คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทเรียนที่ 4
บทเรียนที่ 4
วันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่ย้ายโรงเรียนที่ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม...รอยยิ้มจริงๆ
ที่ไม่ใช่เพียงการฝืนฉีกริมฝีปากเหมือนอย่างที่ผ่านมา
ผมอยากรีบอาบน้ำแต่งตัวไปเข้าเรียน
อยากให้คาบเรียนช่วงเช้าผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และหยุดเวลาของวันเอาไว้ที่ตอนพักเที่ยง
เพราะนี่เป็นพักกลางวันแรก...ที่ผมจะไม่ต้องอยู่คนเดียว
มันมีความหมายกับผมจริงๆ
“มัวแต่ยิ้มให้กำแพงอยู่ได้
ไม่รีบแต่งตัวหรือไงมะม่วง”
ผมสะดุ้งเพราะเสียงของอีกคนในห้อง...
ถึงจะไม่ค่อยชินกับการที่มีรูมเมทคอยเริ่มบทสนทนา
แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกอยากส่งยิ้มมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
การมีเพื่อน...มันดีมากเลยนะครับ
“รีบสิๆ”
ผมตอบ พร้อมกับคว้าเสื้อตัวนอกที่เป็นชุดยูนิฟอร์มขึ้นมาสวม
“เออ
กูก็ต้องรีบเหมือนกันเนี่ย”
“ว่าแต่คาบแรกอัพเรียนอะไรเหรอ”
อาจเป็นเพราะไม่ค่อยได้ชวนใครคุยนัก คำถามที่ผมนึกออกจึงมีเพียงไม่กี่เรื่อง
อันที่จริง...ผมก็แค่อยากให้การสนทนานี้ยืดยาวออกไปอีกซักนิด
“เลขจารย์สุดา”
ผมเลิกคิ้วขึ้น
“เราเรียนเลขคาบสองแหละ วันนี้ห้องเรามีการบ้านด้วยนะ แล้วห้องอัพมีหรือเปล่า?”
รูมเมทของผมหยุดนิ่งราวกับใช้ความคิดชั่วขณะ
“ไม่มีมั้ง... ไม่แน่ใจว่ะ แต่ห้องกูมีไอ้แผนอยู่
ต่อให้ไม่ทำการบ้านส่งอาจารย์ก็ไม่ค่อยว่าอะไรหรอก”
“แผน? คือใครเหรอ?”
อัพยอมละสายตาจากการจัดเสื้อเข้ากางเกง
“เมื่อวานกูไม่ได้บอกมึงหรอ... แผนคือชื่อของคิงไง”
“โห...”
ผมทำตาโต “นี่ห้องอัพมีทั้งคิงทั้งไนท์เลยหรอ?”
“ก็ใช่แหละ
คิง 1 ไนท์ 2 มาสเตอร์
1”
“...นี่มันห้องคนใหญ่คนโตนี่นา”
“ฮะๆๆๆ”
อัพหัวเราะเบาๆ “งั้นมั้ง อย่ามัวแต่คุยอยู่เลย จะสายกันแล้วนะทั้งกูทั้งมึงเนี่ย”
พูดจบไม่นาน อัพก็สะพายกระเป๋าขึ้นบ่า เขาไม่ได้จัดของลงกระเป๋าด้วยซ้ำ...
คิดในแง่ดี อัพอาจเตรียมสมุดหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก็เป็นได้
ผมที่กำลังเลือกหนังสือเรียนต้องเป็นอันชะงัก
เพราะผ่านเวลาไปซักพักแล้วก็ยังไม่ได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้องออกไปด้านนอก
ผมจึงเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคน “ไหนว่ารีบ? ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ”
“ก็รอมึงอยู่ไง”
“!!!”
“ถ้าขืนชักช้ากูจะทิ้งนะเว้ย”
“ดะ...เดี๋ยวสิ!! รอเราแป๊บเดียวนะอัพ”
ผมรีบกระวีกระวาดเก็บของ ไม่สนแล้วว่าหนังสือที่มีในกระเป๋าตอนนี้จะครบตามคาบเรียนหรือเปล่า
...คุณพ่อคุณแม่ครับ...
...ในที่สุด
ผมก็มีเพื่อนเดินไปห้องเรียนด้วยแล้ว...
“กูแยกไปทางนั้นนะ
เจอกันตอนเย็นเว้ยมึง” เมื่อถึงบันไดอาคาร อัพก็ขอตัวไปยังห้องเรียนตัวเอง
ผมยิ้มให้เขาพร้อมโบกมือลา
“เจอกันนะ”
“เออ”
ผมยืนมองตามหลังอัพไปจนสุดสายตา...
ผม...มีเพื่อนแล้วจริงๆ ด้วยครับ
“เฮ้ย! ไอ้อ้วน!”
ผมสะดุ้ง
รีบเหลียวมองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาที่มาของเสียง ...แต่ก็ไม่พบ
...บางทีอาจจะไม่ได้หมายถึงผม...
“ไอ้สัตว์อ้วน! รู้ตัวว่าอ้วนก็เงยหน้ามาชั้นสองสิโว้ย!”
‘พรึ่บ’
ผมรีบเงยคอฉับพลัน
และ...
‘ซ่า!!!’
...น้ำจำนวนมากถูกเทลงมาเปรอะเต็มใบหน้าของผม
“ฮ่าๆๆๆๆ
เชี่ยอ้วนเปียกน้ำ”
“ก๊าก!!! นั่นมัน...ลูกหมูตกน้ำนี่หว่า ฮ่าๆๆๆๆ”
สามสี่คนบนระเบียงของชั้นสองพากันหัวเราะเยาะสภาพที่เปียกโชกของผม
แม้กระทั่งเหล่านักเรียนคนอื่นที่เดินผ่านไปมาก็ยังแอบซุบซิบกันด้วยท่าทางขบขัน
ผมลูบน้ำออกจากใบหน้าลวกๆ
ไม่เข้าใจเลยว่าคนบนนั้นทำกับผมอย่างนี้ทำไม
...ผมไปทำอะไรให้เขา...
“กูอยากแกล้งน้ำหน้าอย่างมึงมานานแล้วเว้ยอ้วน
ดีฉิบหายที่ไม่มีใครคุ้มกะลาหัวมึงแล้ว” ราวกับเขาอ่านใจผมออก
เขาถึงได้สาธยายออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยถาม
“สารรูปแบบนั้นสงสัยย้ายมานี่เพราะมีปัญหาที่โรงเรียนเก่าแหงๆ”
“อ้วนขนาดนั้นไม่ใช่ว่าเผลอแดกเพื่อนเข้าไปหรอวะ
ฮ่าๆๆๆ”
“นี่มึงคิดว่าหน้าอย่างนั้นจะมีเพื่อนด้วยหรอ”
“เออว่ะ
ก็คงไม่ ฮ่าๆๆๆๆ”
“...”
ผมทำได้เพียงก้มหน้าลง ไม่หือ ไม่อือ
‘โป๊ก!’
“โอ๊ย!!” แต่กลับต้องร้องออกมาเพราะความเจ็บปวดที่หัวอย่างแรง
‘เคร้ง’
ผมยกมือจับหัวตัวเองในบริเวณที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกชา
สายตามองตามกระป๋องใส่น้ำที่ตกลงมาจากด้านบนราวกับภาพสโลว์ “เลือด...” ผมพึมพำ
ยามที่ละมือจากหัวแล้วเห็นของเหลวสีแดงปรากฏอยู่บนนิ้วมืออวบอ้วน
...เจ็บจังเลย...
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ผมรีบวิ่งหนีออกจากตรงนั้น
โดยมีเสียงหัวเราะไล่หลังมาเรื่อยๆ
เป้าหมายของผมคือโรงยิมที่มีล็อคเกอร์สำหรับเก็บชุดพละ
อย่างน้อยๆ โรงเรียนนี้ก็มีสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้โหดร้ายกับผมนัก ด้วยความที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
การเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจึงเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้
แม้จะรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย
แต่ผมก็ไม่มีเวลามากพอจะไปทำแผลที่ห้องพยาบาล
คาบแรกกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีแล้ว...
“เฮ้ยอ้วน”
“!!!”
...ผมจะบ้าตาย...
“จะรีบไปไหนวะ
อยู่คุยกับกูก่อนซักพักไม่ได้หรอ?”
ผมแน่ใจว่าไม่รู้จักเขามาก่อน
“ขอโทษนะครับ คือผมกำลังรีบไปเข้าเรียน”
“หืม...”
คิ้วของคนตรงหน้ากระตุกขึ้น เขาคนนี้ดูตัวเล็ก
ทว่าผมกลับเห็นเส้นเลือดและกล้ามเนื้อโผล่ออกมาจากข้อแขน...มันทำให้เขาดูน่ากลัวในสายตาผม
“อยู่ที่นี่ เรื่องเรียนจะไปสำคัญอะไร” เขายิ้มเยาะ
“ละ...แล้วคุณมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
คนตรงหน้ายกยิ้ม
ท่าทางเหมือนผมจะพูดถูกหูเขา “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่จะฝากซื้อของนิดหน่อย”
ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง
“แต่ว่า...มันจะสายแล้ว และคุณเองก็ต้องไปเข้าระ...”
‘ผัวะ!’
...เจ็บ...
เขาฟาดมือเข้าที่หัวผมอย่างจัง
“อย่าขัดใจกูสิอ้วน!”
ผมหลับตาปี๋เพราะรู้สึกชาไปทั้งสมอง
แผลที่เพิ่งได้มาเมื่อครู่กำลังถูกกระทบกระเทือนจนผมเริ่มจะทนไม่ไหว
ทั้งกระป๋องน้ำ ทั้งฝ่ามือ ในเช้าวันเดียวกัน...นี่มันมากเกินไปแล้ว
“ขะ...ขอโทษนะครับ แต่ผม...”
“ชิ!! ไอ้สัตว์นี่ไม่สนุกเลยว่ะ!” ในที่สุด เขาก็ยอมเดินหลบจากทางที่ขวางผมอยู่ “จะไปไหนก็ไปเลยไป”
“...”
“เร็วสิ!”
ผมรีบสาวเท้าเพื่อจะได้ผ่านหน้าเขาไป
แต่แล้ว...
‘โครม!’
เขายกเท้าขึ้นขวางจนผมล้มลง
โชคดีที่เอาแขนดันไว้ทันจึงมีแผลถลอกเพิ่มมาแค่จุดเดียวเท่านั้น
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วบริเวณ “หมูล้มไอ้สัตว์
พรุ่งนี้ถ้าตึกถล่มก็ไม่ต้องสงสัยเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
แล้วเขาคนนั้นก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงนั้นตลอดทาง
“เฮ้อ”
ผมถอนหายใจ ค่อยๆ ลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากตัว
...ไม่เป็นไร...
...วันนี้จะต้องเป็นวันที่ดี...
ในที่สุด ช่วงพักกลางวันที่ผมรอคอยก็มาถึง
ทว่า...ผมไม่รู้เนี่ยสิว่าจะสามารถตามหาคนคนหนึ่งในโรงอาหารที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนได้ยังไงกัน
ผมกวาดสายตามองหาฟ้าลั่นจนทั่ว...
มองหาเขาอยู่นานเกือบยี่สิบนาทีก็ยังไม่เจอ
จนผมเริ่มท้อ หรือไม่บางที...เขาอาจลืมไปแล้วว่าได้นัดกับผมไว้
ขณะที่ผมกำลังจะถอดใจไปซื้อแฮมเบอร์เกอร์กิน
ผู้ชายสามคนก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาขวางหน้า หนึ่งในนั้นคือคนที่ผมเฝ้ารอ
“ขอโทษที
รอนานไหมเนี่ย”
ผมรีบยิ้มให้เขา
“ไม่...ไม่นานหรอก เราก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”
“ขี้โกหกว่ะตุ้ยนุ้ย”
ผมหันขวับไปตามเสียงที่พูด
เขาคือคนที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน น่าจะเป็นเพื่อนคนหนึ่งของฟ้าลั่น
“หมายความว่าไงหรอครับ”
“หูย...
พูดเพราะซะด้วย” คนคนนั้นฉีกยิ้ม “ก็พวกกูสามคนเพิ่งวิ่งมาจากห้องเรียนมึงเนี่ย
เพื่อนห้องมึงบอกว่าพักกันได้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว”
“อ่า...”
ผมรีบก้มหน้าลง “ขะ...ขอโทษครับ”
“เคยบอกแล้วว่าไม่ต้องขอโทษ”
ฟ้าลั่นพ่นลมหายใจเบาๆ “รีบไปหาไรกินกันเถอะ
แค่เลิกเรียนช้าก็น่าหงุดหงิดพออยู่แล้ว” พูดจบ เขาก็เดินนำพวกผมเข้าไปในโรงอาหาร ใช้เวลาไม่นานก็สามารถหาโต๊ะได้
อันที่จริงแค่เห็นหน้าเขาก็มีเด็กหลายคนที่ยอมลุกหนีไปทันทีเลย
...มีอิทธิพลจริงๆ
ด้วยแฮะ...
ฟ้าลั่นชี้นิ้วไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่เพิ่งว่างสดๆ
ร้อนๆ “มะม่วง”
“ครับ”
ผมยิ้มรับ
เขาจะรู้ไหม...
ผมชอบมากเลยเวลาที่ถูกเรียกชื่อแบบนี้
“มึงนั่งรอนี่แหละ
เดี๋ยวกูไปซื้ออะไรมาให้เอง”
“หา?
ไม่...ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรา...”
“อย่าขัดใจ” ฟ้าลั่นเอ่ยแทรก
“...”
“อย่างมึงกว่าจะซื้อเสร็จกูคงต้องรอจนไส้ขาดตาย”
คิ้วของฟ้าลั่นขมวดมุ่นเล็กน้อย “นั่งนี่แหละ ไม่ต้องเกรงใจให้มันมากนัก”
“ไม่ต้องเกรงใจเหรอ?”
คนที่เรียกผมว่า ‘ตุ้ยนุ้ย’
ทำตาโตใส่ฟ้าลั่น “งั้นกูฝากมึงซื้อข้าวด้วยได้ป้ะ”
“...”
“น้า... พี่ฟ้าลั่นสุดหล่อ”
“ไอ้ตั๊ก”
“จ๋า...”
“ขามึงมีปัญหา
หรือหน้าอย่างมึงไม่มีปัญญาซื้อข้าวกินเอง”
“...!”
“...”
“แรง!!” ตั๊กแผดเสียงลั่น “ไอ้สัตว์ฟ้าลั่น! วันนี้มึงแรงกับกูมากเลยนะ อยากตายใช่ไหม เดี๋ยว!
จะหนีไปไหน กลับมาโดนกูสวดก่อนเลยไอ้เวร!!!”
สองคนที่เคยเถียงกันเดินละจากโต๊ะไปยังร้านอาหาร
ส่วนคนสุดท้ายที่ยืนเงียบตั้งแต่ต้น กลับทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับจุดที่ผมยืนอยู่
“นั่งลงสิ”
ผมทำตามที่เขาบอก
“แล้ว...นายไม่ไปซื้อข้าวบ้างหรอ?”
“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้”
ผมยิ้ม ไม่รู้จะเป็นการเข้าข้างตัวเองไปไหมถ้าผมจะรู้สึกว่าเขากำลังนั่งเป็นเพื่อนผมอยู่
“เอ่อ... คือ... นายชื่ออะไรเหรอ”
“ทอย”
เขาตอบรับเพียงสั้นๆ จนผมไม่รู้จะชวนคุยยังไงต่อ
“...”
“มึงแดกข้าวแกงเนี่ยนะ
ไร้รสนิยมจริงๆ ไอ้ฟ้าลั่น”
...ดีที่สองคนนั้นกลับมาเร็ว
“ไร้รสนิยมก็ดีกว่าไร้สมองนะ”
ฟ้าลั่นตอบกลับขณะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาวางข้าวราดแกงจานหนึ่งตรงหน้าผม
ส่วนอีกจานก็วางไว้ด้านหน้าตัวเขาเอง “ทีหลังก็คิดเองสิว่าจะกินอะไร”
“ไอ้สัตว์
แรงใส่กูต่อเนื่องเชียว” ตั๊กดูจะหัวเสียเล็กน้อยขณะนั่งลงข้างๆ ทอย “ก็เพราะมึงไม่ใช่หรอที่ชวนกูมากินข้าวที่นี่
ไม่งั้นกูคงได้กินในห้องรับรองสบายใจเฉิบแล้ว”
“อย่ามั่ว
กูไม่เคยชวนมึง” ฟ้าลั่นตอบขณะตักข้าวหนึ่งคำเข้าปากเคี้ยว
“มึงชวน”
“...”
“เถียงไม่ออกล่ะสิ
โฮะๆๆๆ”
ฟ้าลั่นกลืนอาหารลงไปในคอ
“กูแค่รอให้ข้าวหมดปาก ไม่อยากทำตัวไร้อารยะเหมือนคนแถวนี้”
“อ้าก!!! ไอ้สัตว์ฟ้าลั่น มึงลุกขึ้นมาตัวๆ
กับกูเลยมา” ไม่พูดเปล่า ตั๊กยังลุกยืนแล้วถกแขนเสื้อตัวเองขึ้นพร้อมรบ
ทอยส่ายหน้าน้อยๆ
เขาลุกขึ้นบ้างก่อนจะกดไหล่ตั๊กให้นั่งลงตามเดิม “รีบกินข้าวเถอะ” เพียงสั้นๆ
ก่อนที่เขาจะละจากโต๊ะไปที่ร้านอาหารบ้าง
“มะม่วง”
“ครับ”
ผมหันขวับไปตามเสียงเรียก
“ทำไมไม่กินซักที”
ฟ้าลั่นมองจานข้าวตรงหน้าผมที่ยังไม่ถูกแตะด้วยความสงสัย “หรืออยากกินอย่างอื่นมากกว่า?”
“เปล่าๆๆ”
ผมส่ายหัว “เรากินอะไรก็ได้”
“แล้ว?”
“เราแค่กำลังรอทอยอยู่”
“!!!”
“!!!”
ฟ้าลั่นกับตั๊กมองผมด้วยสายตาตะลึงอย่างพร้อมเพรียง
“ทะ...ทำไมหรอ?”
ทำเอาผมรู้สึกประหม่าไปเลย
“ฮะๆๆๆๆ”
แทนที่จะตอบคำถาม ตั๊กกลับหัวเราะออกมา “ตุ้ยนุ้ยนี่แม่งน่ารักว่ะ
มีการรอกินข้าวพร้อมกันด้วย ฮะๆๆๆ”
อ่า...
หรือปกติเพื่อนเขาไม่ทำแบบนี้กันนะ
ฟ้าลั่นวางช้อนส้อมในมือตัวเองลง
“เออๆ รอก็รอ”
“โอเค
กูรออีกคนก็ได้” ตั๊กเองก็ไม่ยอมแตะข้าวของเขาเช่นกัน
กระทั่งทอยกลับมามื้ออาหารของพวกเราสี่คนจึงเริ่มต้นขึ้น...
นึกย้อนกลับไปเมื่อวาน
ตอนที่ฟ้าลั่นนัดผมมาเจอช่วงพักกลางวันเพื่อคุยเรื่องอะไรกันซักอย่าง
ซึ่งอันที่จริงผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับเขา
และต่อให้มี...ผมก็หาโอกาสเปิดบทสนทนาไม่ได้เลย
เมื่อกินข้าวกันหมดทุกคน
พวกผมก็เดินนำจานชามไปเก็บยังที่เก็บจานของโรงอาหาร
หลังจากนั้นอีกสามคนก็ทำท่าจะโบกมือลา
“อะ...เอ่อ...”
ผมรีบส่งเสียงไปท้วงฟ้าลั่นไว้
“ฮึ?” เขาชะงัก
“ว่าไง”
“...เรื่องที่เราจะคุยกัน...
เอ่อ... คือ...”
“อ๋อ”
ฟ้าลั่นเลิกคิ้วขึ้น
“คือ...”
“ไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้ก็ได้”
“!!!”
“พรุ่งนี้มึงมากินข้าวกับพวกกูอีกวันสิ”
“!!!”
“พวกกู? What!?” ตั๊กส่งเสียงดังแทรก
“นี่มึงยังคิดจะชวนกูมากินข้าวในโรงอาหารอีกหรอ!? คุณชายอย่างกูรับไม่ได้!”
“โอเค
งั้นแค่กูกับไอ้ทอย” ฟ้าลั่นบอก “มึงจะมาด้วยไหมทอย?”
คนถูกถามพยักหน้า
“ได้หมด... กูไม่เรื่องมากหรอก”
“ม่าย!!! พวกมึงจะทิ้งกูไม่ได้ ไอ้เพื่อนทรพี
ตายไปไม่ได้ดีหรอกพวกมึงอะ”
“ฮะๆๆๆ”
ฟ้าลั่นหัวเราะเบาๆ ขณะเริ่มออกเดินต่อ
ผมเองก็เดินตามพวกเขาสามคนไป
เสียงขำที่ดังคลอจางๆ ทำให้ผมอดที่จะมีรอยยิ้มไปกับพวกเขาไม่ได้
...นี่ใช่ไหม
เพื่อน...
“ไว้เจอกันนะตุ้ยนุ้ย”
เมื่อถึงทางแยก ตั๊กก็โบกมือให้แล้วเดินไปทางห้อง 4C ทอยเองก็เช่นกัน
“บ๊ายบายนะฟ้าลั่น”
ผมบอกลาเขาก่อนจะสาวเท้าไปยังทางเดินสู่ห้องเรียนตนเอง
ทว่า...กลับมีเงาของใครบางคนเดินไล่หลังมาไม่ยอมหยุด
ผมจึงหยุด
แล้วหันไปมองหน้าเขา “ฟ้าลั่น...”
“ฮึ?”
“ห้องนายอยู่ทางนั้นไม่ใช่หรอ”
ผมชี้นิ้วไปยังห้อง 4A
“อืม”
“แล้วทำไม...”
ฟ้าลั่นถอนหายใจเบาๆ
“กูจะไปเรียนที่ห้องมึงด้วย”
“หา?”
“คิดว่าไม่เห็นหรอว่ามึงมีแผลมากกว่าที่เจอกันเมื่อวาน”
“!!!”
“กูไม่ได้ตาบอดนะมะม่วง”
ความคิดเห็น