NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Just a ... | Tonojake

    ลำดับตอนที่ #2 : Just a flirt

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 66



     

     

    OneShot Tonojake : Just a flirt

    #Avatar #Towajake #Tonojake

     

    Waring : แหกศีลข้อ3

    Note : เป็นเรื่องต่อจาก One Shot Just a crush - Tonojake สามารถแยกอ่านได้ค่ะ

    ถึงการแยกคู่พ่อแม่จะทำให้รู้สึกบาปสุดๆ แต่สุดท้ายนรกก็แค่ชื่อสถานที่ค่ะ (ทรุดกราบตักแม่แมว&แม่ปลา) การเขียนให้แม่ช้ำรักสะอึกสะอื้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำ ดังนั้นเลิฟจึงบิดความรักของแม่เป็นแบบนี้แทนค่ะ

     

    Enjoy naka (ผายมือ)

     


     

    ชีวิตครั้งหนึ่งที่พระแม่เอวาประทานให้

    พวกเราชาวนาวีใช้มันเพื่อจับคู่เพียงครั้งเดียว

     

    โรนัล คือซาฮิกผู้รอบรู้ มีทักษะการรบไม่ต่างจากผู้กล้า ในขณะเดียวกันก็เป็นสตรีที่เข้าใจ นางจึงเป็นทั้งภรรยาและเพื่อนคู่คิดที่ไม่อาจหาได้จากไหนอีก ยามนั้นเขาถึงได้เลือกนางเป็นคู่ซาเฮย์ลู 

     

    โอโลเอทานเผ่าเม็ตคายีนาใช้สิทธินั้นไปแล้ว

     

    ชีวิตคู่ของพวกเขาจึงไม่ต่างจากเอวาประทานพร

     

    โลกทั้งใบของโตโนวารีคือผืนสมุทรสีคราม มีลูกเผ่า ภรรยาและบุตรชายหญิงเป็นผู้อาศัย เหล่าบุคคลที่เขาเอาใจใส่และปกป้องคุ้มครองอย่างเต็มที่ โลกของเขาเป็นเช่นนี้ สงบสุข งดงาม จนกระทั่งวันที่ครอบครัวนาวีต่างเผ่าเหินลงจากฟ้า แค่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ มหาสมุทรเกิดคลื่นลูกใหม่เป็นปกติอยู่แล้ว มุมมองของเขาไม่ควรเกิดปัญหา นาวีป่าไม่ควรเปลี่ยนสิ่งใด

     

    จนกระทั่ง กระแสความรู้สึกนั้นวูบผ่าน--- เขาไม่ควรจับมันได้ หรือต่อให้จับได้ ก็ไม่ควรเก็บมาประคองแนบอก แต่รสรู้สึกที่ได้จากการเฝ้ามองโทรุคมัคโตช่างหวานล้ำและขมปร่าไปพร้อมกัน ชวนให้เสพติดจนต้องข่มใจสุดชีวิต การหักหลังภรรยาที่ดีพร้อมเป็นสิ่งสุดท้ายที่โอโลเอทานอยากทำ ถึงแม้การเบือนหน้าหนีแสงอรุณรุ่งจะยากสำหรับน่านน้ำสุดลึกล้ำมากแค่ไหนก็ตาม

     

    ภาวนาต่อเอวา

     

    ขอให้ความรู้สึกนี้เกิดและจางหายไม่ต่างจากรอยบนผืนทรายยามโดนคลื่นสาดซัด

     

    แต่แล้วค่ำคืนหนึ่งในมารุยของหัวหน้าเผ่า ขณะที่เตรียมตัวจะเข้านอนภรรยาของเขาก็เอ่ยขึ้น

     

    “โตโนวารี ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ท่านก็จะเลือกข้า”

     

    โรนัลมีอุปนิสัยเด็ดขาด ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม การกล่าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วยคำถามที่เหมือนไม่ใช่คำถามเช่นนี้ ถือว่าผิดปกติอย่างมาก มองใบหน้างดงามที่ราบเรียบของโรนัล ประโยคที่นางเพิ่งกล่าวขึ้นเมื่อสักครู่เป็นความจริงที่เราทั้งสองรู้ดีแก่ใจ ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยด้วยซ้ำ

     

    โตโนวารีเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ใบหูลู่ลง ตอบตามความสัตย์จริง

     

    “ย่อมเป็นเจ้า”

     

    “ท่านเติบโตบนผืนน้ำกว้างใหญ่ การปกป้องพวกเราชนเผ่าเม็ตคายีนาคือความหมายของการดำรงอยู่ของท่าน”

     

    ถูกต้องแล้ว เขาพยักหน้า เกิดเพื่อเผ่า ตายเพื่อเผ่า ตำแหน่งโอโลเอทานมีไว้เพื่อการนั้น

     

    โรนัลแสยะยิ้มหยัน เสียงขู่ฟ่อก้องอยู่ในลำคอ

     

    “แต่เจค ซัลลีไม่ใช่ -- แรกกำเนิดเขาเป็นคนจากฟ้า ครั้งต่อมาเป็นชนเผ่าโอมาติกาย่า ทุกลมหายใจต่อจากนั้นมีไว้เพื่อผืนป่า เพื่อนางสิงห์ผู้นั้น ไม่ใช่ท่าน

     

    “....”

     

    เขาพูดสิ่งใดไม่ออก เลือดในกายชาวาบ หัวใจร่วงสู่ปลายเท้า

     

    โอ้ องค์เอวา--

     

    “ภรรยา... เจ้าคือซาเฮย์ลูของข้า

     

    ประกาศเจตจำนงด้วยความหนักแน่น แม้รู้สึกเหมือนตัวกำลังจมดิ่งสู่พื้นมหาสมุทร ชีวิตที่พระแม่เอวาประทานให้ โตโนวารีใช้มันเพื่อเลือกคู่ชีวิตเรียบร้อยแล้ว เขาไม่มีความคิดจะสานต่อ ไม่คิดจะจับคู่หรือเชื่อมสัมพันธ์กับใครใหม่อีก สิ่งที่กำลังรู้สึกกับนาวีป่าเป็นเรื่องที่ผิดและหยามเกียรติภรรยา หากโรนัลไม่คิดให้อภัย เขาก็เข้าใจ

     

    ซาฮิกแห่งเผ่าพยักหน้า ดวงตาสีอ่อนไม่มีเค้าลางของความเสียใจหรือโกรธแค้น เชื่อมสัมพันธ์กันมาเนิ่นนาน เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าความรู้สึกของพวกเราไม่เคยเท่ากัน โตโนวารีเป็นบุรุษอ่อนโยนที่ใช้เหตุผลก่อนความรู้สึกเสมอ เขาใช้หลักความถูกต้องและเหมาะสมในการคัดเลือก

     

    เหตุผลที่เราจับคู่กัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนางและเขาต่างเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดของอีกฝ่ายในช่วงเวลานั้น ถามว่ามีความรักไหม แน่นอนว่ามี-- เพียงแค่ไม่มากเท่าความเหมาะสมแค่นั้นเอง

     

    “ไม่ว่าจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดจะเป็นอย่างไร สุดท้ายผู้ที่ท่านเลือกก็คือข้า--นั่นคือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน”

     

    วันที่เห็นความรู้สึกนั้นจากนัยน์ตาของสามี หัวใจนางย่อมเจ็บและนึกแค้นเคือง แต่โรนัลรู้จักสามีตัวเองดีเกินไป โอโลเอทานของนางเป็นผู้ที่เกิดและตายเพื่อเผ่าอย่างแท้จริง เขาไม่มีวันทิ้งผู้คนที่นี่ไป ต่อให้ร่างจะแห้งเหือด หัวใจจะแหลกเป็นเสี่ยง โตโนวารีจะไม่มีวันละทิ้งมหาสมุทรเพื่อโผกอดดวงตะวัน

     

    เหนือสิ่งอื่นใด โทรุคมัคโตไม่มีวันตอบรับความรู้สึกนั้น

     

    เมินความรู้สึกระคายเคืองใต้อก นางเชิดหน้า หลังตรงขึ้นอีก

     

    “สามี หากท่านต้องการ...ข้ายินดีแบ่งปันร่างกายของท่านแก่เขา”

     

    “ข้าไม่คิดจะ--”

     

    “ท่านโชคดีที่ครรภ์นี้จำเป็นต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ได้โทรุคมัคโตช่วยข้าแบ่งราคะของท่านนับเป็นเรื่องดี” ยกมือห้ามไม่ให้เขาพูด ก่อนย้อนถามด้วยน้ำเสียงกึ่งหงุดหงิด

     

    “หรือท่านคิดจะรังแกคนท้อง”

     

    “ข้า...”

     

    “และอย่าได้ลืมเด็ดขาด ข้าคือซาเฮย์ลูของท่านแต่เพียงผู้เดียว”

     

    ไม่นึกว่าปฏิกิริยาของภรรยาจะเป็นเช่นนี้ โตโนวารีอับจนคำพูด นึกเกลียดที่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจกำลังลิงโลดกับคำอนุญาต

     

    โอ้ องค์เอวา

     

    มันสมควรแล้วจริงหรือ

     

    .

    .

    .

     

    โตโนวารีพาซูนักคู่ใจออกนอกเขตปะการังโดยไร้ผู้ติดตาม

     

    แสงอาทิตย์หยอกล้อเกลียวคลื่นให้เปล่งประกายระยับระยิบ สภาพอากาศปลอดโปร่ง กลุ่มเมฆขาวลอยตัดกับผืนนภาสีฟ้าสด เขาหยุดนิ่งอยู่กลางมหาสมุทรสีคราม หลับตาฟังเสียงเกลียวคลื่น ลมเย็นพัดลอนผมยาวให้ปลิวไสว คลื่นน้ำเย็นกระทบท่อนขาแข็งแรงเป็นระยะ โลกของเขายังคงงดงามไม่ต่างจากวันวาน

     

    ใบหน้าคมเข้มด้วยรอยสักประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ พึงใจกับการเต้นอย่างสงบของอวัยวะใต้อกซ้าย ก่อนเสียงกระพือปีกของอิกรานจะเปลี่ยนการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

     

    เงาดำใหญ่พาดผ่านตัว โตโนวารีมองตามร่างปราดเปรียวบนหลังอิกราน ใบหน้าของนาวีป่าเปื้อนยิ้มโชว์ฟันเขี้ยว ผมดำยาวสะบัดกลางแผ่นหลัง ปีกคู่ยักษ์สยายกลางอากาศ บินร่อนพาเจ้าของหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระแสลม

     

    องค์ประกอบแปลกปลอมที่เพิ่มเข้ามาเสริมทิวทัศน์อันคุ้นเคยให้งามติดตายิ่งกว่าที่เคย โทรุคมัคโตแกล้งบินโฉบไปมาราวกับกำลังหยอกล้อ เพราะคิดแบบนั้น ทำให้โอโลเอทานผู้สุขุมเผลอยิ้มกว้างไม่รู้ตัว

     

    “เล่นอะไรเป็นเด็กๆ---หรือข้าต้องจับพี่คนโตส่งคืนสตรีแห่งโอมาติกาย่าเสียแล้ว?”

     

    โตโนวารีแสร้งตีหน้าเข้ม กอดอกมองดุ

     

    “เช่นนั้นข้าคงต้องติดสินบนเจ้าแทนแล้วล่ะ”

     

    เจคหัวเราะคิกคัก เขี้ยวขาวสะท้อนแดดดูละออไม่ต่างจากไข่มุก ก่อนบังคับอิกรานบินกลับหัวเข้าใกล้อีกฝ่าย

     

    “ขอเชิญโตโนวารีผู้ยิ่งใหญ่มาโลดแล่นบนแผ่นฟ้าด้วยกันกับข้าเถิด” กล่าวจบก็ยื่นมือออกมาด้านหน้า เชื้อเชิญให้โอโลเอทานเผ่ามหาสมุทรละทิ้งผืนน้ำขึ้นมายลโฉมผืนฟ้าด้วยกัน

     

    ไม่บ่อยนักที่ผู้นำแห่งผืนสมุทรจะปรากฏสีหน้ายุ่มย่ามใจ ตนไม่เคยบินสูงขนาดนั้นมาก่อน จะบอกว่าไม่หวั่นใจเลยคงมิได้ ท้องฟ้าไม่เคยเป็นอาณาเขตของเขา ที่สำคัญ... นัยน์ตาสีน้ำทะเลเหลือบมองพื้นที่ว่างด้านหลังของอีกฝ่าย คิดจะวัดการหักห้ามใจกันหรือ

     

    “มาเถิดโตโนวารี ข้าไม่ทำเจ้าร่วงหรอก”

     

    แววตาและน้ำเสียงขี้เล่นของนาวีป่าล่อลวงกันเกินไป เผลอใจหลงคนงามไปแป๊บเดียว ร่างใหญ่โตของเขาก็ลอยวืดขึ้นไปซ้อนหลังเจ้าแมวฟ้าเป็นที่เรียบร้อย

     

    “เฮ้ย!”

     

    อุทานเสียงดังอย่างลืมตัว สองมือคว้าเอวเล็กเข้ากอดหมับ หางยาวคล้ายครีบปลาส่ายไปมาอย่างไม่สบายใจนัก

     

    เสียงโทรุคมัคโตกลั้นหัวเราะลอยตามลม

     

    “กลัวหรือพี่ท่าน”

     

    คำเรียกนั่นมันอะไร

     

    จากที่คิดว่าจะดึงมือออก โตโนวารีเปลี่ยนใจเป็นกระชับกอดแน่นแทน ดึงให้หลังบางแนบกับแผ่นอกกว้าง เจคถูกไออุ่นกรุ่นด้วยกลิ่นไม่คุ้นไขว้เขวจนทำให้การบินซวนเซเล็กน้อย

     

    “หึ”

     

    เขาเกยคางกับไหล่อีกฝ่าย เอียงใบหน้าให้ริมฝีปากเฉียดโดนหูเล็กคล้ายไม่ตั้งใจ ย้อนถามเสียงต่ำ

     

    “คราวนี้ข้าหรือเจ้าที่สมควรกลัว?”

     

    “...เอ่อ”

     

    เจคอ้ำอึ้ง สมองตื้อขึ้นมากะทันหัน ใบหูกระดิกอย่างน่ารักน่าชัง “เจ้าไม่เคยขึ้นมาสูงขนาดนี้ใช่หรือไม่”

     

    ฟังก็รู้ว่านาวีป่าชวนเปลี่ยนเรื่องแก้เก้อ

     

    โตโนวารีหัวเราะเสียงทุ้มพลางเขยิบตัวออก คืนพื้นที่ให้อีกฝ่ายแต่โดยดี เตือนตนเองในใจว่าให้ถอยออกมา อย่าล้ำเส้น ผู้นำเผ่าเม็ตคายีนาไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ ถูกไหม? แม้โรนัลจะอนุญาต แต่เอวาคงไม่ยินยอม อย่าทำบาปเช่นนี้เลย

     

    “ซูนักบินสูงขนาดนี้ไม่ได้ คำตอบคือ ใช่...นี่เป็นครั้งแรก”

     

    นัยน์ตาสีอ่อนกวาดมองทิวทัศน์รอบกาย เจคพาพวกเขาบินขึ้นสูงทีเดียว โตโนวารีวางมือข้างหนึ่งของตนบนหัวไหล่อีกฝ่ายเพื่อใช้พยุงตัว อีกข้างยื่นออกไปข้างนอก นิ้วทั้งสี่เคลื่อนผ่านกลุ่มไหมสีขาว -- จับต้องไม่ได้ --

     

    กลุ่มก้อนเมฆที่ดูสูงส่งยามแหงนหน้าขึ้นมอง พอขึ้นมาพินิจใกล้จริงๆ ก็ไม่ต่างจากหมอกขาวเคลื่อนคล้อยในยามเช้า

     

    เมฆ กับ หมอก นอกจากสถานที่พบเจอ จริงๆ แล้วต่างกันที่ตรงไหน?

     

    “เจ้าคิดอะไรอยู่”

     

    ดึงสายตากลับมา เจคเอี้ยวตัวกลับมามองเขาอยู่ก่อนแล้ว ตัวแทนของสีสันแห่งรุ่งอรุณย้ายมาอยู่ต่อหน้าขนาดนี้ทำเอาโอโลเอทานคิดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

     

    “สวย”

     

    “อะไรนะ?”

     

    “ข้าไม่เคยคิดว่าโลกเหนือมหาสมุทรจะสวยได้ขนาดนี้ คงเป็นเพราะเจ้า”

     

    หวาน -- ทั้งแววตา น้ำเสียง รอยยิ้ม ทุกอย่างที่ประกอบเป็นโตโนวารีหวานนุ่มไปหมด เจคกะพริบตาถี่พอๆ กับใบหูกระดิกขึ้นลง

     

    “เพราะเจ้าพาข้าขึ้นมา ท้องฟ้าของข้าเลยสวยขึ้นกว่าเดิม ขอบคุณนะ”

     

    “.....”

     

    นาวีป่านิ่งค้างไปแล้ว อาจเรียกได้ว่าช็อกตาตั้ง โตโนวารีคลี่ยิ้มเอ็นดู รสชาติหวานซานซ่าแพร่กระจายเต็มอก

     

    “เจค?”

     

    ใช้เวลาอีกอึดใจกว่านาวีป่าจะได้สติ แล้วรีบหันตัวกลับ

     

    “เออะ เออ อื้อ! วิวด้านบนสวยอย่างนี้แหละ!”

     

    มองหางเรียวตรงหน้าเขาขยับกระสับกระส่าย โอเลเอทานนึกออกแค่คำเดียว น่ารัก..

     

    วิวเบื้องล่างเปลี่ยนไป เจคพาพวกเขาบินชมป่าหลังหมู่บ้าน ปกติโตโนวารีสัมผัสป่าได้จากการเดินเท้า พอได้มองจากมุมนี้จึงพบว่าสถานที่ที่มีไม้ทึบค่อนข้างน่าดูชม แถมยังชวนสับสนอยู่หน่อยๆ

     

    “ข้านึกภาพตัวเองใช้ชีวิตกลางป่าไม่ออกเลย”

     

    “ไม่ต้องห่วง ข้าสอนเจ้าเอง...ถ้ามีโอกาสได้กลับไปน่ะนะ” โทรุคมัคโตงึมงำในประโยคสุดท้าย

     

    โตโนวารีถูกท่าทางซึมเซาจู่โจมจนห่อเหี่ยวตาม สงสารอีกฝ่ายขึ้นมาจับใจ ถ้าเลือกได้ ไม่มีใครอยากหนีตายจากแผ่นดินเกิดตัวเองหรอก

     

    “เจ้ากับเด็กๆ ปรับตัวได้ไวมากนะรู้ไหม ถ้าข้าเป็นฝ่ายเข้าไปขออาศัยที่โอมาติกาย่า เกรงว่าคงตกต้นไม้ตายตั้งแต่วันแรก”

     

    “จะเป็นไปได้อย่างไร”

     

    “เจ้าก็เห็นอยู่ว่าพวกข้าตัวใหญ่ ขนาดเทอะทะไม่เหมาะแก่การปีนป่าย”

     

    “ถ้าอยู่ให้ชิน ก็อาจจะได้อยู่”

     

    ได้อยู่ที่แปลว่าไม่ได้ โทรุคมัคโตยิ้มกริ่ม ไม่คิดเผยความนัยออกไป

     

    “ได้ยินว่าบ้านเจ้ามีเกาะลอยฟ้า”

     

    “ใช่”

     

    “เอาล่ะ ทีนี้เจ้าลองนึกภาพมือและหางครีบของพวกข้าตอนพยายามทรงตัวบนเถาวัลย์พวกนั้นสิ”

     

    “อ๋า..”

     

    เจคนึกภาพตามแล้วกลั้นขำจนไหล่สั่น

     

    “นั่นแหละ”

     

    โตโนวารียิ้มจาง ใจลอยไปกับประกายสีฟ้าที่สวยกว่าท้องนภา ทิวทัศน์รอบกายที่งามตระการตาไม่น่าชมเท่าแผ่นหลังเล็กแต่เข้มแข็งตรงหน้าเขา

     

    “เจค ซัลลี่ พื้นที่ทุกตารางนิ้วของเม็ตคายีนา ข้าอนุญาตให้เจ้าสำรวจได้ตามใจชอบ หากพบเจอมณี เปลือกหอย สิ่งมีค่าสวยงามชิ้นใดเจ้าสามารถเก็บกลับไปได้ ไม่ต้องมาขอข้า”

     

    แม้จะถูกทำให้แปลกใจด้วยคำอนุญาตปุบปับ แต่เจคก็เอี้ยวตัวกล่าวขอบคุณกับโอโลเอทานด้านหลัง

     

    “เจ้ากับครอบครัวจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ ตามใจเจ้าเลย”

     

    ไม่รู้อะไรดลใจให้โอโลเอทานของเผ่ากล่าวยกทรัพยากรมีค่าต่างๆ ให้เขาง่ายดาย แต่นี่ต่างหากคือคำอนุญาตที่รอคอย รอยยิ้มสว่างสดใสถูกจุดบนใบหน้า โทรุคมัคโตช้อนสายตาขึ้นมอง แสดงความออดอ้อนออกไปไม่รู้ตัว

     

    “ขอบคุณ”

     

    นัยน์ตาสีอำพันคู่นั้นทอประกายเจิดจ้าราวกับกำลังร่ายมนตร์

     

    “ให้ข้าไปส่งเจ้าที่เดิมไหม โตโนวารี?”

     

    หางเรียวพันรอบลำแขนแกร่ง ขนที่ปลายหางให้ความรู้สึกจั๊กจี้

     

    “อืม”

     

    ลมเย็นพัดกระทบผิว ส่งกลิ่นพงไพรเข้าสู่ปอด

     

    โตโนวารีได้ยินหัวใจตัวเองส่งเสียงดังลั่น ถ้าหากความผิดบาปสามารถงดงามได้ขนาดนี้ หรือถ้าบาปของเขาคือนาวีป่าที่อยู่ตรงหน้า เช่นนั้นเชิญองค์เอวาลงลงทัณฑ์บุตรแห่งท้องทะเลผู้นี้ตามใจท่านเถิด

     

    “เจ้าจะเหวี่ยงข้าตกน้ำก็ได้นะ โทรุคมัคโต”

     

    กระซิบเสียงทุ้มข้างใบหูเรียวจบ มือใหญ่ของโอโลเอทานก็เอื้อมจับใบหน้าส่วนล่างอีกฝ่าย บังคับให้หันกลับมารับจูบร้อนจากตนอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

     

     

     

    to be continued >

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×