คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
“หนูม่วง...”
เสียงอ่อนเสียงหวานที่กำลังเรียกผมอยู่นั้น เป็นเสียงที่ผมได้ยินตั้งแต่เริ่มจำความได้
“...น่ารักจังเลยลูก”
...คงเป็นเพราะผมตัวกลมจ้ำม่ำล่ะมั้ง
ถึงได้รับความเอ็นดูอย่างนี้...
…
“นี่ๆ
มะม่วง...”
พอเริ่มเข้าเรียนประถม
เสียงที่ฟังดูเป็นมิตรของเพื่อนร่วมชั้นก็ยังคงดังแว่วอยู่ข้างหูผมไม่ขาดสาย
“ฮะ?
อ่า... มีอะไรเหรอ?” ตอนนั้นผมก็สงสัยนะ
ทำไมใครๆ ต่างก็รู้จักชื่อผม ทั้งๆ ที่ผมแทบจะไม่เคยสุงสิงกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
“เราขอยืมดินสอหน่อยได้ไหม”
ผมจำได้ว่าผมยิ้มตอบกลับไปด้วยความยินดี
“ได้สิ เรามีอยู่สองอันพอดี” ผมยื่นแท่งที่เป็นสีเขียวส่งให้เขา
“แต่เราชอบสีแดงในมือมะม่วงมากกว่า”
“หา?”
สายตาของเพื่อนคนนั้นจับจ้องอยู่กับดินสอในมือผมไม่วางตา
...เขาคงชอบมันมากจนละสายตาไปไม่ได้เลยล่ะมั้ง...
“งั้นเราให้ยืมอันนี้ก็ได้”
ผมยังคงยิ้มจนตาหยีขณะที่ยื่นดินสอสีแดงแท่งโปรดของตัวเองส่งไป
เพื่อนคนนั้นยิ้มกลับ
ไม่มีคำขอบคุณด้วยซ้ำตอนที่เขาเดินจากไป
และ...
...ดินสอแท่งนั้นก็ไม่เคยได้กลับมาอยู่ในมือผมอีกเลย
ทีแรกผมคิดว่าเขาอาจแค่ลืม
ผมจึงเดินไปที่โต๊ะของเพื่อนคนนั้นและทวงถามถึงของที่เคยเป็นของผม
“นายๆ”
คนตรงหน้าเงยสายตาขึ้นมองตามเสียงเรียก
ในแววตามีความเป็นมิตรลดน้อยลงจนน่าตกใจ “มีอะไร”
น้ำเสียงก็ฟังดูต่างจากเดิมอยู่ไม่น้อย
“คะ...คือ...”
เป็นผมเองเสียอีกที่ต้องส่งยิ้มแห้งให้ “เรา...เอ่อ... เรามาขอดินสอสีแดงของเราคืน”
“ดินสอสีแดง?”
“ชะ...ใช่”
แล้วผมก็ยกนิ้วที่สั่นเทาเล็กน้อยขึ้นชี้ไปยังของที่ถูกเหน็บอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อของเพื่อนร่วมชั้น
“อะ...อันนะ...”
“จะบ้าเหรอ!!!”
เสียงตะโกนดังลั่นก่อนที่ผมจะทันได้พูดจบคำดี นั่นทำให้เพื่อนคนอื่นๆ
หันมาให้ความสนใจจุดที่ผมยืนอยู่ “เป็นบ้าเหรอไง! นี่มันของเราชัดๆ
แม่เราซื้อมาให้จากร้านสหกรณ์ แล้วนายน่ะชื่อมะม่วงใช่ไหม?
เราเคยคุยกันหรือไงถึงได้มาพูดว่าดินสอนี่เป็นของของนาย”
“...”
ผมได้แต่ยืนค้าง ไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า
“มะม่วง
อย่าทำตัวเป็นเด็กขี้โกหกได้ไหม”
“!!!”
...ขี้โกหกเหรอ...
“นี่ๆ
เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ดูเหมือนการสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนร่วมชั้นที่ยังไม่รู้จักชื่อ
จะทำให้หัวหน้าห้องสงสัยจนต้องเดินเข้ามาถาม
“ก็มะม่วงน่ะสิ
อยู่ดีๆ ก็เดินมาบอกว่าดินสออันนี้ไม่ใช่ของเรา” เพื่อนคนนั้นมุ่นคิ้ว “พ่อเราเป็นคนซื้อมาให้ชัดๆ”
...เหมือนว่าเมื่อครู่
คนที่ซื้อมาให้จะไม่ใช่พ่อนะ...
“แต่มันเป็นของเราจริงๆ
นะ” ผมพยายามอธิบายกับหัวหน้าห้อง “คนนี้เค้าไปยืมจากเราที่โต๊ะ ไม่เชื่อก็ถาม...
เอ่อ...” ผมชะงักทันทีเมื่อหันไปเจอแววตาว่างเปล่าของเพื่อนคนอื่นๆ ที่มองมา
“มีใครเป็นพยานให้มะม่วงหรือเปล่า”
เมื่อผมเงียบไป หัวหน้าห้องจึงหันไปขอเสียงตอบรับจากเพื่อนๆ รอบห้อง
“...”
“...”
“...”
ผม...ไม่ควรคาดหวังว่าจะมีความช่วยเหลือตั้งแต่ต้น
“มะม่วง”
หัวหน้าหันกลับมาหาผม น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น “ถ้ามีเรื่องแบบนี้อีกที
เราจะฟ้องคุณครูนะ” พูดจบ หัวหน้าห้องก็เดินจากไป
แว็บหนึ่ง
ผมเห็นรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของเพื่อนที่ยังคงเหน็บปากกาสีแดงของผมไว้
ก่อนที่เขาจะทำเป็นตีเนียนเอ่ยออกมา “เออๆๆ
ในเมื่อหัวหน้าบอกไม่ให้เอาเรื่องก็แล้วไป
แต่อย่ามาตู่ว่าของคนอื่นเป็นของตัวเองอีกนะมะม่วง มันไม่ดี”
“...”
ผมทำได้เพียงก้มหน้าลง
“กลับไปที่โต๊ะนายซักทีสิ
เดี๋ยวคุณครูก็เข้ามาแล้ว”
ผมผงกหัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ริมฝีปากขยับได้เพียงแค่ “ขอโทษนะ” ก่อนจะเดินกลับที่เดิม
...ไม่เป็นไรหรอกนะ...
...เพื่อนเขาคงแค่อยากได้ดินสอสีแดงมากๆ
แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมซื้อให้เท่านั้นเอง...
…
แล้วเรื่องแบบนั้นก็เกิดกับผมบ่อยขึ้น
บ่อยขึ้น...
บ่อยขึ้น...
จนเกิดสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ความเคยชิน
…
“เฮ้ยไอ้ม่วง!”
ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“มีอะไรเหรอตั้ม” รอยยิ้มประดับอยู่ชัดเจนที่ริมฝีปากของผม
“เอาการบ้านมึงมาดูหน่อยดิ๊”
ผมยังคงยิ้มกว้าง
“เอาสิ” ก้มลงหยิบสมุดวิชาวิทยาศาสตร์ส่งให้
“เดี๋ยวลอกเสร็จกูเอาไปส่งให้แล้วกัน”
ตั้มแทบจะกระชากสมุดไปจากมือผม
“อื้อ
ขอบใจนะ”
“เออ”
แล้วตั้มก็เดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนหลังห้องเรียน
ผมค่อยๆ
หุบรอยยิ้มลง หยิบสมุดการบ้านที่ทำสำรองไว้อีกเล่มเดินไปส่งงานที่ห้องพักครู
…
ผมผ่านชีวิตวัยมัธยมต้นมาได้ด้วยดี
...มีรอยยิ้มในทุกๆ
วัน...
…คิดว่าอย่างนั้นล่ะนะ...
…
กระทั่งเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย...
วัยที่เพื่อนร่วมชั้นดูจะโตกันเร็วจนเกินไป หรือไม่ก็...
ผมมันเป็นเด็กที่ไม่ยอมโตเสียที
ผมก็แค่มาโรงเรียนเพื่อมาเรียน
ไม่อยากยอมรับหรอกว่าผมเองก็อยากมีเพื่อนกับเขาบ้าง
แต่ผมไม่รู้เลยว่าทำยังไงถึงจะมี...
โรงเรียนที่ผมอยู่เป็นที่เดิมกับที่ผมเรียนมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล
และผมคิดว่าผมคงยังต้องเจอกับคนกลุ่มเดิมๆ ไปอีกสามปีด้วยกัน
จนกว่าจะจบ ม.6
บ่อยครั้งที่ผมเหนื่อย
ผมไม่ไหวแล้วกับการที่ต้องยิ้มให้กับทุกๆ สิ่งเบื้องหน้า
...แต่พอผมกลับไปบ้าน
กลับไปเจอความอบอุ่นจากคนสองคนที่รักผมมากที่สุดในโลก
แค่นั้นผมก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว
...ผมจะอดทนนะครับ...
...เพราะผมเป็นคนเก่งของคุณพ่อ...
...เพราะผมเป็นเด็กดีของคุณแม่...
…
“เฮ้ยไอ้ม่วง!”
ผมเงยหน้าขึ้นมอง
ตั้มคนเดิมนั่นเอง... ผมยิ้มให้เขา “วันนี้ไม่มีการบ้านนะตั้ม”
“เออ
กูรู้”
“อ่า...”
...ถ้ารู้แล้ว
มาหาผมทำไม...
“วันนี้เอาเงินมาป้ะ?
ขอยืมเงินมึงหน่อยดิ”
“หา?”
ผมขมวดคิ้วมุ่น “อะ... เอ่อ... ตั้มจะเอาไปทำอะไร”
“เออน่า
จะทำอะไรก็เรื่องของกูเถอะ”
“แต่ว่า...”
“นี่มึงอยากมีเรื่องเหรอวะ!”
“!!!”
แน่นอน...
ผมไม่อยากมี
“อะ...
เอ่อ... ละ...แล้วตั้ม...ตั้มอยากได้เท่าไหร่” มือที่เริ่มสั่นของผมค่อยๆ
ขยับไปที่กระเป๋ากางเกงช้าๆ
“มึงมีแค่ไหน
กูก็เอาแค่นั้นนั่นแหละ”
“!!!”
“นี่กูใจดีกับมึงมากแล้วนะไอ้ม่วง”
“แต่...
แต่มันมีค่าหนังสือของคุณแม่...”
“เฮ้ย!!!”
“เฮือก!!”
ผมสะดุ้งโหยง
เมื่อคราวนี้มีคนตัวใหญ่อีกเกือบสิบคนกรูกันเข้ามาล้อมโต๊ะเรียนของผมไว้
ผมรู้สึกราวกับร่างกายตัวเองหดเล็กลงหลายเท่าตัว
“อย่าลีลาได้ไหมวะไอ้ม่วง!”
กาย ที่เป็นเพื่อนสนิทของตั้ม ตะโกนลั่น
และเหมือนเคย...เพื่อนคนอื่นในห้องแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“มีเงินเท่าไหร่ก็เอามาถ้าไม่อยากปากแตกกลับบ้าน”
“...”
“เชี่ยม่วง!”
“ไม่ต้องเสียงดังหรอกกาย”
ผมพยายามบังคับริมฝีปากตัวเองให้ฉีกยิ้ม “ระ...เราให้นะ” ผมยื่นทั้งกระเป๋าให้เขา “พวกนายคงมีเรื่องจำเป็นต้องใช้ล่ะสิ”
“...”
“...”
“...”
พวกนั้นนิ่งงันกันไปซักพัก
ขณะที่ผมทำได้เพียงส่งยิ้มโง่ๆ
ต่อไป
แล้วไม่นานนัก
กายกับตั้ม ก็เดินนำกลุ่มคนตัวใหญ่ออกห่างไปจากโต๊ะของผม
ผมหุบรอยยิ้มลง...
ถอนหายใจออกมาเบาๆ
...ไม่เป็นไร...
...บอกคุณแม่ว่าทำหาย
คุณแม่คงไม่ว่าอะไรหรอก...
...กายกับตั้มคงมีเรื่องที่สำคัญกว่า...
...ใช่แล้ว
มันเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ...
…
“เฮ้ยไอ้ม่วง
วันนี้ขอมากกว่าเมื่อวานได้ไหมวะ”
“อื้อ
ได้สิ”
…
“เฮ้ยไอ้ม่วง!”
“อะไรเหรอตั้ม”
“ยืมเงินหน่อยดิ”
“เอาสิ”
…
แม้กระทั่งวันประกาศผลสอบคะแนนกลางภาค
คนพวกนั้นก็ยังไม่เลิกมาวุ่นวายกับผม
“เฮ้ยไอ้ม่วง!”
พวกเขาไม่ได้สนใจผู้ใหญ่สองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมเลย
…วันนี้ผู้ปกครองต้องมาที่โรงเรียนด้วย...
“มะม่วง
นี่เพื่อนๆ ของลูกหรอเนี่ย” คุณแม่กระซิบถามเบาๆ ที่ข้างหูผม
ผมทำได้เพียงส่งยิ้มจางๆ
ให้กับทุกคน “ครับ นี่เพื่อนของผมเองครับ”
ตั้มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เออๆ กูยอมเป็นเพื่อนมึงก็ได้ แต่เพื่อนมึงคนนี้กำลังเดือดร้อนจริงๆ ว่ะ”
“อะ...เอ่อ...”
ผมเริ่มเหงื่อตก “เดี๋ยวค่อยคุยกันได้ไหมตั้ม”
“ไอ้สัตว์ม่วง
อย่ามาเล่นลิ้นนะ เอาเงินมาเร็วๆ พวกเชี่ยกายรอจ่ายค่าบอลอยู่”
“อะไรนะ!”
เสียงเข้มของคุณพ่อดังแทรกทุกสิ่ง
หูของผมไม่ได้ยินอีกแล้ว
ไม่ว่าคุณพ่อกับตั้มจะเปิดฉากอะไรใส่กันหลังจากนั้น
…
เมื่อกลับมาบ้าน
คุณพ่อคุณแม่ก็ซักทุกเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ผมตัดสินใจอธิบายทุกอย่างให้ฟัง
ทุกเรื่องที่เคยเกิดกับผมตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล
คงเป็นเพราะผมจ้ำม่ำ
อ้วนท้วน ดูไม่ประสา และอ่อนแอ...
...พวกเขาถึงได้ทำแบบนั้นกับผมล่ะมั้ง...
ทั้งสองท่านฟังผมเล่าด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ต่างจากผมที่ค่อยๆ ยิ้มกว้างขึ้นอย่างผิดวิสัย
ผมเห็นคุณพ่อคุณแม่พากันรุมกอดผม
พวกท่านร้องไห้แทนผมราวกับจะขาดใจ
จากนั้นพวกท่านก็ตัดสินใจทำเรื่องย้ายโรงเรียนให้กับผม
ย้ายกลางเทอมในช่วงที่ผมยังคงเรียนอยู่ ม.4
ไปยังโรงเรียนใหม่...
'Senorier'
...
แต่ว่า...
คุณพ่อคุณแม่ครับ...
...ผมคิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมหรอก
ผมขอโทษ
ความคิดเห็น