คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : หวานละมุน ::: ตอนที่ 1
…1…
ผู้ชาย… ต่อให้ดีแค่ไหนก็คือผู้ชาย
ชอบมอง ชอบดู ชอบชื่นชมสิ่งสวยงาม …ไม่เว้นแม้แต่คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษ
เธียรธรรมยอมรับว่าเขาก็ลอบมองผู้หญิงบ่อยๆ ...รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ กิริยามารยาท การพูดการจา
เขามอง เขาสังเกต แต่มองแล้วผ่านเลยไป ไม่เก็บมาคิด ไม่เก็บมาใส่ใจให้ตัวเองกลายเป็นคนหมกมุ่น
อย่างตอนนี้ แม้จะมีสาวสวยมาเต้นต่อหน้า พยายามยั่วยวนด้วยท่วงท่าเซ็กซี่ เขาก็เพียงแค่มอง และยิ้มอย่างเป็นมิตร ไม่แอบแฝงความหมายอื่นใด
เพื่อนหลายคนจึงลงความเห็นว่า 'ท่ามาก' ท่าเยอะ’ ‘เก๊กท่า’
"ท่าทางจะอดหญิง"
การหยอดมุกแบบเดิมๆ ยังสร้างเสียงหัวเราะในกลุ่มลูกน้องได้เสมอ และคุณชายท่ามากก็เพียงแค่นยิ้ม จิบวอดก้าแทนการตบมุกด้วยวาจา
"นานๆ จะได้พาน้องๆ มาเลี้ยง สนุกหน่อยเถอะน่าคุณเธียร อย่าเก๊กมาดเอ็มดีอยู่เลย เหนื่อยแทน"
"ขอบคุณที่แบกรับความเหนื่อยของผมไปนะคุณลาภ สบายขึ้นเยอะ" แต้มยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก แม้จะไม่ได้ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน หรือยิ้มยาวไปถึงหู แต่กลับเป็นยิ้มทรงเสน่ห์แบบที่สาวๆ ชอบกรี๊ดกร๊าด กระนั้นก็ตาม เจ้าของรอยยิ้มก็ไม่ค่อยจะรู้ตัว
หรือบางทีอาจรู้ แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้…เพื่อตัดปัญหา
ใครๆ ถึงบอกว่าเธียรธรรมเป็นนักแสดงโล่ทองคำ บทบาทที่ถนัดคือแกล้งเป็นคนโง่
"แกมันกวนประสาทรู้ตัวบ้างไหมคุณเธียร"
"เฉพาะกับคนที่ผมชอบ และรักเท่านั้น" ตาฉ่ำวาวอย่างสอดรับบทบาท
เล่นได้ดีเกินคาด จนบางทีก็นึกกลัวว่ามันจะคิดเกินเลยเข้าสักวัน
"พอเถอะ น้องมันจะเอาไปเล่าต่อ แค่นี้เรื่องที่ฉันกับแกกิ๊กกันก็ระบาดทั่วบริษัทแกแล้ว อย่าลามไปถึงบริษัทแม่เลย เดี๋ยวทางโน้นจะคืนแหวนหมั้น แล้วปล่อยให้แกหม้ายขันหมาก"
"มัลลิกาเข้าใจความรัก… มันห้ามกันยาก"
"ไอ้คุณเธียร!!" สบถด่าอย่างเหลืออด "เล่นไม่ดูสถานการณ์ตลอด เด็กมันยิ่งสงสัยกันอยู่" ลาภิณผินหน้าไปทางลูกน้องของคนขยันเล่น ซึ่งวันนี้ชายหนุ่มยกขโยงลูกน้องมาเลี้ยงทั้งออฟฟิศ เนื่องในโอกาสที่ปิดโปรเจ๊กค์ชิ้นใหญ่สำเร็จ เขาเลยถือโอกาสนี้มากินฟรีด้วย
"เพลาๆ ลงบ้างก็ดี อย่าเซอร์วิสพวกสาวๆ มากนัก"
เป็นเธียรธรรมเองที่หันไปมองลูกน้องผู้หญิง ซึ่งนั่งมองกันตาวาว เห็นแล้วอยากบริการอีกรอบ แต่พอจะอ้าปากหยอดคำหวาน ลาภิณก็ถลึงตาห้าม พอดีกับมีสายเรียกเข้า
"ไว้งวดหน้า งวดนี้มีมีสาวสวยให้เอาใจแล้ว เราคงต้อง…ห่างกันสักพัก" บอกเอาไว้อย่างนั้นก็หายออกไปพักใหญ่ จนกระทั่งกลับเข้ามาอีกทีพร้อมสาว ...สองคน
คนหนึ่งสวยเฉียบ ทุกการเคลื่อนไหวดูเจนสนามตามฉบับสาวลูกครึ่ง
แต่อีกคน ...อธิบายไม่ถูก ใช้คำว่าสวยได้ไหม ก็คงได้ ถ้าเปลี่ยนเสื้อยืดเพ้นต์ลายเลขาคณิต กับกางเกงยีนเอวสูงสีมอซอเป็นเดรสรัดรูปสักตัว ซับหน้ามันๆ สักหน่อย เติมแป้งเติมปากสักนิดก็คงพอไปวัดไปวาได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นสวยมาก หรือคำว่าน่ารักก็ยังดูขาดๆ
คงจะมีแววตากลมใสสีสนิมที่กรอกไปมาเลิ่กลั่ก กับท่าทางลนๆ กลัวๆ นั้น ที่สะกดสายตาให้เขามองเธอ และคงจะให้นิยามได้ว่า
น่าเอ็นดู... เหมือนเด็ก
"คนนี้เพื่อนสนิทพี่ ชื่อเธียรธรรม ส่วนพวกนี้เป็นลูกน้องของมัน" สองสาวยกมือไหว้ ลาภิณค่อยแนะนำสองสาวตามมา "ส่วนนี่น้องไอด้า กับน้องพะแนง สองคนนี้เป็นเพื่อนกัน"
ลาภิณบอกแค่นั้น ไม่ได้เจาะรายละเอียดว่าใครคือคู่ แต่ดูจากการเอาใส่ใจและดูแลเป็นพิเศษก็พอเดาได้
"กินข้าวยัง กินอะไรก่อนไหม"
ลาภิณกับไอด้าหายต๋อม ทิ้งพะแนงเอาไว้ ยังดีที่มีลูกน้องมาด้วย เธียรธรรมจึงไม่ต้องเปลี่ยนบทบาทมาดูแลเด็ก
"เอ้านี่เมนู อยากกินอะไรสั่งได้เลย คุณเธียรเป็นเจ้าภาพเลี้ยง ว่าแต่เราอายุเท่าไร ถ้ายังเรียนอยู่ อย่าสั่งเหล้านะ ที่นี่มีน้ำผลไม้"
ตอนแรกก็ดูคลายกังวลแล้ว มาพอได้ยินคำถามแกมสั่งนั้น สาวน้อยน่าเอ็นดูถึงหน้างอหงิกไม่พอใจ
เป็นคนแสดงออกแบบตรงไปตรงมา... เธียรธรรมวิเคราะห์และจดบันทึกไว้ในความจำ
"จะอายุเท่าไรก็ช่าง ดื่มเหล้าได้แล้วกัน แต่วันนี้ต้องงด เพราะต้องขับรถกลับเอง" เหลือบมองเพื่อนที่เพิ่งวางค็อกเทลลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนออกไปเต้นรำกับลาภิณต่อ
"พี่เขาถามเพราะเป็นห่วง ไม่ได้จะดูถูก" เธียรธรรมแก้ต่างแทนลูกน้อง แต่น้ำเสียงกลับตำหนิเข้ม "แล้วถ้าหิว ผมแนะนำสปาเก็ตตี้ครีมอบชีท เป็นของขึ้นชื่อของร้านนี้" บอกแล้วจึงยกมือเรียกบริกรเพื่อมารับออเดอร์ พร้อมกับรายการเครื่องดื่มและกับแกล้มอีกหลายอย่าง
"ขอเปลี่ยนสปาเก็ตตี้เป็นสองที่นะครับ"
ลูกน้องมองเขาทันที ไม่เว้นกระทั่งเด็กที่ชื่อพะแนง
"ผมดื่มเยอะไม่ได้ ต้องขับรถกลับบ้านเอง"
"แสดงว่าไม่หิว" พะแนงตั้งคำถาม แววตามุ่งมั่นจะเอาคำตอบ
"หิว ผมยังไม่ทานข้าวเย็น มาดื่มก่อน ท้องมันเลยว่าง"
"ไม่ดีต่อสุขภาพนะ"
เมื่อกี้ยังหน้าหงิกอยู่เลย มาตอนนี้เปลี่ยนเป็นห่วงเสียอย่างนั้น …เรียกว่าซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองสินะ
"ไม่ได้ทำบ่อย ไม่เป็นไรหรอก" เขาบอกปัด แต่ไม่ได้รำคาญ
"พูดอย่างนั้นไม่ถูก" ค้านซะคอตั้งตรงแน่วเลย "สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ พวกที่ชอบพูดว่าไม่เป็นไรหรอก แล้วละเลยสุขภาพตัวเอง ป่วยจนหามส่งโรงพยาบาลมานักต่อนักแล้ว อย่าวางใจเชียว ถึงจะบ่อยไม่บ่อยก็เถอะ"
เป็นพวกลูกน้องเองที่พากันหน้าเหวอ ส่วนเขาที่ถูกต่อว่าโดยตรงกลับยิ้ม
สายตาเขามองมองคนไม่พลาด... เด็กคนนี้น่าเอ็นดู
ทั้งหน้าตา… นิสัย… คำพูดคำจา…
"แนงพูดอะไรผิด ทำไมลูกน้องของคุณอึ้งกันหมดเลย หรือแนงพูดจาไม่เพราะ"
"เปล่า" เขาส่ายหน้าอมยิ้ม "แค่พวกนั้นถูกจี้ใจดำไปด้วย"
พะแนงถอนหายใจราวกับปลงอนิจจาต่อโลก "นี่แหละน่าถึงมีคำกล่าวว่าคนเราหาเงินไปหาหมอ มากกว่าหาเงินมาเลี้ยงชีพ"
พอได้พูดคุยกัน เธียรธรรมจึงได้เรียนรู้ว่าพะแนงเป็นคนช่างสงสัย ช่างทักช่างถาม และมีแววเป็นคนฉลาด
"แสนรู้" นิยามใหม่ที่เขาคิดค้นให้หญิงสาว
"นั่นใช้กับหมา มาใช้กับแนงได้ไง"
ลูกน้องเขาพากันหัวเราะขำ สาวๆ ค่อนข้างถูกใจพะแนง จากตอนแรกที่ดูกล้าๆ กลัวๆ หรือดูไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไร แต่ทั้งหมดเป็นการแสดงออกที่ตรงไปตรงมาของหญิงสาวเท่านั้น พอได้รู้จักจริงๆ พะแนงค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
"พะแนงคิดว่าหมาน่ารักไหม"
พะแนงคิด… คิดแบบจริงจังด้วย ทั้งที่เขาตั้งคำถามพื้นๆ ง่ายๆ ลูกน้องยังเดาทางได้
"คำถามเชาน์หรือ?"
"คำถามธรรมดา ตอบมาเถอะ"
เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ "น่ารักสิ หมายังไงก็ต้องน่ารักอยู่แล้ว"
"ก็นี่ไง ผมชมพะแนงอยู่"
พอได้ฟังคำตอบทื่อๆ ห้วนๆ กลั้วรอยขำทำให้พะแนงตั้งตัวไม่ทัน สุดท้ายเลยเงียบ หลังตริตรองพักหนึ่ง แก้มใสพลันระเรื่อแดง หูก็พานจะถูกย้อมสีแดงไปด้วย
น่ารักดี...
"ต้องให้ผมพูดซ้ำอีกรอบไหมว่าพะแนงเหมือนหมาตรงที่แสนรู้ และ..."
"อย่าพูดนะ!"
มีอย่างที่ไหน คนจะชม กลับห้าม
"คุณเธียรนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่ง"
เขายืดหลังตั้งใจฟัง ไม่บ่อยเลยที่มีคนพูดถึงข้อเสียของเขา
"คุณเธียรขี้แกล้ง"
นั่นน่ะหรือข้อเสีย...
เข้าล็อคเขาเลย ลูกน้องก็คงรู้ทางถึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันรอท่า
"พะแนงรู้ไหม... ผมจะแกล้งเฉพาะคนที่ผมชอบเท่านั้น"
ตามนั้น... พะแนงแข็งกลายเป็นหิน พอตั้งสติได้ก็ลุกขึ้นมาโวยวายยกใหญ่ว่าเขานิสัยไม่ดี นิสัยเสีย ชอบเล่นกับความรู้สึกคนอื่น แถมทิ้งให้ได้คิด
"คุณเธียรไม่ควรพูดว่าชอบบ่อยๆ ต่อให้จะแกล้งก็ตาม เพราะเดี๋ยวคำว่าชอบที่ออกจากปากคุณเธียรจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ พะแนงเตือนด้วยความหวังดีนะ"
เมื่อพบก็ต้องมีจาก... คำโบราณท่านกล่าวเอาไว้ แต่เพิ่งจะมารู้ซึ้งวันนี้เอง
"ไว้ด้าจะโทรหานะคะพี่ลาภ" ลูกครึ่งสาวบอกก่อนแตะนิ้วที่ริมฝีปากอิ่ม จากนั้นก็ใช้นิ้วเดิมแตะที่ริมฝีปากหนาของลาภิณ
"กู๊ดไนต์ค่ะ"
"กู๊ดไนต์เช่นกันครับ" บอกลาด้วยน้ำเสียงเหงาหงอย เพราะตลอดสามชั่วโมงมานี้เขายังไม่อิ่มใจเลย
กับไอด้า... เพิ่งจะเริ่มต้น เขาต้องค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ถ้าเร่ง... กระต่ายน้อยจะตื่นตูม
ลาภิณมองส่งไอด้ากับพะแนงจนรถเก๋งคันเรียวลับตาไปแล้วเขาค่อยกลับเข้ามาในผับ ซึ่งตอนนี้แปลงโฉมเป็นบาร์นั่งดิ๊งค์แบบชิวๆ ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นวัยกลางคน รสนิยมสูง และเงินถึง
…อย่างกลุ่มของเขาเป็นต้น แต่ใช่ว่าจะครบคน เหลืออยู่ตอนนี้ก็แค่เธียรธรรม
ชายหนุ่มนั่งบิวท์อารมณ์จิบไวน์ไปพลางๆ กับฟังเพลงคลาสสิกแบบมาดผู้ดีมีการศึกษา มาดที่สาวๆ หลงใหลได้ปลื้มแล้วเก็บไปวาดฝัน …แต่ก็ได้แค่ฝัน
"ยังดื่มอยู่อีกหรือคุณเธียร เดี๋ยวขับรถกลับไม่ไหวนะ"
ก่อนหน้าก็จิบวอดก้า มาตอนนี้ก็จิบไวน์ รวมๆ ในกระแสเลือดก็เยอะอยู่
"คุณลาภไม่ต้องห่วงหรอก ผมโทรให้เจ้ากายมารับมาแล้ว "
กาย... เด็กหนุ่มที่บ้าน เป็นลูกชายของแม่วรรณ ผู้ที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและแม่เลี้ยงของชายหนุ่ม
"มีเรื่องเครียดหรือคุณเธียร"
นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลง ก่อนแย้มยิ้มฝืน "ทำไมคิดอย่างนั้น"
"คุณเธียรอารมณ์ดี"
น้องๆ เล่าให้ฟังว่าเธียรธรรมทั้งแกล้ง ทั้งหยอดคำหวานใส่พะแนง แถมยังทานสปาเก็ตตี้เป็นเพื่อน ทั้งที่ก่อนมาเลี้ยงฉลองกันก็ทานมาเรียบร้อยแล้ว
"ที่ใจดีกับพะแนงคงไม่ใช่ถูกใจอย่างเดียวล่ะมั้ง ทำเป็นอารมณ์ดีเพื่อไม่เก็บเรื่องเครียดมาคิดซะมากกว่า"
พะแนงมาไม่ถูกจังหวะ... เลยกลายเป็นว่าถูกรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์หลอกใช้
"ปรึกษาผมบ้างก็ได้คุณเธียร ผมอยากทำประโยชน์ให้เพื่อนบ้าง"
"คุณลาภไปรู้จักเด็กสองคนนั้นได้ยังไง"
"เอ้า จะไม่ตอบใช่ไหม" ให้ตายเถอะ! พอจะง้างปากให้พูดทีไร เสเปลี่ยนเรื่องเอาตัวรอดทุกที
"จะเอาแบบนี้ก็เอา เรื่องคุณเธียร ไม่เล่าผมจะได้สบายใจ ไม่มีเรื่องหนักหัวให้คิดเยอะ"
ต่อให้ไม่พูด แค่ยิ้ม กับผงกศีรษะลงเล็กน้อย ลาภิณก็พอจะเดาภาษากายที่เพื่อนแสดงออก แต่เขาจะยินดีกว่านี้ถ้าได้ยินเป็นเสียง ‘ขอบคุณนะ’
"บอกมาได้แล้ว เจอเด็กสองคนนั้นที่ไหน"
"ก็ง่ายๆ พะแนงเป็นมัฑณากรในบริษัทของผม ทำงานดี ทำงานเก่ง คอนโดฯ ที่ผมปรับปรุงใหม่ก็ฝีมือพะแนงเขา ส่วนไอด้า เป็นทั้งเพื่อนทั้งรูมเมทของพะแนง ไม่ได้ทำงานที่บริษัทผมหรอก เธอรับงานฟรีแลนท์ด้านการตลาด” เล่าแล้วหยุดดูอาการของเพื่อน “แต่คุณเธียรคงไม่อยากรู้เรื่องของไอด้ามากหรอก สนใจพะแนงมากกว่า แต่อย่าได้คิดเชียว นั่นเด็ก เล่นกับความรู้สึกของเด็กมันบาปหนา คุณเธียรเองก็มีมัลลิกาอยู่แล้วทั้งคน" เตือนเอาไว้ก่อน พะแนงนี่เขาหวงจริง ตั้งแต่รู้จักกันมา เขารู้สึกเหมือนเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง จะคบใครเขาขอถืออภิสิทธิ์อันน้อยนิดช่วยคัดกรอง อย่างเธียรธรรมไม่ผ่านเกณฑ์ ถึงจะครบสูตรสำเร็จ แต่ชายหนุ่มก็มีคู่หมายที่พร้อมจะร่วมหอลงโลงกันเร็วๆ นี้
"ผมก็ไม่ได้คิดลึกซึ้งกับพะแนง …เป็นแค่ความสนใจ"
ทั้งหมด... นิสัย แววตา รอยยิ้ม น้ำเสียง …ทำให้เด็กคนนั้นน่าสนใจ
"สนใจก็ดี แต่อย่าติดใจ ไม่งั้นผมเอาตาย"
เธียรธรรมหัวเราะ ไม่นำพาต่อคำขู่ และลาภิณก็ตระหนักดีว่าถ้าเพื่อนคนนี้คิดจะทำอะไร จะจีบใคร ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็รั้งไม่ได้
เห็นภายนอก เธียรธรรมเป็นสุภาพบุรุษ ยิ้มง่าย เข้าหาง่าย แต่ความง่ายของเขามีเส้นแบ่ง ซึ่งเส้นๆ นั้นไม่เฉียดเข้าใกล้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยสักเศษเสี้ยวเดียว
มีก็แค่คนที่สนิทกันจริงๆ จึงจะรู้ว่าเธียรธรรมช่างยิ้มคนนี้เป็นคนแข็ง และมีอารมณ์ที่รุนแรง
ระหว่างที่ชายหนุ่มสองคนบิวท์อารมณ์ไปกับเพลงและบรรยากาศ มือถือของเธียรธรรมก็สั่นเตือนมีสายเข้า
“เดี๋ยวพี่ออกไป ขอเช็กบิลก่อน” บอกกล่าวแล้วจึงตัดสายทิ้ง เรียกบริกรให้เช็กบิลในนามของตัวเอง เสร็จเรียบร้อยจึงชวนเพื่อนกลับบ้าน
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวผมให้กายไปส่ง รถเอาไว้ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเอา”
ไม่ใช่แค่เขาที่ดื่มหนัก ลาภิณก็ไม่ต่างกัน บางทีอาจจะหนักกว่า แต่เพราะคอแข็งเลยยังไม่ออกอาการเท่า
“ไงกาย!” ลาภิณทักทายลูกน้องของเพื่อน กายเองก็ยกมือไหว้ตามคำสอนของผู้เป็นแม่
“สวัสดีครับคุณลาภ หนักเลยนะครับวันนี้ ชวนลูกพี่ผมเหลวไหลไปด้วย กลิ่นเหล้าหึ่งเลย”
“ขี้บ่นเหมือนแม่วรรณ” นั่นคือคำเปรยก่อนร่างสูงของลูกพี่จะเข้าไปนั่งในรถ แต่กายไม่ยักสนใจ พอเข้ามาประจำที่หน้าพวงมาลัยก็ยื่นจมูกดมฝุดฝิด ค่อยเบ้หน้าไม่โสภา
“เหม็นมากพี่เธียร ถึงบ้านแม่เทศน์หูแฉะ”
“เว่อร์ไป แค่จิบไวน์”
กายทำหน้าไม่เชื่อ “ไวน์กลิ่นหอม ผมจำได้ พี่เธียรดื่มหลังมื้อค่ำบ่อยๆ แต่กลิ่นนี่ไม่ใช่ เหม็นมาก!” ตวัดเสียงตอนท้ายยาวๆ อย่างบอกให้รู้ปริมาณความเหม็น “ให้ผมไปส่งคุณลาภที่คอนโดฯ หรือจะให้ค้างกับคุณเธียรที่บ้านดีครับ”
“ที่คอนโดฯ”
กายรับคำสั่ง แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังคอนโดมิเนียมกลางเมือง และราคาก็แพงจนหูดับสมความหรูหรา
กายเลี้ยวรถเบนซ์เข้าตรงทางเข้า ผ่านลานน้ำพุที่มีรูปปั้นของเทพคิวปิดตั้งไว้ตรงกลาง แล้วจึงจอดอยู่หน้าประตูทางเข้า มองเข้าไปจะเห็นเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์สาวสวยยืนเด่น และรปภ. ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
“ขอบคุณนะคุณเธียร ขอบใจนะกาย ไว้เดี๋ยวจะแนะนำสาวๆ ให้รู้จักเป็นการตอบแทน” ลาภิณบอกเสียงงัวเงีย แต่ยังพอมีฟอร์ม
“ไม่เดี๋ยวได้ไหมครับคุณลาภ ขอเป็นตอนนี้เลย” กายพเยิดหน้าไปยังประชาสัมพันธ์คนใหม่ รายนั้นสวยจริง หวานจริง ยิ้มทีใจหนุ่มน้อยสั่นไปทั้งดวงเลย
“ใจร้อนน่า เดี๋ยวถ้าได้เบอร์จะฝากคุณเธียรเอาไปให้ กลับบ้านได้แล้ว ลูกพี่เราง่วงแล้วเนี่ย” บอกกลั้วเสียงหัวเราะตอนเห็นเพื่อน หนังตาไม่ขยับแสดงว่าหลับลึก “ไงก็ฝากคุณเธียรหน่อยนะกาย วันนี้ดูคุณเธียรมีเรื่องคิดไม่ตกหลายเรื่องเลย”
กายเสมองลูกพี่ ก่อนพยักหน้าหนักแน่น “ได้อยู่แล้วครับ ลูกพี่ผมทั้งคน ขาดไปก็เหมือนขาดใจ”
ลาภิณไม่พูดพร่ำทำเพลง ปิดประตูรถดังปัง ก่อนจ้ำอ้าวไปขึ้นลิฟต์ ไม่แวะขอเบอร์สาวสวยให้คนจะขาดใจในรถเลย
เขาพูดอะไรผิด?
และเป็นเสียงหัวเราะขบขันของคนที่น่าจะหลับไปแล้วดึงหนุ่มน้อยจากบทโศกอาลัย
“ผมกับคุณลาภนึกว่าพี่เธียรหลับซะอีก”
เธียรธรรมขยับตัว จัดสรรท่านั่งให้เรียบร้อย ก่อนบุ้ยหน้าให้ลูกน้องเคลื่อนรถ
“ที่พูดเมื่อกี้… สารภาพรักพี่?”
กายเบรกรถดังเอี๊ยด แต่คนช่างหยอดคำแหยไหวตัวทันเลยหน้าไม่คะมำ เป็นคนจะขาดใจเองที่หน้าแดงแปร๊ด
“ใช่ไหม?” ถามย้ำอีกครั้ง นัยน์ตาสีเข้มเจือแววขัน
กำลังสนุก… ไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เป็นที่สภาพจิตใจ
กายคิดระหว่างประเมินอาการ ‘เยอะ’ และ ‘ล้น’ ของลูกพี่
“คุณลาภบอกว่าพี่เธียรมีเรื่องคิดหนัก เรื่องคุณนายหรือคุณมัลลิกาครับ”
“ทั้งสองเรื่อง…แต่ยังขาดอีกเรื่อง” เธียรธรรมนึกชื่นชมความรู้มากของกาย อาจเพราะความสนิทสนม ความใกล้ชิดคุ้นเคยกันหลายสิบปี
“งั้นก็ที่ทำงานด้วย” กายเดา และถูก! “แต่สาเหตุทั้งหมดก็มาจากคุณนาย ที่พี่เธียรต้องหมั้นกับคุณมัลลิกาก็เพราะคุณนายสั่ง แล้วที่ต้องออกมาเปิดธุรกิจซอฟต์แวร์เฮาต์ในนามของบริษัทใหญ่ก็เพราะคุณนายอยากจะไล่พี่เธียรทางอ้อม ต่อไปคุณนายคิดจะทำอะไรอีก ไล่พี่เธียรออกจากบ้านเลยไหมครับ?” กายพร่ำน้ำปริ่มแทนคนเป็นลูกพี่
เธียรธรรมต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพียงเพราะชายหนุ่มเป็นลูกนอกสมรสของบิดา ซึ่งท่านจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมมารดาของเขา นับแต่นั้นมาเขาจึงอยู่ในความดูแลของแม่ใหญ่ …แบบขาดๆ เกินๆ
เพราะแม่ใหญ่ก็คือแม่ใหญ่
ท่านเป็นภรรยาเอก เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นคนที่ถูกหักหลัง…
ผิดที่ตัวแม่ของเขาเอง … รู้ว่าพ่อมีภรรยาอยู่แล้ว แม่เขาควรห้ามใจ แต่ท่านอ่อนแอ ปล่อยให้ความรักบังตา จนท้ายที่สุดทำให้แม่ใหญ่เจ็บช้ำหัวใจ
เพราะอย่างนั้น ถ้าแม่ใหญ่ต้องการสิ่งใด เขาสามารถให้ได้หมด
ให้หมั้นกับมัลลิกา…เขาทำ
ให้ออกจากเครือใหญ่ เปิดธุรกิจเล็กๆ อย่างซอต์ฟแวร์เฮาต์…เขายอม
และถ้าจะไล่เขาออกจากบ้าน…เขาก็ยินดี
“พี่กำลังดูที่ทางอยู่ คงไม่ถึงขั้นต้องถูกไล่”
กายตาโตหลังรับฟังเส้นทางชีวิตของเธียรธรรม
“จะย้ายไปไหนพี่เธียร แล้วไกลมากไหม ผมกับแม่ไปหาได้หรือเปล่า”
เธียรธรรมโยกศีรษะของหนุ่มน้อยพร้อมกับยิ้มเอ็นดู “แถวๆ บ้านใหญ่นี่แหละ เลยไปสองซอยมีที่ดินประกาศขาย ใหญ่พอจะปลูกบ้านอยู่ได้หลายคน”
“เรือนหอหรือ?” อีกไม่นานก็ต้องแต่งงานกับคุณมัลลิกา …ตามคำสั่งของคุณนาย
“เป็นทั้งเรือนหอ เป็นทั้งบ้านหลังใหม่ของพวกเรา”
“พวกเรา?” กายหน้าเหวอ ค่อยชี้หน้าตัวเอง “มีพี่เธียร มีผม มีแม่”
“ทั้งหมดนั่นแหละ แต่หลังแต่งงานคุณมัดคงจะย้ายมาอยู่ด้วย”
จะยิ้มดีใจหน่อย แต่กายกลับเพิ่งนึกขึ้นได้ “คุณนายจะยอมหรือพี่เธียร”
“ยอมสิ แต่ถ้าไม่… พี่คงต้องขอ”
ขอของเธียรธรรมไม่ได้หมายถึงการขอร้อง การอ้อนวอน แต่เป็นคำขอที่เด็ดขาด ดุดัน ด้วยถือว่าเป็นคำสั่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่เคยเลยสักครั้งที่ชายหนุ่มจะใช้สิทธิ์ ‘ขอ’ จากแม่ใหญ่ เขามีแต่จะ ‘ให้’
เธียรธรรมเป่าปากหนักใจปนระอาต่อความห่วงเกินของบุคคลที่นั่งตบยุ่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าบ้านชั้นเดียว ซึ่งบ้านหลังนี้บิดาของเขาสร้างเอาไว้ให้มารดาและเขา แต่เมื่อพวกท่านล่วงลับ แม่ใหญ่จึงให้แม่วรรณย้ายเข้ามาเพื่อดูแลเขาในวัยหัดเดิน
“ดึกมากแล้ว เข้านอนเถอะค่ะแม่วรรณ” หยอดด้วยเสียงหวานๆ ตามนิสัยในวัยเด็ก
แต่แม่วรรณไม่ฟัง ไม่ใจอ่อนด้วย ทำจมูกฟุดฟิด อากัปกิริยาคล้ายคนเป็นลูกทุกอย่าง
“คลุ้งเชียวค่ะ พรุ่งนี้เช้าจะสร่างเมาทันหรือ มีนัดทานข้าวกับคุณมัดเธอเสียด้วย นัดไว้กี่โมงนะคะ?” ทวนถามเรื่องเวลาเป็นนัยเตือน…อย่าเกเร
“สิบเอ็ดโมงค่ะ น่าจะสร่างเมาทันถ้าแม่วรรณจะปล่อยให้ผมเข้านอนซะตั้งแต่ตอนนี้”
แม่วรรณตีผลัวะเข้าที่ต้นแขน ด้วยรู้เบื้องลึกของคำพูดนั้น “หนีไม่พ้นหรอกค่ะ เอาไว้พรุ่งนี้กลับจากนัดของคุณมัดแล้ว แม่จะเตรียมบทเทศน์เอาไว้หลายๆ บท ให้คุณเธียรจำโทษของแอลกอฮอล์จนขึ้นใจเชียวค่ะ”
“ดีค่ะ ผมจะเลิกได้ หันมาเอาดีด้วยการรักษาศีลห้า” หยอกไว้ก็หนีฝ่ามือเผียะของแม่วรรณด้วยการจ้ำหลุนๆ เข้าห้อง ส่วนแม่วรรณก็ตบอกตัวเองป้าบๆ พอหายโมโหแล้วจึงถามไถ่ลูกชาย
“คุณเธียรได้บอกไหมว่าเครียดหนักเรื่องอะไร”
แม่วรรณดูออก เพราะรู้ว่าปากหวานๆ หน้าทะเล้นๆ กับเสียงยียวนไม่ใช่วิสัยปกติของเธียรธรรม
“เรื่องเดิมๆ ….แม่เลี้ยงใจร้าย คลุมถุงชน ธุรกิจการงาน …เหนื่อยนักชีวิต” กายทำน้ำเสียงราวคนผ่านโลกมามาก คนเป็นแม่จึงป้าบเข้าให้อย่างหมั่นไส้
“น้อยๆ หน่อยพ่อคุณ เล่นให้รู้เวล่ำเวลา แม่ยิ่งเครียดอยู่”
“เครียดของแม่หรือจะสู้พี่เธียรได้ รายนั้นเครียดเยอะ เครียดมาก เครียดแต่เรื่องเดิมๆ เพราะแก้ไม่ตก แก้ไม่ได้ หมดสิ้นหนทางแก้” น้ำคำยังยียวน หากคนเป็นแม่ก็เห็นด้วยยิ่ง
ในชีวิตของเธียรธรรมมีเรื่องเครียดไม่กี่อย่าง หลักๆ ก็คุณนาย พอเริ่มโตหน่อยจนคุณนายจับคู่ให้หมั้นหมายกับลูกสาวของเพื่อนก็เริ่มเครียดเรื่องผู้หญิง พอเข้าวัยทำงาน จนขึ้นแท่นอยู่ในระดับสูงสุดของบริษัทก็ครุ่นคิดอยู่กับเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วไหนจะยังคู่แข่งทางการค้า ร่ำๆ มาว่าทางนั้นเริ่มไม่พอใจที่ซอฟ์แวร์เฮาต์ของเธียรธรรมแย่งลูกค้าหลักๆ มาหลายรายแล้ว
แม่วรรณถอนหายใจเฮือก…สั่งลูกชายให้ปิดบ้านปิดช่อง แล้วจึงตรงไปยังห้องพระเพื่อสวดมนต์ขอพรให้ลูกเลี้ยงหมดทุกข์หมดโศก
ความคิดเห็น