ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #30 : The Phonucorn ฟีนูคอน : ตรวนกาฬวาต – บทที่ ๗

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 586
      3
      26 ธ.ค. 57

    Title : The Phonucorn ตรวนกาฬวาต – บทที่ ๗

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Sehun x Luhan

     

     

    บทที่ ๗

    The Phonucorn ฟีนูคอน : ตรวนกาฬวาต

     

     

     

     

     

    “เราต้องซ่อนที่นี่ถึงเมื่อไร?”

     

    คำถามเดิมๆในรอบที่เท่าไรของลู่ฮานก็ไม่รู้ ยังคงถูกถามอย่างหวังจะได้คำตอบที่น่าพอใจ ร่างบางไม่ค่อยชอบที่ซ่อนของเซฮุนสักเท่าไร เขาไม่เข้าใจว่าร่างสูงใช้อะไรคิดที่เอาตนเองมาอยู่ตรงนี้

     

    ...โคมไฟกลางโถงของห้องสมุด...

     

    “ก็จนกว่ามันจะหมดเวลานั่นแหละ”

     

    “อะไรบอกนายว่าควรจะอยู่บนนี้จนหมดเวลา?”

     

    มันดูไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยที่มาอยู่บนนี้ มันอาจจะจริงที่แทบไม่มีเด็กคนไหนผ่านเข้ามาที่ห้องสมุดเลย แถมพวกที่เข้ามาอันน้อยนิดก็ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมาบนนี้สักคน ทั้งที่พวกเขาไม่มีทางสู้ได้เลยสักนิด ในขณะที่มือทั้งสองข้างต้องรั้งเอาสายโซ่ที่เชื่อมอยู่กับเพดานไว้ ไม่ให้ต้องตกลงไปแล้วตายอย่างอนาถ แทนการตายอย่างมีศักดิ์ศรีด้วยการโดนฆ่าตามที่ควรจะเป็น

     

    ...เขามั่นใจว่าอย่างแรกคือการตายที่น่าอายกว่า...

     

    “ก็สมองอันชาญฉลาดของฉันไงล่ะ”

     

    “นายคิดว่าการเอาชีวิตเรามาแขวนไว้บนนี้ มันฉลาดมากนักรึไง?”

     

    “ฉันทำให้นายรอดพ้นชั่วโมงแรกมาได้ สมองตื้นๆของนายสำนึกไม่ได้ถึงความฉลาดของฉันรึไง?”

     

    ตาคมค้อนขวับพร้อมพูดทวงบุญคุณขึ้นมา ยิ่งทำให้ร่างบางโกรธเป็นเจ้าเข้า เซฮุนไม่ได้สำนึกเลยสักนิด ว่าพาเขาขึ้นมาโหนอยู่บนนี้จะร่วมสองชั่วโมงอยู่แล้ว เขาทั้งล้าและหวาดกลัวว่าจะมีใครสักคนมองขึ้นมาตลอดเวลา นี่ยังไม่รู้อีกเหรอว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยสักนิด

     

    “ถ้าไม่ได้ฉัน นายอาจจะตายตั้งแต่ที่ลานนั่นแล้วก็ได้”

     

    “ฉันไม่มีทางตายตั้งแต่ชั่วโมงแรกหรอก”

     

    “รู้ได้ไง?”

     

    “เพราะฉันก็ไม่ได้ห่วยขนาดนั้นไง!!!

     

    เสียงหวานแผดขึ้นอย่างเหลืออด ซึ่งมันก้องไปทั่วห้องสมุดในทันที โชคดีที่เวลานี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคน มันจึงไม่ได้นำภัยมาแก่พวกเขาสักเท่าไร ถ้ามีคนเดินอยู่ด้านนอกก็อาจจะได้ยินมันแว่วๆเท่านั้น

     

    “จะแหกปากให้พวกข้างนอกมันแห่เข้ามาฆ่าเรารึไงฮะ?”

     

    “ก็นายกวนประสาทฉันนิ ฉันก็ต้องโมโหเป็นธรรมดา”

     

    “ก็นายชอบถามคำถามโง่ๆ แล้วก็อวดดีไม่เข้าเรื่อง”

     

    “ฉันไม่ได้อวดดีนะ!

     

    “หยุดเสียงดังเลยลู่ฮาน!!!

     

    “นายนั่นแหล่ะที่เสียงดัง!

     

    สองเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆอย่างยากจะควบคุมตามแรงโทสะ มันดังขึ้นแล้วก็เบาสลับกันอยู่นาน ก่อนที่จะเบาลงอย่างอัตโนมัติตามเสียงบานประตูที่เปิดออก

     

    แอ๊ด!~

     

    “ไหนวะฮันบิน ไม่เห็นมีใครเลย?”

     

    คำพูดแรกดังขึ้นหลังจากที่เด็กสองคนผู้มาเยือน เดินไปจนทั่วห้องสมุด จนกลับมาที่โถงตรงทางเข้าอีกครั้ง เด็กที่ชื่อฮันบินมองไปรอบๆอย่างไม่เข้าใจว่าเสียงที่ได้ยินหายไปไหน ทั้งที่เขายืนแอบฟังอยู่นานก่อนที่จะเข้ามา

     

    “แต่ฉันได้ยินจริงๆนะเว่ย”

     

    “หูแว่วแล้วมั้งแก อาจจะมาจากห้องข้างๆก็ได้ โถงใหญ่เสียงมันก็ก้องๆแบบนี้แหล่ะ ไปที่อื่นก่อนที่จะหมดเวลาสนุกเถอะ”

     

    ...การฆ่าผู้อื่นคือเรื่องสนุกๆอย่างนั้นเหรอ?...

     

    ลู่ฮานกำมือแน่นระหว่างที่ฟังบทสนทนาที่ผ่านไปทุกประโยค ของเพื่อนร่วมรุ่นทั้งสองคน รอจนเด็กสองคนนั้นเดินออกไปเพื่อทำเรื่องสนุกๆอย่างที่พวกนั้นว่า แล้วก็รีบกระโดดลงมาตามชั้นหนังสือ ที่ใช้มันปีนขึ้นไปอยู่บนนั้นทันที

     

    “นายจะไปไหนน่ะ ขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย!

     

    “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่เหมือนคนขี้ขลาด”

     

    “อยู่รอดมันขี้ขลาดตรงไหน”

     

    “แล้วการอยู่รอดดูคนอื่นตายมันกล้าหาญตรงไหนกัน?”

     

    “อย่าทำตัวเป็นพระเอกเอาตอนนี้เลยน่ะ นายคิดเหรอว่าจะวิ่งถืออาวุธออกไป แล้วก็ไล่จัดการพวกตัวร้ายข้างนอกนั่นง่ายๆ แล้วนายคิดว่าคนที่นายหวังจะไปช่วยมันจะสำนึกบุญคุณนายกันทุกคนรึไง อย่ามาโลกสวยเอาตอนนี้น่ะ”

     

    เซฮุนยังคงพยายามโน้มน้าวให้ลู่ฮานเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด แม้มันจะฟังดูเห็นแก่ตัวเอามากๆก็เถอะ แต่วันประเพณีคัดสรรค์มันไม่มีใครเป็นมิตรต่อกันหรอก ยิ่งคนเหลือรอดเยอะเท่าไร ก็แสดงว่าเด็กปีนั้นไม่มีประสิทธิภาพในการปกป้องฟีนูคอนเท่านั้น ดังนั้นถึงเราเลือกที่จะช่วยคนที่คิดว่าเป็นมิตรในตอนนี้ สุดท้ายคนๆนั้นก็จะฆ่าเราอย่างไม่ใยดีสิ่งที่เราทำอยู่ดี

     

    ...ทุกคนก็แค่อยู่บนสัจจะธรรม...

     

    “แต่ฉันคงนิ่งดูดายแบบนี้ไม่ได้หรอก นายไม่ห่วงอี้ชิงที่อยู่ข้างนอกบ้างรึไง เขาคือเพื่อนของนายมากกว่าที่เป็นเพื่อนของฉันเสียอีก”

     

    “เดี๋ยวอี้ชิงก็ตามหาพวกเราเองแหละน่ะ”

     

    ตาคมกลอกไปมากับคำพูดของลู่ฮานอย่างเริ่มระอา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วงเพื่อน แต่เพราะเขาตกลงกับอี้ชิงแล้วว่าหลังจากหาที่ซ่อน ให้มาหาเขาที่นี่ต่างหากล่ะ เขาถึงไม่สามารถไปที่อื่นได้ในเวลานี้

     

    “นายคิดว่าอี้ชิงจะมาตามหาพวกเราได้ยังไงกัน เขาไม่รู้วิธีจับอาวุธที่ถูกต้องด้วยซ้ำ แล้วนายเชื่อเหรอว่าอี้ชิงจะฆ่าใครสักคนเพื่ออยู่รอดน่ะ ไม่มีใครเขาเห็นแก่ตัวแบบนายกันหรอก!

     

    “เห้ยๆ จะมากไปแล้วนะลู่ฮาน!

     

    เซฮุนใช้มือหนึ่งที่ว่างจากการหาที่เกาะ ยื่นออกไปชี้ใบหน้าสวยที่แหงนหน้ามองเขาอย่างถือดี อยากลงไปเอาเรื่องลู่ฮานเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าสายตาของเขาดันเหลือบไปเห็นเงาผ่านกระจกขุ่น ภายนอกห้องสมุดเสียก่อน

     

    “ลู่ฮานหลบเร็ว มีคนมา”

     

    “เฮือก!

     

    ร่างบางสะดุ้งให้ด้วยความตกใจตามคำเตือนนั้น ขาเล็กออกตัววิ่งไปที่มุมของชั้นวางหนังสือที่อยู่ห้างออกไปพอสมควร ก่อนจะแนบสีข้างไปตามแนวของชั้นวางหนังสือ ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัว เมื่อเสียงของบานประตูที่คอยฟังมาตลอดสองชั่วโมงเปิดออกอีกครั้ง

     

    แอ๊ด!~

     

    “แฮ๊ก...แฮ๊ก...”

     

    เสียงหอบเหนื่อยดังมาจากคนที่เปิดประตูกลับเข้ามา เซฮุนขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ แต่หน้าของคนๆนี้กลับไม่ใหม่ไปด้วยเลย เขาคือคนเดียวกับที่เปิดเข้ามาเมื่อครู่ ตอนนี้ก็แค่มาคนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องบอกร่างสูงก็พอเดาออกว่าเพื่อนรักปากดีอีกคนไปไหน ดูจากรอยเลือดที่เลอะตามเสื้อของเด็กฮันบินนี่แล้ว คงเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่แสนดุเดือดมาแน่ๆ

     

    ...คงไม่เจอเรื่องที่สนุกมากถึงต้องหนีมาที่นี่...

     

    บานประตูถูกปิดลงอีกครั้งพร้อมแววตาที่สั่นระริกด้วยความกลัว ขาที่สั่นไม่น้อยนั้นถอยเข้าไปภายในห้องสมุดเรื่อยๆ ดูเหมือนฮันบินจะไม่ได้สนใจเรื่องการมีอยู่ของใครในเวลานี้เลย ทั้งที่ตำแหน่งของคนๆนี้เข้าใกล้ลู่ฮานมากแล้ว

     

    “ทำอะไรอยู่เนี่ย ลู่ฮานเอ้ย~”

     

    เซฮุนได้แต่บ่นออกมาเบาๆ เพราะเขาอยู่ในมุมสูง จึงเห็นว่าลู่ฮานนั้นแค่ยืนตัวสั่นอยู่หลังชั้นหนังสือเท่านั้น ไม่มีการตั้งรับอะไรเลยสักนิด แล้วแบบนี้น่ะเหรอจะฝ่าดงคมหอกคมดาบข้างนอกไปได้ มีหวังได้ตายตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากที่นี่แน่

     

    “ข้าแต่เทพอเนโมสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายนี้ข้าขอมอบเพื่อป้องปักษ์ ขอแร่นักรบจงโปรดคุ้มครองกายข้าราวกับเป็นดวงจิตของมัน ข้าขอสาบานจะผูกพันธะสัญญากับเจ้าชั่วนิรันดร์”

     

    สุดท้ายเสียงทุ้มก็เอ่ยเรียกอาวุธคู่กายออกมา ขายาวก้าวขึ้นมานั่งบนโคมไฟที่ไหวติงอย่างไม่นึกกลัวว่าจะตกลงไป แถมยังใจกล้าเอาหัวลูกศรเหล็กไปกระทบเล่นเงากับไฟของโคมไฟเสียอีก แสงวาววับกระจายไปรอบๆเหมือนมายากล ซึ่งมันทำให้ฮันบินยิ่งตื่นตระหนก หมุนไปรอบๆตนเองตามแสงไฟไม่หยุด ดาบที่ถือไว้มั่นทั้งสองมือปัดป่ายไปมาอย่างไร้จุดหมาย

     

    “ตลกจริงๆ”

     

    เซฮุนเริ่มรู้สึกสนุกกับการได้แกล้งพวกถือดีเมื่อครู่เช่นนั้น เขาหลอกตาฮันบินจนกระทั่งเห็นว่าสายตาทั้งสองคู่สบกันพอดี ฮันบินเหลือกตาใส่เซฮุนท่าทางเอาเรื่อง ขาที่เคยก้าวถอยกลับเดินมาใกล้อีกครั้ง แต่มีเหรอที่คนอย่างเซฮุน จะต้องมานั่งกลัวพวก    อฟาไตรปลายแถวเช่นนี้

     

    “ตายซะเถอะแก ไอ้เซฮุน!!!

     

    เสียงดุดันนั้นประกาศก้องห้องโถงนี้ คมดาบง้างเงื้อมไปด้านหลัง พร้อมแรงกระโดดที่ทำให้ฮันบินลอยขึ้นได้ไม่ยาก คมดาบฝังลงที่โคมไฟอย่างเต็มแรง จนเกิดแรงโคลงราวกับมันจะหลุดร่วงลงมา แต่ถึงมันจะตกลงไปก็คงไม่มีผลอะไรเสียแล้ว เพราะบัดนี้ร่างสูงกำลังยืนอยู่บนหลังชั้นหนังสือ พร้อมเล็งคันธนูไปที่ผู้วาดร้ายเรียบร้อยแล้ว

     

    ...ทุกอย่างมันไวจนน่าตกใจ...

     

    ไม่ใช่แค่ความว่องไวทางด้านความถนัดของเซฮุนเท่านั้นที่ว่องไว แต่ร่างกายนั้นก็สามารถเคลื่อนย้ายตนเองไปอีกที่หนึ่งได้เร็วอย่างน่าอัศจรรย์ หากเป็นคนอื่นคงได้พลาดร่วงลงมาที่พื้นด้านล่างเสียแล้ว

     

    ...มันคงเป็นพรสวรรค์ของพวกอเนโมส...

     

    “แก!!!

     

    “เผ่าอฟาไตรไม่เคยสอนมารยาทให้แกรึไง?”

     

    “อย่ามาทำปากดี!!!

     

    “แล้วถ้าฉันจะทำ คนแบบแก...มีปัญญาทำอะไรฉันเหรอ?”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างยียวนอารมณ์ พร้อมกดยิ้มเยาะให้เป็นการท้าทายอย่างไม่เว้นระยะ ไม่ใช่แค่ลูกธนูที่ทำให้เซฮุนมั่นใจว่ามันจะไวกว่าคมดาบ ที่ต่อให้มีแรงปาก็คงไม่มีทางพ้นชั้นหนังสือนี้แน่เท่านั้น แต่เพราะขายาวๆของเขามันสามารถไปที่ไหนก็ได้ที่มันต้องการ และ ว่องไวกว่าสายลมเสียอีก

     

    ...แล้วอย่างนี้เซฮุนจะต้องกลัวอะไรกัน?...

     

    “ไอ้เซฮุน!!!

     

    “เก็บปากไว้ครางก่อนตายเถอะ ไอ้ฮันบิน!

     

    ฉึบ! กึก!

     

    เสียงของลูกธนูที่ปักลงเฉียดแขนเสื้อไปเพียงเล็กน้อย ดังขึ้นพร้อมคมมีดที่เจาะเข้าไปกับชั้นวางหนังสือที่ร่างสูงยืนอยู่พอดี สร้างแรงโทสะให้เกิดกับจิตใจเด็กหนุ่มทั้งสอง

     

    “ไอ้ขี้ขลาด! แกคิดว่ายืนอยู่บนชั้นวางหนังสือแบบนั้น แล้วมันจะทำให้แกดูเก่งที่อยู่รอดรึไงวะ?!

     

    “บอกตามตรงว่าเปล่า ฉันก็แค่ขี้เกียจลง...”

     

    เซฮุนกระตุกยิ้มร้ายอย่างคนที่เหนือกว่า ก่อนจะสนองความต้องการของเพื่อนร่วมรุ่นที่แสนเย่อหยิ่ง ด้วยการเคลื่อนตัวลงมาเผชิญหน้าประดุจความเร็วแสง แม้แต่ลู่ฮานที่ทำได้แค่มองผ่านเงาของเท่านั้น ยังรู้สึกถึงความเป็นไปไม่ได้ที่ร่างสูงจะทำเช่นนั้น คงไม่ต้องบอกถึงใบหน้าของฮันบินที่ยืนเผชิญหน้าอยู่

     

    ...ถ้ามีใครจะเคลื่อนกายได้เร็วเท่า คงต้องเป็นผู้สิ้นชีพเท่านั้นแหละ!...

     

    “กะ...กะ...แกทำได้ยังไงน่ะ!

     

    “สำคัญด้วยเหรอว่าฉันทำได้ยังไง มันสำคัญที่ฉันมายืนอยู่ตรงนี้แล้วต่างหากล่ะ”

     

    ปากหยักยกยิ้มเยาะยิ่งสนุกกับการได้ทำให้ฮันบินเหมือนจะตายด้วยความกลัว ขายาวก้าวไปรอบๆพร้อมคำพูดกล่อมประสาทแสนร้ายกาจ ที่เล่นงานราวกับจะให้เกิดประสาทหลอนจริงๆ

     

    “มีความเชื่อมากมายใช่มั้ยล่ะ ที่นายถูกสั่งสอนมา”

     

    “กะ...กะ...แกจะพูดอะไร”

     

    “ฉันไม่ได้พูด ก็แค่...ถาม”

     

    “ออกไปจากตัวฉันนะ!!!

     

    เพราะเซฮุนยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างใบหู ด้วยประโยคแสนฉ้อฉน จนคนฟังเริ่มสติแตกไม่เหลือชิ้นดี ฮันบินตวาดลั่นราวกับรังเกียจเซฮุนเสียเหลือเกิน ถอยตัวหนีไปที่อีกฝั่ง แต่ก็ยังคงยื่นคมดาบมาทางร่างสูง เพื่อตั้งรับต่อสู้อยู่ดี

     

    ...อ่อนหัด มีศักดิ์ศรี แต่ก็ยังอ่อนหัด...

     

    “นายจะยกดาบขึ้นมาทำไม ฉันพูดขนาดนี้แล้วนะ ยังจะหลอกตัวเองอีกเหรอว่าฉันไม่ใช่?...”

     

    “ไม่ว่าแกจะเป็นภูตพราย หรือ ผู้ล่า ฉันก็ไม่มีวันกลัวแกหรอก!

     

    “นี่ขนาดแกไม่กลัวนะ หึหึ”

     

    เสียงหัวเราะของร่างสูง เหมือนเป็นการหยามศักดิ์ศรีแห่งอฟาไตรอย่างถึงที่สุด แต่ในประเพณีการคัดสรรค์เช่นนี้ ใครมันจะไปสนกันล่ะ ว่าเผ่าไหนที่เป็นใหญ่ที่สุดใน     ฟีนูคอน แค่ทำอะไรก็ได้ตามใจเราเท่านั้น

     

    ...อาจจะเพิ่มอยู่รอดจนจบเกมด้วยก็ได้นะ!...

     

    “แก!!!

     

    หลังจากเสียงหายใจหอบใหญ่ของฮันบิน คมดาบทั้งสองก็กระทบกันเรียกขวัญอย่างแรง ก่อนจะพุ่งตรงมาทางเซฮุนที่ยืนถือคันธนูอยู่ไม่ไกล คมดาบหมายจาบจ้วงให้ร่างสูงสิ้นชีพเสียเดี๋ยวนี้ ให้สมกับความโกรธเกลียดที่ก่อขึ้นในใจของเขา หากแต่กายนั้นกลับเคลื่อนย้ายเหมือนจะตอกย้ำความคิดผิดๆในหัว

     

    ...เซฮุนเป็นผู้ล่าอย่างนั้นเหรอ...

     

    “ถ้าจะฆ่าฉัน แกต้องไวกว่านี้หน่อยนะ”

     

    อีกครั้งแล้วที่เซฮุนเคลื่อนกายมาอยู่ใกล้ฮันบิน แล้วเพรียกกระซิบที่ข้างใบหู ให้เสียงแผ่ซ่านไปทั่วกายแกร่งแสนถือดี ไม่มีทางที่ผู้ใดจะไวปานลมกลดเช่นนี้ ต่อให้คนๆนี้เป็นชาวอเนโมสก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ไม่ปกติสักนิด

     

    “ฉันจะฆ่าแก”

     

    “แกทำได้เหรอ เร็วกว่าสายลมอย่างฉันน่ะ”

     

    “แกไม่ใช่ชาวอเนโมส!

     

    “อะไรที่บอกว่าฉันไม่ใช่ล่ะ?”

     

    “แกไม่เหมือนพวกอเนโมสเชื่องๆนั่นที่ฉันฆ่า แกเป็นผู้ล่าสินะ!

     

    ...อเนโมสโง่ๆ อย่างนั้นเหรอ?...

     

    ช่างเป็นคำพูดที่ชวนให้เดือดดาลไปทุกอณูร่างเสียเหลือเกินสำหรับชาวอเนโมส ที่ต้องมายืนฟังไอ้ปากเก่งหน้าโง่ พ่นคำหยามศักดิ์ศรีชาวเผ่าเช่นนี้ ร่างสูงตีหน้านิ่งสยบความโกรธ ก่อนจะเรียกเก็บคันธนูคู่กายเข้าไว้ในที่ของมัน ออกเดินเข้าไปหาฮันบินที่ถดกายถอยหนีขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหลือมาดคนปากดีที่เพิ่งด่าเขาว่าเป็นพวกโง่

     

    “แล้วแกล่ะ เป็นพวกโซม่าเชื้อสายอฟาไตร ที่ไม่ดูโง่เหรอ?”

     

    “กะ...กะ...แก หมายความว่ายังไง”

     

    “ไม่ได้หมายความว่ายังไง ฉันก็แค่...ถามไง!!!

     

    เป็นอีกครั้งที่เซฮุนใช้ความเร็วของตนเองเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู่ แต่คราวนี้มันไม่ใช่การกระซิบถามเพื่อความสนุกเท่านั้น เรียกว่าเป็นตวาดถามจนคนถูกกระทำถึงกับตัวสั่นเลยทีเดียว มือหนาคว้าร่างของฮันบินที่คิดจะเดินหนีไว้อีกครั้ง บีบมันแน่นจนเป็นรอยมือแดงวงใหญ่ บิดให้ใบหน้านั้นหันมาเผชิญกับตนเองสร้างความสะใจ

     

    “แกมองหน้าฉันสิ ฉันไม่เหมือนชาวอเนโมสหรือไง?”

     

    “ยะ...ยะ...อย่ามาหลอกฉัน”

     

    “หลอกเหรอ? ฉันเปล่านิ”

     

    “ฉันไม่เชื่อแกหรอก ไอ้ปีศาจ”

     

    “งั้นแกดูนี่หน่อยแล้วกัน...”

     

    มือหนากระชากสร้อยเส้นยาวที่ซ่อนอยู่ในเสื้อมาตลอดออกมา จี้ของมันคือแร่นักรบสีใสวาวราวมีชีวิต มันดิ้นรนเหมือนพร้อมจะถูกเลือกเสมอ หากแต่มันคงดุร้ายเกินกว่าจะควบคุมได้

     

    ...แต่ยิ่งมันร้ายเท่าไร เซฮุนก็ยิ่งสะใจเท่านั้น...

     

    “...ข้าแต่เทพอเนโมสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายนี้ข้าขอมอบเพื่อป้องปักษ์ ขอแร่นักรบจงโปรดคุ้มครองกายข้าราวกับเป็นดวงจิตของมัน ข้าขอสาบานจะผูกพันธะสัญญากับเจ้าชั่วนิรันดร์”

     

    การกล่าวพันธะสัญญานั้นไม่สามารถเอ่ยหลอกได้ ฮันบินเหลือกตาด้วยความแปลกใจที่รู้ว่าเซฮุนไม่ได้เป็นผู้ล่าแห่งโบโลนี ทั้งยังไม่เข้าใจความว่องไวของร่างสูงนี้อีก แต่เขาคงต้องลืมเรื่องความแตกต่างนั้นให้หมดสิ้น เพราะมันเทียบไม่ได้เลยกับการผูกพันธะแสนน่ากลัวตอนนี้ แร่นักรบคือบ่าวของผู้ผูกพันธะนั่นคือคำพูดในตำราเรียน หากแต่แสงที่เรืองรองไปทั่วร่างของเซฮุน มันเหมือนเขากำลังถูกแร่นักรบนั้นทำร้ายมากกว่า สายลมโหมกระพือก่อนที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวคือหอกคริสตัลในมือหนา

     

    “นะ...นะ...นี่มันอะไรกัน”

     

    “อึก!

     

    ในวินาทีที่ปลายหอกก่อร่างอย่างสมบรูณ์ ราวกับร่างของเซฮุนจะแหลกเพราะไม่สามารถทนต่อความแข็งแกร่งนี้ได้ แร่นักรบคือการดึงเอาพลังจิตเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธ และ ยิ่งมันแข็งแกร่งเท่าไร ร่างกายของผู้ผูกพันธะก็ยิ่งเหมือนจะอ่อนแอลง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เซฮุนไม่กล้าเอื้อมอาจ ผูกพันธะกับแร่นักรบที่มอบให้แก่อี้ชิง

     

    ...กลัวร่างจะสลายเสียก่อนมากกว่า...

     

    มันอาจฟังดูเหมือนเขาเลวที่ใช้ให้อี้ชิงต้องเข้ามาเสี่ยงแทน แต่นี่ก็กลายเป็นหนทางที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ เซฮุนหลอกตนเองมาอย่างนั้นตลอดคืน แต่มันก็ไม่ช่วยให้จิตใจของเขาหายว้าวุ่นได้เลยสักนิด

     

    “กะ...กะ...แกจะทำอะไร”

     

    “ฉันก็แค่ทำตัวกล้าหาญไง”

     

    “ยังไง”

     

    “แกไม่อยากให้ฉันขี้ขลาด หลบอยู่บนชั้นหนังสือเงียบๆไม่ใช่เหรอ ฉันก็จะช่วยเล่นตามประเพณี ให้สมกับที่แกต้องการไงล่ะฮันบิน”

     

    ไม่รอช้าให้มากความคมหอกที่ถูกประดับไว้ทั้งสองด้านของปลายกระบองคริสตัล ก็ถูกมือหนาควงไว้เป็นกงจักร ความเร็วของมันทำให้เกิดภาพวงกลมเหมือนหน้าปัดนาฬิกาที่เคลื่อนไปทุกวินาที แต่ตอนนี้มันเหมือนเครื่องย้ำเตือนว่าเวลาที่จะได้หายใจในเกมนี้ของฮันบิน มันใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว

     

    “ยะ...ยะ...อย่าทำฉัน”

     

    “แต่แกอยากให้ฉันเล่นตามเกมนิ ฉันก็จะสงเคราะห์ให้ไง”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม ก่อนที่ภาพการต่อสู้ที่แสนดุเดือดจะสะท้อนขึ้นกับฝาผนังห้องสมุดที่แสนเงียบสงบ เซฮุนคงลืมไปแล้วว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เขากับฮันบิน หากแต่ยังมีลู่ฮานที่ทำได้แค่ย่อตัวหลบมุมอยู่ตรงซอกตู้หนังสือ สองมือบางปิดแนบหูของตนเองไม่อยากจะได้ยินคำพูดของร่างสูงสักนิด ทุกสิ่งอย่างที่เซฮุนทำกับอีกคนนั้น เขาเองก็รู้สึกหวาดกลัวตามไปด้วยทั้งหมด

     

    ...กลัวจนทำได้แค่มองที่เงาของผนังเท่านั้น...

     

    น้ำตาหยดสวยหลั่งรินราวกับเห็นนาทีชีวิตของตนเอง ภาพของร่างคนๆหนึ่งที่ลอยขึ้นสู้ห้วงอากาศเพราะถูกคมหอกปักลงที่กลางอก ก่อนจะเหวี่ยงร่างทั้งขึ้นไป ตามสมทบทับด้วยการเคลื่อนกายที่ไวว่อง ลู่ฮานไม่รู้ว่าเซฮุนทำได้อย่างไรกัน ที่ปีนขึ้นไปตามชั้นหนังสืออย่างรวดเร็ว และ สามารถกระโดดลงมาปักหอกที่กลางหลังของฮันบินได้อีกครั้ง ก่อนที่ร่างนั้นจะหล่นลงสู่พื้นเสียอีก

     

    “อ๊าก...ก...ก...ก...ก!!!

     

    “หึ!

     

    เสียงหวีดร้องด้วยความทรมานดังลั่นห้องโถงขนาดเล็กนี้ แทรกช่องว่างของนิ้วเล็กเข้าใบหูสู่ก้นบึ้งหัวใจที่หวาดกลัวของลู่ฮาน ก่อนที่จะกัดกินความกล้าหาญให้เหลือเพียงแต่ความหวาดหวั่น ร่างบางกลัวว่าเขาจะต้องเป็นเช่นเดียวกับฮันบิน เซฮุนจำเป็นอะไรที่ต้องเก็บตัวภาระอย่างเขาไว้

     

    “ฮือ...อ...อ...อ”

     

    ความกลัวเปล่งเสียงออกมาเป็นการร้องไห้ปานจะขาดใจ ตาคู่สวยเริ่มพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ก็ไม่สามารถลางเลือนภาพเงาสะท้อนที่แสนโหดร้ายบนผนังห้องได้เลย ยังคงเห็นร่างหนึ่งที่นอนแนบกับพื้นไม้ชั้นดี บนหลังมีด้ามหอกปักเด่นอยู่ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือลู่ฮานเห็นเงาของร่างสูงที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

     

    ...เซฮุนกำลังมาหาเขา...

     

    “ฮือ...อ...อ...อ”

     

    ยิ่งเป็นเช่นนี้เสียงหวานก็ยิ่งร้องไห้ออกมาดังขึ้น ดวงตาคู่สวยหลับแน่นไม่อยากรับรู้ว่าเขาจะต้องมีช่วงวินาทีสุดท้ายเช่นไร แต่แล้วทุกอย่างมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อมือหนาทาบลงกับไหล่เล็กอย่างแผ่วเบา

     

    “ปลอดภัยแล้วนะลู่ฮาน...”

     

    ทำไมเสียงทุ้มถึงไม่มีความโหดร้ายและป่าเถื่อนนั้นแฝงอยู่เลยสักนิด ลู่ฮานสัมผัสได้เพียงความอ่อนโยนและปลอดภัย ตั้งใจจะลืมตาขึ้นดูอีกครั้งว่าคนที่ปลอดภัยคือเซฮุนจริงๆหรือไม่ แต่สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่ความว่างเปล่า

     

    ...เซฮุนหายไปไหน...

     

    ร่างบางรีบลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆห้องโถงของห้องสมุด กวาดตามองไปที่โคมไฟเดิมก็ยังคงไร้ซึ่งคนที่ตามหา ที่เหลืออยู่ก็แค่ร่างของฮันบินที่นอนสิ้นชีพอยู่กับพื้นเท่านั้น

     

    “นายอยู่ที่ไหนกัน เซฮุน”

     

                         <<< The Phonucorn…ตรวนกาฬวาต >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 2.7

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    มาช้าไปหนึ่งอาทิตย์ขออภัยค่ะ พอดีวุ่นๆกับการสอบโปรเจครอบแรกอ่ะ ถึงจะสอบผ่านไปแล้วแต่แอมก็ไม่แน่ใจผลของมันเลยสักนิด เฮ้อ แต่ช่างมันเถอะค่ะ แอมมีเวลาพักแค่อาทิตย์นี้จึงถือโอกาสกลับมาลงเสียเลย อิอิ อยากอัพค่ะจะได้ไม่ลืมกัน 555 ตอนนี้แอมวุ่นมากเลยไม่มีเวลาเขียนเท่าไร เลยคิดว่าตัวบล็อกอาจกินเวลายาวไปถึงปลายปีหน้าเลยค่ะ (แอมทำตัวฮาร์ดแวของโปรเจคไม่ได้ เนื่องจากงบซื้อแผงพีวีมันยังไม่มาอ่ะ) จึงไม่ค่อยมีเวลาเขียน ขอโทษจริงๆนะคะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แอมก็จะไม่หยุดค่ะ ลงตามตารางเดิม คือ ทุกวันเสาร์ค่ะ ส่วนอาทิตย์นี้ขอลงวันนี้แทนนะคะ พรุ่งนี้แอมต้องธุระอ่า คิดถึงและรักนะคะ^^

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×