คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทเรียนที่ 2
บทเรียนที่ 2
ผ่านไปสามสัปดาห์แล้ว
ในรั้วโรงเรียนใหม่ที่ผมย้ายมา
ไม่มีผู้หญิงคอยมาถามเรื่องน้ำหนัก
ไม่มีผู้ชายคอยหาเรื่องให้เหนื่อยใจ
อันที่จริง...
...แทบไม่มีใครสนใจผมเลยต่างหาก
ขนาดเพื่อนร่วมห้องที่หอพักก็ยังต่อบทสนทนากับผมเฉพาะยามจำเป็นเท่านั้น
รูมเมทบอกว่าคนที่ชื่อ ‘ไนท์’
ชั้น ม.5 มาขู่ไม่ให้ยุ่มย่ามอะไรกับผม
...ก็คงเป็นคนที่ผมเจอตรงบันไดเมื่อวันแรกนั่นแหละ...
ตั้งแต่วันนั้น
ทุกครั้งที่เขาเจอผม ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญ หรืออาจเป็นเพราะเขาจงใจมาดักรอ
ทุกครั้ง...ผมจะให้สิ่งที่เรียกว่า ‘ส่วย’ กับเขาเสมอ
คราวนี้ก็เช่นกัน...
“อ้วน”
ผมส่งยิ้มรับ
เป็นการฉีกริมฝีปากที่นับวันยิ่งฝืนมากขึ้นทุกที “ครับพี่”
“เอามา
เหมือนเดิม” พูดพลาง พี่ไนท์ก็แบมือยื่นมาตรงหน้า
“นี่ครับ”
เช่นเคย ผมหยิงแบงก์สีเทาส่งให้เขาไป
พี่ไนท์ยิ้มรับ
“ต้องอย่างนี้สิวะ” เขาเก็บเงินเข้าในกระเป๋าตังค์ตัวเอง “ไว้เจอกันเว้ยมึง”
แค่นั้น...
...ชีวิตผมก็สงบสุข
...
...
...
ใช่สิ
...นี่แหละชีวิตที่ผมต้องการ...
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายหรือเปล่า
เพราะอย่างน้อยๆ การย้ายโรงเรียนก็ทำให้ผมมีเรื่องต้องคิดมากกว่าแค่สนใจรุ่นพี่หรือเพื่อนร่วมห้อง
โรงเรียนประจำเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยเลยซักนิด
ผมเหงามาก...
โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรก
ผมปรับตัวเข้ากับคนรอบข้างไม่ได้ แม้อันที่จริงผมจะไม่เคยเข้ากับใครได้เลยก็ตาม
แต่อย่างน้อยตอนที่ยังอยู่โรงเรียนเก่า ทุกวันหลังเลิกเรียนผมก็ยังได้กลับบ้าน
กลับไปยังสถานที่ปลอดภัย กลับไปเจอกับคนสองคนที่จะอยู่ข้างผมเสมอโดยไม่มีเงื่อนไข
ผมคิดถึงคุณพ่อคุณแม่
คิดถึงมากจนเจ็บหัวใจ
พวกท่านโทรมาหาผมทุกคืนก่อนนอน คอยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทุกอย่าง และผมทำได้เพียงบอกกลับไปว่าทุกอย่างโอเค
โรงเรียนนี้ทำให้ผมมีความสุขได้มากกว่าโรงเรียนเดิม เพื่อให้พวกท่านสบายใจ
ชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ในโรงเรียนประจำ
จะวนเวียนอยู่กับการตื่นนอนตามเวลา ห้ามสายเพราะจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตราไล่ไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้าเรียน
ไม่มีใครสามารถโดดเรียนอยู่ที่ห้องพักของตัวเองได้
ช่วงเย็น
เมื่อคาบเรียนสุดท้ายสิ้นสุดลง
หลายคนต่างก็มีกิจกรรมที่แยกย้ายกันไปทำตามความสนใจของแต่ละคน หากเพียงแต่ผมจะมีเพื่อนกับเขาบ้าง...ผมก็คงได้มีอะไรทำหลังเลิกเรียนเหมือนกับคนอื่นเขา
ต้องยอมรับตามตรง
โรงเรียนนี้จัดว่าเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างน่าอยู่มากเลยทีเดียว
ด้วยความที่สิ่งแวดล้อมร่มรื่น มีสถานที่ทำกิจกรรมเยอะ
และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ถ้าเพียงแต่ผมมี
‘เพื่อน’ ก็เท่านั้น
แต่เป็นเพราะผมไม่มี...
เลิกเรียนเสร็จ ผมจึงทำได้เพียงเก็บข้าวของแล้วเดินกลับไปยังห้องพัก บางวันก็หยิบการบ้านขึ้นมาทำ
บางวันก็เปิดหนังสืออ่านทบทวนบทเรียน บางวันก็เปิดโน้ตบุ๊กท่องโซเชียลจนถึงเวลานอน
ช่างเป็นชีวิตประจำวันที่แสนน่าเบื่อ
แต่ความน่าเบื่อก็ยังดีกว่าความวุ่นวายที่ผมพยายามหลีกหนี...
มีครั้งหนึ่งที่ผมลงจากห้องไปเดินสำรวจรอบโรงเรียนในช่วงเย็น
ผมสาวเท้าไปเรื่อยอย่างไม่รู้จุดหมาย กระทั่งไปเจอกับกลุ่มคนที่รวมตัวกันสูบบุหรี่อยู่แถวๆ
สวนหลังอาคารเพาะชำ คนเหล่านั้นหันมาทางผมด้วยท่าทางมุ่งร้ายทันที
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะทันได้พุ่งเข้ามาหาเรื่อง หนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าแล้วบอกว่ารู้จักผม
เขารู้ว่าผมเป็นเด็กในปกครองของ ‘ไนท์ ม.5’
ซึ่งนั่น...ทำให้ผมรอดพ้นจากกลุ่มคนท่าทางน่ากลัวพวกนั้นมาได้
ตั้งแต่นั้นมา
ผมก็ไม่เดินทะเล่อทะล่าไปที่ไหนอีกเลย
เมื่อวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มาถึง (แต่ยังไม่ใช่สัปดาห์ที่ผู้ปกครองสามารถมารับกลับบ้านได้)
รูมเมทของผมก็หายตัวจากห้องไปตั้งแต่เช้าเหมือนอย่างทุกครั้ง
แอบได้ยินเขาโทรคุยกับเพื่อนประมาณว่านัดกันไปซ้อมดนตรีที่ห้องชมรม
ผมเองก็อยากมีอะไรทำบ้าง
จึงกวาดสายตามองไปรอบห้อง เจอเพียงสิ่งเดียวที่พอจะเป็นข้ออ้างให้ออกไปจากห้องพักสี่เหลี่ยมเล็กๆ
นี้ ...มันคือตะกร้าผ้า
ปกติจะมีแม่บ้านของโรงเรียนคอยซักพวกชุดนักเรียน
ชุดพละ ชุดกิจกรรมให้ ส่วนกางเกงใน ชุดใส่เล่น ก็ต้องไปที่ห้องซักผ้าหยอดเหรียญแทน
คิดได้แบบนั้นผมก็รีบลุกจากที่นอน
(อ้อ ผมได้เตียงชั้นล่างโดยที่ไม่ต้องขอรูมเมทด้วยซ้ำ) ล้างหน้าแปรงฟันคร่าวๆ
เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นลวกๆ
ก่อนจะหยิบตะกร้าผ้าเดินออกจากห้องพักไป
ในห้องซักผ้ามีผู้ชายหนึ่งคนอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
เขากำลังยืนเติมน้ำยาปรับผ้านุ่มลงกับเครื่องตรงมุมห้อง คนคนนั้นปราดสายตามองผมแว็บหนึ่ง
อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้าไปใกล้ ผมรีบฉีกยิ้มให้ แต่ก็ไม่ทัน
เขาหันกลับไปสนใจเครื่องซักผ้าก่อนเสียแล้ว
ผมละสายตาออกจากอีกคน
เปิดฝาเครื่องซักผ้าที่ยังไม่มีการใช้งาน เทบรรดาชุดที่ส่งกลิ่นเล็กน้อยจากตะกร้าลงไป
เติมผงซักฟอก ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม หยอดเหรียญสิบจำนวนสามเหรียญ
เพียงเท่านั้นเครื่องมือทำความสะอาดเบื้องหน้าก็เริ่มทำงานส่งเสียงครืดคราด
ผมเหล่หางตามองคนที่มุมห้อง
ด้วยความสงสัยว่าทำไมป่านนี้เครื่องซักผ้าของเขาก็ยังไม่ทำงานเสียที “อะ...เอ่อ...
มะ...มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” ผมเลือกใช้คำสุภาพ ไม่แน่ใจว่าคนคนนั้นจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้องกันแน่
เขาหันกลับมามองผมอีกครั้ง
ใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะถอนหายใจเหยียดยาวแล้วดันตัวเองให้ยืนหลังตรงเต็มความสูง
...เขาสูงกว่าผมมากทีเดียว “เครื่องไม่ยอมกินเหรียญ”
“อ่อ...”
ผมพยักหน้าลงเป็นเชิงเข้าใจพร้อมกับล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเอง “ลองใช้เหรียญผมดูไหมครับ”
แล้วผมก็เดินไปยื่นสิบบาทสุดท้ายให้เขา
“ขอบใจ”
เขาทำตามที่ผมบอก
‘กึก’
‘ครืด...
ครืด...’
และเครื่องซักผ้านั้นก็ยอมดูดเหรียญลงไปเสียที
เขาหันหน้ามาหาผม
คิ้วที่เคยขมวดมุ่นคลายออกอย่างง่ายดาย “อะ คืนให้” เขาส่งเหรียญสิบที่หยอดไม่ลงมาให้ผมแทน
“ขอบคุณครับ”
ผมยิ้มรับ
คิ้วของคนตรงหน้ากลับมาขยับเข้าหากันอีก
“ประหลาดคน”
“หา?”
...ว่าผมทำไมล่ะครับ...
“เป็นคนช่วยแท้ๆ
จะมาขอบคุณทำไมกัน”
“อ๋อ... แหะๆ”
ผมทำได้เพียงหัวเราะแห้งออกไป “งั้นผม...”
“เฮ้ยไอ้อ้วน!”
ผมตัวกระตุก
คำพูดที่ตั้งใจจะเอ่ยกับคนมุมห้องถูกกลืนกลับลงคอ
เป็นเพราะเสียงที่เอ่ยเรียกผมนั้นช่างฟังดูคุ้นหู
“เอาเงินมาหน่อยดิ๊
วันนี้กูว่าจะสั่งของออนไลน์ซักหน่อย” คนมาใหม่สาวเท้าเข้ามายืนซ้อนด้านหลังผม
ไม่ต้องหันกลับไปก็พอจะเดาได้
เสียงแหลมเล็กแต่แฝงความน่ากลัวแบบนี้ก็มีอยู่คนเดียว ผมไม่รู้จักชื่อเขาหรอก
รู้แค่ว่าเขาเป็นเพื่อนในกลุ่มของพี่ไนท์ ม.5
ก็แค่นั้น
“คะ...ครับ
แป๊บนึงนะครับ” แล้วแบงก์พันก็ถูกส่งไปให้เขาเหมือนเคย
‘แปะๆๆ’
พี่คนนั้นตบไหล่ผมสองสามทีพร้อมกับยิ้มกริ่ม
“ขอบใจมากว่ะอ้วน”
“...”
“เจอกันเว้ย” แล้วพี่เขาก็ถอยห่างจากผม
ดูเหมือนเขาจะเอาผ้าลงมาซักเช่นกัน
“...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
เสียงของผมแผ่วเบา แค่บอกให้พอเป็นมารยาท ก่อนที่ผมจะรีบสาวเท้ารัวๆ
หนีออกจากห้องนั้นมาโดยแม้แต่จะหันไปมองอีก
ใจของผมสั่นรัว
ไม่บ่อยนักที่ผมจะถูกคุกคามทั้งๆ
ที่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย
ทั้งที่ผมน่าจะได้ทำความรู้จักกับคนในห้องซักผ้า บางทีผมอาจจะได้มีเพื่อนคนแรก
หรืออย่างน้อยๆ ผมก็อาจ... จะได้รู้ชื่อของใครซักคนเพิ่มขึ้นบ้าง
...ผมเหนื่อยอีกแล้วล่ะครับ...
“เฮ้ย!!!”
เสียงตะโกนโวยวายด้านหลังทำให้สองขาที่กำลังเดินเปลี่ยนเป็นสาวเท้าวิ่งฉับพลัน
...เกิดอะไรกับชีวิตผมอีกแล้วเนี่ย...
“หยุดวิ่งก่อน
เฮ้ย!!!”
บ้าแล้ว...
“ก็บอกให้หยุดไง!!”
ขาของผมก้าวไปไหนต่อไม่ได้...
เขาวิ่งมาทันและจับไหล่ผมเอาไว้
...จบแล้วสินะ...
“วิ่งหนีทำไมเนี่ย”
เสียง?
...นี่มันคนที่เหรียญหยอดไม่ลงเมื่อกี้นี่...
ผมถอนหายใจอย่างโล่งออก
“ขอโทษครับ ผมคิดว่าเป็นคนอื่นวิ่งตามมา”
เขาคนนั้นปล่อยมือออกจากตัวผม
สะบัดหน้าใส่หนึ่งทีด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ “จะเอาเงินมาคืน เห็นทำตกไว้เมื่อกี้”
ว่าแล้ว เขาก็ยัดแบงก์ใบสีเทาใส่มือผมทันที
“!!!”
อย่าบอกนะ... คงไม่ใช่ว่าเขาไปเอาเงินคืนมาให้หรอกนะ...
“กำเงินด้วยสิ
เดี๋ยวก็หล่นอีกหรอก”
ผมจ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
“...คะ...คือ... ผม...ผมไม่ได้ทำตก...”
“...”
เขาเองก็ยืนนิ่งมองผมกลับ
“ผมต้องให้เงินพี่คนนั้น...”
ผมเริ่มสับสน นี่ผมต้องวิ่งเอาเงินกลับไปให้พี่คนเมื่อกี้หรือเปล่า
“ให้ทำไม?”
“ก็...”
“...มันเป็นลูกมึงหรือไง”
“!!!”
“มีแต่พ่อแม่เท่านั้นแหละที่มีหน้าที่ให้เงินคนอื่น”
เขาคนนั้นพูดต่อ “และเงินที่ถืออยู่น่ะ...” สายตาของเขาถูกกดต่ำลง
“...”
“...ก็ได้มาจากพ่อแม่ของมึงไม่ใช่เหรอ”
“!!!”
ความคิดเห็น