ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มะม่วง ฟ้าลั่น

    ลำดับตอนที่ #7 : บทเรียนที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 64






    บทเรียนที่ 6

     

    [4FL’s Story]

    แป๊ะ!’

    !!!” ผมสะดุ้งเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่ามือที่ยื่นไปรอรับเงินจะถูกคนตรงหน้าตีกลับมาแทน

    “ไม่ให้หรอก” มะม่วงทำหน้าดื้อเหมือนเด็กน้อยใส่ “เราไม่ให้เงินฟ้าลั่นหรอก”

    “ว้าว...” ผมส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ พลางขยับมือกลับเข้าหาตัวแล้วสะบัดไปมาเบาๆ “ถึงขั้นกล้าตีกูแล้วนะเนี่ย”

    ...กับคนอื่นไม่เห็นเก่งอย่างนี้เลย...

    มะม่วงยู่ปาก “ก็เรารู้ว่านายกำลังแกล้งเราเล่น อย่างฟ้าลั่นน่ะเหรอจะอยากได้เงินเรา”

    “หึ...” ผมแค่นหัวเราะในลำคอ...เด็กหนอเด็ก “นี่คิดว่ามึงรู้จักกูดีแล้วเหรอ”

    “เปล่านะ” มะม่วงส่ายหน้าหวือ “เรารู้ว่าเรายังต้องทำความรู้จักฟ้าลั่นอีกเยอะ แต่เรามั่นใจว่าเรื่องนี้เราไม่ได้เข้าใจนายผิดแน่นอน”

    ผมเงียบเพื่อรอฟังอย่างตั้งใจ

    “...อย่างนายอะ ถ้าจะเอาเงินเราจริงคงไม่คืนเงินให้เราตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้วแหละ”

    “...”

    อืม... ก็ไม่ได้โง่นี่

    ผมอมยิ้มมุมปากจางๆ “ก็ให้มันฉลาดแบบนี้กับคนอื่นบ้างเถอะ” แล้วขยับตัวเข้าไปดันหัวคนตรงหน้าเบาๆ ...หมั่นไส้ฉิบเป๋ง “แล้วก็เลิกซักทีไอ้นิสัยคนดีจนเกินเหตุเนี่ย”

    “เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย”

    ...เถียงซะด้วย...

    “เออ” ผมผลักหัวมะม่วงอีกหนึ่งที “หัดไปเก่งกับคนอื่นเค้าบ้างเถอะ กูจะได้ไม่ต้องคอยตามเฝ้าทั้งวันอีก”

    “...”

    ผมลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าหยุดนิ่งไป พร้อมแววตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิด

    “ขอโทษนะ เราทำให้ฟ้าลั่นเสียการเรียน...”

    ป๊อก

    “เจ็บนะ!” มะม่วงถูมือกับหน้าผากตัวเองเป็นครั้งที่สองของวัน

    “กูบอกแล้วไงว่าอย่าขอโทษโดยไม่จำเป็น”

    “แต่ครั้งนี้มันจำเป็นนี่”

    “อย่าเถียง” ผมผลักหัวเด็กน้อยอีกครั้ง “คนตัดสินว่าจำเป็นหรือไม่ ไม่ใช่มึง...”

    “...”

    “...แต่เป็นกู”

    “...”

    “เข้าใจไหม?”

    คนตรงหน้ายู่ปากใส่ผมหนักกว่าครั้งไหน “เผด็จการ”

    ผมยักไหล่ “กูไม่ได้ชื่อตู่”

    “หา?”

    “หึหึหึหึ” ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะก้าวห่างออกจากประตูห้องพักของมะม่วงทีละนิด เด็กน้อยยังคงมีสีหน้างุนงงจนผมลับหายไปจากสายตาเขา

    ผมเดินขึ้นบันไดมายังชั้นบนสุดของตัวอาคาร ริมฝีปากที่ฉีกยิ้มอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นท่าทีนิ่งเฉยเหมือนปกติที่ควรจะเป็น “มีอะไร ไอ้ตั๊ก ไอ้ทอย” ผมเอ่ยทักคนสองคนที่กำลังยืนเคาะประตูห้องผมอยู่

    ไอ้ตั๊กหันมาหาผมก่อน “เอ้า ไอ้ฟ้าลั่น! ก็ปล่อยกูเคาะไปเถอะ ไม่อยู่ห้องทำไมไม่บอกกันวะ”

    “ไอ้ควาย” ผมด่า “ก็ถ้ามึงจะไม่ฉลาดขนาดนั้นล่ะก็...”

    “ไอ้สัตว์” มันด่าผมกลับ “แรงใส่กูอีกแล้วนะไอ้หอก”

    ผมส่ายหัวช้าๆ “ไม่ต้องพูดเยอะหรอก” ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด “...มาหากูนี่มีเรื่องอะไร?”

    “กูเอาการบ้านมาให้”

    “หา?” ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “อย่างมึงเนี่ยนะเอาการบ้านมาให้กู?”

    “เออ อย่างกูนี่แหละ” ไอ้ตั๊กพยักพเยิดไปทางไอ้ทอย และหลังจากได้รับกระดาษบางอย่างมา ไอ้ตั๊กก็ส่งต่อให้ผมอีกที “ไอ้ชีสฝากมาให้”

    อ่อ... เข้าใจแล้ว ไอ้ชีสคือคนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับผม... เป็นไนท์อีกคนนึงด้วย

    “ขอบใจ” ผมรับกระดาษใบนั้นมาถือไว้ แต่ไม่ได้สนใจมากนัก

    “เห็นว่าเป็นรายละเอียดงานกลุ่ม”

    ผมพยักหน้าให้ไอ้ตั๊ก “มีแค่นี้ใช่ไหมที่มาหา?”

    “หึหึหึ...” แล้วจู่ๆ ไอ้ตั๊กก็ยิ้มกริ่มที่มุมปาก “ว่าแต่มึงเถอะ โดดเรียนไปไหนมาจ๊ะไอ้ชีสถึงต้องเอางานมาฝากกูเนี่ย”

    ผมตีหน้าเบื่อใส่ “อยู่ห้อง 4D

    “ไม่จริงอะ” ไอ้ตั๊กแย้งเสียงแข็ง “ห้องมึงเค้าลือกันให้แซ่ดว่ามึงติดหญิง”

    “แล้วมึงเชื่อเหรอ?”

    “...” ไอ้ตั๊กถึงกับชะงัก

    “งั้นขอถามใหม่” ผมยักคิ้ว “แล้วมึงโง่เหรอ?”

    “...!

    “ไอ้ควาย กูไม่มีหญิงที่ไหนหรอก แค่ไปนั่งเรียนเป็นเพื่อนมะม่วงเฉยๆ เห็นรอยแผลแล้วอนาถใจแทน”

    “อ้าวเหรอ” ไอ้ตั๊กทำสีหน้าซังกะตาย “ไม่สนุกเลยว่ะ” มันเบ้ปาก “นึกว่าจะมีข่าวล่ามาแรงให้อัพเดทก่อนใครซะอีก”

    ผมส่ายหัวไปมา “กินยาแก้เสือกในห้องกูก่อนไหม เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น”

    “สัตว์”

    “ฮะๆๆๆ” ผมหัวเราะเบาๆ

    “ปากจัดฉิบหาย”

    ผมยักไหล่ไม่สนใจไอ้ตั๊ก และเมื่อสบสายตากับอีกคนที่มักยืนเงียบ ผมก็เห็นเครื่องหมายคำถามแสดงออกมาชัดเจนผ่านสายตาของมัน “มีอะไรวะ?”

    “มะม่วงเป็นยังไงบ้าง”

    “ก็ไม่ยังไงหรอก” ผมตอบไอ้ทอย “กูอยู่ด้วย ไม่มีใครกล้าวุ่นวายหรอก”

    “อืม...”

    “ตุ้ยนุ้ยแม่งน่าสงสารว่ะ” ไอ้ตั๊กเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นี่ถ้าไม่มาเจอพวกเราป่านนี้คงยังโดนแกล้งอยู่แน่เลย”

    “ไม่ใช่พวกเรา” ไอ้ทอยแย้ง “มะม่วงโชคดีที่เจอฟ้าลั่นต่างหาก”

    “ได้ไงเล่า! ตุ้ยนุ้ยก็ได้เจอกูเหมือนกันอะ! เชื่อดิว่ากูสามารถดูแลตุ้ยนุ้ยได้ดีกว่าไอ้ฟ้าลั่นด้วยซ้ำ”

    ผมส่ายหัวให้ความประสาทแดกของคนที่เหนื่อยจะเรียกว่าเพื่อน “งั้นพรุ่งนี้มึงไปเรียนเป็นเพื่อนมะม่วงด้วยแล้วกัน”

    “จัดปาย...” ไอ้ตั๊กยืดอกตอบเสียงดัง

    “เออ” ผมยิ้มมุมปาก “ฝากด้วย”

    “ไม่ต้องห่วงเว้ย นี่ใคร...ไว้ใจได้อยู่แล้ว”

    อ่า... ผมเปลี่ยนใจไปเฝ้าเองดีกว่ามั้ง

    “เดี๋ยวกูไปด้วย”

    ผมหันสายตาไปหาไอ้ทอย พยักหน้าลงหนึ่งที “เออ” ...ค่อยน่าไว้ใจหน่อย “แล้วพวกมึงยังมีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีกูจะได้เข้าห้อง”

    ...กูง่วง...

    “ไปเล่นห้องตุ้ยนุ้ยกัน” ไอ้ตั๊กมีแววตาเป็นประกาย

    “ไม่” ผมปฏิเสธ

    “อะไรว้า... มึงต้องต้อนรับเพื่อนใหม่เข้าแก๊งดิ”

    ผมชักสีหน้าเอือมระอาใส่ “ว่างๆ ก็ให้ไอ้ทอยพาไปเช็คอายุสมองหน่อยนะ”

    “เอ้า...”

    “มะม่วงคงเหนื่อยแล้วแหละวันนี้ ปล่อยให้มันพักผ่อนของมันไปเถอะ” ผมอธิบาย ...ดูภายนอกก็รู้แล้วว่าวันนี้เป็นอีกวันที่หนักหนาของคนที่ผมเพิ่งส่งถึงห้อง

    “แล้วมึงคิดว่าตุ้ยนุ้ยอายุเท่าไหร่? ถึงได้ต้องการพักผ่อนมากมายขนาดนั้นวะ” ไอ้ตั๊กยังคงเถียงต่อ

    ผมส่ายหัว “มะม่วงมันตัวเล็กเด็กน้อยแค่นั้น ปล่อยมันพักไปนั่นแหละดีแล้ว”

    !!!” จู่ๆ ไอ้ตั๊กก็ทำตาโต “มึงเรียกตุ้ยนุ้ยว่าตัวเล็กเหรอวะ!

    “ชู่...”

    ...หนวกหูชะมัด...

    “เออ” ผมตอบรับ

    “ไม่นะ มึงควรไปเช็คสายตา”

    “ใครเตี้ยกว่ากูก็ตัวเล็กหมด...”

    ‘Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr’

    เสียงของผมถูกขัดจังหวะจากเสียงมือถือที่ดังลั่นขึ้นในกระเป๋ากางเกง

    ...ผมลืมปิดเสียงอีกแล้วแฮะ...

    และเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ผมก็รีบขอตัวแล้วตัดบทสนทนาทันที “ขี้เกียจเถียงกับมึงแล้วว่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” เพียงเท่านั้น ผมก็ตรงเข้าไปไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไปด้านในห้องพักของตนเอง

    หลังจากลงกลอนเรียบร้อย ผมก็กดโทรกลับไปหาสายที่ติดต่อเข้ามาเมื่อครู่

    “ฮัลโหล ฟ้า” ปลายสายไม่ปล่อยให้ผมต้องรอนาน

    “ว่าไงพี่เชี่ยว”

    เขาคือพี่ชายแท้ๆ ของผมเอง

    “วันนี้คุณชายได้โทรหาฟ้าหรือเปล่า”

    ผมละหูโทรศัพท์ออกเพื่อเช็คดูให้แน่ใจว่าไม่ได้พลาดสายไหน “...ไม่มีนะพี่”

    “เหรอ...” แล้วพี่เชี่ยวก็เงียบไป

    “ทำไม เกิดอะไรขึ้น?”

    “ไม่มีไรมากหรอก” เสียงถอนหายใจจากปลายสายดังแว่วมา “แค่เมื่อเที่ยงคุณหนูไลน์บอกคุณชายว่าวันนี้จะไม่กลับบ้าน พี่เลยคิดว่าป่านนี้คุณชายน่าจะร้อนใจแล้วน่ะสิ”

    “อ๋อ...”

    “มั่นใจนะว่าคุณชายไม่ได้โทรไปจริงๆ”

    “งั้นแป๊บนะพี่” ผมกดทัชสกรีนตรวจสอบรายการโทรเข้า-โทรออกอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเลื่อนหน้าจออย่างไรก็ไม่มีการติดต่อจากคุณชายปรากฏขึ้นในฟีดของวันนี้เลย “...ไม่มีจริงๆ แหละ”

    “หรือจะงานยุ่ง” พี่เชี่ยวพึมพำแผ่วเบา

    ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “นี่พี่ไม่ได้อยู่กับคุณชายหรอกเหรอ” ...แปลกมาก ปกติพี่เชี่ยวคือมือขวาที่แทบจะติดตามคุณชายทุกฝีก้าวก็ว่าได้

    “ใช่ คุณชายไปกับไอ้สองไอ้สาม ส่วนพี่ถูกใช้มาคุยงานแทน”

    “อ่อ...” ผมพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ “งั้นเอางี้ไหมพี่ เดี๋ยวฟ้าไปดูให้ว่าตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน เผื่อคุณชายโทรมาจะได้รายงานได้ทันที”

    พี่เชี่ยวเงียบอยู่ซักพัก “...เอางั้นก็ได้”

    “โอเค”

    “ถ้าเจอคุณหนูแล้วฟ้าโทรมาบอกพี่เลยดีกว่า คุยงานอีกซักพักพี่ก็น่าจะได้กลับไปหาคุณชายแล้วแหละ”

    “ได้พี่”

    “ฟ้า”

    ผมชะงัก มือที่กำลังเตรียมกดวางหยุดนิ่ง “ฮึ?”

    “เสาร์อาทิตย์นี้กลับบ้านบ้างสิ”

    “...”

    “พี่ๆ คิดถึงแล้ว”

    “...”

    “...”

    “อื้อ” ผมตอบรับ “คิดถึงเหมือนกันแหละ”

    “ดูแลตัวเองด้วย”

    “พี่ก็เหมือนกัน”

    “บาย”

    “บาย” แล้วผมก็กดตัดสาย

    ...

    ...คิดถึงบ้านจัง...

    ...

    แต่ก็นะ...

    ...ผมไม่มีเวลาดื่มด่ำกับถ้อยคำหวานหูของพี่ชายได้นานนักหรอก ผมได้รับภารกิจให้ไปตามหาคุณหนู... คุณหนูของบ้านที่ผมทำหน้าที่เป็นเหมือนบอดี้การ์ดให้

    ครอบครัวของผมมีหน้าที่ดูแลรับใช้ตระกูลของราชสกุล คณากูลมาหลายยุคหลายสมัย ส่งต่อความรับผิดชอบกันมาแบบรุ่นต่อรุ่น พวกเราภูมิใจในประวัติศาสตร์ของครอบครัว และที่สำคัญเหล่าคุณๆ ท่านๆ ที่พวกผมดูแล ต่างก็เป็นคนที่ควรค่าแก่การให้ความเคารพเสมอมา

    ตอนนี้พ่อกับแม่ของผมเดินทางไปทำงานกับคุณท่านและท่านหญิงที่ต่างประเทศ ทำให้เวลานี้ในเมืองไทยผมมีญาติสนิทอยู่เพียงคนเดียว พี่น้ำเชี่ยว คนที่เพิ่งวางสายไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า

    แต่จะบอกว่ามีพี่เชี่ยวรออยู่ที่บ้านแค่คนเดียวก็คงไม่ได้ บ้าน...ของเรา คือเรือนหลังเล็กที่อยู่ติดกับวังของคุณชาย เป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้คนที่มีภาระหน้าที่ต่างกันเอาไว้ ศูนย์รวมหนึ่งเดียวของเราก็คือคุณชายของสกุลคณากูล...บุคคลที่เป็นเหมือนเสาหลักค้ำยันให้กับทุกคนในทุกเวลา

    คุณชายคือคนที่ทำให้ทุกคนในเรือนเล็กได้มาเจอกัน และผูกพันเป็น ครอบครัว

    ...เสาร์อาทิตย์นี้คงได้เวลากลับบ้านแล้ว...

    ส่วนคุณหนู... แรกเริ่มเดิมทีเขาคือคนที่คุณชายอุปการะเลี้ยงดู แต่เมื่อไม่นานมานี้สถานะระหว่างทั้งสองคนได้เปลี่ยนแปลงไป คุณหนูที่ผมรู้จักตั้งแต่เด็ก กลายมาเป็น คุณหญิง เพียงหนึ่งเดียวของบ้าน

    หน้าที่หลักของผมคือการดูแลคุณหนูเวลาอยู่ที่โรงเรียนโดยไม่ให้รู้ตัว แม้ความจริงคุณหนูจะมียศเป็นถึง คิง ตำแหน่งสูงสุดของชั้นปี ทว่าคุณชายก็ยังมองคุณหนูเป็นเด็กตัวเล็กอ่อนแอเพียงเท่านั้น

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    ผมออกจากห้องตัวเอง เดินมาเคาะอีกประตูหนึ่งที่อยู่ห่างกันคนละฟากอาคาร “นี่ฟ้าลั่นนะ เปิดประตูให้กูหน่อย”

    เสียงก๊อกแก๊กด้านในดังขึ้น ไม่นานนักเจ้าของห้องก็กุลีกุจอเปิดประตูออกอย่างร้อนรน “นะ...ไนท์... มีอะไรเหรอครับ”

    “ขอเข้าไปหน่อย” ผมมองเลยเข้าไปด้านใน

    “ชะ...เชิญเลยครับ”

    ผมสาวเท้าไปในห้องนั้น ไม่สนใจบรรดาเสื้อผ้า ของกิน หรือสิ่งของอื่นๆ ที่ถูกวางระเกะระกะทั่วทั้งห้อง เดินผ่านห้องน้ำที่อยู่ลึกข้างในแล้วเปิดประตูระเบียงออกไปรับลมนอกอาคาร

    ...วันนี้พระอาทิตย์สวยดีแฮะ...

    สายตาของผมเหลือบมองไปยังระเบียงของห้องทางขวา เมื่อพบว่าไม่มีใคร ผมจึงจับเข้าที่ราวระเบียงแล้วกระโดดข้ามไปในทีเดียว แม้ว่าราวนั้นจะกั้นไว้สูงกว่าไหล่ก็ตาม

    ผมปัดเสื้อผ้าตัวเองสองสามที ก่อนจะเดินไปส่องตามช่องผ้าม่านของห้องที่ผมแอบลอบเข้ามา...นี่คือห้องพักของคุณหนู

    ‘Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr’

    ผมสะดุ้งตกใจแรงเมื่อจู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นในเวลาที่ไม่เหมาะไม่ควร

    ...ฉิบละ คุณหนูจะได้ยินไหมเนี่ย...

    แล้วจะกดตัดสายก็ไม่ได้อีก คุณชายจะโทรมาทำไมตอนนี้ล่ะครับ!

    “สวัสดีครับ คุณชาย” แล้วจะโมโหใส่ก็ไม่ได้... โถ ชีวิตไอ้ฟ้าลั่น

    “สี่”

    ...นี่คือ aka ของผมเอง คนดูแลคุณชายแต่ละคนจะถูกเรียกด้วยตัวเลขเรียงกัน

    “ครับ”

    “ปีนระเบียงห้องน้องทำไม”

    !!!” ผมเบิกตาโพลง

    ฉิบละ!! คุณชายรู้ได้ไงวะเนี่ย!!!

    “มองมาข้างล่าง ฉันจอดรถอยู่ข้างรั้ว”

    ขวับ

    ใช้เวลาไม่นาน ร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวที่กำลังยืนพิงรถเบนซ์คันสวยก็ปรากฏในสายตา “เอ่อ... คือผมแค่มาส่องคุณหนูเผื่อจะได้รายงานคุณชายไงครับ”

    “ฉันเพิ่งโทรให้น้องลงมาหา”

    “อ้อ...”

    “เพราะงั้นนายรีบออกให้ห่างจากห้องแฟนฉันเลย”

    “...”

    “ฉันหวง”

    โอเค้... แล้วทีหลังอย่ามาใช้ให้ผมเสี่ยงตายปีนระเบียงอีกนะ!

    ชิ! ชะ! เชอะ!

    “รับทราบครับ” ...แต่ใครจะไปบ่นคุณชายได้เล่า

    “แค่นี้แหละ”

    ผมละโทรศัพท์ออกจากหู รีบปีนระเบียงกลับไปยังห้องพักของเด็กที่ผมมักใช้เป็นสะพานสำหรับส่องคุณหนู แต่ก่อนที่ผมจะทันได้เดินเข้าไปด้านในห้อง หางตาผมก็มองเลยออกไปเจอกับคุณหนูที่กำลังเดินตรงไปหาคุณชาย

    ...นั่นทำให้ผมหลุดรอยยิ้มออกมา

    ...เป็นภาพที่น่ารักจริงๆ นะครับ...

    [END: 4FL’s Story]





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×