว่างเปล่านั้น

     

    ...เขาจะบอกซิ่วหมินอย่างไร...

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    ห้องสมุด

     

    เสียงหน้ากระดาษของหนังสือสองเล่มที่อยู่ตรงข้ามกันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ตาเรียวสวยที่ทำเหมือนสนใจในมือกลับลอบมองใบหน้าคมนั้นอยู่หลายครั้ง ด้วยความเป็นห่วงอย่างช่วยไม่ได้ เขาพยายามถามเพื่อนทั้งสองหลายครั้งแล้วถึงเรื่องที่ทำให้หายกันไปนานสองนาน แต่ทั้งคู่ก็เหมือนพร้อมใจจะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    ...ถ้าไม่มีแล้วทำไมเปลี่ยนไป...

     

    “เฉิน”

     

    “หือ?”

     

    “เป็นอะไรรึเปล่า?”

     

    “ทำไมล่ะ ฉันดูไม่ปกติอะไรรึไง?”

     

    “ก็...นายเงียบเหมือนเดิมอีกแล้ว เหมือนตอนแรกๆที่รู้จักกัน”

     

    แม้เฉินจะไม่ใช่คนที่พูดเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่ซิ่วหมินก็รู้สึกได้ว่าเมื่อวานเฉินยังยิ้มแย้มให้เขา ดวงตาคมนั้นดูมีประกายแห่งชีวิตชีวา ไม่ได้หมองเศร้าเหมือนบนโลกใบนี้มันหนักอึ้งไปหมดเช่นนี้

     

    ...รู้สึกว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น...

     

    “นายเล่าให้ฉันฟังได้นะ ฉันไว้ใจได้”

     

    “ฉันรู้”

     

    “ฉันอยากให้นายยิ้มมากกว่านี้นะ ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าฉันทำให้นายยิ้มได้ก็จะทำ”

     

    “หึหึ แค่นายยิ้มฉันก็ยิ้มตามนายไปแล้ว นายไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันเลยซิ่วหมิน แค่อยู่ตรงนี้ก็พอแล้วสำหรับฉัน”

     

    “นายพูดจาแปลกๆไปจริงๆด้วย”

     

    ซิ่วหมินรู้สึกได้ถึงความมั่นใจที่หายไป ร่างโปร่งนี้ไม่พูดถึงเรื่องที่กำลังพยายามทำให้เขาเหมือนทุกที ไม่แม้แต่จะมีคำหยอกล้อให้เขาได้ขบขัน

     

    “ยังไงเหรอ?”

     

    “ฉันก็บอกไม่ถูก แต่นายดูสิ้นหวังอย่างประหลาด”

     

    ตาคมเงยขึ้นมาจากหน้าหนังสือ มองใบหน้าของซิ่วหมินนิ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปก่อนดี ระหว่างเรื่องที่เขาคงทำได้แค่เฝ้ามองตลอดไป หรือ เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องเปลี่ยนไป มันก็แค่ระบบป้องกันตนเองจากความเจ็บปวดเท่านั้น ถ้ายิ่งใกล้กันแล้วเขาไม่สามารถทำแค่มองต่อไปได้ล่ะ ถ้ามีวันนั้นเขาคงไม่อยากแม้แต่จะอยู่ในฐานะผู้ล่า

     

    “ก็...ฉันไม่มีความหวังอีกแล้วจริงๆนิ”

     

    “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่เคยปฏิเสธนายนะ”

     

    “แต่ความจริงมันปฏิเสธฉันแล้ว”

     

    มือหนาจับมือบางที่เอื้อมมากุมมือให้กำลังใจอย่างอดเสียดายไม่ได้ เขาไม่อยากหลอกตนเองว่ามีความหวัง ว่าเขากำลังจะได้มันมา ทั้งที่เมื่อส่องกระจกก็จะยังเห็นร่างกายเดิมที่ไม่ใช่ของเขา แต่ถึงย้อนเวลากลับไปให้ต้องเลือกอีกครั้ง สำหรับเขาตอนนั้นก็ยังคิดว่าว่าการเป็นผู้ล่านั้นดีที่สุด

     

    “ความจริง อะไรคือความจริงสำหรับนาย นายกำลังพูดถึงสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แต่กลับเอามันมาตัดสินฉันแบบนี้น่ะเหรอ ฉันผิดหวังในตัวนายมากจริงๆ

     

    ใบหน้าหวานเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด บอกถึงความผิดหวังที่ไม่ได้แสร้งพูดออกมาให้ดูน่าสงสาร ยิ่งน้ำใสที่เอ่อคลอรอบดวงตานั่นด้วย ยิ่งยืนยันว่าสิ่งที่เฉินพูดมันไม่ควรจะหลุดออกไปเลย แค่รู้ดีอยู่กับใจก็น่าจะเพียงพอแล้ว

     

    “ขอโทษนะ”

     

    “ฉันไม่ได้อยากได้คำขอโทษ แต่ช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ยว่าทำไมพูดแบบนั้น นายทำเหมือนว่านายจะหายไปจากชีวิตฉันอย่างนั้นแหล่ะ”

     

    “ฉันไม่ไปไหนหรอก แต่ก็คงเดินไปกับนายตลอดไปไม่ได้”

     

    “เหตุผลล่ะ ขอเหตุผลให้ฉันหน่อยได้มั้ย”

     

    “เพราะฉันไม่ใช่อย่างที่นายต้องการ นายอย่าหลอกตัวเองเลยว่าไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องพูดแบบนี้ นายก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน ที่ยังเป็นแบบนี้”

     

    “แต่เมื่อวันก่อนนายพูดเหมือนจะเปลี่ยนมันเพื่อฉันนะ”

     

    ฉันก็อยากจะทำให้ได้อย่างที่พูดกับนาย แต่ฉันตอนนี้คงไม่สามารถทำได้จริงๆที่เคยพูดไว้แล้ว”

     

    “ทำไม”

     

    เสียงหวานกดต่ำอย่างไม่เข้าใจเหตุผลเลยสักนิด ตาเรียวไม่เหลียวไปไหนทั้งนั้น มองตรงไปที่ร่างโปร่งอย่างจะเอาคำตอบ เพราะเฉินพูดแบบมีความหวังเขาถึงรู้สึกมีความหวังไปด้วย แล้วเมื่อเขาคิดว่าเรื่องของเราจะเป็นไปได้ อยู่ๆก็จะมาบอกว่าไม่สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ

     

    ...ทำไมถึงได้ทำร้ายกันได้ลง...

     

    “มันมีบางอย่างที่ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันไม่มีทางทำได้”

     

    “แบคฮยอนบอกนายเหรอ”

     

    เฉินไม่ตอบแล้วเอาแต่หลบสายตาของร่างบาง จนซิ่วหมินเองต้องลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป มือหนาถึงรีบคว้าไว้ด้วยความเป็นห่วง

     

    “นายจะไปไหน!

     

    “ก็ในเมื่อนายให้คำตอบกับฉันไม่ได้ ฉันก็จะไปเอาคำตอบจากแบคฮยอนไงล่ะ จะได้รู้กันไปเลยว่าที่นายทำไม่ได้ เพราะนายทำมันไม่ได้จริงๆ หรือแค่ไม่คิดว่าจะทำมันเพื่อฉันได้แล้วกันแน่”

     

    “งั้นนายไม่ต้องไปถามหรอก เพราะแบคฮยอนก็ไม่รู้ แต่ฉันจะตอบให้ว่ามันไม่มีทางเป็นอย่างหลัง ฉันเคยบอกนายแล้วไงว่านายมีค่ามากสำหรับฉัน และฉันยังยืนยันคำนั้นนะซิ่วหมิน"

     

    ทั้งสองมองตากันรับรู้ได้ว่าไม่มีความคลางแคลงใจต่อข้อสงสัยนี้ ร่างโปร่งเฉลยมันผ่านสายตาที่มั่นคงนั่นหมดแล้ว แต่มันยิ่งทำให้ซิ่วหมินแทบจะล้มทั้งยืน ร่างบางทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ตัวเดิม ร้องไห้เงียบๆอย่างไม่ได้รับการปลอบประโลมใดๆจากคนตรงหน้า เพราะเฉินรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น จนกว่าเขาจะสามารถเป็นผู้ถือกำเนิดธรรมดาได้

     

    “ฉันเจ็บนะ เจ็บจริงๆ ทำไมนายเพิ่งมารู้ในวันที่ฉันก็คิดว่าฉันรักนายแล้วเหมือนกันล่ะ กลัวว่าความเจ็บปวดของเรามันจะไม่เท่ากันเหรอไง”

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    หลังจากการร้องไห้อย่างหนัก ซิ่วหมินก็เลี่ยงการเจอเฉินตรงๆมาตลอดสองสามวัน เขาพยายามเป็นปกติกับเพื่อนในกลุ่ม แต่แทบจะไม่ออกไปสุงสิงกับเพื่อนนอกกลุ่มเหมือนทุกที เซฮุนทำท่าจะหันมาถามเพื่อนหลายครั้ง แต่เมื่อมองหน้าก็เหมือนอ่านความคิดเขาได้เสียหมด จึงหันกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น

     

    “เป็นอะไรของนาย?”

     

    เสียงของเซฮุนเรียกสายตาของเพื่อนในกลุ่มให้หันไปมองอย่างไม่ยาก ดูเหมือนนอกจากซิ่วหมินแล้วก็ยังมีอีกคนที่ตกอยู่ในอาการที่เรียกว่าคิดไม่ตกเช่นกัน เขาเห้นอี้ชิงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เช้า แต่แค่เรื่องของตนเองก็แทบเอาไม่รอดแล้ว คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหยิบยื่นมือไปช่วยเหลือคนอื่น

     

    “ถามฉันเหรอ?”

     

    “ฉันคงถามไอ้ลู่ฮานที่นั่งหน้าหงิกเป็นตูดอยู่นั่นมั้ง”

     

    “พูดจาไม่ดีกับเพื่อนอีกแล้ว”

     

    “อย่างกับเจ้านั่นพูดดีกับฉันมาก”

     

    ...ช่างเป็นคู่กัดที่สร้างสีสันจริงๆ...

     

    “...ฉันเป็นผู้มีพระคุณของนายนะ คิดดูว่านายจะลำบากแค่ไหนถ้าไม่เจอฉัน แล้วขนาดนี้ยังกล้ามีความลับมาปิดฉันอีกเหรอ”

     

    ร่างบางไม่ได้สนใจบทสนทนาของเพื่อนหลังจากนั้นนัก แต่ก็พอได้ยินคำพูดทวงบุญคุณของเพื่อนรัก เพียงเท่านั้นก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้บ้าง เซฮุนมักจะพูดแบบนี้บ่อยๆหลังจากที่พูดครั้งแรกแล้วอี้ชิงมีปฏิกิริยาตอบรับ ที่ยิ่งกว่านั้นคือสายตาตัดพ้อที่ส่งไฟให้คู่สนทนา ที่เขาไม่ใช่อี้ชิงยังต้องถอนหายใจออกมา

     

    “เรื่องนี้เอาไว้อยู่กันสองคนนะเซฮุน”

     

    “แล้วฉันไม่ใช่เพื่อนนายเหรอ ทำไมถึงพูดให้ฟังไม่ได้ล่ะ”

     

    ร่างบางที่นั่งถัดจากเซฮุนชะโงกหน้าออกไปถามบ้าง เล่นเอาอี้ชิงถึงกับชะงักเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ซิ่วหมินหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อน แต่สีหน้าอี้ชิงดูไม่ขบขันไปด้วยเลยสักนิด เลยยิ่งสนุกที่จะได้แหย่เล่น

     

    “ว่าไงล่ะ?”

     

    “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะซิ่วหมิน ฉันแค่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง”

     

    “เริ่มต้นที่ความจริงไง”

     

    คำพูดของเซฮุนที่ดูจริงจังขึ้น เริ่มทำให้ใบหน้าหวานหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด เขาเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้สนุกหรือตลกอีกแล้ว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญ และ ไม่ใช่เรื่องเล็ก

     

    “ความจริงที่ทำให้นายกลัวที่สุดก่อน พวกเราเป็นเพื่อนของนายนะ ถึงจะไร้ประโยชน์ที่จะพูด แต่นายไม่ควรเก็บมันไว้ สักวันนายอาจเสียใจที่ไม่ได้พูดออกมา”

     

    “ถ้าอย่างนั้น...เที่ยงนี้ฉันมีเรื่องอยากพูดกับทุกคนนะ”

     

    อี้ชิงพูดออกมาอย่างหนักแน่น ก่อนจะหันไปตั้งใจเรียนอย่างมีสมาธิขึ้น ในขณะที่ซิ่วหมินที่มีความลับมากมายที่ซ่อนไว้เช่นกัน รู้สึกกลัวความจริงขึ้นมาแทน หลังพักเที่ยงร่างบางจึงเดินตามเพื่อนไปในที่ๆซึ่งความลับจะคงอยู่ตลอดไป แต่ก็ดันเป็นที่เดียวกับที่อยู่ของความลับเขาเช่นกัน

     

    “มีอะไรรึเปล่าถึงเรียกเรามาที่นี่?”

     

    ลู่ฮานพูดขึ้นมาก่อนด้วยสายตาที่หวาดระแวง ลู่ฮานคงไม่ชอบสถานที่พูดคุยของอี้ชิงสักเท่าไร เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นที่สุสาน ที่ซึ่งมีเพียงความเงียบของสายลม กับ เสียงหวีดร้องที่จะสามารถดำรงอยู่ได้

     

    “อย่ามาปอดแหกน่ะ ไหนใครว่าพวกเนโรเป็นผู้ชุบชีวิต อย่างนายเจอแค่วิญญาณหมาเน่าตาย คงช็อคตายก่อนจะได้ชุบชีวิตมันล่ะมั้ง”

     

    “เซฮุน!

     

    “พอก่อนๆนะลู่ฮาน เซฮุน ถือว่าครั้งนี้เราขอ”

     

    “พูดมาเถอะอี้ชิง”

     

    “คือ...ฉันมีความลับของฉันที่อยากจะบอกทุกคน”

     

    “ความลับ?”

     

    “คือฉัน...มีสองสายในตัวเอง และ ยังไม่มีข้อสรุปสำหรับสิ่งที่เป็นอยู่ มันเลยทำให้อาจารย์โซราคิดว่าฉันไม่ปลอดภัย เธอสั่งให้ฉันปิดเรื่องนี้ไว้ เธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันประหลาด”

     

    “นี่มันเจ๋งออก นายทำให้เราดูได้มั้ย?”

     

    ซิ่วหมินชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากมาย อย่างน้อยความลับของอี้ชิงก็ยังเป็นไปได้มากกว่าของเขา ลู่ฮานยังทำท่าทางตื่นเต้นออกมา อี้ชิงยิ้มให้บางๆอย่างโล่งอก ก่อนที่จะเลือกกำจี้แร่นักรบอันแรกของตนเองไว้

     

    “ข้าแต่เทพอเนโมสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายนี้ข้าขอมอบเพื่อป้องปักษ์ ขอแร่นักรบจงโปรดคุ้มครองกายข้าราวกับเป็นดวงจิตของมัน ข้าขอสาบานจะผูกพันธะสัญญากับเจ้าชั่วนิรันดร์”

     

    สายลมพัดหวีดกว่าครั้งไหนที่เคยเห็นชาวอเนโมสเรียกแร่นักรบ แม้แต่สายลมที่ตอบรับก็ดูรุนแรงและหวาดกลัว ตาเรียวกวาดมองไปโดยรอบรู้สึกตื่นเต้นเพราะคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่นานก็รู้สึกได้ว่านี่ชักจะไม่ได้น่าตื่นเต้นแล้ว

     

    “เกิดอะไรขึ้นกับนายน่ะ อี้ชิง!

     

    “ฉันไม่รู้!

     

    บทสนทนาสั้นๆเริ่มทำให้ทุกคนหน้าเสีย แต่เมื่อแร่นักรบจะก่อร่างอย่างสมบรูณ์ ปลายแซ่ตวัดไม่หยุดทั้งที่อี้ชิงไม่ได้ตั้งใจขยับ เหมือนทุกอย่างก็แค่ตอบรับเพื่อปกป้องร่างกายของผู้ผูกพันธะไว้เท่านั้น

     

    “นี่ไม่ดีแน่ ทุกคนหลบเร็ว!!!

     

    เสียงหวานตะโกนขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ทำให้เกิดแรงสั่นไปทั้งพื้น มีบางอย่างกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเขาอย่างเร็ว ร่างกายของมันใหญ่โตกว่าพวกเขาน่าจะเจ็ดถึงสิบเท่าตัวได้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะสู้มันได้แน่

     

    ปึก!!!

     

    “โอ้ย!!!

     

    มีเพียงอี้ชิงที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ที่ถูกกระแทกเข้าไปจนติดกับต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ ร่างนั้นร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้หมดแรง แต่ก็ยังฝืนความเจ็บมองไปที่ผู้ปองร้าย เห็นเพียงช่วงขาใหญ่ของมันในระดับสายตา พอไล่สายตาสูงขึ้นก็เห็นใบหน้ายับยู่ยี่น่าเกลียดของมัน แล้วพบว่าตรงกลางใบหน้านั้นมีเพียงดวงตาใหญ่สีเขียวดวงเดียว

     

    “โทร์ล!!!

     

    เสียงคำรามลั่นของเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ตรงหน้า สร้างความสั่นไหวให้กับพื้นดินและต้นไม้ในสุสานได้อย่างชัดเจน มันกระทืบท้าวราวกับโกรธเคืองบางอย่าง อี้ชิงอยากลุกหนีแต่ก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว เซฮุนรีบปล่อยลู่ฮานที่เขาคว้าหลบมาด้วย พุ่งเข้าไปช่วยเพื่อนโดยไม่ลืมที่จะเรียกแร่นักรบของตนเองออกมาด้วย ขวานด้ามยาวก่อร่างขึ้นบนมือหยาบ ก่อนที่เซฮุนจะฟันมันลงไปกับท่อนขาของโทร์ลยักษ์นั้น แต่มันเป็นความคิดที่โง่มาก ผิวหนังของโทร์ลนั้นหนาและเหนียวมากจนหัวขวานติดกับขามันแน่น ร่างโปร่งโดนเหวี่ยงออกมาจนไปกระแทกที่ต้นไม้อีกต้นไม่ไกล

     

    ปึก!!!

     

    “เซฮุน!!!

     

                         <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 3.16

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ^^

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×