ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #36 : The Phonucorn ฟีนูคอน : ตรวนกาฬวาต – บทที่ ๑๓

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 444
      3
      2 มี.ค. 58

     

     

    Title : The Phonucorn ตรวนกาฬวาต – บทที่ ๑๓

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Sehun x Luhan

     

     

    บทที่ ๑๓

    The Phonucorn ฟีนูคอน : ตรวนกาฬวาต

     

     

     

     

     

    “ฉะ...ฉันไม่ได้มีอะไรสงสัยเกี่ยวกับพวกนาย แต่...ที่สงสัยอยู่น่ะ คะ...คือ...ตัวนายเองต่างหากล่ะ แค่นายคนเดียวเท่านั้นแหล่ะ”

     

    เซฮุนนิ่งไปหลังจากที่ลู่ฮานพูดจบ เขารู้อยู่แล้วว่าสักวันลู่ฮานจะต้องมีความกล้าพอที่จะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา แต่ปัญหาคือเขายังคิดไม่ออกว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรมากกว่า ถ้าจะทำใจกล้าบอกให้ร่างบางถาม ก็กลัวจะไม่มีคำตอบให้อยู่ดี แต่จะทำเป็นเงียบไปก็เหมือนสุมไฟแห่งความสงสัยให้โชติช่วง

     

    ...ชีวิตเซฮุนสงสัยจะจบวันนี้แล้วล่ะ...

     

    “นายให้ฉันถามได้มั้ย”

     

    “....”

     

    “แต่ถึงนายจะตอบว่าไม่ได้ ฉันก็จะพยายามหามันให้เจออยู่ดี”

     

    “นายจะหาอะไร”

     

    “หาสิ่งที่ฉันกำลังสงสัยยังไงล่ะ หาให้เจอว่าจริงๆแล้วนายคือใคร”

     

    “ฉันก็...โอ เซฮุนไง”

     

    “นายก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่แค่เซฮุน ฉันอาจยังไม่รู้ว่าสิ่งที่นายเป็นมันมาจากไหน แต่ฉันไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่านายไม่เหมือนชาวอเนโมสคนอื่น”

     

    “แต่นายก็ไม่ได้ฉลาดพอที่จะรู้นิว่าฉันต่างยังไง”

     

    ร่างสูงพูดออกไปพร้อมกอดอกมองอย่างท้าทาย เขาไม่ชอบให้ใครมาทำเหมือนรู้จักเขาดี เพราะนอกจากคิบอมที่เลี้ยงดูเขามาแล้ว ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่รู้จักเขาจริงๆ แม้แต่พ่อแม่แท้ๆของเขาก็ยังไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้

     

    “แต่ฉันจะต้องรู้มันสักวัน”

     

    “ก็เอาสิ”

     

    ในเมื่อร่างบางอยากจะรู้นักว่าเขาเป็นใคร เป็นตัวอะไร เขาก็จะปล่อยให้ลู่ฮานได้ทำในสิ่งที่ต้องการ แต่ผลที่จะตามมาหลังจากที่ทุกอย่างเปิดเผย เขาก็ไม่อาจจะคาดเดามันได้เช่นกัน ว่ามันจะผ่านไปในทิศทางไหน

     

    ...ความลับของเซฮุนมันง่ายเหลือเกินหากอยากรู้...

     

    “ความลับของฉันมันอยู่ในมือของนายแล้วนิ บางทีนายอาจจะรู้ว่าฉันเป็นใครในวันนี้พรุ่งนี้เลยก็ได้ลู่ฮาน แต่ก่อนที่นายจะได้รู้มัน ฉันก็มีคำถามที่อยากจะถามนายเหมือนกัน ไม่ทราบว่านายจะตอบฉันได้มั้ยล่ะ”

     

    “อะไร”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ก็ต้องถามออกไปหากว่านั่นจะทำให้เขาไม่เสียเปรียบอีกคน การหนีก็เหมือนการยกธงขาวในสงคราม มันคือการพ่ายแพ้ต่อความจริงเท่านั้นเอง และ ลู่ฮานไม่อยากที่จะแพ้ในเรื่องนี้

     

    “นายกลัวมั้ยกับสิ่งที่ทำอยู่”

     

    “ทำไมฉันจะต้องกลัว ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรน่ากลัวเลยนิ ก็แค่ความจริงเรื่องหนึ่งเท่านั้น”

     

    “แม้แต่ฉันก็ไม่กลัวเหรอ”

     

    หยาดน้ำใสที่ไหลอาบแก้มในวันประเพณีคัดสรรค์บอกให้รู้คำตอบนั้นดี ร่างบางกลัวความจริงของเซฮุนสุดใจ กลัวว่าหากรู้ว่าร่างสูงแตกต่างออกไปจากเผ่าที่เขาเคยเชื่อ มิตรภาพทุกอย่างก็จะพังทลายลงไปด้วย แต่ในเวลานี้ที่อยู่ต่อหน้าอีกคน ลู่ฮานไม่ได้อยากจะอ่อนแอจนกลายเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของเซฮุน

     

    “ฉันไม่มีทางกลัวนายหรอก”

     

    “ถ้าอย่างนั้น หวังว่านายจะไม่ต้องร้องไห้เพราะเรื่องของฉัน”

     

    “ทำไมฉันต้องทำอะไรอย่างนั้น สิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับนายตอนนี้มันไม่ได้น่าสงสารเลยสักนิดเซฮุน นายแข็งกระด้างต่อชีวิตของผู้วิเศษตนอื่น นายฆ่าพวกเขาเพียงเพื่อความอยู่รอดของนายได้ ทุกอย่างมันช่างไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องเสียน้ำตาให้นาย แต่ถ้าฉันร้องไห้ออกมาจริงๆ มันคงเป็นเพราะความสงสารเหล่าคนรอบตัวนายต่างหากล่ะ”

     

    “ไม่จริงหรอก...เพราะนายไม่รู้ถึงพูดแบบนี้ได้”

     

    ตาคมวาดมองใบหน้าสวยลึกลงไปจนถึงก้นบึ้งของจิตใจ อยากให้ร่างบางนี้รับรู้ถึงความสูญเสียที่เขาได้รับตลอดมา ความสูญเสียที่ทำให้เขากลายเป็นคนด้านชาอย่างที่ถูกพูดถึง เรื่องราวที่เปลี่ยนแววตาแสนอารี ให้ดุคมดั่งพายุร้ายเช่นตอนนี้

     

    ...เรื่องทุกอย่างมีเหตุผลที่เกิดขึ้นเสมอ...

     

    “มะ...หมาย...”

     

    “กลับไปได้แล้วลู่ฮาน เมืองอเนโมสไม่ใช่ที่ของนาย”

     

    คำกล่าวไล่จากเจ้าของบ้าน ทำให้แขกผู้ที่ถูกรับเชิญจำต้องทำตามที่อีกฝ่ายบอก ร่างบางหยิบเอาแจกันดอกไม้ที่วางอยู่ไม่ไกลมาไว้ในมือ เอาดอกไม้สีสวยออกจากแจกันที่มีน้ำอยู่ค่อนกลาง ราดรดร่างจนเปียกชุ่ม มองใบหน้าหล่อที่เสมองไปทางอื่นราวกับเขาไม่มีตัวตน กระแทกแจกันลงบนโต๊ะทรงเตี้ยไม่ไกล ก่อนจะเอ่ยชื่อสถานที่ที่จะไป

     

    “เนโร!

     

    ร่างกายที่เปียกชุ่มนั้นถูกเกลียวน้ำจากใยผ้าดูดกลืน จนหายไปกับไอน้ำเหล่านั้น เซฮุนหันมามองพื้นที่ว่างเปล่าข้างตัวอย่างรู้สึกโหวงเหวงไปหมด

     

    “นายไม่เคยเข้าใจฉันเลย ไม่เคยเลยลู่ฮาน...”

     

    <<< The Phonucorn…ตรวนกาฬวาต >>>

     

    คำดูถูกที่เหมือนการท้าทายของเซฮุน ทำให้ลู่ฮานยิ่งมุ่งมั่นที่จะรู้ให้ได้ว่าเรื่องที่ซ่อนอยู่ของเซฮุนคืออะไร ยิ่งคำพูดที่เหมือนการข่มขู่ให้เขากลัวนั่นด้วยแล้ว เขายิ่งมั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดมันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น

     

    “ฉันจะรู้มันให้ได้”

     

    มือเรียวเปิดหน้ากระดาษสีชาเก่าอย่างระวังมือ เพราะรู้ดีว่ามันคือหนังสือเล่มแรก ที่พิมพ์ขึ้นในชื่อ คัมภีร์แห่งการถือกำเนิด มันจึงแสนสำคัญสำหรับเหล่าผู้ศรัทธายิ่งกว่าสิ่งใด และ มันก็เป็นอย่างที่ลู่ฮานคิดไว้ไม่มีผิด ยิ่งปีการพิมพ์เก่ามากเท่าไร ก็ยิ่งมีความจริงที่ฟีนูคอนพยายามปิดซ่อนมากเท่านั้น หน้าแรกที่กล่าวถึงชนเผ่าอเนโมสนั้นช่างแตกต่างกับหนังสือเล่มอื่น มันไม่ได้บอกเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น แต่มันลงลึกขนาดวันประสูติของเทพอเนโมสเลยด้วยซ้ำ และ ที่น่าตกใจกว่าสิ่งใดทั้งปวง คือพรแห่งการถือกำเนิดที่แท้จริงของเทพแห่งสายลม

     

    ...สายเลือดแห่งวันประสูติ...

     

    “สิบสองเมษาวันประสูติแห่งเจ้าวายุ สายลมพัดกระพือพร้อมผลิกลีบแรกเรืองรองสีทองอร่าม สายเลือดเทวาผู้แสนบริสุทธิ์แย้มยิ้มรับราตรีมืด เรือนกายแข็งแกร่งด้วยอัญมณีแห่งเทพในกาย...หือ?...ในกายอย่างนั้นเหรอ”

     

    ลู่ฮานคงไม่ติดใจอะไรเลยในประโยคที่อ่านผ่านมา เขารู้ว่าอัญมณีล้ำค่านั้นคือแร่นักรบแห่งธาตุทั้งหก ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งการถือกำเนิดกลางอฟาคอลเพรส เพื่อรออีกสองอัญมณีสำคัญของพระบิดาและพระมารดาแห่งเทพเจ้า เพื่อจารึกเก็บมันไว้ในผลึกควบคุมฤทธิ์ไปตลอดกาล ว่ากันว่าแร่นักรบของเหล่าเทพนั้นร้ายกาจกว่าสิ่งใด หากผู้ถือครองไม่มีสายเลือดเทวา ก็ไม่อาจครอบครองมันได้อย่างแท้จริง

     

    “แล้วมันจะเข้าไปอยู่ในกายได้ยังไงล่ะ?”

     

    ยิ่งคิดก็เหมือนหัวสมองของลู่ฮานแทบจะระเบิด แต่ก็คงต้องฝืนอ่านต่อไปเพื่อไม่ให้เสียเวลามากไปกว่านี้ เพียงแค่มือเรียวเปิดพลิกหน้าต่อไป สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

     

    “เหยี่ยว~”

     

    เสียงนกยักษ์ร้องขึ้น ราวกับป่าวประกาศให้รู้ถึงการมาถึงของมัน ตากลมโตเงยหน้าไปมองด้วยความตกใจ ที่อยู่ๆเจ้าเหยี่ยวยักษ์ที่เคยมาส่งจดหมายให้ กลับมาเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างของห้องนอน แถมมันยังโผล่มาอยู่เสียตรงหน้าเขาจนไม่ทันได้ตั้งตัว

     

    “เห้ย?!

     

    “จะตกใจอะไรขนาดนั้น ขวัญอ่อนจริงนะ!

     

    เหยี่ยวหนุ่มบ่นยาวเพราะรู้ดีว่าลู่ฮานฟังตนเองไม่รู้เรื่อง ก่อนจะกระโดดเข้าไปในเขตห้องนอนของร่างบางอย่างถือวิสาสะ กรงเล็บคมฝังเป็นรอยเล็กน้อยไปตามพื้นห้อง นี่คงเป็นครั้งแรกที่เซฮุนใช้ร่างกายที่เป็นเหยี่ยว เข้ามาหาผลประโยชน์ในห้องของคนอื่นอย่างเสียมารยาท

     

    ...ถ้ากระทรวงไปรษณีย์รู้ เขาคงโดนปลดแน่ๆ...

     

    “ทำอะไรของเธอเนี่ย แม่นกน้อย?”

     

    “นายเรียกฉันแบบนี้อีกแล้วนะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันเป็นผู้ชาย!

     

    “อารมณ์ไม่ดีมาเหรอแม่นกน้อย”

     

    “ฉันอารมณ์ไม่ดีก็เพราะนายนั่นแหละ!

     

    คำพูดของเซฮุนกลายเป็นแค่การตอบรับสำหรับลู่ฮาน ที่ไม่สามารถเข้าใจภาษานกได้ มือเรียวถูกส่งไปลูบขนเงาบริเวณศีรษะอย่างปลอบประโลม ร่างบางยอมปิดคัมภีร์ที่อ่านค้างไว้ เพื่อมาดูว่าเพื่อนรักต่างสายพันธุ์นี้เป็นอะไรรึเปล่า

     

    “เธอพอจะมีวิธีเล่าให้ฉันฟังมั้ย?”

     

    “เพี้ยนรึไง?!

     

    “ไม่มีเหรอ แล้วทำยังไงฉันถึงจะคุยกับเธอได้ล่ะ?”

     

    ปีกระหงส์สยายออกกระพือใส่ด้วยความหงุดหงิด มันก็เหมือนเวลาที่เซฮุนโมโห แล้วต้องขยี้ศีรษะจนยุ่งไปหมดไม่มีผิด ลู่ฮานมองภาพนั้นของเหยี่ยวหนุ่มแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาอย่างขบขัน พลันสมองก็เผลอคิดไปถึงคนใจร้ายที่เอ่ยปากไล่เขาเมื่อเย็น

     

    “ฉันคงฟังนายไม่รู้เรื่องจริงๆสินะ ยังไงถ้านายอยากจะพูดอะไรก่อนก็พูดมาเถอะ คิดเสียว่ากำลังมีฉันที่รับฟังนะ”

     

    รอยยิ้มหวานถูกมอบให้เหยี่ยวหนุ่ม อย่างที่เซฮุนไม่เคยจะได้รับอีกแล้ว ข้อดีของการมาหาลู่ฮานในร่างนี้ คงไม่พ้นการได้เห็นรอยยิ้มสวยๆที่ส่งมาให้เขานั่นแหละมั้ง

     

    ...เรื่องเดียวที่เซฮุนจะไม่มีทางได้รับ...

     

    “แต่ถ้าเธอไม่มีอะไรจะพูด ฉันก็มีเรื่องจะพูดอยู่ดี”

     

    “เหอะ! ที่แท้ก็เอาฉันมาเป็นที่ระบายรึไง”

     

    “แต่ถ้าเธอรำคาญล่ะก็ กระพือปีกแบบเมื่อกี๊อีกครั้งก็ได้นะ ฉันจะได้รู้ยังไงล่ะว่าพูดมากเกินไป”

     

    ยิ่งกว่ารอยยิ้มที่สดใส คือเสียงหัวเราะที่คลอมาให้ได้ยินระหว่างที่ลู่ฮานลุกขึ้น เดินกลับไปนั่งคัมภีร์ที่วางทิ้งไว้อีกครั้ง

     

    ...ไหนบอกว่ามีอะไรจะเล่า?...

     

    จึก! จึก!

     

    เซฮุนในร่างเหยี่ยวหนุ่มได้แต่นิ่งไปรอให้ร่างบางพูด แต่เพราะลู่ฮานไม่ยอมพูดอะไรเสียที เขาเลยต้องยอมเดินไปจิกที่แขนเสื้อเพื่อเรียกลู่ฮาน ไหนๆก็เสียเวลาลุ้นมาได้ตั้งนานแล้ว ก็ไม่อยากจะให้เสียเที่ยวที่อุตส่าห์บินมาตั้งไกล

     

    “อะไรหรอ? เธออยากจะฟังเรื่องของฉัน?”

     

    “อือ!

     

    “แสดงว่าเธอเข้าใจที่ฉันพูดเหรอ”

     

    “ถ้าหัวสมองระดับฉันไม่รู้ คนแบบนายก็ไม่ได้พูดภาษาฟีนูเนียนแล้วล่ะ”

     

    “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเล่านะ”

     

    “จะเล่าก็เล่าสักทีเถอะพ่อคุณ!

     

    “เปลี่ยนใจละ ไม่เล่าดีกว่า”

     

    “เอ้า?!

     

    “ฉันไม่อยากให้เธอเครียดนะนกน้อย นานๆเธอจะแวะมาหาฉันสักที”

     

    “เพราะนายไม่ยอมบอกนี่ล่ะ ฉันกำลังเครียดแล้วลู่ฮาน!!!

     

    เพราะเหยี่ยวหนุ่มแผดเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิด ลู่ฮานเลยตีความเป็นว่านั่นคือเสียงของความเสียใจแทน มือเรียวลูบลงไปที่ขนบนศีรษะของมันหวังปลอบประโลม แต่ตอนนี้เซฮุนในร่างเหยี่ยวหนุ่มอยากจะจิกมือนั้นระบายความเครียดมากกว่า

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    “ลู่ฮานอยู่ข้างในนั้นรึเปล่าลูก”

     

    “ครับแม่”

     

    “กำลังทำอะไรอยู่น่ะ แม่เหมือนได้ยินเสียงเหยี่ยวเลยนะ”

     

    “อะ...เอ่อ...ไม่มีอะไรนิครับ ผมกำลังฝึกร่ายเวทน่ะครับ”

     

    คำแก้ตัวแบบขอไปทีของลู่ฮาน ดูเหมือนจะได้ผลอย่างง่ายดาย จนเซฮุนได้แต่อ้าปากค้างมองตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมความสงสัยถึงคลายออกได้ง่ายขนาดนี้ ถ้าเป็นบ้านเขาเหรอ ป่านนี้คิบอมคงเปิดประตูเข้ามาดูให้แน่ใจแล้ว ว่าสิ่งที่เขาบอกไปนั้นใช่ความจริงหรือเปล่า

     

    “สงสัยอะไรรึเปล่าแม่นกน้อย เงียบเชียวนะ ไม่ต้องกลัวแม่ของฉันหรอก เธอเป็นคนใจดีที่มักจะมารับจดหมายบ่อยๆไงล่ะ”

     

    “ฉันรู้น่ะ!

     

    “เธอจำได้ใช่มั้ย แม่ของฉันสวยล่ะสิ”

     

    “ก็ใช่น่ะนะ”

     

    “ฉันก็หน้าตาดีเหมือนแม่นั่นแหล่ะ ฮะฮะฮ่า”

     

    “ก็ใช่...เห้ย!!!...นายพูดบ้าอะไรของนายเนี่ย?!

     

    หลังจากเผลอยอมรับออกไปว่าลู่ฮานมีใบหน้าที่น่ารัก เซฮุนก็สงบปากสงบคำด้วยความรู้สึกหัวใจเต้นโครมคราม เขาไม่เคยรู้สึกอยากจะยอมรับว่าใครสักคนคือคนที่หน้าตาดีอย่างวันนี้มาก่อน ขนาดคริสที่เขาก็เห็นอยู่ว่าหน้าตาดีราวเทพเจ้าปั้นแค่ไหน เขาก็ยังมีข้ออ้างให้ร่างสง่านั้นดูไม่ดีได้เลย

     

    ...แล้วทำไมเขาถึงไม่หาข้อติลู่ฮานบ้างล่ะ...

     

    “วันนี้ดึกแล้วนะ เธอควรจะกลับไปได้แล้ว ไปพักผ่อนนะนกน้อย”

     

    “นี่นายไล่ฉันเหรอ?!

     

    “เดี๋ยวค่อยมาเล่นกันวันหลัง วันนี้ฉันมีอย่างอื่นต้องทำนะ”

     

    “อย่ามาลูบหัวฉันนะ!

     

    “ไปๆ”

     

    ร่างบางไม่พูดเปล่า แต่ใช้สองมือรวบร่างเจ้าเหยี่ยวยักษ์ที่ยังหวีดเสียงไม่หยุดขึ้น โยนเซฮุนออกไปจากหน้าต่างอย่างไม่คิดจะถนอมตามคำพูด คงเพราะลู่ฮานรู้ว่าเหยี่ยวหนุ่มมีปีก ถึงไม่กลัวว่ามันจะตกไปตายจากชั้นสองของบ้าน

     

    ...แต่ลู่ฮานคงลืมไปว่าเซฮุนยังไม่ทันตั้งสติเลย...

     

    “เหยี่ยว!!!

     

    เกือบที่ร่างนั้นจะถึงพื้นอยู่แล้ว ปีกแกร่งถึงสยายออกกระพือพยุงตัวขึ้น ตาคมค้อนขึ้นมองร่างบางที่ยังชะโงกหน้าลงมาดูราวกับตกใจ แต่ถ้าห่วงเขาจริงจะกล้าโยนเขาลงมาแบบนี้เหรอ นี่ขนาดลู่ฮานคิดว่าเขาเป็นนกเพศเมียแล้วนะ แต่ก็ยังกล้าโยนเขาลงมาขนาดนี้

     

    “ไอ้หน้าเนื้อใจเสือ!!!

     

    “ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจนะ”

     

    “ฉันคงจะเชื่อหรอก!!!

     

    เสียงหวีดยาวด้วยความเคืองไม่น้อยดังลั่น ก่อนที่เซฮุนจะบินหนีไปบนท้องฟ้ากว้าง ทันเวลาที่บานประตูไม้ของบ้านหลังน้อยเปิดออกพอดี ผู้เป็นแม่ของร่างบางออกมายืนมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ เธอมั่นใจว่าได้ยินเสียงเหยี่ยวที่บ้านของเธอจริงๆ และ ทุกครั้งมันควรจะมีจดหมาย แต่คราวนี้กลับว่างเปล่าและมีเพียงลูกชายของเธอ ที่คงชะโงกหน้าออกมารับลมด้านนอก กำลังโบกมือให้เธออย่างเป็นมิตร

     

    “ออกมาทำอะไรเหรอครับแม่?”

     

    “แม่ได้ยินเสียงเหยี่ยวน่ะ ลูกเห็นมันบ้างรึเปล่า บางทีอาจมีจดหมายสำคัญ”

     

    “ไม่เห็นมีอะไรเลยนะครับ”

     

    “อย่างนั้นเหรอ?...ถ้างั้นยังไงก็อย่าลืมลงมาทานอาหารนะลู่ฮาน”

     

    “ครับ”

     

    ใบหน้าสวยแย้มยิ้มให้กับความหวังดีของผู้เป็นแม่ ก่อนจะกลับเข้ามานั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือของตนเองอีกครั้ง เปิดไปหน้ากระดาษที่ค้างไว้ ตั้งใจว่าจะอ่านมันต่อหากแต่ก็ต้องขมวดคิ้วแน่นด้วยความแปลกใจ หน้ากระดาษหลายหน้ามีกรงเล็บข่วนเป็นทาง ทำให้ไม่สามารถประติดประต่อเรื่องที่จะอ่านได้ ลู่ฮานอ้าปากค้างอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี ไม่เข้าใจว่าทำไมการอ่านคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดถึงยากเย็นนัก

     

    “สงสัยเราจะเป็นมารศาสนามากไปซะล่ะมั้ง?”

     

    แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น มือเรียวก็ยังไล่อ่านเนื้อหาที่ยังคงอยู่ต่อไป แม้จะมีบางช่วงที่รู้เรื่องบาง หรือ ไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม แต่สิ่งที่ลู่ฮานได้รู้อย่างแน่นอนคือตอนนี้ สายเลือดเทวาแห่งอเนโมสยังมีชีวิตอยู่จริง ถึงจะไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเทพอเนโมสอย่างแท้จริง แต่ก็ได้ถูกเลือกตามวันเกิดของคนๆนั้นแล้ว

     

    ...ใครบางคนที่เกิดวันที่สิบสองเมษา...

     

    “เดี๋ยวนะ!

     

    เสียงหวานร้องขึ้นด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่เขาเปิดมาเจอ ภาพวาดของนกยักษ์แสนคุ้นตา ที่มีแผงขนสีน้ำตาลที่ช่วงไหล่ของมัน ดูเพียงแค่ภายนอกมันคงเป็นแค่เหยี่ยวธรรมดา แต่หากมองดีๆจะรู้ว่ามันมีดวงตาสีควันบุหรี่ ซึ่งต่างจากเหยี่ยวตัวอื่นที่ถูกวาดขึ้นประกอบรอบๆ

     

    “คงไม่ได้หมายความว่าเทพอเนโมสสามารถกลายร่างเป็นเหยี่ยวได้หรอกนะ?”

     

    ความลับแรกของเมืองลมดูเหมือนจะถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดายเพียงสังเกต แต่ก็น่าแปลกที่ไม่เคยมีผู้วิเศษตนใดสงสัยมัน ว่าทำไมสัญลักษณ์ของชาวอเนโมสถึงเป็นเหยี่ยว ทั้งที่ตามตำนานก็บอกชัดแล้วว่าเทพอเนโมสนั้นเป็นถึงผู้ถือครองสัตว์วิเศษ ซึ่งมีพลังอำนาจสมเกียรติมากกว่าอย่างเจ้าฟีนูคอน เหตุผลที่แท้จริงที่เหยี่ยวธรรมดาสำคัญกว่าสัตว์วิเศษของเมืองจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

     

    ...หากไม่ใช่เพราะเขาเองคือเหยี่ยว...

     

    “แล้วอย่างนี้ เจ้าเหยี่ยวตัวนั้นคือใครล่ะ?”

     

    จดหมายทุกฉบับไม่ได้ถูกส่งมาอย่างไม่ใส่ใจอย่างที่ร่างบางเคยคิด กรมไปรษณีย์แห่งฟีนูคอน สามารถซ่อนความลับนี้ไว้ภายใต้คำสบประมาทมาได้เป็นอย่างดีทีเดียว คงไม่มีใครรู้หรอกว่าทุกครั้งที่เสียงเหยี่ยวประกาศก้อง จะมีสายลมแห่งนักเดินทางอยู่บนนั้น คอยมองหาจุดหมายที่จะลงมาส่งข้อความเหล่านั้นให้ถึงมือผู้รับ ด้วยความใส่ใจจากบุรุษไปรษณีย์นิระนาม

     

    ...ในร่างของเหยี่ยวผู้แสนองอาจแห่งอเนโมส...

     

    “แล้วฉันจะไปหาเหยี่ยวในตาสีควันบุหรี่ได้จากไหนกันล่ะ?”

     

    ถึงจะรู้ความลับนี้แล้ว แต่ดูเหมือนมันก็ยังไม่มีอะไรที่เข้าใจง่ายขึ้นอยู่ดี เพราะถึงเขาจะรู้ว่าสายเลือดเทวาของอเนโมสสามารถดูได้อย่างไร ก็ใช่ว่าเหยี่ยวที่พิเศษขนาดนั้นจะบินมาส่งจดหมายที่บ้านเขาให้จับได้นิ

     

    ...และลู่ฮานคงคิดไม่ถึงว่าตนเองเพิ่งโยนมันลงจากหน้าต่างด้วย...

     

    “แล้วฉันจะหาเขาไปทำไมล่ะ?”

     

    พอคิดไปคิดมาลู่ฮานก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์จริงๆของเขา มันไม่ใช่การหาสายเลือดเทวาของอเนโมส แต่มันเป็นการทำเพื่อจับผิดเซฮุนต่างหาก แล้วคนอย่างเซฮุนก็ไม่ดูเหมือนจะกลายเป็นเหยี่ยวหนุ่มได้เลย คนที่มีความอดทนต่ำขนาดนั้น คงไม่มีทางรับงานที่ต้องบริการคนอื่นขนาดนี้ แค่เซฮุนพาอี้ชิงเที่ยวก็รับเงินไม่หวาดไม่ไหวแล้วล่ะมั้ง

     

    “ช่างมันเถอะ”

     

    ความสนใจทั้งหมดกลับมาอยู่ในสิ่งที่ควรจะเป็นอีกครั้ง แม้ลู่ฮานพยายามจะบอกว่าไม่ใส่ใจ แต่พอเขาปล่อยให้ตนเองอยู่เฉยๆ ก็มักจะหลงลืมจุดประสงค์ที่แท้จริง แล้วคิดต่อถึงเรื่องเทวาแห่งอเนโมส

     

    ...มันเหมือนมีบางอย่างบอกว่าให้อ่านต่อจากจุดนั้น...

     

    “ถึงเจอ เขาก็ไม่เกี่ยวอะไรสักหน่อย”

     

    แต่เรื่องของเซฮุนมันจะเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน ตอนนี้ร่างบางไม่รู้เลยว่ามีเวลาหาความจริงอีกนานแค่ไหน ก่อนที่คำทำนายของเขาจะเป็นผลอย่างแท้จริง เขาจะต้องรู้ความหมายของสายตาในคำทำนายนั้นให้ได้ ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมเซฮุนถึงเป็นคนที่เฝ้ามองเขาในทุกๆที่

     

    “เจ้าวิหกจะผกผินในอากาศ แข่งกับวายุแห่งความสุขไปในทุกที่ ไม่มีใครรู้ถึงการซ่อนตัวแห่งลม พวกเขารักอิสระที่ได้รับมอบจากผู้เป็นเจ้าแห่งฟีนูคอน สายเลือดเทวาจะได้รับฤทธาแห่งเทพ ให้ว่องไวกว่าสายลมทั้งปวง ราวกับหยุดเวลาเพื่อเคลื่อนไหวและรับฟังเสียงอวยพรจากเหล่าผู้ศรัทธา”

     

    มือเรียวยกขึ้นกุมขมับอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของคนสมัยก่อนหนักกว่าเก่า แค่พยายามเข้าใจในบทร่ายของคัมภีร์ก็ว่ายากแล้ว แต่ยิ่งปีที่พิมพ์เก่ามากเท่าไร ดูเหมือนภาษาที่ใช้ก็จะเข้าใจยากยิ่งเสียกว่าหลายเท่า

     

    “เสียงอวยพรจากผู้ที่ศรัทธา ว่องไวกว่าสายลมทั้งปวงอย่างนั้นเหรอ?”

     

    ภาพในสมองกำลังซ้อนทับกับเงาของร่างสูงที่เขาเห็น ลู่ฮานรู้สึกเหมือนอากาศโดยรอบเย็นขึ้นถนัดตา การเคลื่อนไหวที่ไวกว่าทุกสิ่งที่ลู่ฮานเคยพบเจอ แม้แต่เหยี่ยวตัวนั้นก็ยังดูเหมือนจะมีวิธีบินที่ช้ากว่าเซฮุน ร่างสูงที่ขยับไปในส่วนต่างๆนั่นไม่ใช่การเดินแบบที่เขาเคยเห็นแน่ๆ จะเรียกว่าวิ่งก็ไม่เต็มปาก

     

    ...เซฮุนแทบไม่ขยับขาเลยสักนิด...

     

    “แล้วเขาทำได้ยังไงล่ะ”

     

    ภาพของเงานั้นดูเหมือนสิ่งที่เรียกว่าการหายตัว แต่เพราะทุกอย่างเหมือนมีการเคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่การกระพริบตาแล้วมาอยู่อีกที่ ลู่ฮานถึงไม่กล้านิยามว่านั่นคือการหายตัวหรือเปล่า

     

    “โว้ย!!! นายเป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย?!

     

    ...แต่ไม่ว่านายจะเป็นอะไร ฉันต้องรู้ให้ได้!...

     

                         <<< The Phonucorn…ตรวนกาฬวาต >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 2.13

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    หายไปสองอาทิตย์ เพราะฉะนั้นอาทิตย์นี้แอมจะลง 3 ตอนนะคะ และ จะเจอแอมอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 13 เลยค่ะ เพราะแอมต้องเตรียมตัวสอบและเข้าไปคุยโปรเจค ขอความเห็นใจหน่อยนะคะถ้ามาสายไปบ้าง ยังไงอย่าเพิ่งทิ้งเค้าน้า....า~ LOVE YA! เจอกันภายในอาทิตย์นี้ค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้กันนะคะ

     

     

    © themy
    butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×