ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic-BEAST] Hide and Seek: หัวใจโป้งแปะ! [DooSeob]

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 บางสิ่งเกิดขึ้นในใจ {Something Happens}

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 527
      6
      22 ก.พ. 62

    4- Something Happens
     
     
     
     
    ยูนดูจุนกำลังขับรถกลับไปยังโรงเรียนอนุบาลอีกครั้ง หลังจากส่งตัวโยซอบถึงมือหมอเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครพบตัวฮงกีเลย
     
     
    “พี่ซูยัง” 
     
     
    “ได้โปรด ปกป้องฮงกีด้วย”
     
     
    “ได้โปรด ให้ผมหาลูกของพี่เจอด้วย”
     
     
    “ฮงกีเป็นลูกของซูยัง” ชายตัวโตทบทวนเหตุการณ์กับตัวเองเบาๆ เขาคงคิดไม่ผิดหรอก เพราะโยซอบเป็นคนพูดออกมาเองว่าฮงกีเป็นลูกของซูยัง
     
     
    เราต้องหาเด็กนั่นให้เจอให้พบให้ได้
     
     
     
     
    ++++ Hide and Seek ++++
     
     
     

     
    “นี่นายน่ะ กีกวังใช่มั้ย ให้ฉันดูเท้าให้นายมั้ย เหมือนนายจะเจ็บอยู่นะ” หนุ่มอาลาดินที่วิ่งตามหลังมาได้แสดงความใจดีต่อคนร่างเล็กที่เดินกระเผลกอยู่
     
     
     
    ต้องทำดีกะมันก่อน จะได้สืบเรื่องให้พี่ฮยอนซึง (ใจอกุศลของซนดงอุนที่คิดจะหลอกสืบความลับจากกีวัง)
     
     
     
    “ไม่เป็นไรหรอก แค่ข้อเท้าแพลงน่ะ” ตอบกลับโดยไม่มองหน้า แต่เขากลับชะโงกหน้าไปมาเพื่อหาเจ้าตัวเล็กที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนเย็น
     
     
     
    จริงๆ แล้วเราเองก็น่าจะดูแลฮงกีให้ดีกว่านี้
     
     
     
    กีกวังรู้สึกแย่กับเรื่องนี้ไม่น้อย เพราะหากเขาไม่มัวแต่เป็นห่วงตัวเองเรื่องที่อยู่เกินเวลา ฮงกีก็คงได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้และก็คงไม่หายตัวไป เขาแสดงสีหน้าเครียดออกมาเพราะกำลังโทษตัวเองอยู่ในใจ
     
     
     
    โห หยิ่งอ่ะ....เอาวะ เพื่อพี่ฮยอนซึง เราต้องทน 
     
     
     
    ซนดงอุนแปลปฏิกิริยาที่ได้รับจากคนข้างหน้าว่าเป็นการแสดงความหยิ่ง 
     
     
    “นี่นายน่ะ เป็นห่วงลูกมากสิ” ดงอุนเรียบเคียงถาม
     
     
    “ไม่เลยมั้ง ขนาดหนีออกจากบ้านมาตามหาเนี่ย” คนร่างเล็กหันหน้ามามองอีกคนอย่างหงุดหงิด...ลูกหายนะ ไม่ใช่ตุ๊กตาบลายท์ จะได้ไม่ห่วง
     
     
    “หื๊อ! หนีออกจากบ้านเลยอ่อ ตัวเท่านี้แล้วเนี่ยนะ” อาลาดินแห่งเกาหลีเบิกตากว้างอย่างตกใจ จ้องมองไปยังกีกวังอย่างไม่เชื่อสายตา แต่เพราะอีกคนหันมาอย่างกะทันหัน ทำให้คนข้างหลังยั้งฝีเท้าไว้ไม่ทัน ทั้งคู่จึงเกิดชนกันเข้าเต็มแรง มือสองข้างของดงอุนรีบยกขึ้นมาจับไหล่ของกีกวังไว้ไม่ให้หกล้มลงไป ทั้งสองประสานสายตากันอย่างจัง ดงอุนยังคงมองไปยังกีกวังนิ่ง 
     
     
    “……” 
     
     
    “……”
     
     
    “น่ะ...นี่” ร่างเล็กรู้สึกได้ว่าถูกจับจ้องนานเกินไป “ตานายน่ะ.....”
     
     
    ดงอุนเลิกคิ้วขึ้นรอฟังประโยคต่อไปที่ร่างเล็กจะเอ่ยออกมา
     
     
    “ตานายเหมือนคนโรคจิตเลย” 
     
     
    กีกวังพูดออกไปเมื่อรู้สึกกระดากกับสายตาของดงอุน……มาถลนตามองฉันแบบนั้นได้ไง
     
     
    “นั่นน่ะดิ่ ก็ฉันแปลกใจนี่”
     
     
     
    โตป่านนี้แล้วยังหนีออกจากบ้าน ตลกมากไปป่ะเนี่ย
     
     
     
    “ช่างเหอะ ฉันจะไปหาทางโน้นนะ” ขี้เกียจอธิบายให้มากความเพราะจะว่าไปเขาก็โตมากแล้วจริงๆ แต่จะให้ทำไงได้ พ่อแม่ก็คงมองลูกเป็นเด็กวันยังค่ำล่ะ
     
     
    ดงอุนมองตามหลังกีกวังไป อีกครั้งที่เขาไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้ 
     
     
     
    แต่ก็ต้องตามไปสืบต่อ~
     
     
     
     
     
    ++++ Hide and Seek ++++
     
     
     
     
     
    “ว่าไงนะ ฮงกีน่ะเหรอ?” จุนฮยองแทบจะไม่เชื่อประโยคที่เพื่อนตัวเองเพิ่งบอกมา ดูจุนซึ่งเพิ่งมาถึงที่โรงเรียนรีบนำเรื่องนี้มาบอกจุนฮยองทันที
     
     
    “ใช่ ได้ยินกับหูเลย จะบ้าตาย! รู้ตัวลูกของซูยังแล้วแท้ๆ เชียว แต่เด็กฮงกีกลับหายไปซะได้” ยิ่งรู้ว่าเป็นลูกชายของซูยัง ดูจุนก็ยิ่งเป็นห่วงฮงกีมากขึ้นอย่างน่าประหลาด
     
     
    “แล้วทำไมโยซอบถึงได้เอาฮงกีมาเลี้ยงล่ะ” ความสงสัยก่อตัวขึ้นอีกครั้ง จะว่าในตอนที่ซูยังคลอดลูก โยซอบก็คงมีอายุไม่เท่าไหร่ แล้วทำไมฮงกีถึงมาอยู่กับโยซอบได้ล่ะ?
     
     
    “เออ...เมื่อกี้นี้.....พี่ซึงโฮโทรมา” เพื่อนตัวบางบอกกับดูจุนไป
     
     
    แม้ว่าจะมีคำถามเข้ามาอย่างซ้ำซ้อน แต่ทุกคำถามก็ทุกปัดออกไปหมดเมื่อจุนฮยองเล่าถึงเรื่องโทรศัพท์ที่เขาเพิ่งวางสายไปไม่นาน
     
     
    “ไอ้บ้านั่นโทรมาทำไม! ร้อยวันพันปีมันไม่เคยจะคุยกับเราสองคน” ความแปลกใจก่อร่างสร้างตัวมาบนหน้าของดูจุน ตั้งแต่เกิดเรื่อง จางซึงโฮ ไม่เคยกลับมาข้องแวะกับพวกเขาอีก ดูจุนและจุนฮยองจะได้ยินชื่อนี้บ้างก็ต่อเมื่อฮยอนซึงเอ่ยถึงเท่านั้น และช่วงนี้ก็ออกจะได้ยินบ่อยเสียด้วยเพราะฮยอนซึงมีอูยองมาอยู่ด้วย
     
     
    “เขารู้เรื่องที่เราตามหาลูกของซูยัง” ไม่ใช่คำตอบที่น่าสงสัยเลย ผู้ชายคนนั้นท่าทางจะร้อนตัวกลัวความลับจะเปิดเผยแล้วทำให้ชีวิตตัวเองพังลง
     
     
    “เหอะ ก็ลูกมันด้วยน่ะหละ” คนตัวหนาพูดเยาะหยันในความไม่รับผิดชอบของซึงโฮ
     
     
    จางซึงโฮแต่งงานกับคนรักที่คบกันมานานและมีลูกชายน่ารักด้วยกันคนนึง แต่เขาไม่เคยรับรู้เรื่องชีวิตของซูยังและลูกเลย เขาบอกเสมอว่าตัวเองไม่มีความผิดและละทิ้งเรื่องราวของอีซูยังอย่างไม่เหลือชิ้นดี 
     
     
    “เหตุการณ์ดูไม่ดีแล้วล่ะดูจุน พี่ซึงโฮไม่ใช่คนที่จะยอมเสี่ยงอะไร เขาต้องมองว่าฮงกีเป็นตัวปัญหาแน่ๆ ตอนนี้เรายังบอกเรื่องฮงกีกับฮยอนซึงไม่ได้ ไม่งั้นพี่ซึงโฮต้องรู้แน่” จากการพูดคุยกับจางซึงโฮก่อนเมื่อไม่กี่นาทีก่อน สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับจุนฮยองเป็นอย่างมาก 
     
     
    (ถ้าพูดแล้วไม่ฟังกัน ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน!) ประโยคสุดท้ายจากซึงโฮถึงจุนฮยอง ก่อนจะวางสายไป
     
     
    ซึงโฮต่างกับฮยอนซึงอีกเรื่องคือเป็นคนทะเยอทะยานแต่ไม่มีความสามารถ ฮยอนซึงนั้นสามารถหางานทำได้เองตั้งแต่เรียนจบและหน้าที่การงานก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ซึงโฮมีวันนี้ได้ก็เพราะคนรักที่ร่ำรวย หากเรื่องนี้แพร่ออกไป สถานภาพของเขาคงสั่นครอนแน่
     
     
     
    เจ้านั่นไม่มีทางยอมเสียทุกอย่างไปแน่
     
     
     
    “อืมนั่นสิ ครั้งที่แล้วมันก็โยนให้แกเป็นแพะ...ฉัน....เกือบฆ่าแกแล้ว” ดูจุนเข่นเขี้ยวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่ซึงโฮบอกกับเขาว่าซูยังท้องกับจุนฮยอง เป็นผลให้ดูจุนบุกเข้าไปซ้อมจุนฮยองถึงที่บ้าน จนทำให้แม่ของจุนฮยองเข้าใจผิดตามไปด้วย
     
     
    “แต่มันก็เป็นเพราะฉันเองด้วยที่ดูแลซูยังไม่ดี แถมยังไม่เชื่อใจแกจนทำให้เรื่องทุกอย่างกลายมาเป็นแบบนี้” เพื่อนตัวโตมีสีหน้าสลดลงเมื่อนึกถึงความผิดของตัวเอง...หากว่าวันนั้นเขาไม่วู่วาม...หากวันนั้นเขาไม่ไปทำร้ายจุนฮยอง...ซูยังอาจไม่ต้องจากเขาไปไกลแบบนี้
     
     
    “ช่างเถอะ...มันผ่านไปแล้ว ตอนนั้นถือว่าโชคดีที่แม่ฉันยังเอ็นดูซูยังอยู่บ้าง” แม้ว่าคุณนายยงจะแสดงท่าทีแข็งกร้าว แต่จุนฮยองรู้ดีว่าเธอไม่ได้รังเกียจซูยังกับลูกเลยสักนิด 
     
     
    แต่เพราะ Y Entertainment เป็นบริษัทที่ร่วมทุนระหว่างตระกูลยูนและยงซึ่งมีความสนิทสนมกันมานาน แม่ของเขาจึงไม่อยากให้รุ่นลูกต้องผิดใจกันเพราะเรื่องผู้หญิง เธอจึงตัดเยื่อใยกับซูยังและได้สั่งห้ามทั้งเขาและดูจุนติดต่อกับซูยังอย่างเด็ดขาด แต่ถึงอย่างไรเธอก็รับผิดชอบให้คนไปส่งเงินให้ซูยังทุกเดือน 
     
     
    หลังจากที่มีข่าวการจากไปของซูยัง จุนฮยองได้เล่าความจริงทั้งหมดให้แม่ของเขาฟังเพื่อที่เพื่อนคนนี้จะได้จากไปอย่างไม่มีมลทิน และขอร้องให้ท่านเก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับจากฮยอนซึง แม่ของเขาก็เห็นด้วยที่จะกันฮยอนซึงออกจากเรื่องนี้
     
     
    “แม่ขอโทษนะที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้โดยไม่ฟังคำอธิบายของลูกเลย เรื่องลูกของซูยัง แม่จะรับอุปการะเด็กคนนั้นเอง”
     
     
    จุนฮยองดีใจที่แม่เชื่อในคำพูดของตน แถมยังคิดจะช่วยเหลือเด็กที่เกิดจากซูยังด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่สายเลือด แต่มันก็สายไปแล้ว เมื่อฮยอนซึงส่งข่าวมาว่าเด็กถูกพ่อมารับไปดูแล แน่นอนทั้งเขาและดูจุนรีบตรงดิ่งไปหาซึงโฮทันที แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆ จางซึงโฮในตอนนั้นมีทารกน้อยที่เพิ่งคลอดเช่นเดียวกันอยู่ในอ้อมแขน เด็กเพียงคนเดียวที่เขาจะยอมรับเป็นลูก เนื่องจากเกิดมาจากความตั้งใจของเขากับคนรัก...ซึงโฮผู้เห็นแก่ตัวไม่มีทางรับลูกของซูยังมาเลี้ยงแน่นอน


    ยิ่งนึกถึงซึงโฮยิ่งทำให้จุนฮยองสงสารฮยอนซึงมากขึ้น ร่างสูงอยากยืนเคียงข้างร่างบางในสถานะเดิมที่เคยเป็น แต่เขาไม่สามารถลบความจริงที่ว่าฮยอนซึงเป็น้องชายแท้ๆ ของซึงโฮออกไปได้ 
     
     
     
    ฉันไม่ได้รังเกียจนายเพราะนายเป็นน้องชายพี่ซึงโฮ แต่ฉันทนไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวที่จะต้องพบกับหมอนั่น
     
     
     
    ใช่แล้ว ยงจุนฮยองไม่ใช่คนที่จะทนได้กับการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนเองรูสึกเกลียด เขาไม่เหมือนดูจุนที่ถึงจะเป็นเจ้าทุกข์จากเรื่องนี้เต็มๆ แต่เขาก็ยังสามารถพบปะกับซึงโฮได้แม้ว่าจะโกรธเกลียดเจียนตาย เช่นเดียวกับเรื่องที่เกลียดเด็ก ดูจุนก็ยังสามารถข่มใจให้มองและอยู่ร่วมกันได้ แม้จะดูฝืนสุดทนก็ตาม แต่สำหรับจุนฮยอง เพียงแค่เขารับรู้ว่าซึงโฮยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบเดียวกับเขา มันก็ทำให้เขารู้สึกแย่มากพอแล้ว หากเขาต้องเผชิญหน้ากับชายคนนั้นจริงๆ เขาต้องปรี่เข้าไปทำร้ายหมอนั่นแน่ๆ การพูดคุยทางโทรศัพท์เมื่อกี้ก็แทบจะทำให้เขาอยากจะส่งกระแสจิตไปฆ่าซึงโฮเลยทีเดียว



    แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราคบกันต่อไป แต่ฉันยังเกลียดพี่ชายนายเข้าใส้แบบนี้ 

     
     
    อีกครั้งที่ยงจุนฮยองจมอยู่กับความคิดของเขาด้วยเรื่องของฮยอนซึง แต่แล้วเขาก็ต้องผุดยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินประโยคที่ออกจากปากเพื่อนรัก
     
     
    “ลูกของซูยัง ฉันต้องหาให้เจอให้ได้” ดูจุนพูดด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าและสีหน้าจริงจังขั้นสุดยอด 
     
     
     
    ทั้งๆ ที่ถ้าหาเจอนายก็คงไม่กล้าจะเข้าใกล้ฮงกีด้วยซ้ำเนี่ยนะ ยูนดูจุน 
     

     
    ยงจุนฮยองนับถือยูนดูจุนจากใจจริง
     
     
    “คุณดูจุนครับ โยซอบเป็นไงบ้างครับ?” กีกวังเดินกระเผลกเข้ามาร่วมกลุ่ม แล้วถามถึงเพื่อนรักทันที เขาทราบจากดงอุนแล้วว่าโยซอบเป็นลม ดูจุนและจุนฮยองเลยต้องยุติการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของฮงกี
     
     
    “ตอนนี้พักอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะครับ ถ้าคุณกีกวังจะไปเยี่ยม เดี๋ยวผมพาไป”
     
     
    “อืม ไม่เป็นไรครับ ถึงมือหมอแล้วผมก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย...ผมว่าจะลองเดินไปถามคนทางโน้นสักหน่อย เผื่อฮงกีจะออกไปไกลว่าที่คิด”
     
     
    “งั้นพวกเราก็ตามหากันต่อเถอะ ป่ะ”
     
     
     
    I love you you you you you you you…Beautiful my you you you you you you….Beautiful my girl……
     
     
     
    “ครับ”
     
     
    (คุณดูจุนที่เป็นเจ้าของไข้คุณโยซอบใช่มั้ยครับ)
     
     
    “ใช่ครับ”
     
     
    (คือตอนนี้คนไข้รู้สึกตัวแล้วครับ และเขาต้องการจะออกจากโรงพยาบาลครับ แต่หมอว่าร่างกายเขายังไม่แข็งแรงพอ คุณน่าจะมารับเขาหน่อยนะครับ)
     
     
    “ครับ ได้ครับ”
     
     
     
     
     
     
    ++++ Hide and Seek ++++
     
     
     
     
     
    พวกคุณเป็นใครกันแน่น่ะ?
     
     
     
    อีกีกวังคิดไปด้วยในขณะที่กำลังเดินตามหาฮงกีอย่างไม่ลดละแม้ว่าจะเจ็บปวดที่บริเวณข้อเท้าอยู่บ้าง เขาเหลือบไปมองนายหน้าแขกที่ยังคงเดินตามเขามาตลอดทาง
     
     
    “ลูกของซูยัง ฉันต้องหาให้เจอให้ได้”
     
     
    เมื่อกี้นี้กีกวังยืนอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินประโยคนี้ของดูจุน
     
     
     
    คนพวกนี้รู้จักแม่ของฮงกี ที่อยากพบเราก็เพราะเรื่องนี้สินะ หรือว่าพ่อของฮงกีจะส่งมา ไม่ได้ละ...ต้องสืบ
     
     
     
    “นี่นายน่ะ เป็นคนที่ไหนกันเหรอ” ร่างบางอยากรู้ว่าพวกดงอุนเป็นคนบ้านนอกเหมือนโยซอบหรือไม่ บางทีเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับอีซูยัง
     
     
    “เป็นทุกที่น่ะแหละ ทำไม? หรือตอนนี้ฉันดูไม่เหมือนคน?”
     
     
    “อ่ะๆ ตอบดีๆ ก็ได้...ฉันเกิดและโตที่โซลนี่แหละ ทำไม?”
     
     
    “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” ร่างบางยังถามต่อ
     
     
    “เหมือนกันน่ะแหละ....นี่นายจะรู้ไปทำไม” คนหัวสูงตอบคำถามออกมาอย่างว่าง่าย ก่อนจะรู้สึกตัวว่าถูกกีกวังซักประวัติ เขาจึงหรี่ตาลงแล้วเลื่อนหน้าเข้าไปถามกีกวังใกล้ๆ อย่างสงสัย…นี่เขามาสืบนะ ไม่ได้มาให้โดนสืบ
     
     
    “ปละ...เปล่า...ก็เห็นว่ารู้จักโยซอบ ปกติเพื่อนโยซอบที่นี่มีแต่ที่เรียนที่ทงแซงด้วยกัน แล้วฉันรู้จักหมดด้วย แต่ไม่เคยเห็นหน้าพวกนายเลย” หน้าหวานรีบถอยออกห่างเมื่อดงอุนเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ขึ้น
     
     
    “อ้าว! เด็กทงแซงหรอกเหรอ พวกพี่ฮยอนซึงก็เรียนที่นั่นนะ เรียนบริหารรุ่นที่ 68 น่ะ”
     
     
     
    เอ๊ะ เป็นรุ่นพี่เราเหรอเนี่ย รุ่นเดียวกับพี่ซูยังด้วย อ๋อ คงจะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันนี่เอง งั้น เป็นไปได้สูงมากว่าจะรู้จักพ่อแท้ๆ ของฮงกี ต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้วล่ะ
     
     
     
    “แล้วนี่ได้คุยธุระกับโยซอบหรือยังล่ะ” กีกวังเพียงแค่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้นที่รู้ว่าพวกฮยอนซึงเคยเรียนที่เดียวกับเขา แน่ล่ะสิ โยซอบและกีกวังเหมือนนักศึกษาทั่วไปซะที่ไหน พวกเขาต้องสาละวนกับการเลี้ยงดูทารกน้อยฮงกีตั้งแต่เริ่มศึกษาเลยทีเดียว ไม่มีเวลาสนใจใครที่ไหนหรอก
     
     
    “ยังอ่ะ ก็ลูกนายหายไปก่อน” เมื่อสบโอกาสดงอุนจึงรีบถามออกไป “แล้วนายน่ะ เคยรู้จักคนที่ชื่ออีซูยังบ้างมั้ย พี่เขาก็เรียนที่ทงแซงเหมือนกันนะ”
     
     
    “ฉันเหรอ?.......มะ ไม่เคยนะ” ตอบคำถามอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้ามีสีเข้มขึ้นชัดเจน อีกีกวังมักมีอาการแบบนี้เมื่อรู้ตัวว่ากำลังโกหก
     
     
     
    โกหกได้ชัดเจนมาก แบบนี้ต้องรู้อะไรแน่ๆ
     
     
     
     
     
     
    ++++ Hide and Seek ++++
     
     
     
     
     
    ขลุกๆ
     
     
     
    เสียงอะไรวะ?
     
     
     
    ดูจุนรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงประหลาดดังออกมาจากเบาะหลัง
     
     
     
    ขลุก
     
     
     
    “แง่ม ๆ” เสียงคล้ายคนกลืนน้ำลาย
     
     
     
    ผีรึปล่าววะเนี่ย?
     
     
     
    จินตนาการบรรเจิดไปไหนต่อไหน ยูนดูจุนคิดไปได้อย่างไรว่าจะมีผีมานั่งกลืนน้ำลายอยู่หลังรถ! เขาค่อยๆ เบือนหน้าไปยังด้านหลังเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาคิด
     
     
    ขณะเดียวกัน ดวงตาน้อยที่เพิ่งลืมขึ้นมาได้ก็ค่อยๆ แหงนมองไปพบกับคนขับด้านหน้า แสงไฟจากท้องถนนที่สาดเข้ามาทำให้เจ้าตัวเล็กมองเห็นดูจุนชัดแจ๋วโดยมีประกายรัศมีส่องสว่างอยู่ด้านหลัง ในขณะที่ดูจุนเห็นเพียงแค่เงากลมๆ ดำๆ ขยุกขยิกไปมาเท่านั้น
     
     
    “อ๋า~ คุณเทวดา” ว่าแล้วอีฮงกีก็ประทานท่าอรหันต์...กระโจนสิบทิศ...ไปยังดูจุนทันที
     
     
    “เจี๊ยก.... จูออน!”
     
     
     
    เอี๊ยด
     
     
     
    โดยไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่กระโจนมาหาดูจุนอย่างปัจจุบันทันด่วนนั้นน่ากลัวมากกว่าผี ความตกใจทำให้เขาควบคุมรถเอาไว้ไม่ได้ รถรถโฟร์วีลส่ายสะบัดอย่างเสียหลักบนถนน ก่อนจะจอดสนิทแบบขวางทางจราจร 
     
     
     
    มะ............มาได้ไงวะเนี่ย
     
     
     
     
    ++++ Hide and Seek ++++
     
     
     
     
     
    (โยซอบ...เราเจอฮงกีแล้ว)


    เสียงของกีกวังดังก้องผ่านทางเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กในมือของยังโยซอบ น้ำเสียงที่ชวนตื่นเต้นพาลทำให้คนฟังรู้สึกตื่นเต้นแล้วตามมาด้วยความดีใจ
     
     
    “ว่าไงนะกีกวัง???” คนตัวเล็กถามกลับอีกครั้งเพื่อย้ำเอาคำตอบด้วยเสียงที่แหบพร่า
     
     
    (เราเจอฮงกีแล้วล่ะ ตอนนี้ฮงกีอยู่กับคุณดูจุน) เสียงของกีกวังสั่นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่ากำลังรีบวิ่งไปในขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
     
     
    “ตอนนี้ฉันก็รอเขาอยู่”
     
     
     
    คุณดูจุนกำลังจะพาฮงกีมาที่นี่เหรอ ฉันกำลังจะได้เจอฮงกีแล้ว
     
     
     
    แม้ว่าสภาพร่างกายในตอนนี้จะลุกแทบไม่ไหว แต่โยซอบก็ยังพยายามดันทุรังพาตัวเองไปยืนรอดูจุนที่หน้าโรงพยาบาล
     
     
    (เอ่อ...เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ตอนนี้คุณดูจุนอยู่ริมถนนห่างจากโรงพยาบาลไปสัก 3 บล็อก)
     
     
    “อะไรนะ!...เดี๋ยวฉันไปดูเดี๋ยวนี้” เสียงแหบเล็กแสดงความตกใจเมื่อได้ยินคำว่าอุบัติเหตุ โยซอบรีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจในสิ่งที่กีกวังเตือนออกมาแม้แต่น้อย
     
     
    (โยซอบ นายรออยู่ที่นั่นแหละ เดี๋ยวพวกเรากำลังจะไปหา เฮ้ โยซอบ นายอย่าฝืนนะ) เสียงกีกวังยังคงลอดผ่านโทรศัพท์มือถือมาด้วยความเป็นห่วง แต่ตอนนี้โยซอบที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกมาจากโรงพยาบาลกลับไม่ได้ยิน หน้าซีดหันไปมองทางซ้ายทีขวาทีเพื่อหารถของดูจุน หากแต่ว่า...โยซอบไม่รู้ว่าดูจุนขับรถอะไร? และสีอะไร? 
     
     
    เมื่อกวาดสายตาหาทางด้านซ้ายมือแล้วไม่เห็นเค้าลางว่าจะมีรถคันใดจอดอยู่ โยซอบจึงหันหลังวิ่งตรงไปในทิศทางตรงกันข้ามทันที เขามองเข้าไปในรถทุกคัน จนมาถึงรถโฟร์วีลคันสีน้ำเงินที่จอดเปิดไฟอยู่ คนตัวเล็กเพ่งมองเข้าไปในรถ ค่อยๆ ปรับโฟกัสด้วยการหยีตาลง
     
     
     
    คุณดูจุน!
     
     
     
    ไม่อาจจะอธิบายได้ว่ายังโยซอบดีใจขนาดไหนที่พบยุนดูจุนในตอนนี้ เขาวิ่งตรงไปยังรถคันดังกล่าว แล้วพบว่าประตูด้านคนขับนั้นเปิดคาอยู่...ยุนดูจุนนั่งแข็งทื่ออยู่ในนั้น ในมือกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น มองเลยลงไปที่หน้าตักก็พบฮงกีที่เกาะอยู่ในลักษณะเอาหน้าแบบพุง 
     
     
    “ฮงกี!” 
     
     
    “อ๋า...ป๊ะป๋าโยซอบ งืม” ฮงกีเงยหน้าขึ้นมองโยซอบแบบสะลึมสะลือ อ้อมแขนยังคงกอดดูจุนแน่น 
     
     
    โยซอบที่ตั้งใจจะเข้าไปกอดฮงกีให้หายเป็นห่วง ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าคนตัวโตที่ถูกฮงกีกอดอยู่ตอนนี้นั่งไม่ไหวติงดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง ราวกับหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธพันธ์
     
     
    “คุณดูจุนครับ” คนตัวเล็กแม้จะตาพร่ามัวด้วยฤทธิ์ไข้ แต่ก็ยังสังเกตเห็นชัดว่าดูจุนดูผิดปกติ
     
     
    “………….”
     
     
    ยูนดูจุนกำลังช็อคไปไหนต่อไหน
     
     
     
     
    ++++ Hide and Seek ++++
     
     
     
     
    “ดีนะ...ไม่มีรถกันสักคน ส่วนคนที่มีรถก็สติลอยไปแล้ว พี่นายนี่ยังไงนะ เด็กแค่คนเดียว จะกลัวอะไรนักหนา” กีกวังหันไปแหวใส่คนข้างๆ ที่เพิ่งบอกเขาเรื่องที่ดูจุนเจอฮงกีแล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรต่อได้ ได้แต่จอดรถไว้เฉยๆ แล้วโทรมาบอกให้พวกเขา ซึ่งขาดแคลนทรัพยากรยานพาหนะขึ้นแท๊กซี่ไปช่วย
     
     
    “อ้าว แล้วจะมาพาลใส่ผมทำไมครับคุณป๊ะป๋าขาเดี้ยง” ดงอุนเองแม้จะเห็นด้วยที่กีกวังพูด แต่ก็ไม่วายตอกกลับไป ที่จริงเขาก็พอเข้าใจในตัวพี่ชายตัวเอง อดีตมันฝังใจพี่ชายเขาอยู่ ดีเท่าไหร่แล้วที่พี่ชายของเขามีอาการกลัวแบบปัญญาอ่อนแทนที่จะคิดฆ่าแกงเด็กเหล่านั้น
     
     
    “เฮ้ย นี่นายล้อฉันเหรอ” ใบหน้ากีกวังมีสีเข้มขึ้นเมื่อถูกล้อว่าเดินขาลาก
     
     
    “เอาเถอะครับ อย่าทะเลาะกันเลยครับ เจอฮงกีก็ดีแล้ว” จุนฮยองที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมาห้ามทัพ หลังจากที่เพิ่งวางสายจากฮยอนซึง ทั้งดงอุนและกีกวังต่างทำหน้ายู่ยี่ใส่กันแล้วเมินไปคนละทางเหมือนเด็กๆ
     
     
     
     
    ++++ Hide and Seek ++++
     
     
     
     
    ตอนนี้คนป่วยหนึ่งคนที่เพิ่งวิ่งออกมาจากโรงพยาบาลกำลังจะทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนมองไปยังคนตัวโตที่ยังคงนั่งดวงทางเบิกโพลงอยู่อย่างนั้น เขาพยายามจะแงะเอาฮงกีออกจากตัวดูจุน แต่กลับพบว่านอกจากเจ้าจอมซนจะหลับไปอีกครั้งแล้ว ยังเกาะดูจุนแน่นเหมือนปลิงด้วย!
    เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ โยซอบจึงได้แต่ยืนลูบหัวฮงกีอยู่แบบนั้น แล้วนึกทบทวนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เขารู้สึกหัวใจแทบขาดเมื่อรู้ว่าเจ้าตัวเล็กหายไป
     
     
     
    ฮงกี ป๊ะป๋าเกือบตายแหน่ะรู้มั้ย
     
     
     
    ถ้าหากไม่เกรงใจดูจุนและกลัวว่าฮงกีจะติดไข้ละก็ โยซอบคงจะก้มลงไปหอมเจ้าตัวเล็กในสมกับที่ปล่อยให้เป็นห่วงอยู่นาน
     
     
     
    หมับ
     
     
     
    คนตัวเล็กสะดุ้งนิดๆ เขาหันไปมองข้อมือของตัวเองที่ถูกกุมไว้ด้วยมือหนา สภาพดูจุนกับโยซอบตอนนี้แทบไม่ต่างกันเลย หน้าซีดเผือด ปากแห้งผาก ไม่มีแรงแม้จะพูดออกมา
     
     
    “นะ....นาย ชะ...ช่วย เอาลูกนายออกไปหน่อยได้มั้ย” เขาค่อยๆ หันหน้ามาทางโยซอบ ซึ่งโยซอบคิดว่ามันหลอนน่าดูเลยทีเดียว การหันที่คล้ายหุ่นยนต์ไม่ได้หยอดน้ำมัน...ในเวลาแบบนี้...และในสภาพแบบนี้
     
     
    “ผมก็...แค่กๆ.....พยายามแล้วครับ แต่ดูเหมือนฮงกีจะไม่ยอมปล่อย” เสียงแหบเบาอย่างเดียวไม่พอ ตอนนี้โยซอบเริ่มมีอาการไอออกมาแล้ว 
     
     
    “เอ่อ ดะ...เดี๋ยวผมลองอีกทีครับ” โยซอบตัดสินใจลองอีกครั้ง หลังจากหันไปเห็นว่าตอนนี้ดูจุนที่นั่งนิ่งอยู่เริ่มหน้าเบ้ มุมปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้นลง ดวงตาแดงก่ำมีน้ำตาคลอขึ้นจนแทบจะทะลักออกมา
     
     
    ด้วยแรงที่แทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ในที่สุดโยซอบก็ดึงฮงกีออกมาได้สำเร็จ  แต่ถึงอย่างนั้นยุนดูจุนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น โยซอบจึงถือวิสาสะเดินอ้อมพาฮงกีไปวางไว้ที่เบาะรถด้านหลัง แล้วก็ประคองตัวเองมานั่งเบาะข้างๆ ดูจุน คนตัวเล็กเอื้อมมือทั้งสองข้างไปแตะที่แก้มของดูจุน
     
     
    คนตัวโตรู้สึกได้ถึงมือที่เย็นเฉียบและแรงบีบนวดที่โยซอบทำ เหมือนว่าโยซอบจะเรียกสติของดูจุนกลับมาได้แล้ว ดวงตาโตกลอกไปมองคนตัวเล็กอย่างงงๆ พร้อมกระพริบตาปริบๆ 
     
     
    “ดีขึ้นมั้ยครับ” คนตัวเล็กยิ้มและบีบนวดใบหน้าของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ เขาพยามยามทำให้คนตัวโตรู้สึกดีขึ้น แม้ว่าตอนนี้สายตาของเขาจะพร่าจนมองอะไรไม่เห็นแล้ว โลกทั้งโลกกำลังหมุนเคว้งคว้าง
     
     
    “อะ..อืม” สัมผัสที่ได้รับและภาพที่มองเห็น มันทำให้ดูจุนรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมา ก่อนที่หัวใจเขาจะเต้นแรงไม่กว่านี้ มือทั้งสองของโยซอบก็ตกลง เจ้าของมือนิ่มได้ทิ้งตัวพิงกับเบาะนั่งราวกับหุ่นยนต์ที่หมดแบตเตอรี่
     
     
    ไม่กี่นาทีผ่านไป รถแท็กซี่ที่ออกเดินทางมาจากโรงเรียนอนุบาลก็มาจอดเคียงกับรถของดูจุน ชายหนุ่มทั้งสามรีบก้าวลงมาแล้ววิ่งไปยังรถเป้าหมายทันที สภาพที่พบคือลูกน้อยหอยสังข์ที่กำลังหลับปุ๋ยกับป๊ะป๋าผู้น่ารักที่กำลังร่อแร่! 
     
     
    “โยซอบแย่แล้ว! นี่นายช่วยฉันพาโยซอบกลับไปโรงพยาบาลที” กีกวังรีบสั่งการดงอุนให้ช่วยอุ้มร่างไร้สติของเพื่อนรักไปยังโรงพยาบาล เมื่อพบว่าตัวของโยซอบเย็นเฉียบ
     
     
    “นายเป็นไงบ้างวะดูจุน” ยงจุนฮยองรีบถามอาการเพื่อนทันที เมื่อเห็นตัวฮงกีและโยซอบแล้ว
     
     
    “ตอนแรกก็...เห็นนรก....”
     
     
    “แต่ตอนหลัง....เห็นสวรรค์ว่ะ”
     
     
     
     
    ++++ Hide and Seek ++++
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×