คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เปล่าเปลี่ยว
“เสียงอะไรอยู่ข้างนอกน่ะ..” วิลเฮล์มพึมพำกับตัวเองในขณะที่มึนงงอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงไซเรนที่ดังอยู่ด้านนอก มันดังอยู่ใกล้ๆกับแมนชั่นนี่เอง ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นตรงมาที่ช่องว่างของหน้าต่าง ภาพที่เห็นคือมีรถพยาบาล และรถตำรวจ 3-4 คันจอดอยู่หน้าทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินโดวิลล์ มันคงจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมาเรียนะ วิลเฮล์มมองออกไปด้านนอกด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าความฝันของเขามันจะกลายเป็นความจริง เขามองเห็นคนยกเปลที่มีร่างของคนนอนอยู่แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นมาเรีย หรือเปล่าเพราะร่างนั้นถูกพันด้วยผ้าขาว
วิลเฮล์มกะว่าจะไปล้างหน้าล้างตาเพื่อชำระความอ่อนล้าพร้อมทั้งชำระความสับสนต่างๆ ในคราวเดียวกัน ทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงเปิดประตูห้องนอนออกไป ก็ได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารดังมาจากวิทยุในห้องนั่งเล่นของเขา
“เร็วเข้า!!..รีบไปโรงพยาบาลเร็ว!!”เสียงผู้ชายที่ร้อนรนมากๆ พูดขึ้นด้วยเสียงตะโกน
“ทราบแล้วเปลี่ยน !!..เราจะรีบเคลื่อนย้ายเธอเดี๋ยวนี้!!”เสียงของผู้ชายอีกคนรายงานอย่างรวดเร็วและตะโกนดังไม่แพ้กัน
“ให้ตายสิ...เธอมีหมายเลขเจาะอยู่บนหน้าอกของเธอ..มันน่าแปลกมาก..........”ผู้ชายคนเดียวกันพูดขึ้นแต่เสียงนี้เบาจนกรายเป็นกระซิบ และเสียงวิทยุก็ดับไป
วิลเฮล์มรีบวิ่งไปที่วิทยุในห้องนั่งเล่น เมื่อเขามองมาที่วิทยุก็พบว่ามันปิดอยู่ เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจับตัวอยู่ในช่องท้องของเขา เพราะตลอดเวลาในห้องนี้เริ่มมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ่อยเสียเหลือเกิน และเขาบอกตัวเองว่าต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร..............
เมื่อวิลเฮล์มเดินมาถึงห้องครัวเล็ก ๆ ถัดจากห้องนั่งเล่นหยิบขวดนมจากตู้เย็นมาดื่มเพื่อคลายความหิวสักหน่อย ขณะที่กำลังดื่มนมอยู่นั้นสายตาของวิลเฮล์มก็เหลือบเห็นกระดาษที่สอดอยู่ใต้ประตู ใครแอบเอากระดาษอะไรแปลก ๆ มาสอดใต้ประตูห้องของเขาอีกแล้ว ด้วยความเหนื่อยหน่ายวิลเฮล์มจัดการเก็บนมขวดเข้าตู้เย็นสีครีมเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปที่ประตูห้องเพื่อเก็บเศษกระดาษนั่นขึ้นมาดู กระดาษใบนั้นมีสีแดงสดเหมือนเลือดใจความว่า
“หลายๆ คนเลิกเชื่อถือลัทธินี้กันหมดแล้ว...แต่ทำไมบางอย่างกลับบ่งบอกว่ามันไม่ได้หายไปไหน...มันยังคงอยู่รอบ ๆ ตัวเรานี่เอง
อีกทั้งเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ที่นั่น
และผมก็ยังถูกตำรวจเชิญไปให้ปากคำที่โรงพัก ผมจะทำอย่างไรดีควรจะบอกในสิ่งที่ผมรู้จะดีไหม?”
แปลก....มีแต่เศษกระดาษที่มีข้อความประหลาดๆ ทั้งนั้นเลยที่สอดเข้ามาใต้ประตูห้องเขาอยู่ได้ทุกวัน ไม่มีข้อความใดเลยบ้างหรอ..ที่จะบอกวิธีออกจากห้องนี้ได้...
ใช่แล้วโพรงในผนังห้องน้ำที่ไม่ใช่ความฝันถ้าเข้าไปในนั้นแล้วจะเจอกับอะไรที่น่ากลัวอีกมัย? ฮึ...แต่ก็ยังดีกว่าจะอยู่แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ออกจากห้องไม่ได้สุดท้ายก็ต้องอดตายอยู่ในห้อง .. เมื่อวิลเฮล์มรำพึงกับตัวเองเสร็จเขาก็เก็บเศษกระดาษสีแดงลงในลังเก็บของในห้องนั่งเล่นเมื่อเปิดลังออกเขาก็วางกระดาษลงไปในลังนั่น แล้วเขาก็พบเข้ากับปืนพก
ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้.......วิลเฮล์มจำได้ว่าเขาใช้มันเป็นอาวุธเพื่อป้องกันตัวโดยการปาหัวสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่น่าขยะแขยง เพราะกระสุนในรังปืนหมด เมื่อถอดแมกกาซีนของปืนพกออกมาดูกลับพบว่ากระสุนบรรจุอยู่จนเต็ม เขาจึงเอาปืนใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมและมุ่งหน้าตรงเข้าไปในโพรงลึกลับที่อยู่ในห้องน้ำ
เมื่อวิลเฮล์มเปิดประตูห้องน้ำสีขาวออกเมื่อโพรงที่อยู่บนผนังของห้องน้ำนั้นทำไมเขากลับรู้สึกว่ามันใหญ่ขึ้นนะ วิลเฮล์มมุดหัวเข้าไปในโพรงนั้นด้วยใจหวั่น ๆ เมื่อคลานอยู่ในโพรงมืดมิดโดยมีแสงสว่างส่องอยู่ปลายทางไกล ๆ ได้สักพักวิลเฮล์มเริ่มหน้ามืดอีกแล้ว
วิลเฮล์มลืมตาขึ้นมาพบว่าตนเองอยู่ในที่เงียบสงบแห่งหนึ่งที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เขานั่งอยู่บนพื้นถนนที่เป็นดิน ข้างๆถนนนั้นเป็นสนามหญ้า และมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบเป็นรั้ว บรรยากาศนั้นอึมครึม..ด้วยความมืดพร้อมทั้งหมอกจาง ๆ มีเพียงเสาไฟฟ้าสีดำแบบโบราณ ที่ให้ความสว่างในบริเวณอยู่เพียงต้นเดียว วิลเฮล์มเพ่งมองรอบตัวด้วยความไม่คุ้นเคยและไม่ไว้วางใจ
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาตามทางพบกับประตูที่ทำด้วยกรงเหล็ก วิลเฮล์มเหลือบมองที่ข้างๆ ประตูเหล็กจะมีกองไม้หลายขนาดสุม ๆ กันอยู่ วิลเฮล์มสะดุดใจอยู่กับไม้ท่อนหนึ่งมันมีขนาดที่เหมาะมือมาก ๆ เขาจึงคว้าท่อนไม้ไว้หวังว่ามันอาจจะมีประโยชน์ก็ได้ จากนั้นชายหนุ่มใช้มือผลักประตูเหล็กออก
“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....................” เสียงของประตูเหล็กที่เก่าและขาดการดูแลมาหลายปีดังลั่นขึ้นมาทำลายความเงียบสงบและวังเวงลงทันที วิลเฮล์มเดินเข้ามาโดยไม่ได้ระวังเสียงกระพือปีกของสัตว์คล้ายนก
“โอ๊ยยยยยย!!!!!!!!!!” วิลเฮล์มร้องด้วยความเจ็บและตกใจ เพราะโดนตัวอะไรก็ไม่รู้โฉบมาจิกที่ท่อนแขนซ้ายอย่างรวดเร็ว ปากที่เหมือนท่อดูดเจาะทะลุเนื้อทันที มันเจ็บเหมือนโดนมีดแทงตรงๆรวดเดียวคงเป็นเพราะเสียงของประตูทำให้มันตรงเข้ามาทำร้ายเขา มันใช้เวลากับแขนเขาเพียงแวบเดียวและวิลเฮล์มรีบใช้ไม้ฟาดไปในอากาศ และยังมีสัตว์ชนิดเดียวกันอีกสองตัวกำลังพุ่งตัวเข้ามาหาเขา แต่เป็นเพราะวิลเฮล์มฟาดท่อนไม้ไปมาอย่างรวดเร็วทำให้พวกมันลังเลที่จะเข้ามาทำร้ายเขา ทำให้วิลเฮล์มมีโอกาสพอจะสังเกตไอ้สัตว์ชนิดนี้
ด้วยแสงจากเสาไฟฟ้าแบบโบราณสีดำสาดส่องแสงลงมาจึงทำให้วิลเฮล์มเห็นตัวมันได้ชัดว่าไอ้ตัวนี้มีสีดำขนาดเล็กคลายแฮมมิ่งเบิร์ด แต่มีปีกแบบค้างคาว และมีจะงอยปากที่ยื่นยาวและแข็งมากใช้สำหรับดูดของเหลว เมื่อเห็นตัวเจ้านกร้ายกาจนั่นได้ชัดเจนแล้ววิลเฮล์มก็ตั้งตัวได้พอที่จะสู้กับมัน
“ผัวะ!!!!ผัวะ!!!!!!!ผัวะ!!!!!!!!!” เสียงของไม้กระทบกับนกประหลาดสามตัว ที่จะพุ่งตัวเข้าทำร้ายวิลเฮล์ม พวกมันล่วงลงกับพื้นและดิ้นพล่านทันที เขาคิดว่ามันตายแล้วจึงออกเดินแต่ก็กลัวว่าถ้าวิ่งเสียงดังจะมีตัวอะไรประหลาด ๆ ออกมาทำร้ายเขาอีก และรอบตัวที่วิลเฮล์มกำลังเดินอยู่นี่เป็นทางที่กั่นด้วยกรงเหล็กใช้สำหรับเก็บพวกถังและอุปกรณ์สำหรับใช้ซ่อมแซมบ้านต่าง ๆ ทางเดินปูนด้วยกระเบื้องแต่มันเก่ามาก และบางแผ่นก็ลอกล่อน และรอบตัวก็มืดครึ้มยังดีที่ได้แสงไฟจากเสาไฟฟ้าไม่งั้นเขาคงมองอะไรไม่เห็น พอสำรวจดูบาดแผลแล้วก็พบว่ามันไม่ร้ายแรงอะไร เมื่อเขาเอื้อมมือจะเปิดประตู
“ฉึกกกกกกกกกกก..” เสียงเจาะทะลุเนื้อโดยนกประหลาด พวกมันไม่ได้ตาย แต่เพียงสลบไปเท่านั้น วิลเฮล์มกัดฟันหันหลังกลับไปฟาดพวกมันอย่างบ้าคลั่งจน มันร่วงลงพื้นด้วยความโมโหเขาได้ใช้เท้ากระทืบพวกมันจนแหลกคาเท้า ด้วยความสูงอย่างวิลเฮล์มทำให้เท้าของเขานั้นหนักหน่วงมาก
หลังจากได้จัดการกับสัตว์ที่ก่อความรำคราญเรียบร้อยแล้ว วิลเฮล์มค่อยๆ ดันมือเปิดประตูเหล็กที่อยู่อีกด้านออกด้วยความเบามือมีเสียงเล็ดลอดออกมาบ้างเมื่อเข้ามาได้พบกับสนามหญ้าที่มีรถเก่า ๆ สีเขียวจอดอยู่หนึ่งคัน แต่ยิ่งกว่านั้นมีสุนัขแบบเดียวกันกับที่วิลเฮล์มเคยโดนมันทำร้ายที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทั้งหมดสามตัวเนื้อ ตัวเน่าแฟะ และมีหนองไหลตลอดตามเนื้อตัว ด้วยความที่เจ็บแล้วต้องจำเขาหยิบปืนที่เหน็บอยู่ที่ประเป๋ากางเกงยีนต์ของเขาออกมา
“ปังงงงงงง!!!!!!!!!!!!” เสียงคมกระสุนเจาะเข้าที่หัวตัวหนึ่งเข้าอย่างเม่นยำและล้มลงแน่นิ่งบนทางเดินที่เป็นพื้นดิน “ปังงงงงงงงง!!!!!!!!!!” นัดต่อมาก็ตรงเข้าเป้าหมายที่รู้ตัวและกำลังวิ่งมาหาเขา แต่ก็ไม่พลาดเป้าร่างของมันทรุดลงกับพื้นของสนามหญ้าและวิลเฮล์ม ก็ต้องก้มตัวหลบและกลิ้งตัวหนีไปอีกทางหนึ่ง เพราะไอ้สัตว์ร้ายตัวสุดท้ายมันกระโจนสูงหมายจะขย้ำคอของวิลเฮล์ม เมื่อเขาตั้งตัวลุกขึ้นยืนได้
“เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” กระสุนนัดนี้ได้ระเบิดสมองของสัตว์ร้ายซะกระจุย เพราะมันโดนยิงในระยะเผาขนนั่นเองชายหนุ่มกวาดตามองหาสัตว์ร้ายที่อาจอยู่ในบริเวณนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากความเงียบสงบและวังเวง รอบตัวของวิลเฮล์มเป็นสวนสาธารณะ สนามหญ้าที่เงียบเชียบและเย็นเยือกไปถึงไขสันหลัง มีเพียงแสงจากเสาไฟที่ให้ความสว่าง
เขาเดินวนสำรวจรถเก๋งสีเขียวเก่า ๆ ที่จอดอยู่เพียงคันเดียวในบริเวณสนามหญ้าเมื่อเขาดูจนแน่ใจว่าไม่มีตัวอะไรหลบซ่อนอยู่ในรถ เขาจึงก้มตัวเข้าไปมองในตัวรถจากทางประตูหน้ารถด้านซ้ายเพราะมันเปิดอยู่เมื่อสำรวจดูที่เบาะหน้าคนนั่งข้างคนขับพบเศษกระดาษวางอยู่ วิลเฮล์มลองหยิบมันขึ้นมาดู
“มันเกิดขึ้นเมื่อกี้ที่ผมมาถึงลินเดอร์ฮอฟ หรือมันเป็นเพราะผมกำลังเผชิญอยู่กับปีศาจในตอนนี้
แต่เมื่อใดก็ตามที่ผมมาถึงที่ๆหนาวเย็นอย่าง ลินเดอร์ฮอฟ ผมมักจะหิวน้ำตลอดเวลา
เคลเว่อ วีล” เมื่ออ่านข้อความตรงนี้จบวิลเฮล์มรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ เมื่อเขายังเด็กเขาเคยได้ยินเรื่องเล่าของลัทธิหนึ่งในเมืองประหลาดแห่งหนึ่งที่ชื่อลินเดอร์ฮอฟ
นี่จะใช่ที่เดียวกันหรือเปล่า ที่คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบาปจะถูกย่างสด อย่างทรมาณแม้แต่พระเจ้าก็ไม่อาจให้อภัยต่อบาปที่ชาวเมืองพากันกระทำต่อเหยื่อผู้บริสุทธิ์โดยยัดเหยียด ข้อกล่าวหาที่เขาไม่ได้เป็นผู้ผิด บิดเบือนคำสอนของผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง และให้เหยื่อรับกรรมที่ตนไม่ได้ก่ออย่างทรมาณทุกข์แสนสาหัต จนซาตานในนรกจึงส่งไฟบรรลัยกัลป์มาล้างแค้นแทนเหยื่อที่ถูกกระทำอย่างทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ไฟนี้มอดไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างและไม่มีอะไรมาดับมันได้ มีชาวเมืองตายไปกว่าครึ่งส่วนคนที่รอดก็มีเพียงผู้ที่ไม่ได้ฝักใฝ่ในลัทธิอุบาทว์นั่น และเพราะข่าวลือเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เมืองนี้จึงถูกให้ทิ้งร้างและไม่มีใครพูดถึงอีก แม้จะนานมาแล้วแต่ตอนนี้ยังมีคนเชื่อเลยว่าเปลวไฟที่เผาเมืองนั้นยังไม่ดับลงแต่ยังครุกกรุ่นอยู่ใต้พื้นดิน
วิลเฮล์มยืนนึกความหลังอยู่สักพักก็มองลงไปที่รถยนต์พบกับสมุดบันทึกอีกเล่มที่วางอยู่บนเบาะนั่งด้วย เขาลองเปิดไปที่หน้าสุดท้ายที่มีการบันทึกเพราะคิดว่า ข้อความล่าสุดจะต้องอยู่ที่หน้าท้าย ๆ ของเล่ม
“ผมไม่รู้ความหมายของมันจริง ๆ หรอก มีคน ๆ หนึ่งมาพูดกับผมว่า ‘บ้านเขาน่ะใช้เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ใกล้ๆ กับเมืองลินเดอร์ฮอฟ ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้’
เขายังบอกกับผมอีกว่า ‘ถ้าคุณนำกุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ แต่คุณจะนำมันติดตัวไม่ได้ คุณต้องเอากุญแจไปฝากไว้ที่อื่นก่อน แล้วค่อยไปที่นั่น’ ซึ่งผมฟังแล้วก็งงสุดๆ ไม่เข้าใจความหมายของมันหรอก”
ไม่เพียงแต่คนเขียนหรอกที่งง คนอ่านก็งงสุด ๆ ไม่แพ้กัน แต่วิลเฮล์มกลับยัดบันทึกนั่นเข้ากระเป๋าเพราะรู้สึกว่ามันอาจช่วยอะไรเขาได้ เมื่อเดินมาเรื่อย ๆ วิลเฮล์มเห็นบางอย่างส่องประกายเป็นมันวาวใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งจากหลายต้นในบริเวณนั้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังแล้วพบว่ามันคือขวานที่ใช้ตัดต้นไม้ ชายหนุ่มจึงวางกิ่งไม้ที่ติดมือมาตลอด แล้วหยิบขวานด้ามนั้นแทน เขาจำเป็นต้องมีอาวุธติดตัวอยู่เสมอเพราะไม่เช่นนั้นเขาอาจจะตายไปนานแล้วการพกอาวุธไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยเพราะได้ใช้อยู่ตลอดโดยไม่ได้ตั้งตัวล่วงหน้า จากนั้นวิลเฮล์มเดินมาถึงประตูอีกด้านหนึ่งของสวนสาธารณะเขาดันประตูเหล็กออก
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปพบว่าสถานที่ตรงหน้าเขานั้นสว่างกว่าทุกที่ๆเขาเดินผ่านมา แต่ส่วนนี้รอมรอบด้วยลวดที่ขึงเป็นตาข่ายและกว้างมาก แต่ก็ยังสาวมารถมองออกไปด้านนอกได้ว่ามันเป็นป่าที่รกและมืดสนิททีเดียว แต่ในที่นี้มิดได้มีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าเหมือนเคยแล้ว รัวไม้ที่ปักอยู่ตรงกลางมีทั้งหมดสามชั้น เต็มไปด้วยเทียนขนาดกลางที่ตอนนี้จุดไฟสว่างเต็มไปหมดทั้งทุกชั้น
ในที่นี้ยังมีก้อนหิน หลายขนาดวางเรียงรายอย่างระเกะระกะ ทั้งใหญ่บ้างเล็กบ้างหลายขนาดแตกต่างกันไป แต่มีอยู่ก้อนหนึ่งใหญ่ขนาดเท่ากับกระท่อมย่อม ๆ ได้เลยทีเดียวและด้านหน้าของก้อนหินยักษ์นี้ เขาพบกับวัยรุ่นชายคนหนึ่งนั่งบนก้อนหินขนาดที่เล็กกว่าด้านหนังกำลังก้มหน้าอยู่ เป็นคนที่มีรูปร่างผ่ายผอมมาก ผมแสกข้างสีดำสนิทยาวพอดีกับคางของวัยรุ่นคนนั้นทำให้วิลเฮล์มเห็นหน้าเขาไม่ชัด
ที่วิลเฮล์มคิดว่าเขาเป็นวัยรุ่นก็เพราะเขาสวมเสื้อยืดพอดีตัวสีเขียวเข้มมีลายเพ้น อยู่ด้านหน้าที่วิลเฮล์มยังดูไม่ออกว่ามันเป็นลายอะไร และสวมกางเกงยีสต์แบบเดฟเอวต่ำสีน้ำเงินเข้ารูปพอดี ดูโดยรวมเขาเหมือนเด็กแนวพังค์ร็อค
“ขอโทษนะครับ...นายคือ เคลเว่อ วีล รึเปล่า?” วิลเฮล์มลองถามชื่อนี้ดู เป็นชื่อที่ลงท้ายในกระดาษโน้ตที่เขาเก็บได้ที่รถเก๋งสีเขียวเมื่อกี้นี้ เมื่อได้ยินเสียงวัยรุ่นคนนั้นจึงเงยหน้าขึ้งมาแต่ไม่ได้สบตามองกับวิลเฮล์ม แต่มองไปข้างหน้าที่ว่างเปล่าไม่มีใคร วิลเฮล์มจึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเคลเว่อเพราะเห็นว่าเขาตอบสนองต่อชื่อนี้เขาจึงเชื่อว่าวัยรุ่นคนนี้ชื่อเคลเว่อ
ด้วยแสงจากเปลวเทียนที่สาดเข้ามาทำให้เขาเห็นหน้าเคลเว่อชัด ๆ เขาเป็นคนที่มีใบหน้าอย่างคนติดยา ขอบตาคล้ำสายตาเหม่อลอย จมูกโด่งตาลึกริมฝีปากบาง แต่โดยรวมก็เป็นคนหน้าตาพอใช้ได้ อยู่ ๆ เขาก็พูดโดยไม่มองหน้าว่า
“ถ้าคุณมาเพื่อสืบเรื่องของหินก้อนนี้ล่ะก็ ผมจะบอกให้ว่ามีคนอื่นน่ะมาก่อนคุณแล้ว เป็นพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น
แต่ผมจะบอกอะไรให้ฟังนะ ผมเนี้ยแหละเป็นคนเจอไอ้หินยักษ์ก้อนนี้เป็นคนแรก คนสมัยก่อนโน้นเรียกมันว่า NAIAD (เทพธิดาที่อยู่ในแม่น้ำ) พวกเขาใช้มันสำหรับประกอบพิธี สื่อสารกับบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว และตอนนี้ผู้ชายคนนั้นก็มาใช้มันด้วยและ เขาเรียกมันว่า หินแห่งแม่ ส่วนพวกที่มาก่อนหน้านี้
เจอกับเรื่องประหลาด อย่างจากคนที่เคยใจดีมีเมตรตากรุณากลายเป็นพวกบ้าลัทธิชั่วร้าย พวกเขารวมกลุ่มกันที่บ้านเด็กกำพร้าและกำลังทำบางอย่างให้ผู้ชายคนนั้น และจะบอกให้อย่างว่าหินก้อนนี้มันน่ากลัวกว่าที่เห็น...” เสียงของเคลเว่อกลับทุ้มและนุ่มลึก กว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขาซะอีก แต่คำพูดของเคลเว่อทำให้วิลเฮล์มรู้ว่ามีคนใช้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสำหรับทำพิธีชั่วร้าย แต่ตอนนี้เคลเว่อ ก็ก้มหน้าลงเหมือนเดิม วิลเฮล์มลองคิดดูแล้วก็ตัดใจว่าจะไม่ยุ่งกับเคลเว่อจะดีกว่าเพราะเขาดูแปลก ๆ สำหรับวิลเฮล์ม
ชายหนุ่มเดินผ่านเคลเว่อเจอกับประตูบานใหญ่ทำด้วยแผ่นไม้หนาและมีป้ายแปะหน้าประตูว่า สมาคมเมืองลินเดอร์ฮอฟให้ทุนสนับสนุน บ้านแห่งคำอวยพร ก่อนวิลเฮล์มจะเอื้อมมือไปเปิดประตู คิดว่า ‘บ้านแห่งคำอวยพร’ อาจเป็นชื่อของบ้านที่เลี้ยงเด็กกำพร้าที่ใช้สำหรับทำพิธีชั่วร้ายก็ได้ เมื่อวิลเฮล์มผลักประตูให้เปิดออก พบกับบ้านขนาดกลางหลังหนึ่งด้านหลังติดกับรั้วไม้ที่สูงมากเพื่อให้เหลือพื้นที่ด้านหน้ามาก ๆ บ้านทั้งหลังทาด้วยสีเขียวอ่อน
แต่ตอนนี้เก่าจนแทบจำสีเดิมไม่ได้ โดยรอบมีเครื่องเล่นที่เด็กๆ ชอบ นั่นคือพวกชิงช้า ม้าหมุน กระดานหกสูง และตามรั้วไม้สูง ๆ สีครีมเก่าๆ เต็มไปด้วยภาพวาดของสีเทียนหลากสีที่ดูจากฝีมือการวาดภาพตามรั้วแล้วต้องเป็นหล่าวเด็ก ๆ วัยใสแน่ แม้จะเป็นช่วงกลางคืนบ้านก็ยังสว่างเพราะเปิดไฟนอกรอบบ้านทุกดวง วิลเฮล์มเหลือบไปเห็นป้ายประกาศที่ติดอยู่บนรั้วไม้ใจความว่า
“ข้างนอกเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นอันตราย ใครที่จะออกไปข้างนอกต้องได้รับอนุญาตและมีผู้ใหญ่พาออกไป........แถลงการณ์จากผู้อำนวยการบ้านแห่งคำอวยพร”
บ้านนี้ถูกรอบรั้วเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส วิลเฮล์มเข้ามาบ้านเด็กกำพร้าโดยเข้าทางประตูหน้าด้านซ้าย ประตูรั้วทั้งหมดมีสี่ประตูตามมุมของรั้วบ้าน เมื่อวิลเฮล์มเดินสำรวจโดยทั่วก็ไม่พบอะไรมีแต่เพียงความเงียบที่เป็นเพื่อนเขา เขาลองเดินไปที่ประตูบ้านด้านหน้า เมื่อขยับลูกบิดประตูดูจึงรู้ว่าไม่สามารถเปิดออกได้
เมื่อเดินออกจากบ้านจึงลองไปเปิดประตูรั้วหลังบ้านด้านขวาดู เมื่อเปิดออกเขาพบสนามหญ้าและสวนพุ่มไม้ที่มืดมิดมากเนื่องจากเสาไฟฟ้าเพียงต้นเดียวที่เห็นก็อยู่อีกด้านหนึ่ง และไกลมากเหมือนกันบริเวณนี้โล่งกว้าง วิลเฮล์มเดินมาตามทางสักพักก็พบกับบ้านปูนสีขาวหลังเล็กซึ่งวิลเฮล์มคิดว่าอาจจะเป็นบ้านของคนสวน
แต่ด้วยความมืดและความเก่าโทรมของบ้านทำให้วิลเฮล์มคิดว่าคงไม่มีใครอยู่บ้าน เมื่อเดินมาได้สักพักก็สุดทางเดินเขาพบกับประตูเหล็กสูงบานใหญ่และทึบสนิท เป็นทางเข้าสถานที่แห่งหนึ่งที่ใหญ่พอสมควรสร้างด้วยอิฐสีส้มดูแข็งแรง มันทึบเหมือนโกดังเก็บของ แต่วิลเฮล์มก็เดาไม่ออกหรอกว่ามันคืออะไร
เขาลองผลักประตูออกค่อย ๆ เมื่อเดินเข้ามาวิลเฮล์มพบกับป้ายฝั่งศพมากมายเรียงรายหลายแบบ ทั้งแบบแผ่นป้ายสลักชื่อที่ตั้งพื้น หรือแบบเรียบไปกับพื้น และยังมีแบบที่มีรูปปั้นครอบหลุมศพไว้ก็มี ด้วยรอบๆ กำแพงสุสาน มีการจุดคบเพลิงโดยรอบ ทำให้บริเวณสุสานสว่างมากจึงไม่น่ากลัวมากนัก แต่อีกทั้งยังมีเด็กชายตัวเล็ก ๆ ยืนอยู่คนเดียว ดูคร่าวๆ เขาน่าจะอายุสักหกขวบ แต่โดยอาการของเด็กชายคนนั้นดูหวาดกลัว
แม้เด็กชายคนนั้นจะก้มหน้ามองแต่พื้นแต่วิลเฮล์มก็ยังเห็นหน้าเขาถนัดอยู่ เด็กชายคนนี้สวมเสื้อยืดแขนยาวลายขวางสีขาวตัดกับน้ำเงิน และสวมกางเกงขายาวสีน้ำตาล ผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ากลมแก้มอิ่มสีชมพูดูน่ารักมาก แต่ดวงตาสีน้ำตาลของเขากลับดูเศร้าสร้อยเป็นยิ่งนัก วิลเฮล์มค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเด็กชายด้วยกลัวเด็กชายคนนี้จะกลัวชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างเขา
“ไงหนูน้อย...เธอมายืนที่นี่คนเดียวได้ไงไม่กลัวเหรอ?” วิลเฮล์มพูดกับเด็กชายด้วยเสียงที่อ่อนโยนมาก ในขณะที่เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองวิลเฮล์มและกำลังอ้าปากจะคุยด้วยในช่วงวินาทีนั้น เคลเว่อ ก็ผลุนผลันเปิดประตูสุสานออกอย่างแรงด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“นายอยู่ที่นี่เอง...ในที่สุดเหตุการณ์ที่ว่ากำลังจะเกิดขึ้น ใช่..มีบางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้น และผู้ชายคนนั้นเขาก็อยู่ที่นี่แล้วด้วย และเขาบอกผมว่าจะมีเรื่องใหญ่และมันเกิดขึ้นแน่” เสียงของเคลเว่อพูดอย่างรัวเร็ว และสายตาจ้องมาทางวิลเฮล์ม ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา แต่เด็กชายที่ยืนอยู่กับวิลเฮล์มมีสีหน้าตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด จนวิลเฮล์มก้มลงจะจับตัวเขาเข้ามากอดเพื่อคลายความหวาดกลัวของเด็กน้อย แต่เด็กคนนั้นกลับตกใจกับการกระทำของวิลเฮล์มจึงวิ่งหลบอ้อมแขนของเขาและออกประตูสุสานไป
“เฮ้!!!!! เดี๋ยวก่อนสิรอชั้นด้วย...นี่ชั้นไม่ทำอันตรายเธอหรอก!!” วิลเฮล์มตะโกนเรียกตามหลังเด็กชายคนนั้น ก่อนที่จะวิ่งตามไปอีกคน เมื่อวิ่งด้วยความเร็วจนมาถึงหน้าบ้านเด็กกำพร้าก็ต้องแปลกใจเพราะเขาไม่พบแม้แต่เงาของเด็กคนนั้นอีกเลย เขาลองเดินหาอยู่สักพักในบริเวณบ้านเด็กกำพร้าก็ไม่เจอ อยู่ ๆ ก็มีเสียงของเคลเว่อพูดขึ้นมาว่า
“นี่...นายอาจจะเปิดประตูนี่ได้นะ พวกคนน่าเกียจนั่นให้อะไรบางอย่างกับผม แต่จะบอกให้ว่ามันต้องเจ๋งมาก ๆ แน่ ผมจะให้กับคุณแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ ...ผมหิวมากเลย แบบหิวโคตร ๆ น่ะ น่านะ..ผมหิวจริง ๆ ช่วยหาอะไรให้ผมกินหน่อยสิ” เคลเว่อยืนพิงประตูหน้าของบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ และส่งสายตาอ้อนวอนมาทางวิลเฮล์ม แต่ไม่ใช่เพราะข้อเสนอของเคลเว่อหรอกนะที่วิลเฮล์มจะช่วยหาของกินให้เขาแต่เป็นเพราะเคลเว่อดูแย่มากหน้าตาซีดเซียว เหมือนคนจะเป็นลมเพราะอดอาหาร
วิลเฮล์มเดินไปหาอุโมงค์เชื่อมต่อมิติเพื่อกลับมาหาอะไรที่กินได้ให้เคลเว่อ ในที่สุดเขาก็เจอมันอยู่บนรั้วด้านซ้ายมือของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาเร่งมือคลานอยู่ในอุโมงค์ด้วยความที่เริ่มชินกับมันขึ้นมาบ้างแล้ว
และจากนั้นวิลเฮล์มก็วูบไประหว่างทางเหมือนเคย เมื่อลืมตาตื่นเขาก็มาอยู่บนเตียงนอนของตัวเองอีกครั้ง ในขณะที่เขากำลังเดินออกจากห้องนอนไปหาอาหารในครัวนั้น
“ปิ้งป่อง!!ปิ้งป่อง!!ปิ้งป่อง!!” เสียงกดกริ่งที่หน้าห้องก็ดังขึ้น วิลเฮล์มรีบมองไปที่ช่องแอบมองที่ประตูหน้าห้องพบกับโฮลี่สาวผมดำประบ่าข้างห้อง กำลังกดกริ่งและพยายามมองเข้ามาในห้องผ่านช่องแอบมองที่คนด้านนอกยังไงก็มองข้างในไม่เห็น เธอสวนเสื้อกล้ามลายขวางสีชมพู
“ช่วยผมด้วย!!!!!!! ช่วยด้วย!!!!!!!!..ช่วยพาผมออกไปจากที่นี่ที!!!!!!!”วิลเฮล์มรีบตะโกนและทุบประตูอย่างบ้าคลั่งเพราะทางรอดของเขามาเยือนอยู่ที่หน้าประตูห้องเขาและ ชายหนุ่มทั้งร้องทั้งทุบโดยไม่ละสายตาจากช่องแอบมอง
“ฉันว่าต้องมีคนอยู่ในห้องนี้” โฮลี่เอ่ยขึ้นกับใครบางคนและยังพยายามมองเข้ามาในห้อง202 ของวิลเฮล์ม
“คุณหมายถึงอะไร”เสียงของ แกลลิค มาแรส์ หนุ่มใหญ่อายุราสี่สิบกว่าผมสีน้ำตาลอ่อนใบหน้าเคร่งขรึม และมีริ้วรอยตามวัยบ้างอยู่ในชุดทำงานแขนยาวสีน้ำเงินและยังผูกไทป์อย่างเรียบร้อย ที่อยู่แมนชั่นเดียวกันเอ่ยขึ้น
“ฉันได้ยินเสียงอะไรไม่รู้...แต่น่าขนลุกมาก มันดังมาจากด้านในของห้องนี้” โฮลี่ละสายตาจากประตูห้องของวิลเฮล์ม และมาสนทนาต่อกับแกลลิค
“ช่วยด้วย!!!!!!!!!!!!!..ช่วยด้วย!!!!!!!!!!!!ช่วยผมออกไปด้วย!!!!!!!!!!!!!!!!”เสียของวิลเฮล์มตะโกนแข่งอย่างไม่ลดละทั้งทุบประตู ทั้งตะโกนแต่เหมือนกับคนข้างนอกจะไม่ได้ยินซะงั้น
“คุณแกลลิค.... คุณเห็นอะไรในห้องนี้จากหน้าต่างบ้างหรือเปล่า?” หญิงสาวยังหันไปถามชายที่สูงอายุกว่าเธอต่อด้วยท่าทางครุ่นคิดและมองมาที่ประตูห้องของวิลเฮล์มอย่างไม่ละสายตาแต่เธอและแกลลิค ก็ไม่ได้ยินเสียงร้องของความช่วยเหลือจากข้างในเลยแม้แต่น้อย
“ไม่...ทุกอย่างดูปกติมากสำหรับผมนะ” ชายที่เริ่มมีอายุมาก เอ่ยบอกหญิงสาวและทั้งสองก็มองมาที่ประตูห้อง 202 อย่างครุ่นคิด
“ใครบางคนที่อยู่ในห้องนี้ เขาเป็นใครเป็นคนแบบใหนเหรอ?” แกลลิคเป็นฝ่ายถามโฮลี่บ้าง และคราวนี้เป็นแกลลิคที่พยายามมองภายในห้อง202 ผ่านช่องแอบมอง แต่แน่นอนย่อมมองไม่เห็นอะไร
“ฉันรู้แค่ชื่อ และเคยเห็นหน้าบ้างแต่ไม่เคยคุยกันเลย ดังนั้นฉันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกันเขาทั้งนั้น” โฮลี่อธิบายความสัมพันธ์อันน้อยนิดให้ผู้ร่วมแมนชั่นอย่างแกลลิคฟัง
“งั้น...ผมจะไปบอกคนดูแลแมนชั่นมาช่วยดูนะ” แกลลิคเดินถอยออกจากประตูและคิดหาทางออกที่ดีที่สุด
“ใช่...เป็นความคิดที่ดี” โฮลี่เห็นด้วยกับความคิดของแกลลิค เธอหันมามองก่อนแวบนึ่งก่อนจะเดินตามแกลลิคไป
“ให้ตายสิ!!!!!!!!!!...ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้ยินเรานะ......” วิลเฮล์ม สบถกับประตูอย่างผิดหวัง เป็นอีกครั้งโอกาสอันน้อยนิดที่จะได้ออกจากห้องบ้าๆ นี้เป็นอันต้องหลุดลอยออกไปวิลเฮล์มจึงละออกจากประตูเดินมายังครัวเพื่อหาอะไรที่กินได้ให้เคลเว่อ และเขาจำได้ว่ายังเหลือนมสดอยู่ครึ่งขวดคงพอแก้หิวได้ วิลเฮล์มจัดการหยิบนมจากตู้เย็นเสร็จก็กลับเข้าโพรงในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาออกมาถึงอุโมงค์ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เดินตรงไปหาเคลเว่อที่ยืนตัวงอรอเขาอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
“นี่..นายได้อะไรมามัย? ฉันหิวจนจะเป็นลมแล้วนะเนี้ย”เคลเว่อจ้องมองวิลเฮล์มด้วยสีหน้าที่ซีดมาก
“เอ้า..นมสดนี่คงพอจะช่วยคลายหิวได้บ้าง”วิลเฮล์มยื่นนมสดให้กับเคลเว่อ ที่ยกดื่มขึ้นทันทีอย่างหิวกระหาย
“เฮ่อ...ค่อยดีขึ้นหน่อย” เคลเว่อ พูดพลางเช็ดนมที่เลอะตามริมฝีปากออก
“อ่ะ...เอานี่ไป..ผมว่าเหมือนมีข้อความอยู่บนนั้นด้วยนะ” เขาหยิบบางอย่างมาจากกระเป๋ากางเกงของเขาและยื่นมันให้กับวิลเฮล์ม มันคือพลั่วขนาดเล็กสีเทานั่นเอง และมีข้อความบางอย่างเขียนด้วยเลือดอยู่บนนั้น วิลเฮล์มต้องเพ่งมองดี ๆ เพราะตัวอักษรมันเล็กและเริ่มลางเลือนด้วย
“มันอยู่ตรงข้ามกับบริเวณที่เป็นทะเลสาบ ภายใต้รากไม้ที่คล้าย ๆ กับมือคน”
วิลเฮล์มต้องยืนใช้ความคิดอยู่สักพักในขณะที่เคลเว่อก็ง่วนอยู่กับการดื่มนมที่ยังไม่หมดเสียที เขาคิดถึงเส้นทางต่าง ๆ ที่เขาเดินผ่านมา เขาแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ผ่านแหล่งน้ำที่ไหนมาเลยแสดงว่าเหลืออีกสองประตูที่เขายังไม่ได้เข้าไป เขาจึงเลือกเข้าไปในประตูที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้คือประตูรัวหน้าบ้านด้านขวา เมื่อเปิดประตูไม้ออก
พบว่าภายในบริเวณนี้มืดมาก ล้อมรอบด้วยรั้วเหล็กสูงท่วมหัว วิลเฮล์มเพ่งสายตามองไปด้านนอกรั้วเหล็กพบทะเลสาบ ‘ใช่แล้วต้องเป็นทางนี้แน่’ ด้วยแสงที่มีอยู่น้อยนิดที่ลอดมาจากด้านหลังของประตูกรงเหล็กด้านฝั่งตรงข้ามกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเสาไฟฟ้าเท่านั้นที่พอจะมีแสงลอดเข้ามาบ้าง วิลเฮล์มจึงก้มลงมองตามพื้นดินเพื่อมองหารากไม้ที่คลายกับมือคน มืดก็มืดวิลเฮล์มเพ่งมองไปในความมืดครื้มจนเริ่มปวดหัวนิดๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว
และต้นไม้ในบริเวณนี้ก็มีอยู่หลายสิบต้น เขาเดินหามาเรื่อย ๆ จนเกือบถึงประตูเหล็กอีกด้านและด้วยแสงที่ส่องลอดออกมาจากประตูเหล็ก ‘นี่มันมือที่โผล่ออกมาจากพื้นดินนี่.. อ๋อ..นี่ต้องเป็นรากไม้ที่คล้ายกับมือคนแน่ ๆ’ วิลเฮล์มลองใช้พลั่วที่ได้มาจากเคลเว่อขุดดู เมื่อขุดสักพักพลั่วก็ทิ่มโดนบางอย่างที่แข็งกว่าดิน เขาลองหยิบขึ้นมาดูมันคือกุญแจนั่นเอง นี่คงเป็นกุญแจประตูเข้าบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าต้อง ชายหนุ่มเก็บกุญแจลงกระเป๋าเสื้อเชิ้ต และเดินกลับไปทางเดิม
เขาเดินมาสักพักก็รู้สึกแปลกมากขามาทำไม มันไม่นานอย่างนี้นี่ เขารู้สึกว่าตัวเองเดินกลับจะเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงประตูทางเข้าบ้างเลี้ยงเด็กกำพร้าสักที่ ตอนนี้หมอกก็ลงจนมองข้างหน้าได้ไม่ชัดด้วย เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมเพราะเดินมานานมา ‘ให้ตายสิ...ตอนเข้ามาที่นี่เดินมาเดี๋ยวเดียวเอง...มันต้องมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?’ แต่คิดไปคิดมาที่นี่มีทางให้เดินทางเดียว จะหลงทางได้ยังไง อยู่ๆ เขาก็หยุดเดิน หันหลังกลับไปหาแสงสว่างด้านหลังและควักเอาบันทึกที่เก็บได้จากรถเก๋งของเคลเว่อขึ้นมาดู
“ผมไม่รู้ความหมายของมันจริง ๆ หรอก มีคน ๆ หนึ่งมาพูดกับผมว่า ‘บ้านเขาน่ะใช้เป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ใกล้ๆ กับเมืองลินเดอร์ฮอฟ ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้’
เขายังบอกกับผมอีกว่า ‘ถ้าคุณนำกุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ แต่คุณจะนำมันติดตัวไม่ได้ คุณต้องเอากุญแจไปฝากไว้ที่อื่นก่อน แล้วค่อยไปที่นั่น’ ซึ่งผมฟังแล้วก็งงสุดๆ ไม่เข้าใจความหมายของมันหรอก”
วิลเฮล์มอ่านมันบริเวณที่มีแสงมากที่สุดคือหน้าประตูกรงเหล็ก แต่ก็น่าสงสัยอีกเหมือนกันเวลาเดินไปบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้ากลับนาน แต่พอเดินกลับมาอีกด้านดันถึงเพียงไม่กี่นาที วิลเฮล์มก้มลงอ่านบันทึกอีกครั้ง‘ถ้าคุณนำกุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ แต่คุณจะนำมันติดตัวไม่ได้ คุณต้องเอากุญแจไปฝากไว้ที่อื่นก่อน แล้วค่อยไปที่นั่น’ ใช่แล้วเขาต้องเอามันไปฝากไว้ที่อื่นตอนนี้ข้อความที่ดูงงในตอนแรกวิลเฮล์มเริ่มเข้าใจมันขึ้นมาบ้างเมื่ออ่านเสร็จวิลเฮล์มก็ยัดบันทึกเล่มนั้นกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม
เขาเปิดประตูกรงเหล็กออกแล้วก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ที่นี่สว่างมาก เพราได้แสงจากเสาไฟฟ้า ตรงนี้เป็นทางตัน มีบ่อน้ำอยู่ตรงกลาง สุดทางนั้นมีอุโมงค์เชื่อมมิติที่มีอักขระสีแดงจารึกอยู่รอบ ๆ ปากทางเข้าที่เขาคุ้นเคย
ก็ได้เขาจะลองดูวิลเฮล์มคลานเข้าไปในอุโมงค์ และก็ตื่นอยู่บนเตียงนอนของตนเองเหมือนเคย เมื่อลุกขึ้นนั่งเขาล้วงมือหาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ ก็เจอกับกุญแจที่เขาเก็บได้เขาวางมันลงบนโต๊ะข้างหัวนอน แล้วเดินกลับเข้าไปในโพรงบนผนังห้องน้ำของเขา และตอนนี้วิลเฮล์มกลับมายื่นอยู่หน้าบ่อน้ำ เขาก้าวย่างผ่านประตูกรงเหล็กเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ในความมืดในที่สุดเขาก็ถึงประตูไม้สูงที่เป็นทางเข้าบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเพียงเวลาไม่ถึงชั่วโมง
ทำให้วิลเฮล์มรู้สึกทั้งดีใจและประหลาดใจในคราวเดียวกัน เมื่อเข้ามาอยู่ในบริเวณบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเขาจำได้ว่ามีอุโมงค์เชื่อมมิติอยู่บนรั้วด้านซ้ายมือของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เคยเข้าไปเอานมให้เคลเว่อ ซึ่งตอนนี้เคลเว่อก็ยังนั่งมองเขาอยู่ตรงบันไดหน้าบ้านโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา วิลเฮล์มมุดตัวเข้าไปในอุโมงค์
ร่างของเขานอนแผ่อยู่บนเตียงนอนสีขาวที่คุ้นเคยอีกครั้ง เมื่อมองมาทางโต๊ะด้านขาวตรงหัวเตียงก็พบกับกุญแจที่ขุดขึ้นมาได้ เขาจัดการใส่มันกลับเขาไปในกระเป๋าเสื้อ เมื่อเปิดประตูห้องนอนออกมากำลังจะเอื้อมมือเปิดประตูห้องน้ำเพื่อมุดโพรงและกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
“ปิ้งป่อง!!ปิ้งป่อง!!ปิ้งป่อง!!” เสียงกริ่งดังขึ้นวิลเฮล์มละมือจากลูกปิดประตูห้องน้ำทันทีและรีบพุ่งตัวไปยังประตูหน้าห้อง และมองผ่านช่องแอบมองโดยเร็ว
“ผมคนดูแลแมนชั่นนะ!..วิลเฮล์มคุณอยู่ในห้องรึเปล่า?” ไคลน์ บินเกเนอร์ ชายสูงอายุที่ดูแลแมนชั่นอยู่ตะโกนถามพร้อมทั้งยังกรดกริ่งอยู่หลายครั้ง เขาสวมเสื้อยืดสีฟ้าอ่อน ผมรองทรงสีขาวตามอายุที่มาก
“ช่วยด้วย!!!!!!.....ช่วยผมด้วย!!! มีบางอย่างที่ผิดปกติในห้องนี้ครับ!!!!!!!!!!” วิลเฮล์มตะโกนแข่งอย่างสุดเสียง แต่ก็เหมือนเดิมชายสูงอายุด้านนอกก็เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของเขา มันยิ่งทำให้วิลเฮล์มว้าวุ่น
“ช่วยผมด้วย!!!!!!ช่วยด้วย!!!!!!!! ปล่อยผมออกไปที!!!!!!!!!” เขายังร้องเรียกและทุบประตูโดยไม่ละสายตาจากชายสูงอายุ ผู้มีจมูกที่โด่งคม ริมฝีปากบาง แม้วัยจะร่วงโรยมามากแต่เวลาก็ไม่ได้พรากความหล่อเหลาไปจากไคลน์มากนัก
“ปิ้งป่อง!!ปิ้งป่อง!!....นี่!...มีใครอยู่ในห้องรึเปล่า?” ไคลน์ตะโกนถามอีกครั้ง และเมื่อเขาเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมาจากในห้อง202 ทั้ง ๆ ที่วิลเฮล์มก็กำลังตะโกนเรียกเขาอยู่
“เกิดอะไรขึ้น ที่นี่เนี่ย......” ชายสูงอายุพึมพำกับตนเองและกำลังหยิบพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง และเลือกหากุญแจสำรองของห้อง202 เมื่อไคลน์ พบดอกที่ถูกต้องแล้วเขาก็จัดการไขประตู
“แปลกมาก.........กุญแจดอกนี้ก็ถูกต้องแล้วนี่” ไคลน์พึมพำกับตัวเองด้วยความประหลาดใจพร้อมทั้งจ้องมองประตูเป็นเชิงค้นหาอะไรบางอย่าง เพราะเขาเปิดมันไม่ออก
“แต่........ฉันแน่ใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนี้แน่” วิลเฮล์มจ้องมองไคลน์พึมพำแต่ยังไม่หยุดทุบประตู
“มันจะเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้รึเปล่านะ?” ไคลน์เอ่ยก่อนจะตัดใจเก็บกุญแจสำรองเข้ากระเป๋าแล้วเดินจากไป วิลเฮล์มมองตามร่างของชายสูงอายุที่เดินจากจนลับตาไป ใช่สิกุญแจสำรองจะเปิดห้องเขาได้ไง ในเมื่อเขาโดนล็อคห้องจากด้านใน
เมื่อไม่มีใครมาช่วยเขาแล้ว วิลเฮล์มจึงกลับเข้าไปในห้องน้ำและคลานกลับเข้าไปในโพรงเพื่อไปโพล่ยังบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อออกมายังที่ ๆ มือสลัวกว่าเขาเดินตรงไปยังประตูที่ล็อคอยู่และหยิบกุญแจที่ขุดขึ้นมาจากรากไม้ในป่า เคลเว่อที่นั่งอยู่บนบันได้ของบ้านก็พูดกับเขาว่า
“เฮ้...นายหากุญแจเจอเหรอ...เก่งจัง” เมื่อพูดเสร็จเคลเว่อก็ลุกขึ้นยืนมองวิลเฮล์มที่กำลังไขประตู และเขาก็สามารถเปิดมันออกได้ โดยมีวิลเฮล์มเดินนำไปก่อน เคลเว่อจึงเดินเข้าไปในบ้านตามติด ๆ ภายในบ้านเหมือนโบสถ์ที่ไม่มีเก้าอี้เท่านั้นเองพื้นไม้สีน้ำตาลฟุ่นเขรอะผนังที่ติดวอร์ดเปเปอร์สีเขียวอ่อนแต่ตอนนี้เก่าโทรมจนเป็นสีน้ำตาลไปด้วย
มีเปียโนสีน้ำตาลผุพังตั้งอยู่ริมผนังฝั่งซ้ายมือ ตู้หนังสือล้มระเนระนาดข้าวของกระจัดกระจายตามพื้นเหมือนมีคนเข้ามาทำลาย ตามพื้นมีเศษกระดาษ และของอย่างอื่นตกอยู่เกลื่อนพื้น เมื่อเดินสำรวจสักพัก เขาสะดุจเศษส่วนหนึ่งของหนังสือที่ถูกฉีกออกจากเล่มเละวางอยู่บนพรมลายสีครีม
“สิ่งบอกเหตุอย่างที่สอง ได้บอกเอาไว้ว่า ให้เอาเลือดของคนบาปสิบคน พร้องทั้งน้ำมันมะพร้าวด้วย มันจะปลดปล่อยเจ้าจากพันธนาการแห่งเวลาและสวรรค์ จากความทุกข์ระทมใดๆก็ตาม
สิ่งบอกเหตุอย่างที่สามการจะกลับไปยังแหล่งกำเนิดนั้นจะต้องละทิ้งทุกอย่างและปล่อยว่างสิ่งยั่วยุต่าง ๆ ให้มันผ่านไป และด้วยพลังแห่งปีศาจจะนำพาไปยังที่ ๆ ไม่มีที่ตั้งที่ระบุได้”
ขณะที่เขากำลังนั่งอ่านอยู่นั้นได้ยินเสียงแปลก ๆ มาจากห้องข้าง ๆ ด้านขวามือของเขา และยังได้กลิ่นเนื้อไหมปะทะกับจมูกเขาอีก เขาหันไปยังประตูที่แง้มอยู่มีควันไฟลอยออกมา เขาเดินตรงไปที่หน้าประตู ที่บานประตูเขาพบกับใบปลิวแบบที่เคยเก็บได้หน้าประตูห้องประชาสัมพันธ์มันเป็นห้องที่มาเรียตาย แต่ใบนี้เป็นสีเหลือง เขาหยิบมันออกมาดู
มันเป็นลายนูนรูปเด็กทารก และมีอักษรว่า ‘จุดกำเนิด’ เขาจับมันยัดเข้ากระเป๋าเสื้อ ใจคอไม่สู้ดีเพราะการเจอใบปลิวแบบนี้จะเจอกับเรื่องไม่ดีเอาเสียเลย แต่เสียงครวนครางด้วยความเจ็บปวดวิลเฮล์มตัดสินใจใช้มือดันประตูออกไป เขาถึงกับผงะ!!!!!!!!!!! ภาพที่เห็นตรงหน้า ดวงตาของวิลเฮล์มเบิกค้าง ขาแข็งกว้าวไม่ออก เคลเว่อกำลังเผาตัวเองด้วยน้ำมัน มือข้างหนึ่งถือมีดปลายแหลม และกำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยความร้อน
“อ๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเคลเว่อ วิลเฮล์มพยายามที่จะเดินเข้าไปช่วย แต่ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ เขาจึงจะออกไปหาน้ำมาดับไฟให้เคลเว่อจู่ ๆ ประตูก็ปิดตัวเอง
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!...ในที่สุดผมก็พบเขาแล้ว....ใช่อย่างที่ผู้ชายคนนั้นพูดจริง ๆ มันคือ.......ปีศาจ......อ๊า!!!!!!!!!!!!!.” เขาใช้มีปลายแหลมในมือทิ่มลงบนแผงอกของตนเองเขียนเป็นเลข 17 พร้อมทั้งยังส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด สิ้นเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดสิ้นสุดลง ร่างของเคลเว่อก็ทรุดลงนั่งก้มหน้าและแน่นิ่งไปแล้วแต่ไฟก็ยังลุกท่วมตัวเขาอยู่
วิลเฮล์มเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นเพราะภาพตรงหน้ามันสยดสยองเกินจะรับได้ และสติของเขาก็ดับลง ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาในห้องนอนเดิมที่คุ้นตา และมีเสียงวิทยุในห้องนั่งเล่นดังขึ้น เป็นเสียงของนักข่าวสาวนางหนึ่ง
“ชายป่าใกล้ ๆ กับเมืองลินเดอร์ฮอฟ พบซากศพชายอายุราว 20 ปี ถูกเผานั่นยาง เมื่อเช้านี้..ตำรวจชันสูตรดูแล้วเบื้องต้นคาดว่าเขาถูกฆาตกรรมมาจากที่อื่น มีหมายเลข 17 ถูกกรีดลงบนศพของชายคนดังกล่าว ทำให้ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับคดีของ คาลวิน ฮอฟกาซเซอ เมื่อ 10 ปีก่อนก็เป็นได้” วิลเฮล์มได้แต่นั่งตัวชาอยู่บนที่นอนเมื่อฟังข่าวจบ และเสียงวิทยุก็ดับไป ถ้าตายในแดนสนธยา ก็จะตายในโลกแห่งความเป็นจริงด้วยใช่มัย..........ก็หมายเลข 17 เขาเห็นว่าเคลเว่อเป็นคนกรีดมันเองกับมือ ศพนั่นก็ต้องเป็นศพของเคลเว่อแน่ ๆ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาทำแบบนั้นทำไม?
ความคิดเห็น